ปัญญามี แต่บารมีไม่เต็ม ก็ไปไม่ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นักรบธรรม, 22 กันยายน 2014.

  1. นักรบธรรม

    นักรบธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +1,174
    เคยสงสัยที่มีคนกล่าวว่า คิดและตั้งจิตไปนิพพาน ทุกวัน ตายไปจะได้ไปแน่นอน

    แต่มีคนแย้งว่าไม่จริง ไม่งั้นพระก็เลิกปฏิบัติกันหมด

    เคยฟังหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(ถนัดติดปากครับ) ก็พูดไว้
    -ให้คิดถึงความตายตลอด
    -เชื่อในพระรัตนไตร
    -ศิล5 บริสุทธิ์
    -คิดถึงพระนิพพานตลอด

    ตายแล้วได้ไปแน่นอน

    ขัดแย้งอยู่ในใจตั้งนาน
    สุดท้ายไป วัดท่าซุง เลยเข้า กัมฐานฝึก มโนมยิทธิ ด้วยเลย 2 ชั่วโมง
    สรุป ให้วิปัสนาไปเท่าไร ได้ฌาณ แล้วก็ตาม แต่ บารมีไม่เต็ม
    ก็ไปไม่ได้


    ตอนนี้ตามหลวงพ่อบอก ทำให้ เกิน 90% แล้ว
    เหลือแต่ว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเอง บารมีเต็ม 30 ทัศแล้ว


    เพิ่มเติม คนจะได้อรหันต์ ได้บารมีแค่ 20ทัศหรือ อุปปารมีก็พอใช่ใหม ไม่ต้องปรมัตถ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2019
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    ตามเองตอบเองในคำถามอยู่แล้วนี่ครับ จขกท

    ถ้าไม่เข้าใจ ผมก็แนะนำว่า

    ให้ไปดูใจตัวเองครับ ว่านึกถึงนิพพานตลอดเวลาหรือไม่

    หรือ ถ้ายัง
    ถ้ายังดูหนังฟังเพลงเล่นเกมเล่นเน็ตติดกินติดเที่ยวติดญ ติดเรื่องทางโลกๆ บลาๆๆๆๆๆๆ

    ไม่ได้นึกถึงนิพพานตลอดเวลาศีลขาดไม่บริสุทธิ

    ตัวเองก็จะเป็นผู้ตอบเองใน คำถาม จขกท ที่สงสัยนั้นละครับ

    บางคนพูดถึง นรก สวรรค์ นึิกออก นึกได้เพราะเคยขึ้นเคยลงมาแล้ว อารมณ์ในจิตที่เคยเสวย ก็ส่งผลออกมาให้รู้ พูดได้
    แต่พอนึก พูดถึงนิพพานกลับรู้แต่เพียงในตำรา หนังสือ เพราะจิตไม่เคย ไม่เคยก็ไม่รู้ นึกไม่ออกนั้นเอง ดังนั้นก็ต้องถามตัวเองว่า

    รู้จักนิพพานไหม รู้แล้วรู้อารมณ์นิพพานไหม รักษาอารมณ์นิพพานตลอดเวลาไหม
    ตลอดเวลา รักษาอารมณ์นิพพานตลอด ไม่มีกิเลสแทรกได้ไหม
    เพราะการทรงอารมณ์เลยสมาธิ ฌานขึ้นไแ ก็เลสก็ไม่กำเริบเพราะโดนกดไว้อยู่ เพราะนิพพานเป็นอารมณ์ตลอดเวลาไหม

    แล้วก็ดูจิตใจตัวเอง ว่าเป็นอย่างที่หลวงพ่อพูดสอนไหม นั้นเองครับ

    ตอบตามที่ผมเข้าใจเคยอ่านมาเยอะจำมานิดหน่อยนะครับ ประมานนี่ละครับ
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2014
  3. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +2,077
    วิชามโนมยิทธิ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลวงพ่อฤาษีนำมาสอนแก่บรรดา

    พุทธบริษัททั้งหลายนั้นดีที่สุดแล้วครับ ที่จะเป็นเครื่องมือคลายสงสัยเรื่องภพภูมิต่างๆ

    ให้กับปุถุชนได้อย่างดีที่สุดครับ เพราะพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ถึงแม้จะเป็น

    จริตนิสัยสุขวิปัสโกก็ไม่สงสัยเรื่องพระนิพพานอีกครับ ข้อนี้กล้าพูดเลย

    ที่คุณทำไมได้มันอาจเกิดจากหลายสาเหตุครับ อย่าไปโทษวิชาของพระพุทธเจ้าเด็ดขาด

    นะครับ วิชามโนยิทธิคือหลักสูตรอภิญญา 6 เป็นของผู้มีจริตนิสัย ฉฬภิญโญเขา ถ้าคุณ

    เป็นสุขวิปัสโกแล้วละก็ อย่าไปลองกับเขาเลยครับมันเสียเวลาปฏิบัติธรรมซะเปล่าๆ

    ถ้าวิชาเขาไม่ดีจริงลูกศิษย์ลูกหาคงไม่มากขนาดนี้หรอกครับ ดูวัดที่ท่านสร้างขึ้นด้วยกำลัง

    ศรัทธาของพุทธบริษัทสิครับ น่าจะเกิน100ล้านไปแล้ว ถ้าของท่านมั่วโมเมไม่ดีจริง

    คงไม่มีวัดท่าซุงอย่างทุกวันนี้เป็นแน่ แต่เพราะของท่านดีจริงและตัวท่านก็ดีจริงเลยมีให้

    เห็นอย่างทุกวันนี้ไงครับ ลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤาษีปัจจุบันนี้เกินล้านคนครับ

    กราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำครูบาอาจารย์ที่เคารพรักที่สุดด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2014
  4. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +385
    ที่ว่าบารมีไม่เต็มนี่ผมให้เป็นเรื่องของกำลังใจในการปฏิบัติที่จะออกจากทุกข์ ส่วนวิธีปฏิบัติของแต่ละคน อันนี้ขึ้นอยู่กะเหตุปัจจัยกันไป ถ้าปฏิบัติผิดผมว่ายังไม่น่าห่วง เท่ากับความมุ่งหมายผิดของคนปฏิบัติเอง ถ้าเป็นปฏิบติเพื่อเอา... เพื่อได้.... เพื่อเป็น อันนี้ห่างไกลจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน เพราะธรรมวินัยนี้เป็นไปเพื่อ สลัด ละ วาง ถ้าตั้งความมุ่งหมายได้อย่างนี้ ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งใกล้ สภาวะความหลุดพ้นทางจิต


    ส่วนที่จขกท. สรุปนั้นก็ต้องถามก่อนครับว่า วิปัสสนาอันนั้นใช่วิปัสสนาแท้ๆหรือเปล่าครับ และเรื่องฌานก็ต้องถามว่าเป็นฌานแบบนิ่งๆ หรือ ฌานที่เป็นแบบที่จิตตั้งมั่น เพราะถ้าปฏิบัติถูก บวกกะมีความเพียรจริง มันอาศัยแค่สองตัวนี้ คือ สมถะที่จิตตั้งมั่นไปเห็นความจริงตามความเป็นจริงของรูป-นาม(วิปัสสนา) ก็เพียงพอแล้วครับ
     
  5. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    บารมี คือ ทำความยิ่งใหญ่ให้เต็ม หรือสะสมความยิ่งใหญ่ให้เต็ม
    เช่น พระพุทธเจ้าสะสมบารมีมา ๔ อสงไขยยิ่งด้วนแสนกัปป์
    เริ่มตั้งแต่ชาติที่เกิดเป็นพระสุเมธดาบส สะสมบารมีมาจนถึงพระเวสสันดรบารมี
    จึงเต็มด้วยทานบารมีเป็นชาติสุดท้าย

    ถ้าหากจะถามว่าพระสุเมธดาบสคิดจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์เข้าปรินิพพานก็ได้
    ตั้งแต่ในสมัยนั้นแล้ว แต่ก็ไมใช่สิ่งที่ปรารถนาของท่าน ๆ จึงปรารภว่า
    เมื่อเราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์
    แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้ว จากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์

    เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล
    เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อเราข้ามได้แล้วพวกเธอก็ข้ามได้ด้วย
    เมื่อเราพ้นแล้วพวกเธอก็พ้นได้ด้วย ดังนี้ จนถึงความยิ่งใหญ่คือความที่ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

    ทีนี้คงจะพอทราบแล้วนะว่าบารมีเต็ม กับบารมีไม่เต็ม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2014
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    บารมี คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง, บารมีที่พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญให้ครบบริบูรณ์ จึงจะบรรลุโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า มี ๑๐ คือ

    ๑. ทาน การให้ การเสียสละเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์สรรพสัตว์

    ๒. ศีล ความประพฤติถูกต้อง สุจริต

    ๓. เนกขัมมะ ความปลีกออกจากกามได้ ไม่เห็นแก่การเสพบำเรอ, การออกบวช

    ๔. ปัญญา ความรอบรู้ เข้าถึงความจริง รู้จักคิดพิจารณาแก้ไขปัญหา และดำเนินการจัดการต่างๆ ให้สำเร็จ

    ๕. วิริยะ ความเพียรแกล้วกล้า บากบั่นทำการ ไม่ทอดทิ้งธุระหน้าที่

    ๖. ขันติ ความอดทน ควบคุมตนอยู่ได้ในธรรม ในเหตุผล และในแนวทางเพื่อจุดหมายอันชอบ ไม่ยอมลุอำนาจกิเลส

    ๗. สัจจะ ความจริง ซื่อสัตย์ จริงใจ จริงจัง

    ๘. อธิษฐาน ความตั้งใจมั่น ตั้งจุดหมายไว้ดีงามชัดเจนและมุ่งไปเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

    ๙. เมตตา ความรัก ความปรารถนาดี คิดเกื้อกูลหวังให้สรรพสัตว์อยู่ดีมีความสุข

    ๑๐. อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง อยู่ในธรรม เรียบสงบสม่ำเสมอ ไม่เอนเอียง ไม่หวั่นไหวไปด้วยความยินดียินร้ายชอบชังหรือแรงเย้ายวนยั่วยุใดๆ


    บารมี ๑๐ นั้น จะบริบูรณ์ต่อเมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญแต่ละบารมีครบสามขั้นหรือสามระดับ จึงแบ่งบารมีเป็น ๓ ระดับ คือ

    ๑. บารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด ขั้นต้น

    ๒. อุปบารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด ขั้นจวนสูงสุด

    ๓. ปรมัตถบารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด ขั้นสูงสุด


    เกณฑ์ในการแบ่งระดับของบารมีนั้น มีหลายแง่หลายด้าน ขอยกเกณฑ์อย่างง่ายมาให้รู้พอเข้าใจ เช่น ในข้อทาน สละทรัพย์ภายนอกทุกอย่างได้ เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นทานบารมี สละอวัยวะ เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นทานอุปบารมี สละชีวิต เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นทานปรมัตถบารมี


    บารมีในแต่ละชั้นมี ๑๐ จึงแยกเป็น บารมี ๑๐ (ทศบารมี) อุปบารมี ๑๐ (ทศอุปบารมี) และปรมัตถบารมี ๑๐ (ทศปรมัตถบารมี) รวมทั้งสิ้น เป็นบารมี ๓๐ เรียกเป็นคำศัพท์ว่า สมดึงสบารมี (หรือ สมติงสบารมี) แปลว่า บารมีสามสิบถ้วน หรือบารมีครบเต็มสามสิบ แต่ในภาษาไทย บางทีเรียกสืบๆ กันมาว่า "บารมี ๓๐ ทัศ"
     
  7. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    ปรารถนาเข้าถึงความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐที่ไร้อวิชชา น่าจะง่ายกว่านะ เพราะอย่างน้อย กายใจก็เป็นมนุษย์อยู่แล้ว ไม่ต้องสวมบทบาทเล่นเป็นอย่างอื่น และถ้าปรารถนาแบบนี้ ก็เพียงแค่ ชำระ อวิชชา เท่านั้นก็ จบเลย
     
  8. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    คนเราทุกคนเกิดมาก็มีกายใจเป็นมนุษย์ แค่มีอวิชชา เป็นส่วนเกิน

    ถ้าอธิฐานเป็น ง่ายๆ ก็คือ แค่เพียงเอาธรรมะมาช่วย ในการชำระอวิชชาที่มีในตน ถ้าชำระอวิชชาได้ ก็จบ ก็เข้าถึงความเป็นทนุษย์ผู้ประเสริฐ ได้เลย ไม่ยุ่งยากนะ

    ถ้าอธิฐานถึงสิ่งศักดิ๋สิทธิ์ทั้งหลาย เช่นเทพเทวดา พระเจ้า พระพุทธเจ้า หรือเจ้ากรรมนายเวรหรือ ผู้ที่ช่วยเหลือเราได้ ก็น่าจะขอเพียงแค่ ช่วยให้ตนชำระอวิชาในตนเองได้ ผมว่า น่าจะ จบง่ายกว่า นะ
     
  9. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    ไม่ไช่เอาไปอธิฐานเป็นอย่างอื่นเช่น เป็นพระอรหันต์ หรือฝึกมโนมยิทธิได้ หรือเห็นกายแก้วกายทิพย์ของตนเอง หรือเห็นผี ถอดจิตได้ หรือมีพลังจักรวาล หรือมีพลังจิต หรือเห็นธรรมกายได้ หรือเห็นนิพพานได้ หรือเห็นพระพุทธเจ้า

    ซึ่ง เรื่องเหล่านี้ ล้วนเป็นการเอาบุญเอาบารมีที่ตนเองมีไปทำในสิ่งที่ไร้สาระ แทนที่จะเอามาใช้เป็นปัญญาในการชำระอวิชชาที่มีในตน เท่านั้นเอง
     
  10. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    มนุษย์ มีกายใจ และมีอวิชชา คือ อมนุษย์

    มนุษย์ มีกายใจ ไม่มีอวิชชา คือ มนุษย์

    พุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ แก่นคือ เจโตวิมุติไม่กำเริบ ไม่กำเริบเพราะไม่มีอวิชชา

    เอาแบบแค่ชำระอวิชชาในตนให้ได้ มันจะไม่ง่ายกว่า ทางอื่นหรือเปล่านะ
     
  11. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็แสดงแล้วว่า ประเสริฐแล้ว บารมีในการได้มาเกิดเป็นมนุษย์ นั่นเต็มแล้ว แต่ความอยากที่อยากเป็นอยากเห็นอยากรู้ ในสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในความเป็นมนุษย์ต่างหากคือ โทษ คือ ความไม่รู้ คืออวิชชา

    อยากเป็น..... อยากรู้......อยากเห็น......แล้ว คนสอนเองก็เล็งไม่เห็นโทษตรงนี้ ก็นำพาสอนกันไป จนลืมความเป็นมนุษย์ในตนเอง
     
  12. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    เกิดมาเป็นมนุษย์แท้ๆ แต่ทำไมสอนกัน ไปเป็นเทพเทวดา พรหม ไปเมืองนิพพานแดนนิพพาน เห็นพระอริยะในแดนนิพพานเห็นพระพุทธเจ้าในแดนนิพพาน

    สอนกันให้หลงทางได้ขนาดนี้ ก็ยังสอนกันอยู่ สอนให้มีอภิญญา สอนให้ทำมโนมยิทธิได้ สอนให้รู้เห็นธรรมกาย เห็นดวงจิตเป็นแสงสว่าง เห็นกายทิพย์ของตน สอนไปทำไมกันนะ

    ทั้งที่สิ่งที่ควรชำระคือ อวิชชาตัวเดียวเท่านั้นเอง จะได้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐตามที่พระพุทธเจ้าสอนมา เท่านั้นเอง
     
  13. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะชำระอวิชชาในตนได้ล่ะ เมื่อไหร่จะพูดคุยกันรู้เรื่องได้ล่ะ เมื่อไหร่จะเป็นมนุษย์ที่หมดกิเลส หมดอวิชชาได้ล่ะ
     
  14. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    เมื่อไหร่จะเลิกเบียดเบียนกัน เมื่อไหร่จะเลิกทำร้ายทำลายกันได้ล่ะ
    เมื่อไหร่จะเข้าใจกันได้เสียทีล่ะ เมื่อไหร่จะอยู่กันแบบสงบสุขได้ล่ะ

    ใครจะรับผิดชอบล่ะ
     
  15. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    แบบนี้สงสัยต้องให้หลวงพ่อเกษมแห่งวัดป่่าสามแยก เข้าไปทำลายแดนนิพพานปลอมๆเหล่านี้เสียทีนะ และให้ พระอริยะทั้งหลาย ออกมาสารภาพกันเสียทีว่า ว่านั่นคือการหลงผิด สอนผิด และยอมรับผิด กันได้เสียที ออกมาสารภาพกับเหล่าสานุศิษย์ทั้งหลายว่าตนเอง สอนผิด นำพาผิดทาง

    ที่ผมพูดมา ผมจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง ครับ นั่นเพราะ มันพากันหลงทาง โดยไม่คิดจะยอมรับว่าตนเองสอนผิด นำพาผิด

    รวมทั้ง สุญญตาด้วย
     
  16. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    ลองคิดกันง่ายๆนะ ถ้าทุกคน ต่างก็ชำระอวิชชาได้หมด ทุกคนมีเพียงกายใจเป็นมนุษย์ได้จริงๆเหมือนกัน มันก็คงไม่ต้องมาเถียงกันเพราะเรื่องนรก สวรรค์ นิพพานหรอกนะ
     
  17. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    ไอ้บารมีที่ไม่เต็มนั่นแหล่ะ คือการที่เอาปัญญาไปใช้ผิดประเภท เพราะปัญญาเขาให้เอามาใช้ชำระอวิชชา ไม่ได้ให้เอาไปใช้เพื่อฝึกให้ได้อภิญญา หรือมโนมยิทธิ หรือฝึกเห็นธรรมกายหรือฝึกเพื่อ เข้าถึงสุญญตา หรือเพื่อเห็นแดนนิพพานหรือเพื่อเห็นพระพุทธเจ้าในแดนนิพพานหรือเห็นพระอริยะเจ้าในแดนนิพพาน
     
  18. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    ยกตัวอย่าง เรี่ยวแรง เขาให้เอามาใชัในการดำเนินชีวิต เลี้ยงชีพชอบ หรือครบตามมรรคแปดข้อ ไม่ไช่ให้เอาไปโลดโผน หรือกระทำเรื่องไร้สาระ จนตนเองหมดแรงป่วยไม่สบาย นอนหยอดน้ำข้าวต้ม จนเป็นเหตุให้คนอื่น มาป้อนข้าวป้อนน้ำ มาดูแล ล้างขี้ล้างเยี่ยว หรือ เป็นภาระของคนอื่น

    นี่คือการ การใช้ปัญญา ที่ไม่ถูก นั่นเพราะ คุนทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการอยู่อย่างอิสระ พ้นจากความอยากของคนอื่น พ้นจากเงื่อนไขของคนอื่น พ้นจากการถ่วงของคนอื่น ยกเว้นหน้าที่ตามบทบาทเช่น พ่อแม่เลี้ยงลูกสามีภรรยา ญาติพี่น้อง หรือ คนแข็งแรงช่วยเหลือผู้อ่อนแอ คนมีมากเผื่อแผ่คนมีน้อย จุนเจือกัน แต่ทั้งหมดก็เพื่อ ทำให้คนทุกคน หมดปัญหา ไม่เป็นตัวสร้างปัญหา ให้แก่ตนเองและคนอื่น นั่นเอง
     
  19. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +3,090

    4 อย่างนี้

    -ให้คิดถึงความตายตลอด
    -เชื่อในพระรัตนไตร
    -ศิล5 บริสุทธิ์
    -คิดถึงพระนิพพานตลอด

    ต่อให้ทำได้ครบทั้ง 4 อย่างก็ยังไปไม่ได้ ถ้ายังไม่หมดกิเลส
    พระพุทธเจ้าบอกวิธีเข้าถึงสภาวะนิพพานไว้แล้ว
    คือการอบรมจิตด้วยมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
     
  20. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    สี่อย่างนี้แหล่ะ คือนิวรณ์ตัวเป้ง ครับ คือการสอนผิด การหลงผิด
    คืออวิชชา

    ทำไมผมพูดแบบนี้ ก๋เพระาว่าผู้กล่าวคือสมมุติสงฆ์กล่าว

    ไม่ไช่พระพุทธเจ้ากล่าว คนกล่าว ต่างกันครับ เพราะพระพุทธเจ้าท่านคงไม่ได้มานั่งสอนมโนมยิทธิให้คนเข้าไปดูรู้เห็น เมืองนิพพานหรอกกระมังครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...