ลักษณะของ โลภะ โทสะ โมหะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 2 พฤศจิกายน 2009.

แท็ก: แก้ไข
  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    โลภะ

    ลักษณะของโลภะ

    ..... โลภะมีอันยึดซึ่งอารมณ์ เป็นลักษณะดุจลิงติดตัง มีความข้องเฉพาะเป็นรสดุจชิ้นเนื้ออันเขาทิ้งไปที่กระเบื้องร้อน มีอันไม่สละเป็นเครื่องปรากฏ ดุจน้ำย้อมเจือน้ำมันสำหรับหยอด มีอันเห็นความแช่มชื่นในสังโยชนิยธรรมเป็นปทัฏฐาน พึงเห็นว่าเมื่อโลภะเจริญอยู่โดยความเป็นแม่น้ำ คือ ตัวตัณหาย่อมพาไปสู่อบายถ่ายเดียว ดุจแม่น้ำมีกระแสเชี่ยวพัดพาไปสู่มหาสมุทรฉะนั้นฯ

    ที่มา วิสุทธิมัคค์ขันธนิทเทส


    คนส่วนมากรู้ว่าเป็นโลภะก็ต่อเมื่อเป็นโลภะที่แรงกล้า แต่ไม่รู้เมื่อเป็นโลภะที่ไม่รุนแรง เช่น เราอาจจะรู้ว่าเป็นโลภะเมื่ออยากจะรับประทานอาหารที่อร่อยมากๆ หรือขณะที่อยากดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่ เรามีความผูกพันยึดมั่นในบุคคล และเป็นทุกข์เมื่อผู้เป็นที่รักตายจากไป เมื่อนั้นเราก็จะรู้ว่าความผูกพันทำให้เกิดความทุกข์ บางครั้งความผูกพันยึดมั่นก็เห็นได้ชัด แต่โลภะก็มีหลายระดับขั้น โดยมากเราไม่รู้ว่าเรามีโลภะ

    จิตเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก

    และเราอาจไม่รู้ว่าโลภะเกิดขณะที่สภาพธรรมปรากฏทางทวารใดทวารหนึ่งใน ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อเป็นโลภะที่ไม่แรงกล้าถึงขั้นที่เป็นราคะหรือตันหา ขณะใดที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าพอใจปรากฏ ขณะนั้นโลภะย่อมเกิดขึ้น

    วันหนึ่งๆ โลภะเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน

    โลภะ ความผูกพันยึดมั่น ทำให้เกิดความทุกข์โทมนัส ถ้าเข้าใจความจริงข้อนี้อย่างถ่องแท้ เราคงปรารถนาที่จะกำจัดโลภะให้หมดไป แต่โลภะจะหมดไปในทันทีทันใดไม่ได้ เราอาจจะระงับโลภะได้เพียงชั่วคราว แต่โลภะก็จะเกิดอีกเมื่อมีเหตุปัจจัยที่ทำให้โลภะเกิดขึ้น แม้จะรู้ว่าโลภะทำให้เกิดทุกข์โทมนัส โลภะก็ย่อมเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็มีวิธีที่จะกำจัดโลภะให้หมดไปได้ นั่นคือ ด้วยการอบรมเจริญปัญญาซึ่งประจักษ์สภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง

    เมื่อศึกษาเรื่องจิตละเอียดขึ้น ก็จะทำให้เรารู้จักตัวเอง เราไม่ควรรู้เพียงแต่โลภะขั้นหยาบเท่านั้น แต่ควรรู้โลภะขั้นต่างๆ ที่ละเอียดขึ้น

    เราควรรู้โลภะที่ละเอียดขึ้นเมื่อชื่นชอบกลิ่นหอมหรือดนตรีเพราะๆ ด้วย ดูเหมือนกับว่าจิตไม่เป็นอกุศลเมื่อไม่ได้ทำร้ายใคร แต่โลภะที่ละเอียดๆ ก็เป็นอกุศลด้วย โลภะต่างกับอโลภะซึ่งเป็นกุศล เราไม่สามารถบังคับตัวเองไม่ให้มีโลภะ แต่เราก็สามารถรู้ลักษณะโลภะได้เมื่อโลภะเกิดปรากฏ

    โลภะทุกระดับขั้น ไม่ว่าหยาบหรือละเอียด ย่อมเป็นเหตุของทุกข์ เราเป็นเหมือนทาสตราบใดที่ยังเพลิดเพลินมัวเมาหลงติดในอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราไม่เป็นอิสระเลยถ้าความสุขของเราขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดกับเรา และการกระทำของคนอื่นต่อเรา คนอื่นอาจดีกับเราขณะหนึ่ง แต่อีกขณะหนึ่งก็อาจไม่ดีก็ได้ ถ้าเรายึดถือในความชอบพอรักใคร่ที่คนอื่นมีต่อเราอย่างมากมายเหลือเกินแล้ว จิตก็จะหม่นหมองได้ง่ายและตกเป็นทาสของอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ

    เราจะเป็นอิสระขึ้นได้ถ้ารู้ความจริงว่าทั้งตัวเราเองและคนอื่นเป็นเพียง นามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เมื่อใครพูดคำที่ไม่น่าฟังกะเรา ก็เพราะมีเหตุปัจจัยทำให้เขาพูดอย่างนั้น และก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เราได้ยินคำเหล่านั้น การกระทำของคนอื่นและปฏิกิริยาของเราต่อการกระทำนั้นๆ ล้วนเป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยและไม่เที่ยง ขณะที่กำลังคิดถึงสภาพธรรมเหล่านี้ สภาพธรรมเหล่านี้ก็ดับไปแล้ว การอบรมเจริญปัญญาเป็นทางที่จะทำให้ละคลายการยึดมั่นในการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อสติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏ การถือว่าการกระทำของคนอื่นต่อเราก็สำคัญน้อยลง

    เมื่อโลภะฝังลึกในจิตอย่างเหนียวแน่นถึงเพียงนี้ การละโลภะต้องเป็นไปตามลำดับขั้น มิจฉาทิฏฐิต้องดับหมดก่อน แล้วโลภะอื่นๆ จึงจะดับหมดสิ้นได้ พระโสดาบันบุคคล (บุคคลที่บรรลุโลกุตตธรรมขั้นที่หนึ่ง) ดับมิจฉาทิฏฐิเป็นสมุจเฉท ท่านอบรมเจริญปัญญาซึ่งรู้ชัดว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นนามธรรมและรูปธรรม ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุที่พระโสดาบันบุคคลละมิจฉาทิฏฐิได้แล้ว โลภมูลจิตซึ่งเกิดร่วมด้วยมิจฉาทิฏฐิจึงไม่เกิดอีกเลย

    ดังที่ได้ศึกษาแล้วว่า โลภมูลจิต 4 ดวง เกิดร่วมด้วยมิจฉาทิฏฐิ (ทิฏฐิคตสัมปยุตต์) และโลภมูลจิต 4 ดวง ไม่เกิดร่วมกับมิจฉาทิฏฐิ (ทิฏฐิคตวิปปยุตต์) โลภมูลจิตที่ไม่เกิดร่วมกับมิจฉาทิฏฐิยังคงเกิดกับพระโสดาบันบุคคล เพราะพระโสดาบันบุคคลยังไม่ได้ดับโลภะทั้งหมด พระโสดาบันบุคคลยังมีมานะ มานะเกิดกับโลภมูลจิต 4 ดวงที่ไม่เกิดร่วมกับมิจฉาทิฏฐิ (ทิฏฐิคตวิปปยุตต์) เมื่อเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น ขณะนั้นเป็นมานะ เช่น ขณะที่คิดว่าเรามีปัญญามากกว่าคนอื่น เป็นต้น เมื่อถือว่าตนเอง ดีกว่า เสมอกัน หรือ ด้อยกว่า คนอื่น นั่นเป็นการสำคัญตน ขณะนั้นจึงเป็นมานะ ขณะที่คิดว่าตนเองด้อยกว่าคนอื่นนั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นกุศล อาจเป็นอาการหนึ่งของการถือตน ฉะนั้นจึงเป็นมานะ มานะฝังลึกในจิตซึ่งจะดับหมดเป็นสมุจเฉทก็ต่อเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 158_607.jpg
      158_607.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.8 KB
      เปิดดู:
      200
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    โทสะ

    ลักษณะของโทสะ

    โทสะมีหลายขั้น อาจเป็นความขุ่นใจเล็กน้อยหรือรุนแรงขึ้นจนถึงกับโกรธเคือง เรารู้จักโทสะขั้นหยาบ แต่เรารู้จักโทสะอย่างบางเบาบ้างไหม การศึกษาพระอภิธรรมทำให้รู้ลักษณะของโทสะมากขึ้น โทสะ เป็น อกุศลเจตสิก เกิดร่วมกับอกุศลจิต จิตที่มีโทสะเป็นมูล ภาษาบาลีเรียกว่า โทสมูลจิต ลักษณะของโทสะต่างจากลักษณะของโลภะ

    โลภะ เกิดขณะใด จิตพอใจอารมณ์ขณะนั้น แต่ โทสะ เกิดขณะใด จิตไม่พอใจอารมณ์ขณะนั้น ขณะ ที่โกรธใครๆ และกล่าวคำที่ไม่น่าฟังกับใครนั้น เรารู้ว่าเป็นโทสะ แต่เวลากลัวอะไรก็เป็นโทสะเหมือนกัน เพราะไม่ชอบอารมณ์ที่เรากลัวนั้น เรากลัวหลายอย่างในชีวิต กลัวอนาคต กลัวเจ็บป่วย กลัวอุปัทวเหตุและกลัวตาย เราแสวงหาทางที่จะทำให้หายกลัว แต่ทางเดียวก็คือ อบรมเจริญปัญญาที่ดับโทสะได้หมดสิ้น

    โลภะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดโทสะ เราไม่อยากสูญเสียสิ่งซึ่งเป็นที่รัก และเมื่อใดที่สูญเสียเราก็โศกเศร้า ความเศร้าโศกเป็นโทสะ เป็นอกุศล เมื่อไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ย่อมเห็นว่าคนและสิ่งต่างๆ ยั่งยืน แต่คนและสิ่งต่างๆ นั้น เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไปทันที ชั่วขณะต่อมาสภาพธรรมนั้นๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เมื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงก็จะคลายความเศร้าโศกลง ไม่มีประโยชน์เลยที่จะโศกเศร้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปแล้ว

    มีอกุศลเจตสิกอื่นๆ อีกซึ่งเกิดร่วมกับโทสมูลจิต ความเสียดาย หรือ ความกังวล ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า กุกกุจจะ ก็เป็นอกุศลเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกับโทสมูลจิตขณะที่ได้กระทำสิ่งที่ไม่ดีหรือ ไม่ได้ทำสิ่งที่ดี ขณะที่เสียใจนั้นเป็นขณะที่คิดถึงอดีตแทนที่จะระลึกถึงขณะปัจจุบัน เมื่อได้กระทำผิดพลาดไปแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะกังวลใจ

    ความริษยา (อิสสา) เป็นเจตสิกอีกดวงหนึ่งที่เกิดกับโทสมูลจิต เวลาไม่อยากให้ใครได้รับสิ่งที่น่ายินดีพอใจนั้นเป็นความริษยา ขณะนั้นจิตไม่พอใจอารมณ์นั้น ควรจะสังเกตว่าความริษยาเกิดบ่อยเพียงใด แม้ว่าเป็นความริษยาเพียงเล็กน้อยก็ตาม นี่เป็นวิธีที่จะรู้ว่าเราใส่ใจคนอื่นหรือไม่ หรือว่าเราคิดถึงแต่ตัวเองเมื่อคบหาสมาคมกับคนอื่น

    ความตระหนี่ (มัจฉริยะ) เป็นอกุศลเจตสิกอีกดวงหนึ่งซึ่งเกิดกับโทสมูลจิต ขณะที่ตระหนี่นั้นมีโทสะด้วย ขณะนั้นไม่อยากให้คนอื่นมีส่วนในสมบัติที่เรามี

    โทสะเกิดร่วมกับ ความรู้สึกไม่สบายใจ (โทมนัสเวทนา) เสมอ คนส่วนมากไม่อยากมีโทสะเพราะไม่ชอบความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ขณะที่อบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมมากขึ้นนั้น ก็ใคร่จะละโทสะ ทั้งนี้โดยไม่ใช่เพราะไม่ชอบโทมนัสเวทนา แต่เพราะเห็นโทษภัยของอกุศล

    โทสะเกิดขึ้นได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ โทสะเกิดได้เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจ ได้ยินเสียงหยาบกระด้าง ได้กลิ่นที่ไม่ดี ลิ้มรสที่ไม่ถูกปาก กระทบสัมผัสสิ่งที่ทำให้กายเจ็บปวด และคิดนึกเรื่องที่ไม่พอใจ เมื่อใดที่รู้สึกไม่สบายใจไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็แสดงว่าขณะนั้นเป็นโทสะ โทสะอาจจะเกิดบ่อยเมื่อกระทบอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ เช่น อากาศร้อนหรือเย็นเกินไป เมื่อมีความรู้สึกที่ไม่สบายกายเพียงนิดเดียว โทสะก็เกิดได้แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง

    โทสะเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย โทสะเกิดได้เสมอตราบใดที่ยัง ติดข้อง ในกามอารมณ์ 5 ที่ปรากฏทางปัญจทวาร ทุกคนอยากจะมีแต่อิฏฐารมณ์เท่านั้น และเมื่อไม่ได้อิฏฐารมณ์อีก โทสะก็จะเกิด

    ปัจจัยอีกอันหนึ่งที่ทำให้โทสะเกิดก็คือ ความไม่รู้ไม่เข้าใจธรรม ถ้าไม่รู้เรื่องกรรม วิบาก เหตุและผล โทสะอาจเกิดได้ง่ายๆ เมื่อกระทบกับอารมณ์ที่ไม่น่ายินดีพอใจทางทวารใดทวารหนึ่ง ฉะนั้น โทสะจึงสะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ขณะประสบอารมณ์ที่ไม่น่ายินดีพอใจทางทวารใดทวารหนึ่งนั้น เป็นอกุศลวิบากซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว เช่น เมื่อขณะที่ได้ยินคำพูดที่ไม่น่ายินดีพอใจก็อาจโกรธคนที่พูด แต่คนที่ศึกษาธรรมแล้วย่อมรู้ว่า การที่ได้ยินสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจนั้นเป็นอกุศลวิบากซึ่งไม่ได้เกิดจากการ กระทำของคนอื่น แต่เป็นผลของอกุศลกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว วิบากจิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทันทีไม่ดำรงยั่งยืน แต่เราก็มักจะครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไม่ดีนั้นอยู่อีกไม่ใช่หรือ ถ้าสติระลึกรู้สภาพธรรมขณะนี้ ก็จะคลายการคิดถึงอกุศลวิบากด้วยโทสะลงได้

    บางครั้งเรารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเมตตาแทนโทสะ เช่น เมื่อคนอื่นทำไม่ดีกับเรา เราก็ไม่สบายใจและครุ่นคิดแต่เรื่องไม่สบายใจนั้น เมื่อโทสะยังไม่ดับเป็นสมุจเฉท ก็ยังมีปัจจัยที่โทสะจะเกิดอีก ขณะที่สติระลึกรู้สภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฏ ปัญญาจึงจะเจริญขึ้นจนสามารถดับโทสะได้

    การละโทสะนั้นเป็นไปตามลำดับขั้น พระโสดาบันบุคคล (ผู้ที่บรรลุอริยสัจจธรรมขั้นต้น) ยังละโทสะไม่ได้ การบรรลุอริยสัจจธรรมขั้นต่อมาคือ ขั้นพระสกทาคามีบุคคล ก็ยังดับโทสะเป็นสมุจเฉทไม่ได้ ผู้บรรลุอริยสัจจธรรมขั้นที่สาม คือ พระอนาคามีบุคคล ดับโทสะได้เป็นสมุจเฉท ไม่มีปฏิฆานุสัยกิเลสอีกเลย

    แม้ว่ายังดับโทสะไม่ได้ แต่เมื่อโทสะเกิด สติก็สามารถระลึกรู้ลักษณะของโทสะว่าเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่เมื่อสติไม่เกิด ก็ดูราวกับว่าเกิดโทสะอยู่นาน และยึดมั่นโทสะว่าเป็นตัวตน และไม่ได้สังเกตรู้นามธรรมและรูปธรรมอื่นๆที่ปรากฏ การเจริญสติระลึกรู้สภาพนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏแต่ละขณะนั้น จะทำให้รู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งไม่เที่ยง และรู้ว่าโทสะเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน

    เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในสภาพธรรมต่างๆ ชัดแจ้งขึ้น ก็จะครุ่นคิดถึงอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจน้อยลง เพราะเป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป และจะใส่ใจในขณะปัจจุบันมากขึ้น แทนที่จะคิดถึงอดีตหรืออนาคต เราจะเล่าเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเราให้คนอื่นฟังน้อยลง เพราะรู้ว่าจะเป็นปัจจัยให้ทั้งตนเองและคนอื่นสะสมโทสะมากขึ้น เมื่อคนอื่นโกรธเรา เราก็จะเข้าใจสภาพของเขาดีขึ้น เขาอาจจะเหนื่อยหรือไม่สบายก็ได้ คนที่ไม่ดีต่อเรานั้นสมควรได้รับความเมตตา เพราะเขาทำตนเองให้เป็นทุกข์

    ความเข้าใจในสภาพธรรมต่างๆ จะทำให้เรามีเมตตากรุณาต่อคนอื่นมากกว่าอื่นใดแทนที่จะเกิดโทสะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8_263.jpg
      8_263.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.6 KB
      เปิดดู:
      161
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    โมหะ

    ลักษณะของโมหะ

    โมหมูลจิตดวงที่สองเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนาประกอบด้วยอุทธัจจะ โดยศัพท์ อุทธัจจะ หมายถึง สภาพไม่สงบ หรือ ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเกิดกับอกุศลจิต ทุกประเภท (ดวง) ขณะใดที่จิตมีอุทธัจจะขณะนั้นไม่มี สติ สติเกิดกับโสภณจิตทุกดวง สติระลึกถึงสิ่งที่ดีงาม สติไม่ได้เกิดเฉพาะกับวิปัสสนาเท่านั้น ขณะให้ทาน รักษาศีล ศึกษาพระธรรม แสดงพระธรรม หรือเจริญสมถภาวนานั้น สติก็เกิดร่วมด้วย แต่สติในการเจริญวิปัสสนาภาวนานั้น ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

    โมหะเป็นโทษเพราะเป็นมูลของอกุศลธรรมทั้งปวงเมื่อ ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง อกุศลก็จะสะสมมากขึ้น โมหะเป็นปัจจัยให้เกิดให้เกิดโลภ เมื่อไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ย่อมเพลิดเพลินไปในอารมณ์ทั้งหลายที่ปรากฏทางทวารต่างๆ โมหะเป็นปัจจัยให้เกิดโทสะด้วย เมื่อไม่รู้สภาพธรรมก็ย่อมจะโกรธเมื่อประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ โมหะเกิดกับอกุศลจิตทุกดวง และเป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมบถ 10 ทางกาย วาจา ใจ ขณะใดที่สติระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางทวารหนึ่งทวารใดใน 6 ทวารเท่านั้น ปัญญาจึงจะเจริญขึ้นจนสามารถดับโมหะได้เป็นสมุจเฉท

    อวิชชา ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่รู้อริยสัจจ์ 4 เพราะอวิชชาจึงไม่รู้ในอริยสัจจ์ข้อที่หนึ่ง คือ ทุกข์อริยสัจจ์ ไม่ประจักษ์ว่านามธรรมและรูปธรรมไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ ไม่รู้อริยสัจจ์ข้อที่สอง คือ ตัณหา ซึ่งเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ เพราะติดข้องในนามและรูป สังสารวัฏฏ์ จึงไม่สิ้นสุด ทุกข์จึงไม่สิ้นสุด ไม่รู้อริยสัจจ์ข้อที่สาม คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมที่ดับทุกข์ ไม่รู้อริยสัจจ์ข้อที่สี่ คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นหนทางปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับทุกข์ อริยมรรคมีองค์ 8 จะเจริญขึ้นในการเจริญวิปัสสนาภาวนา

    คัดลอกจาก กอง ลานธรรมจักร
    ::
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5_904.jpg
      5_904.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30 KB
      เปิดดู:
      183
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    แล้วเราจะรู้ได้ไหมว่า โลภะ โทษะ โมหะ เกิดขึ้นแล้ว


    จะรู้ได้อย่างไร โลภะ โทษะ โมหะ
    อย่างหยาบ จะรู้ได้อย่างไร
    อย่างกลางจะรู้ได้อย่างไร
    อย่างละเอียดจะได้ได้อย่างไรคับ
     
  5. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เมตตัญจะ สัพพะโล กัสมัง มานะ

     
  6. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ลึกซึ้งมาก ท่านจอมยุทธ ธรรมCopy มิอาจซึมผ่านได้จากการมองได้ด้วยตา
    มันละเอียด หลงธรรมที่เป็นอักษร ตามันต้องประสานด้วยใจ
    นานๆ Copy ก็พอ ธรรมมันต่อได้เอง
     
  7. monrak

    monrak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +234
    ค่อยๆพิจารณา ถึงอารมณ์ในขณะนั้น

    เช่น กำลังกินอาหาร อาหารนี้เราชอบหรือไม่

    พอใจที่ได้กิน อยากกินอาหารนี้ อันนี้ เป็น โลภะ

    ไม่พอใจที่ได้กิน ไม่อยากกินอาหารนี้ อันนี้ เป็น โทสะ
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    อ่านว่า มนต์รัก (ลูกทุ่งไหมคับ)


    อาการไม่พอใจ

    หรืออาการไม่พอใจ

    มันอธิบายได้ไหม ว่ามันเป็นอย่างไร อะไรเป็นตัวชี้วัดคับ
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    มาแผ่เมตตาเหรอคับ เมตตาแปลว่าอะไรคับ

    เมตตาไม่ได้ สักแต่ว่า บ่น ท่อง แพร่มๆ แต่ต้องทำเป็นเครื่องดำเนินของกาย ของใจ อบรมให้มาก กระทำให้มาก ทั้งกลางวันกลางคืน จะดีกว่าการได้แต่แพร่มๆ บ่นๆ เพียงสักแต่ว่าท่องๆ อานิสง 11 อย่างจึงจะบังเกิด.....ผมเข้าใจถูกไหม ท่านคนดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 พฤศจิกายน 2009
  10. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ขอยกเรื่อง พระขรรค์เพชรของพระพุทธเจ้า

    มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ลูกศิษย์ท่านนึงกำลังสนทนาธรรมกับหลวงพ่อดู่ หลวงพ่อดู่ท่านเปรยว่า "เคยได้ยินเรื่องพระขรรค์เพชรของพระพุทธเจ้าไหม" ลูกศิษย์เรียนท่านว่าไม่เคยได้ยินหมายถึงอะไร หลวงพ่อท่านเลยเล่าเรื่อง "เมื่อครั้งที่พระภิกษุออกไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าได้วันแรก ๆ เทวดาหรือรุกขเทวดาที่ประจำอยู่ตามต้นไม้ ก็อวยชัยให้พรดี แต่เมื่ออยู่นานไป ก็ทำท่าเหมือนกับมาหลอกพระ ทำให้พระต้องหนีออกจากป่า จึงกราบทูลกับ พระพุทธเจ้าว่า ควรจะทำอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เราจะมองพระขรรค์เพชร ไปให้พวกเธอ พระขรรค์เพชร ในที่นี้ คือ การเจริญเมตตา หรือกรณียเมตตาสูตร ซึ่งมีอยู่ใน 12 ตำนาน เป็นการกล่าวถึงกิจของพระสงฆ์ที่ควรกระทำ การแผ่เมตตาไปโดยไม่มีประมาณ ตั้งแต่สัตว์ไม่มีขา สัตว์มีขา ภูตผีปีศาจทั้งหลาย เมื่อพระภิกษุเอาบทกรณียเมตตาสูตรมาสวด แล้วก็แผ่เมตตาไปให้เทวดาทั้งหลายนั้น เทวดาทั้งหลายก็ไม่ได้มารบกวนท่าน ทำให้การบำเพ็ญสมณธรรมลุล่วงไปด้วยดี ซึ่งเหล่านั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ หลวงพ่อท่านบอกว่า "เวลาที่ข้าทำพระขรรค์ให้แกนั้น ข้าก็ใช้บทนี้ด้วย บทนี้เป็นบทสำคัญ เวลาเดินป่าหรือเวลาไปที่หนึ่งที่ใดก็ตามให้ใช้สวด หมั่นสวดให้จำได้อยู่เสมอ มีอานุภาพมาก หรือแม้แต่เราผ่านศาลไปที่หนึ่งที่ใด เราใช้เพียงคำว่า เมตตัญจะ สัพพะโล กัสมัง มานะ เทวดาที่ประจำอยู่ศาลก็จะมาส่งเป็นทอด ๆ ไปจนสุดทาง"

    เครื่องอยุ่ของใจที่ดีอันหนึ่ง ก้คือพรหมวิหารธรรม ปรุงก้ปรุงในสิ่งที่ดีนะครับ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  11. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    กะระณียะเมตตะสุตตัง


    ๐ กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ

    ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ
    ๐ สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ
    จัสสะ มุทุ อะนะติมานี,
    ๐ สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ
    อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ
    ๐ สันตินทริโย จะ นิปะโก จะ
    อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ
    ๐ นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ
    เยนะ วิญญู ปะเร อุปวะเทยยุง,
    ๐ สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ
    สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา,
    ๐ เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ ตะสา
    วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา

    ทีฆา วา เย มะหันตา วา

    มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา

    ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา เย

    จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร

    ภูตา วา สัมภะเวสี วา สัพเพ

    สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา,

    นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ
    นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ,

    ๐ พยาโรสะนา
    ปะฏิฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ
    กัตถะจิ นัง กิญจิ,

    ๐ มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง
    อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข,

    ๐ เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ
    มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง,

    ๐ เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย
    อะปะริมาณัง,

    ๐ อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ
    อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง,

    ๐ ติฎฐัญจะรัง นิสินโน วา

    สะยาโน วา
    ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ,

    ๐ เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ
    พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ,

    ๐ ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ
    สีสะวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน,

    ๐ กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง
    นะ หิ ชาตุ
    คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ ฯ

    กรณียเมตตสูตร(แปล)


    - กุลบุตรผู้ฉลาด พึงกระทำกิจที่พระอริยเจ้าผู้บรรลุแล้วซึ่ง
    พระนิพพานอันเป็นที่สงบระงับได้กระทำแล้ว,

    - กุลบุตรนั้งพึงเป็นผู้องอาจ ซื่อตรงและประพฤติตรงดี เป็นผู้ที่ว่าง่ายสอนง่าย อ่อนโยน ไม่มีมานะอันยิ่ง,


    - เป็นผู้สันโดษยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ เป็นผู้เลี้ยงง่าย เป็นผู้มีกิจธุระน้อย เป็นผู้ประพฤติทำให้กายและจิตเบา,


    - มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันสงบนิ่ง มีปัญญาฆ่ากิเลส เป็นผู้ไม่คะนอง กาย วาจา ใจ และไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย,


    -ไม่พึงกระทำกรรมที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายติเตียน

    ผู้อื่นว่าทำแล้วไม่ดี,

    - พึงแผ่เมตตาจิตว่า ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้มีสุข

    มีจิตเกาะพระนิพพานแดนอันพ้นจากภัยทั้งหลาย
    และจงเป็นผู้ทำตนให้ถึงความสุขทุกเมื่อเถิด,

    -ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดโดยไม่มีเหลือ ทั้งที่มีตัณหาเครื่องทำใจให้สะดุ้งอยู่ และผู้มั่นคงคือไม่มีตัณหาแล้ว ทั้งที่มีกาย

    ยาว ใหญ่ปานกลาง หรือกายสั้น หรือผอม อ้วน เป็นผู้ที่เราเห็นแล้วก็ดี ไม่ได้เห็นก็ดี อยู่ในที่ไกลหรือในที่ไม่ไกล ทั้งที่เกิดมาในโลกนี้แล้ว
    และที่ยังกำลังแสวงหาภพเป็นที่เกิดอยู่ดี จงเป็นเป็นผู้ทำตนให้ถึงความสุขเถิด,

    - สัตว์อื่นอย่าพึงรังแกข่มเหงสัตว์อื่น อย่าพึงดูหมิ่นใครในที่ใด ๆ เลย,


    - ไม่ควรปรารถนาให้กันและกันมีความทุกข์ เพราะความกริ้วโกรธ และเพราะความเคียดแค้นกันเลย,


    - มารดาย่อมตามรักษาบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน ด้วยชีวิต ฉันใด,


    - กุลบุตรพึงเจริญเมตตาจิตในใจไม่มีประมาณ ในสัตว์ทั้งปวงทั้งหลายแม้ฉันนั้น,


    - บุคคลพึงเจริญเมตตาให้มีในใจไม่มีประมาณ ไปในโลกทั้งสิ้น,


    - ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง การเจริญเมตตาจิตนี้เป็นธรรมอันไม่แคบ ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู,


    - ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น จะยืนอยู่ก็ดี เดินไปก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี เป็นผู้ปราศจากความง่วงเพียงใด,


    - ก็สามารถตั้งสติไว้ได้เพียงนั้น บัณฑิตทั้งหลายกล่าวถึงกิริยาอย่างนี้ว่า เป็นการเจริญพรหมวิหารในศาสนานี้,


    - บุคคลผู้ที่มีเมตตา ไม่เข้าถึงความเห็นผิด เป็นผู้มีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยความเห็นคือปัญญา,


    - นำความหมกมุ่นในกามทั้งหลายออกได้แล้ว ย่อมไม่เข้าถึงความเข้าไปนอนในครรภ์เพื่อเกิดอีกโดยแท้แล ฯ


    เลยยกเอาบทสวดพร้อมแปลมาด้วย อนุโมทนาผู้มีเมตตาประจำใจครับ
     
  12. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    รู้จักธรรมที่เป็นอกุศลจิตที่เกิด ก้มารู้จักธรรมที่เป็นกุศลบ้าง

    อนุโมทนาพี่จินที่นำธรรมมาไห้อ่าน
     
  13. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    น้าน เมตตาเ็ป็น ตัวอักษร เลย
    เอ เจ้ากรรม นายเวรจะอโหสิกรรมให้ไหมเนี่ย


    เห็นความโกธรไหมล่ะนั้น หยาบ หรือละเอียด










    ถ้าบอกไม่โกธร นะ มุสาแระ
     
  14. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ๐ สักโก .. องอาจ ย่อมกล้าเผชิญในความดี ข้อนี้มีหรือยัง



    อุชู .. ซื่อตรง ต่อใจเราหรือยัง

    สุหุชู .. ตรงดี ตรงทางไหม
    สุวะโจ .. ว่านอนสอนง่าย ยอมรับ ยอมในการแสดงความคิดเห็นไหม ไปพิจารนาไหม

    ... นี่นะ มีความหมายแปลเป็นไทย หากมีคุณธรรมอย่างนั้นในใจเราเพิ่มขึ้น แสดงว่า เรา ดำเนินการเจริญ ทั้งกาย ทั้งใจ ด้วย บทเมตตา อย่างนั้นแล้วใช่ไหม ท่านคนดี
     
  15. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    พูดกับผมหรอคับ เมื่อมาขอฟังธรรมผมจะช่วยสงเคาะไห้นะครับ

    ผมเข้าใจถูกไหม ท่านคนดี

    เมื่อขาดการอบรมที่ถูกต้องผมจะอบรมให้นะ
    อย่างแรกเลิกกระทำชั่วก่อน อย่างที่สองตั้งใจทำดี สามทำจิตให้มันเบาๆใสๆไว้

    ความหมายของธรรมอย่าตีความนักเลยครับ เมื่อต้องการถามว่าถูกไหมที่คุนคิดก้บอกก่อนว่า มันถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เหมือนสิ่งที่คุนทำมันดีบ้างเลวบ้าง
    เมื่อได้รับคำอบรมสั่งสอนแล้วต่อไปต้องพึ่งบารมีตนเองแล้วนะ

    คนดีมีจริง สิ่งที่ดีมีจริง ธรรมฝ่ายดีมีจริง พระพุทธเจ้ามีจริง บาปกรรมมีจริง
    เมื่อตนเลวอย่าเหมาเอาคนอื่นไปด้วยจะเป็นอย่างตน
    เมื่อมองใจตัวเองว่ามันบอดอย่ามองว่าคนอื่นบอด
     
  16. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เพ้อเจ้ออะไรคับดีอยู่หน่อยเดียวก้ดีแตกเสียแล้ว ความดีมีเท่าหางอึ่ง มาเที่ยวเพ้อเจ้ออยู่ร่ำไป กระทู้ธรรมดีๆจะหายหมดแล้วเพราะพวกคนเช่นนี้

    น่าจะรู้สึกละอายบ้างนะครับ
     
  17. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    คนพาลนี่มันก้พาลหาแต่ชั่วนะดีมันไม่เอา เมื่อรู้ว่าชั่วก้อย่ามามาถามเลยท่านผู้ใจชั่ว ท่านไม่เข้าใจมันหรอก
     
  18. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ธรรมเหล่านี้พระศาสดาท่าทรงแสดงไว้ดีแล้วทั้งพระอรหันก้แสดงไว้ดีแล้ว
    หากท่าน ผู้ใจทราม สงสัยไปถามครูอาจารที่ท่านนับถือ เพื่อความกระจ่าง จะดีกว่า
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    อย่างนี้ก็ฝากไปซื้อของได้นี่ ...

    ดีนะคับ ที่มีคนดีมาอบรบให้ จะได้มีอะไรถามต่อเรื่อยๆ

    ชอบประโยคนี้จัง

    เมื่อตนเลวอย่าเหมาเอาคนอื่นไปด้วยจะเป็นอย่างตน
    คนนั้นดีนะที่รู้ตัวว่าตัวเองเลว แต่พวกที่ไม่รู้ตัวเองว่าเลว รู้แต่ว่าดีตลอด พวกนี้มีไหมคับ

    เมื่อมองใจตัวเองว่ามันบอดอย่ามองว่าคนอื่นบอด
    อย่างนี้ แสดงว่าคนนั้นมีสติระลึกรู้ได้ว่า ใจตัวเองมันบอด แสดงว่าเค้ารู้สึกตัวได้หรือเปล่าคับท่านคนดี

    คนที่ไร้สติ ย่อมไม่เคยรู้สึกตัวใช่หรือเปล่า ..ผมเข้าใจถูกไหมนะ


    หากเรารู้ได้อย่างตัวสีน้ำเงิน อย่างนั้นมันเป็น กิเลส อย่างหัวกระทู้ เรื่อง โลภะ โทษะ โมหะ ไหมคับท่าน... อบรมผมเรื่อยๆนะ ผมมารอรับ
     
  20. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ผมว่าเท่าที่พูดมาก้ชัดแล้วนะครับ ท่าน คนพาล ไปหาพระอาจารที่ท่านเคารพและนับถือขอความกรุนาไห้ท่านสอน

    การไม่คบคนพาล เป็นสิ่งพึงกระทำอย่างยิ่งเพื่อป้องกันความเห็นผิดและถูกชักจูงในทางที่ผิด

    อเสวนา จ พาลานัง มงคลสูตรที่ 1
     

แชร์หน้านี้

Loading...