เตรียมตัวให้พร้อม...มันกำลังมา!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย >_<.ST.>_<, 6 พฤศจิกายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ..ดีแล้ว..
     
  2. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461

    ดาราแฟร์มิได้มาทุกวัน..ชอบอ่านมากกว่า มิได้คอมเม้นต์กระทู้ใดๆ.
    ด้วยเห็นว่ากระทู้นี้.ขาดหายไปในส่วนของผลที่เกิดแกนโลกเอียง นอกจาก อากาศและฤดูกาลเปลี่ยนแปลงแล้ว เหตุดินไหวก็มี..แต่ใบไม้พลิกคว่ำพลิกหงายยังมิได้เห็นในกระทู้นี้ จึงมาแบ่งปันกัน.
    เพื่อว่าหลายๆท่านจะนำไปพิจารณา.ส่วนกระทู้อื่นนั้นไม่ได้เน้นในเรื่องของแกนโลกเอียง จึงมิได้คอมเม้นต์ให้ แต่มิได้หมายความว่ามิได้รักเพื่อน ดาราแฟร์รักเพื่อนเสมอ รักที่มีกำลังมากพอ.รักทุกๆคน..ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพบหน้ากัน.แต่ก็รักกันได้เพราะทุกคนมีจิตใจดีงามมาก่อน จึงได้มาเกิดเป็นคน แล้วมาพบกันได้และมิใช่เหตุบังเอิญ.
     
  3. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    มิได้มาทุกวัน..และมิได้รู้จักกันแบบส่วนตัวหรือพบเจอหน้าตากัน.
     
  4. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    แล้วค่อยพบกันอีกครั้ง.เมื่อดาราแฟร์มีเวลาว่างจากงานที่ทำอยู่..
    ขอบคุณ ทุกๆท่านที่ติดตาม และมีดาราแฟร์มาเสือกสาระแน...ขออภัยหากข้อความไม่สุภาพ เพราะว่าดาราแฟร์ชอบพูดตรงๆ.และมิได้พูดเอาใจใครเขา...
     
  5. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    จิตยิ้มรุ้ได้งัยว่าปวีไม่มีความสุขในปัจจุบันอ่ะ บอกคนอื่นให้เดินตามแนวทางพระศาสดา ตัวเองทำได้ยัง คุยกะจิตยิ้มไม่เหนต้องใช้ความคิดไรมากมายเลย จิตยิ้มสมองเท่าเม็ดถั่วเขียว โลกสวย วิ่งในทุ่งลาเวนเดอร์ไปวันๆ โพสเตือนยังไม่สำนึก ว่าชีวิตนักบวชเขาต้องทำตัวยังไง มีนักบวชแท้ๆ ทำตัวแบบจิตยิ้มมะ ตกลงบวชไปทำไร แทะตำรา เปลืองข้าวสุกชาวบ้านออ เหนตั้งกะสมัยลุงจรละ

    เหตุไรต้องอนุโมทนา ไหนคือความดีที่จิตยิ้มทำ โพสเรื่องโลกๆ คลุกคลีกะฆราวาส ส่งจิตออกนอกตลอดเวลา ผิดวิสัยนักบวชแท้ๆ ที่จะทำกัน ตกลงนี่คือความดีแล้วหรอ มีครุอาจารย์มะ ลองไปถามสิว่านี่พวกนี้ใช่เรื่องของนักบวชมั้ย ยังจะกล้าเอาแนวทางพระพุทธเจ้ามาบังหน้า คิดว่าปวีรุ้จักคนในนี้น้อยรึ อยากมีตัวตนออ
     
  6. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    คุน'มาชิกหมายเลข 25612561 อยากรุ้ว่าดาราแฟร์คือใคร msg มาสิ อิอิ
     
  7. ฺBaan Tham

    ฺBaan Tham Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +39
    เว็บนี้เป็นเว็บที่ดี อ่านฟรีไม่เสียเงิน อยากรู้เรื่องธรรมมะ เรื่องเตือนภัยธรรมชาติก็หาอ่านได้จากในเว็บนี้แหละ อ่านแล้วก็ใช้ดุลพินิจพิจารณาของตัวเองชั่งใจเอากับข้อความต่าง ๆ ว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ไม่ต้องเครียดกับข้อความใด ๆ ทั้งนั้น ว่าจะถูก หรือผิด ประการใด เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ที่เข้ามาในเว็บนี้ก็มีใจรักธรรมมะ ถึงได้เข้ามาหาอ่าน คนมีธรรมมะในใจจะไม่คิดโกรธง่ายหมั่นใส้ข้อความต่าง ๆ ง่าย ต้องขอบคุณทุก ๆ ข้อความคนที่โพสต์ให้อ่าน
     
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ธรรมะ สภาพที่ทรงไว้ (ธรรมธาตุ) สภาพธรรมที่มีตามจริง (มีอยู่ตามจริง)

    "ธรรม" คำนี้แปลว่า "หน้าที่" เป็นความหมายซึ่งใช้กันมานานแล้ว ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ในถิ่นที่ใช้ภาษานั้น

    ธรรม๔ ความหมายคือ ธรรมชาติ-กฎธรรมชาติ-หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ-ผลที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในความหมาย"อิทัปปัจจยตา" เพียงคำเดียว

    มนุษย์ส่วนใหญ่ต่างรู้กันดีอยู่ว่า "ธรรมะ" ก็คือคำที่ย่นย่อเอามาจากคำเต็มว่า"ธรรมชาติ" นั่นเอง ดังนั้นผู้ใดกล่าวถึงเรื่องธรรมชาติ จึงย่อมหมายถึงผู้นั้นกำลังกล่าวถึงธรรมะ นั่นเอง มนุษย์จะต้องรู้ว่า ทุกสรรสิ่งซึ่งลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ภายในสนามพลังงานจักรวาลอันไพศาลนี้ ล้วนเป็นสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในความเป็นปัจจุบันของมิติกายภาพโลกทั้งสิ้น ถ้ามนุษย์จะนำความรู้ที่ตนเรียนรู้สรรพสิ่งใด ๆ เหล่านั้นมาจากความเป็นปัจจุบันอันหมายถึงหยิบฉวยเฉพาะแต่ เบื้องหน้า ของสรรพสิ่งเพียงมิติเดียว โดยมิได้เอะใจฉุกคิดถึงอดีตความเป็นมาที่เป็น เบื้องหลัง ของสรรพสิ่งนั้นกันบ้างเลยว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรแล้ว มนุษย์ก็ย่อมเข้าถึงการเป็นผู้รอบรู้สู่การรู้แจ้งแท้จริงไม่ได้แน่

    มนุษย์ต้องรู้ว่า สัจธรรมแห่งการสมดุลกันของสรรพสิ่งในธรรมชาติ ก็คือแต่ละสรรพสิ่งจะต้องมีการเหวี่ยงหมุนไปรอบ ๆ ตัวเองอย่างสัมพันธ์ก้นกับสรรพสิ่งอื่นที่อยู่ในระบบเดียวกันเสมอ มนุษย์ก็เป็นสรรพสิ่งหนึ่งในสนามพลังงานสากลจักรวาล ที่ถูกกำหนดให้ดำรงอยู่ในระบบโลก ซึ่งมีหน้าที่จะต้องสร้างความสมดุลในตนเองให้สัมพันธ์กันกับสรรพสิ่งอื่นที่อยู่ในระบบโลก ด้วยการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองเช่นเดียวกัน อะไร? คือการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง จึงจะต้องสร้างความสมดุลตามความต้องการดังกล่าว คำตอบคือ มนุษย์ทุกคนต้องเหวี่ยงหมุนธรรมชาติภายในตนเองนั่นเอง การเหวี่ยงหมุนธรรมชาติภายในตนเองของมนุษย์ จะก่อให้เกิด "กงล้อแห่งธรรมชาติ" ขึ้นมาได้ และกงล้อแห่งธรรมชาติ จึงหมายถึง "ธรรมจักร" นั่นเอง

    มนุษย์จะต้องรู้ว่า การเหวี่ยงหมุน ก็คือ การคน ให้เกิดการหมุนวนหรือหมุนเวียน เมื่อมนุษย์ถูกเรียกว่า "คน" ย่อมแสดงว่า มนุษย์ต้องมีหน้าที่ทำอะไรบางอย่างในตนเองให้มันหมุนวนหรือหมุนเวียน จนเกิดเป็นธรรมจักรในตนเอง ขึ้นมาให้ได้ การคน หรือการหมุนวนให้ทุกสิ่งกลมกลืนจนเป็นหนึ่งเดียว จนทำให้สิ่งนั้นหมุนวนจากรอบนอกเข้าหาจุดศูนย์กลางที่อยู่ภายใน แล้วม้วนตัวหมุนวนออกมาข้างนอกสุดจึงค่อยม้วนตัววนกลับเข้าสู่จุดศูนย์กลาง การหมุนนั้นใหม่อย่างต่อเนื่องเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป การเหวี่ยงหมุนธรรมชาติภายในตนเองของมนุษย์ ซึ่งเป็นคนสองมิติเพราะมีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้อยู่ภายใน เพื่อก่อให้เกิดเป็นธรรมจักรในตนเองนั่นเอง

    เจ้ารู้หรือไม่ว่า (เป็นคำพูดของสิ่งศักดิ์ค่ะ) โรคขาดสติและโรคไร้ปัญญาญาณ อันที่จริงมิใช่โรคร้ายเกินกว่าที่จะบำบัดรักษาให้หายขาดไม่ได้ มันอยู่ที่ว่าผู้ป่วยเช่นตัวเจ้าจะเอาใจใส่ตนเองและมีความจริงกันมากน้อยแค่ไหน?

    วิธีการบำบัดรักษาโรคขาดสติ ก็คือ "การสร้างสติ" ให้ตนเอง มีสติ การรู้สติ และการใช้สติในการดำเนินชีวิตนั่นเอง

    การสร้างสติ สามารถกระทำได้โดยการฝึกฝนให้เป็นคนรู้ตัวรู้ตนอยู่ตลอดเวลา "ด้วยกฎแห่ง 3 รู้" ดังต่อไปนี้ คือ

    1. รู้ว่าขณะนี้เจ้ากำลังกระทำสิ่งใดอยู่
    2. รู้ว่าเมื่อครู่เจ้าเพิ่งกระทำสิ่งใดมา
    3. รู้ว่าต่อไปข้างหน้าเจ้ากำลังจะทำสิ่งใด


    หากเจ้าพิจารณาหลักการสร้างสติตาม "กฎแห่ง 3 รู้" ข้างต้นนั้นอย่งถ่องแท้แล้ว จะพบว่าการมีสติก็คือ

    การทำให้เครื่องยนต์แห่งกรรมของเจ้า(ร่างกาย) มีคุณสมบัติเป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้ นั่นเอง

    การเปิดเผยความจริงให้รู้แก่นแท้ของเจ้า คือ ดวงจิตธรรมญาณที่เร้นอยู่ภายในเครื่องยนต์แห่งกรรมของเจ้าเอง ซึ่งล้วนเป็นรูปธรรมทางพลังงานในมิติแก่นแท้ มีคุณสมบัติสำคัญอยู่ประการหนึ่ง คือ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่เพียงความเป็นปัจจุบันขณะของตนเท่านั้น

    เจ้าลองหลับตาแล้วนึกถึงสายกีตาร์ดูก็ได้ สายกีตาร์เส้นใดที่นักดนตรีดีดมันเพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนให้เกิดคลื่นเสียงขึ้นในเวลาที่เล่นดนตรีนั้น มันจะแสดงมายาเป็นคลื่นเสียงให้ได้ยิน ตามสมการเส้นตรง ของวิชาคณิตศาสตร์แห่งโลกเสรี กล่าวคือ
    1. ลวดเส้นใดถูกดีดก่อนลวดเส้นนั้นจะให้เสียงก่อน
    2. ความถี่ใดที่เกิดขึ้รจากเส้นลวดถูกดีดเพื่อทำให้มันสั่นสะเทือนก่อนหรือหลัง มันจะก่อให้เกิดคลื่นเสียงไปตามลำดับก่อนหลังของการดีดนั่นเสมอ
    3. ขณะที่มีเสียงใหม่ในความเป็นปัจจุบันอันเกิดจากการดีดเส้นลวดครั้งล่าสุดเกิดขึ้น เสียงเดิมที่ดังอยู่ก่อนการดีดครั้งล่าสุดนั้นก็ยังจะคงแสดงมายาเป็นคลื่นเสียงที่ค่อยลงหรือแผ่วลงไปให้ได้ยินกันอยู่ เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าเมื่อก่อนหน้านั้นเสียงกีตาร์นี้เป็นเสียงอะไร

    เสียงดนตรีจากสายกีตาร์ทุกเส้น มันจะอยู่กับความเป็นปัจจุบันของมันเสมอ

    ในขณะเดียวกันก่อนที่เจ้าจะดีดกีตาร์สายใดเพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนอีกในครั้งต่อไป ขณะนั้นประสาทหูของเจ้าย่อมต้องได้ยินเสียงกีตาร์ที่เจ้าเพิ่งจะดีด และต้องได้ยินเสียงกีตาร์ก่อนครั้งล่าสุดที่เจ้าดีดไปก่อนหน้านั้นอย่างแน่นอน ที่สำคัญคือถ้าเจ้าจะดีดกีตาร์ครั้งต่อไปเจ้าย่อมจะต้องรู้ตนเองว่าเจ้าจะดีดลวดเส้นใดให้เกิดเสียงใดอีกต่างหากด้วย

    การจะเป็นนักดนตรีที่มีความสามารถได้นั้น มีเคล็ดลับสำคัญอยู่ประการหนึ่งก็คือเจ้าจะต้อง"เล่นไปฟังไป" หมายความว่าขณะที่เจ้ากำลังเล่นกีตาร์อยู่ จิตใจและประสาทหูในการรับรู้รับฟังของเจ้ามันจะต้องจดจ่ออยู่กับเส้นสายและคลื่นเสียงของกีตาร์เท่านั้น นั่นคือ จะต้องรู้ต้องได้ยินว่า ตัวโน๊ต"ตัวล่าสุด" คือเสียงใด? ต้องรู้ต้องได้ยินว่า ตัวโน๊ต "ก่อนตัวล่าสุด" ที่ดีดมันไปก่อนหน้านั้นคือเสียงใด? ต้องรู้ต้องได้ยินอีกด้วยว่า ตัวโน้ต "ตัวใหม่" ที่จะดีดต่อไปคือเสียงใด?

    จะเห็นได้อย่างถ่องแท้ว่า จะต้องตื่นรู้ถึงตัวโน้ตตัวล่าสุด คือ "ปัจจุบัน" ต้วโน้ตก่อนตัวล่าสุด คือ "อดีต" และตัวโน้ตตัวใหม่ที่ยังอยู่ในสภาวะจิตของเจ้า ซึ่งตัวเจ้ายังมิได้นำมันออกมาแสดงหรือยังมิได้ดีดเลย คือ "อนาคต" เสมอ

    การที่เจ้าตื่นรู้ตัวโดยรู้ทั้งปัจจุบัน อดีต และอนาคตเช่นนี้ จึงเรียกว่า "การตื่นรู้" และการตื่นรู้ของเจ้าก็คือ การอยู่กับปัจจุบัน นั่นเอง

    สำหรับรูปธรรมทางพลังงานทั้งหลายในมิติของแก่นแท้ทั่วทั้งเอกภพนี้ ล้วนมีการสั่นสะเทือนภายในรูปธรรมของตนเองอยู่ต่อเนื่องตลอดเวลา พลังอำนาจของแต่ละรูปธรรม ไม่ว่าจะแสดงมายาเป็นเสียง สีสัน แสงสว่าง กลิ่น หรือ สติปัญญา ล้วนยึดถือที่คุณสมบัติวัดค่ากันที่เป็นปัจจุบันของแต่ละรูปธรรมทางพลังงานนั้น ๆ เสมอ หากจะเปรียบกับนักดนตรีผู้เล่นกีตาร์ก็มิต่างกัน นั่นคือ เขาจะต้องอยู่กับความเป็นปัจจุบัน โดยสำนึกรู้ถึงอดีตและอนาคตของตนที่กำลังจะเผชิญ ให้มันมาอยู่กับความเป็นปัจจุบันของตนตลอดเวลาด้วย การเล่นดนตรีของเขาจึงจะไม่ผิดพลาดและมีความไพเราะ ซึ่งมนุษย์หลายคนเรียกว่า มีสมาธิ ซึ่งแท้แล้วหมายถึง "การรู้สติ การมีสติและการใช้สติ" ในขณะเล่นดนตรีของตนอยู่นั่นเอง

    เมื่อเจ้าได้รู้วิธีบำบัดรักษาโรคขาดสติด้วยการสร้างให้ตัวเจ้าเองได้แล้ว เจ้าจะต้องรู้ต่อไปว่าการบำบัดโรคไร้ปัญญาญาณ ให้หายขาดนั้นมันก็จะง่ายดายขึ้นสำหรับเจ้าแล้ว เพราะหากจะรักษาโรคนี้ได้จะต้องรักษาโรค ขาดสติ ให้หายขาดเสียก่อน โรคไร้ปัญญาญาณก็คือ การป่วยเป็นโรคคิดแบบจิตมนุษย์ นั่นเอง

    การบำบัดรักษาโรคไร้ปัญญาญาณ สามารถกระทำได้โดย "การมีมหาสติในตนเอง" ดังนี้คือ
    ๑. ละวางตัณหาและกิเลส
    ๒. ปฏิเสธความมีตัวตน
    ๓. ก้าวไปให้พ้นจากการมีดีมีชั่ว
    ๔. ไม่เมามัว ไม่งมงาย ไม่สับสนสงสัย
    ๕. คิดและทำด้วยแรงบันดาลใจ


    การมีสติทั้ง5 ประการจะสามารถเข้าถึงพลังอำนาจปัญญาญาณเพื่อการคิดรู้และหยั่งรู้ได้ ขอเพียงมุ่งมั่นปฏิบัติตามการมีสติทั้งห้าประการ หรือ การมีมหาสติในตนเอง ให้เกิดทักษะแก่ตนให้จงได้ เจ้าก็จะประสบผลสำเร็จได้ดั่งหวัง

    ชอบข้อความต่าง ๆ เหล่านี้ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้เห็นเข้ากันได้กับการปฏิบัติธรรม นำมาฝากเผื่อใครหลาย ๆ คนจะเห็นอะไร ๆ ในสิ่งดังกล่าวนี้ได้บ้างค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2018
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ตรงนี้ "วางไวก่อนก็แล้วกันนะ"

    +++ เอาเป็นว่า "...พระองค์ทรงค้นพบ การเวียนจบของจักรวาล หนทางที่จะว่ายผ่าน วัฏสงสารอันปลดปลง" ตรงนี้ "เป็นความจริงทั้งแท่ง"

    +++ อย่างที่เคยบอกไว้ในบางโพสท์ว่า "กาลจักรตันตระ" นั้น พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ "มีสอน" แต่ของไทยนั้น "หาไม่เจอซะแล้ว" เหลือกระเซ้นกระสายในแถว ๆ ธิเบต ประมาณนั้น

    +++ "จักวาล + อวกาศ + กาลเวลา" สิ่งเหล่านี้ "มีอยู่จริง" หรือไม่ สำหรับภาคสมถะ ขั้นต่ำที่จะออกได้ คือ "วิญญาณัญจายตนะ" ภาควิปัสสนา ออกได้โดย "อัตตาวิมุติ" หากทำได้จริงก็จะ "รู้" ได้เองว่า กาลจักรตันตระ คืออะไร และ "หนทางที่จะว่ายผ่าน วัฏสงสารอันปลดปลง" (พ้นการถอนจิต จาก นิโรธ) อยู่ในบริเวณนี้หรือไม่

    +++ ผู้ที่ "ไม่สนใจ" ก็ให้ "วางทิ้งไว้เฉย ๆ" แต่สำหรับผู้ที่สนใจก็เร่งหา "อัตตา" ให้เจอก่อนก็แล้วกัน แล้วทำ "ตัวดู ถูกรู้" ก็จะรู้ได้เอง The fact is far more strange than the fiction ก็จะรู้ได้เอง

    +++ "ดำรงค์สติมั่น "รู้" ปรากฏการณ์ (ธรรม) ณ ขณะนั้น ๆ" ที่สำคัญ คือ "ถ้ามันมี แล้ว บอกตัวเองว่า ไม่มี" นั่นเป็นการ "โกหก" ระดับ ปิดมรรคผล ทีเดียว "อะไรมี คือ มี" และ "อะไรไม่มี คือ ไม่มี" ง่าย ๆ เท่านั้นเอง

    +++ ส่วนถ้อยคำที่จะยกมา ข้างล่างนี้
    +++ ผม "พิจารณาแล้ว" และชัดเจนอย่างหนึ่งว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" รายนี้ น่าจะ copy ความรู้ของ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" ท่านอื่นมา และน่าจะเกิดขึ้นก่อน กันยา 2558

    +++ คุณ jityim พอจะหา link ต้นฉบับ มาให้ได้หรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นก่อน กันยา 2558 ก็ถือว่าแล้วกันไป แต่ถ้าหลังจากนั้น คงต้องตั้ง 2 ธรรมาส วาทีกันนิดหน่อยแล้ว

    +++ มีอะไรบางอย่าง "พิรุธ" ในคำพูดของ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" รายนี้ บางอย่าง "ใช่" อย่างผู้รู้จริง แต่ถ้อยคำบางอย่าง ยัง "เป๋ ๆ" อยู่ นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2018
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้....คือ

    องค์ความรู้ผู้ทรงเป็นยิ่งกว่ามหาคุรุของอาจารย์ คือ "จิตจักรวาล"

    จิตจักรวาลเป็น"จิต" หรือแก่นแท้ของจักรวาล ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของสนามพลังงานสากล

    จิตจักรวาล เป็นรูปธรรมทางพลังงานรูปแรกสุด ที่อุบัติขึ้นในสนามพลังงานสากลที่หมุนรอบตัวเองอยู่อย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ มีความรักเป็นพลังอำนาจสูงสุดในตนเอง มีความสมดุลอยู่ในตนเอง และมีจิตสำนึกเป็นของตนเอง

    จิตจักรวาล เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการอุบัติขึ้นของทุกสรรพสิ่งที่เป็นรูปธรรมทางพลังงาน และรูปธรรมทางกายภาพทั้งหมดที่มีอยู่จริงในสนามพลังงานจักรวาลอันไพศาลนี้

    จิตจักรวาล เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่งทั้งในมิติทางกายภาพ และมิติทางพลังงานในจักรวาลนี้

    จิตจักรวาล เป็นศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่งที่ดำรงรูปธรรมอยู่ในจักรวาลอันไพศาลนี้ และเป็นผู้กำหนดกฎแห่งความสมดุลของทุกสรรพสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือ ปฏิเสธได้ โดยกฎเกณฑ์แห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่งดังกล่าวนี้คือ สิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่า "สัจธรรม" นั่นเอง

    จิตจักรวาลสื่อกับมนุษย์เพื่อสิ่งใด?
    1.เพื่อให้มนุษย์รู้ข่าวสารการชำระโลกครั้งสำคัญ ซึ่งจักรวาลกำลังปฏิบัติการอยู่อย่างต่อเนื่องและนับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ในขณะนี้ โดยมีวัตถุประสงค์หลักก็คือ การสร้างสติทางวิญญาณสู่การเป็นมนุษย์ที่สมดุลก่อนจะสายเกินกาล
    2.เพื่อชี้แนวทาง สร้างความคิด และยกระดับจิตสำนึกมนุษย์เสื่อมศีลธรรมให้สูงขึ้นสู่ระดับสมดุลให้จงได้
    3.เพื่อใช้ข่าวสารความรู้ใหม่ ที่สื่อถ่ายทอดมาเป็นอีกแนวทางหนี่งสำหรับมนุษย์ในยุคพลังงานใหม่

    ในนามของจิตจักรวาลผู้ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากต่างมิติมาให้ ต้องการเผยแพร่ความรู้ใหม่มาให้มนุษย์ได้เติมเต็มบางสิ่งที่มนุษย์ยังไม่ล่วงรู้เท่านั้น ไม่ได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่ และทำลายศาสนาใดอันศักดิ์สิทธิ์บนโลกใบนี้ นักรบแสงสว่างทุกท่านจงวางใจได้ว่า จักรวาลยึดถือความเป็นหนึ่งเดียวเสมอ และยืนยันว่าทุกศาสนาในโลกไม่ใช้ลัทธิ เพราะมีแก่นแท้เป็นเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น จิตจักรวาลต้องการยกระดับสติทางวิญญาณ ด้วยความรู้ใหม่เพื่อให้ทุกคนใช้เติมเต็มส่วนที่ขาด ให้สามารถเข้าถึงแก่นแท้แห่งสัจธรรมของแต่ละศาสนาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น

    ความรู้ใหม่นี้เกี่ยวข้องกับเบื้องหลังมิติโลก มิติคู่ขนาน แม้จะเป็นเรื่องลึกลับสำหรับในยุคพลังงานเก่าซึ่งยากแก่การเข้าใจก็ตาม ด้วยอำนาจแม่เหล็กโลกและระดับพลังงานของโลกที่กำลัวยกระดับให้สูงขึ้นอยู่ในขณะนี้ จะช่วยให้สติปัญญาของแต่ละคนได้รับการยกระดับสูงขึ้นตามไปด้วยการทำความเข้าใจเรื่องยาก ๆ ย่อมง่ายขึ้น

    ส่วนการรับสื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดนี้ ในหนังสือระบุไว้เริ่มแรกตั้งแต่ปี 2542 ค่ะ ผู้ที่รับผลึกความรู้จากจิตจักรวาล คือ ป.วิสุทธิปัญญา ค่ะ ท่านกล่าวไว้ว่า คือ ใช้กระบวนการถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิตแบบแนวดิ่ง(VERTICAL TELEPATHY) ระหว่างผู้ส่งที่อยู่นอกระบบเอกภพกับผู้สื่อที่อยู่ในระบบโลก เป็นการสื่อสารทางจิตแบบสองทาง (TWO OWAYS TELEPATHY) คลื่นความคิดที่เป็นพลังงานจิตซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางแม่เหล็กระบบหนึ่ง ที่มีผลึกแห่งการคิดรู้ (PRISM OF THOUGHT) เป็นคุณสมบัติหรือเป็นรหัสคลื่นติดมาด้วย เมื่อได้รับสื่อแล้วก็นำมาถอดรหัสเพื่อสื่อความหมายต่อไป

    และไม่สามารถ Link ต้นฉบับมาให้ได้เนื่องจากเป็นหนังสือนิวเอจประเภทหนึ่ง

    ที่ว่ามีพิรุธ หรือ คำพูดบางอย่างยังเป๋ ๆ อยู่นั้น ตนเองได้เรียบเรียงมาจากหนังสืออีกทีค่ะ ท่านธรรม-ชาติ คงเคยสนทนากันกับ jityim กันมาบ้างแล้วในกระทู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาวะธรรมของโลกุตระธรรมประมาณสิบกว่าสภาวะที่ตนเองได้ประสบกับสภาวะเหล่านั้น นั่นทำให้ตนเองเข้าใจสิ่งที่สื่อนี้ได้อย่างเข้าใจและชัดเจนค่ะ จึงมั่นใจในข้อมูลนี้ค่ะ ท่าน ป.วิสุทธิ ก็ได้กล่าวไว้ว่า ข้อมูลที่ท่านรับสื่อมานี้ไม่ใช่ข้อมูลจากตัวท่านเองเลยแม้แต่น้อย ท่านเป็นเพียงผู้รับสื่อมาถ่ายทอดให้เท่านั้น และด้วยเหตุปัจจัยบางอย่าง และเกี่ยวกับสถานการณ์โลกปัจจุบันกำลังดำเนินไปตามนี้ไม่ผิดแผกเลยค่ะ จึงได้นำข้อมูลมาให้พิจารณากันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2018
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ OK ตรงนี้ผมเคย "เฉลย" ไปแล้วว่า เพราะเหตุใด จิตดวงนั้นจึง "เข้าใจ" ตนเองว่า ตนคือจักรวาล และ จักรวาลคือตน ผมจะวางไว้ก่อน
    +++ ตรงนี้ผมก็ "รู้" ตัวที่เอามาถ่ายทอดให้ อ.ปริญญา ตันสกุล เรียบร้อยแล้ว และขอบอกด้วยว่า อ.ปริญญา ตันสกุล ไม่ได้ "เห็น" ไอ้ตัวที่เข้ามาสื่อสารตัวนี้
    +++ ไม่เป็นไร ผมรู้ตัวมันแล้ว ก็แล้วกันนะ
    +++ ถูกแล้ว ข้อมูลตรงนี้ไม่ใช่ของ อ.ปริญญา ตันสกุล มันเป็นของไอ้ตัวนี้เอง ที่ "จำ" มาจากผู้ที่ "รู้" กำเนิดของ "ไข่คางคก" จริง

    +++ แต่ไอ้ตัวนี้มัน "เอามาพูด โดยที่ตัวมันก็ ไม่รู้จริง แค่จำ ๆ มาเฉย ๆ" มันแค่อยากแสดงตัวว่า "มันก็เข้ามาสื่อสารเป็น กับเขาตัวหนึ่งเท่านั้น"

    +++ ไอ้ตัวนี้ ผมและกลุ่มฝึก มักเรียกมันว่า "ไอ้เตี้ย" หัวโต ตาโต หัวล้าน สูงอย่างมากก็แค่จักกะแร้ ไม่เกินนั้น ทื่อ ๆ ทึ่ม ๆ เป็น density ที่ 4

    +++ อ.ปริญญา ตันสกุล ก็เอามาลงหนังสือเฉย ๆ ไม่มีเจตนาอะไร ไอ้เตี้ย ก็จำเอามาพูดเฉย ๆ ไม่มีเจตนาอะไร เหมือน ๆ กัน

    +++ อือ... คุณ jityim วาง ๆ ไว้เหอะ สำหรับการสื่อสารตรงนี้ พวกไอ้เตี้ยมันพูดไปอย่างงั้น ๆ เอง ไม่มีอะไร มิน่ามันถึงฟังทะแม่ง ๆ พิกล ๆ อยู่

    +++ หากคุณ jityim ปรารถนาจะรู้เรื่องพวกเหล่านี้จริง ๆแล้ว ผมก็บอกตรง ๆ ว่า PRISM OF THOUGHT มันยังเป็นของ "ขอยืม" ในการสื่อสารเท่านั้น

    +++ PRISM OF LYRA เท่านั้นจึงจะเป็น "ของจริง" ใช้งานได้จริง และตรงนี้เท่านั้นจึงจะเป็น "กาลจักรตันตระ" ที่สาปสูญไปจากการถ่ายทอด

    +++ นึกแล้วผมก็อดขำไม่ได้ "ไอ้เตี้ย" มันเป็นของมันอย่างนี้จริง ๆ

    +++ เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้หากจะหาอ่านก็ควรจะเป็น "ภายหลัง" กันยา 2558 ไปแล้ว การ update จึงจะเป็น "ยุคปัจจุบัน" นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2018
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    แสดงว่าท่านธรรม-ชาติ กำลังจะบอกว่า ภัยธรรมชาติปัจจัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือค่ะ การที่โลกพลิกตีลังกากลับรอบหนึ่งจะไม่มีอีกต่อไปใช่ไหมค่ะ แล้วที่ว่าโลกยุคใหม่ คือ ยุคศิวิไลย์ ที่จะมีฟ้าใหม่ พิกัดใหม่ในจักรวาลเดิม จะมีสภาพอย่างไร มีลักษณะแบบไหน ใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ และไปค้นหาข้อมูลดังกล่าวนั้นได้จากที่ไหนค่ะ

    แต่ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่าข้อมูลที่ท่านปริญญารับสื่อมานั้นมันสามารถขยายธรรมโลกุตระได้อย่างลึกซึ้งและชัดเจนด้วยค่ะ และข้อดีก็มีมากที่ทำให้อย่างน้อยก็ตนเองได้เปิดมิติอะไรใหม่ ๆ ที่ทำให้รู้กว้างและรู้รอบขึ้นอย่างมากเลยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2018
  13. มิติที่แปด

    มิติที่แปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2017
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +26
    คุณแม่ชีJityimต้องไปแจ้งเองครับ
    คุณแม่ชีJityimบอกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้ข้อความที่พิมพ์ไว้ไม่หาย ผมก็แค่พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นServer side caching

    ผมก็เพิ่งรู้ว่าเป็นแม่ชีนะครับ คือคุณแม่ชีJityimไปอ่านหนังสือลัทธินึงมาแล้วประทับใจก็เลยเอามาเผยแผ่ใช่มั้ยครับ

    ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกลัทธิหรือศาสนานะครับ แล้วแต่จะเรียกแล้วกัน ที่คุณแม่ชีJityimเอามาลงนี่ มันเป็นเหมือนศาสนาคริสต์น่ะครับแต่เป็นแบบแปลงมา เอามารวมกับพวกNew Age มีการพูดถึงการสั่นสะเทือน การเลื่อนระดับต่างๆ ผ่านทางMedium(Channeler)หรือสื่อมนุษย์ คล้ายๆคนทรงเจ้าน่ะครับแต่ไม่ได้มาสั่นผั่บๆ ถ้าเทียบก็เหมือนที่มีคนบอกว่าติดต่อได้กับเทพกวนอู พระอิศวรครับ

    ศาสนาพวกนี้รวมทั้งคริสต์และอิสลามด้วยจะนับถือพระเจ้า จุดมุ่งหมายทางศาสนาก็ไม่เหมือนกับของทางศาสนาพุทธเรา

    คุณแม่ชีJityimเป็นนักบวชในศาสนาพุทธ เราจะเน้นเรื่องหลุดพ้นโดยมีจุดหมายสูงสุดคือนิพพาน แต่ในศาสนาตามข้างบนจะมีจุดหมายสูงสุดคือไปอยู่กับพระเจ้า สิ่งที่เราทำต่างๆตอนเป็นมนุษย์ล้วนทำเพื่อเราจะได้ไปรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าและมีชีวิตนิรันดร์ ที่พูดมานี่ไม่เว้นแม้แต่ศาสนาที่คุณแม่ชีJityim ไปก็อปปี้จากหนังสือมาลงครับ ลองไปดูตามลิงค์นี้ก็ได้ครับ

    http://www.jitchakraval.com/home/in...1-09-29-10-01-57&catid=70:facebook&Itemid=251

    ไม่ว่าจะใช้คำยังไง ก็เหมือนกับศาสนาคริสต์ครับคือไปมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า

    ข้อเสียของศาสนาหรือลัทธิแบบนี้(พูดทั่วๆไปนะครับ ไม่ได้เจาะจงลัทธิใดลัทธิหนึ่ง) ก็คือ คำสอนไม่มีบรรทัดฐาน (ยกเว้นทางคริสต์กับอิสลามที่มีพระคัมภีร์ให้สอบทานได้ แม้กระนั้นก็ยังมีแหวกแนวอยู่บ่อยๆ) เจอผู้นำดีก็ดีไป เจอผู้นำไม่ดีก็จะเป็นแบบว่า เจ้าทั้งหลาย วันนี้มีโองการสวรรค์ว่าอย่างนี้นะ ทำๆกันไป พออีกสองสามวันผู้นำไปได้นิมิตอะไรใหม่ๆมาก็มาบอกว่า เลื่อนแล้ว ไม่มีแล้ว มาทำแบบนี้ดีกว่า คือมันเป็นคำสอนแบบรวมศูนย์ เราไม่มีทางรู้ว่าสภาพจิตใจผู้นำเป็นอย่างไร

    คำสอนแบบรวมศูนย์แบบนี้ บางครั้งก็ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นได้ ที่เป็นข่าวดังเลยก็คือHeaven’s Gate หรือ ลัทธิประตูสู่สวรรค์

    Heaven’s Gate หรือ ลัทธิประตูสู่สวรรค์ ผู้นำบอกว่าตัวเองติดต่อได้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกโลกที่มีวิวัฒนาการระดับสูง ตอนแรกๆก็ไม่มีคำสอนหวือหวาอะไร มีก็แต่ มารักกัน ต้องคิดบวกอะไรทำนองนี้แบบโลกสวยๆ แต่ต่อมาจู่ๆเจ้าลัทธิบอกว่า โลกจะต้องได้รับการชำระแล้วจะต้องรีไซเคิลใหม่ และสาวกจะต้องเลื่อนระดับไปอีกขั้นนึงโดยการเอาดวงจิตออกจากร่างเพื่อจะไปกับดาวหางประมาณนี้

    ผลสุดท้ายก็คือ นำมาซึ่งเหตุฆ่าตัวตายหมู่เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1997 ที่บ้านพัก เมืองซานดิเอโก สหรัฐ ในช่วงดาวหาง เฮล-บ็อบมายังโลก เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปพบร่างผู้เสียชีวิตฆ่าตัวตายถึง 39 คน ศพชาย 18คน และหญิง 21 คน รวมไปถึงเจ้าลัทธิ

    ถือว่าเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2018
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ก่อนอื่นต้องข้อแก้ข้อมูลนิดหน่อย คือ ผมจำเวลาของเหตุการณ์คลาดเคลื่อน "พฤษภา 2558" เป็นคนละช่วง ช่วงจริง ๆ คือ "กันยา 2558"

    +++ ดังนั้นหากมีการ update และลงพิมพ์เป็นหนังสือจริง ผมกะเวลาให้สัก 6 เดือนต่อมา ก็น่าจะอยู่ในช่วง มีนา-เมษา 2559

    +++ หากคุณ jityim ปรารถนาจะรู้เรื่องพวกเหล่านี้แล้ว ก็ควรจะหา ฉบับพิมพ์ หลังเดือน เมษา 2559 จึงจะนับเป็นการ update ของ "ยุคปัจจุบัน"
    +++ หากคุณ jityim อ่านที่ผมโพสท์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ก็น่าจะสรุปได้ว่า "ภัยธรรมชาติ" ที่ผมระบุไว้หลัก ๆ ก็มาจาก 1. มีอมนุษย์ 2. ระบบสนามแม่เหล็กหลัก ๆ ของทั้งระบบ

    +++ และผมก็บอกไว้แล้วว่า สนามแม่เหล็กที่ทำให้ "โลกพลิกตีลังกากลับรอบหนึ่ง" นั้นอยู่ในช่วงที่ โลก ผ่านหลุมดำ นั่นคือ "ยังอีกนาน" มาก ๆ

    +++ ดังนั้น ผมไม่ได้บอกว่า "มีการเปลี่ยนแปลงอะไร" และผมก็ "ไม่ได้" บอกว่า มันจะเกิดขึ้นในระยะใกล้ ๆ หรืออะไรทำนองนั้น

    +++ สิ่งที่ผมบอก คือ "แผ่นดินเคลื่อนตัวทรุดลง" และกินเวลาอีก หลาย 10 ปี และ "หนีทัน" แน่นอน เท่านั้น ของคนอื่นผมไม่เกี่ยวนะ
    +++ ในระยะที่ใกล้ที่สุด คือ ยุค "พระศรีอารย์" (ฟ้าใหม่ พิกัดใหม่ในจักรวาลเดิม) เท่านั้น ส่วนยุคอื่นมันก็เป็นเพียงแค่ rebound ใน down trend เท่านั้น
    +++ ข้อมูลของ อ.ปริญญา นั้น จะนับเป็น ธรรม ที่ไว้ใจไม่ได้ เพราะ "ไอ้เตี้ย" มันเอา "น้ำเน่ามาผสมกับน้ำดี แล้วบอกว่าเป็น น้ำเหมือนกัน" ฉันใดฉันนั้น

    +++ ขืนเชื่อถือและ ดื่มเข้าไป ก็ รัปประกันได้เลยว่า ร่างกายและจิตใจ "มีปัญหา" แน่นอน

    +++ ผู้ที่เป็น original ของคำพูด ไม่เคยใช้ "ประโยคคำสั่ง (จงทำ a จงอย่าทำ b)" แม้แต่เพียงแอะเดียว

    +++ และ ไม่เคยใช้คำว่า "พวกเจ้า/เจ้า" ต่าง ๆ หรือ "อาการจ้าวยศจ้าวอย่าง" แม้แต่นิดเดียว

    +++ เวลาพูด มีความ "เป็นธรรมดา" อย่างยิ่ง ไม่พยายามทำตัวให้เหมือน "สิ่งสักสิด" แม้แต่นิดเดียว

    +++ ผมจะ "ยกตัวอย่าง" ระหว่าง "ความเป็นจริง VS คำพูดของไอ้เตี้ย" แบบง่าย ๆ ตรงนี้นะ
    +++ ตรงนี้ "น้ำดี"

    +++ แต่ "ตรงนี้ทั้งหมด เป็น น้ำเน่า"
    +++ หากคุณ jityim "อยู่กับรู้" เป็น ก็จะ "รู้" ได้ว่า การอยู่ "ใน" ปัจจุบันขณะ จะ "รู้" อดีตและอนาคตของ "กฏ 3 รู้" ตรงนั้นได้เอง

    +++ "กฏ 3 รู้" จะ "รู้ อย่างเดียว" ไม่ได้ "รู้ 3 อย่าง" เหมือนกับ "ไก่ 3 อย่าง แต่ ไม่มี ไก่ สักชิ้นเดียว" นั่นแหละ


    +++ "ไอ้เตี้ย" มันไม่ได้ผ่านมาทาง อ.ปริญญา แค่คนเดียว มันผ่านมาในการ "สื่อ" กับบางคนใน เมกา ด้วย

    +++ ผมจะบอกให้ตรง ๆ "ไอ้เตี้ย" ที่ผมพูดถึง คือ เกรเตี้ย สูงประมาณ เมตร-เมตรกว่า ๆ นิดหน่อย เท่านั้น

    +++ พวกมันเที่ยว "จำ" คำพูดของคนอื่นมา แล้ว "เอามาพูดเอง" ดังนั้น "ไอ้เตี้ย" จะเป็น สรณังคัจฉามิ "ไม่ได้" นะครับ


    +++ อีกประการหนึ่ง หากจะดูเหตุการณ์ปัจจุบัน ผมว่าให้ดูตรง ๆ ที่
    1. ซึนามิ ที่ผ่านมาแล้ว ของ นอสตราดามุส
    2. มุสลิม บุกยุโรป ของ นอสตราดามุส แต่ มันเป็น "ผู้อพยพ" ไม่ใช่การยกทัพ

    +++ ทั้ง 2 กรณีนี้ "ใช่" ทั้งคู่ นะครับ
     
  15. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    หากเข้าใจ เรื่องของ การหากินกับความเชื่อ! คงจะดีไม่น้อย...ในสังคมนี้มีให้เห็นเยอะ
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เรียนท่านอาจารย์ธรรม-ชาติ

    1.กระผมอยากรู้ เพราะเหตุใด จิตดวงนั้นจึง "เข้าใจ" ตนเองว่า ตนคือจักรวาล และ จักรวาลคือตน

    2.มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา เป็นฝ่ายดีหรือไม่ดี พวกเขาต้องการมาช่วยเหลือมนุษย์โลกให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ จริงหรือไม่ครับ

    3.ดาวนิบิรุ มีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริง ทำไมองค์การนาซ่าของสหรัฐอเมริกา จึงต้องปิดบังเรื่องนี้ด้วยครับ

    4.สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ จริงหรือไม่ครับ

    5.ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิ ในกี่งกลางพระพุทธศาสนานี้ มีจริงหรือไม่ครับ
     
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    มนุษย์ส่วนใหญ่ต่างก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่า "ธรรมะ" ก็คือ คำที่ย่นย่อมาจาก"ธรรมชาติ" นั่นเอง

    ดังนั้น...ถ้าหากผู้ใดกล่าวถึงเรื่องธรรมชาติ จึงย่อมหมายถึงผู้นั้นกำลังกล่าวถึงเรื่องธรรมะ

    ถ้าหากผู้ใดเข้าถึงธรรมชาติได้ จีงย่อมหมายความว่าผู้นั้นเข้าถึงธรรมะได้เช่นเดียวกัน

    ถ้าเช่นนั้น คำว่า"ธรรมชาติ" หมายถึงสิ่งใดกัน?

    ถ้าให้ความหมายทางโลก ย่อมหมายถึง สรรพสิ่งเกิดขึ้นได้เอง ดับสลายเสื่อมคลายได้เอง มีอยู่เอง และมันเป็นเช่นนั้นเอง มิใช่สิ่งที่เกิดจากสัตว์ประจำโลก หรือรูปธรรมใดปรุงแต่งขึ้น แต่ถ้าจะนิยามหรือให้ความหมายของคำว่า"ธรรมชาติ" ให้ถูกต้องถ่องแท้แล้ว มนุษย์ต้องทำความเข้าใจกันอีกต่อไปว่า

    คำว่า "การเกิดขึ้นเอง การดำรงอยู่เอง การดับสลาย และการต้องเป็นของมันเช่นนั้นเอง โดยเนื้อแท้แล้วมันมิได้หมายความอย่างที่คิดกันแบบจิตมนุษย์ทั่วไปหรอก

    สิ่งใดที่นึกอยากจะเกิด สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นมาเอง
    สิ่งใดที่นึกอยากจะดำรงอยู่ สิ่งนั้นก็ดำรงอยู่กันต่อไป
    สิ่งใดที่นึกอยากจะดับสลาย สิ่งนั้นก็ดับสลายไป และ
    สิ่งใดที่นึกอยากจะเป็นเช่นไร สิ่งนั่นก็จะเป็นของมันเช่นนั้นเสมอ ในสนามพลังงานสากลจักรวาลนี้แม้จะดูเหมือนว่ามันเกิดเอง ดับเอง ดำรงอยู่ได้เอง หรือมันเป็นของมันเช่นนั้นก็ตาม

    แต่แท้ที่จริงแล้ว สรรพสิ่งเหล่านั้นย่อมมีเหตุแห่งการเกิด เหตุแห่งการดับ เหตุแห่งการดำรงอยู่ และเหตุแห่งการต้องเป็นของมันเช่นนั้นเสมอ เพราะในสนามพลังงานจักรวาลอันไพศาลนี้ ไม่มีสรรพสิ่งใดหรือเรื่องราวใด ๆ ที่อยู่ภายไต้ "กฎแห่งความบังเอิญ" เลยสักสิ่งเดียว ทุกสรรพสิ่งย่อมมีที่มาที่ไปด้วยกันทั้งสิ้น

    มีสิ่งหนึ่งเกิดการสั่นสะเทือนครั้งแรก สำนึกแรกสุดแห่งการรับรู้ ว่าตนเองมีอยู่จริงและเกิดขึ้นแล้วจริง การสัมผัสรับรู้แรกสุดแห่งการ"ยอมรับ" ถึงการมีอยู่จริงของตนเองและสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น คือ สนามพลังงานสากลมันก็มีของมันอยู่ก่อนแล้ว "เป็นการอุบัติขึ้นด้วยตนเอง" เมื่อสำนึกรับรู้แรกสุด และการยอมรับว่ามีอยู่จริง ก็นำไปสู่การค้นคว้าหาคำตอบที่ต้องการรู้ คำตอบที่ได้คือ ไม่มีคำตอบ อยู่อย่างนั้น..ซึ่งมันก็มิต่างกันกับการที่นึกย้อนหลังถึงกิจกรรมเรื่องราวต่าง ๆในกาลอดีต ถ้ามิได้เป็นผู้กระทำมัน และเจ้ามิเคยมีประสบการณ์ในเรื่องราวกรณีนั้น ๆ มาก่อน ก็ย่อมรู้แก่ใจดีว่าต่อให้ใช้เวลาเนิ่นนานสักปานใดจะให้นึกคิดอย่างไร ก็ย่อมนึกไม่ออก บอกไม่ได้อยู่ดี คือไม่มีคำตอบอยู่นั่นเอง

    ใช่แล้ว...อุบัติขึ้นมาด้วยตนเองในท่ามกลางความว่างเปล่า เพิ่งจะอุบัติขึ้นด้วยตนเองที่ตรงนี้ จึงมีเพียงปัจจุบันเพิ่งจะเริ่มต้นในบัดเดี๋ยวนี้เท่านั้น คือ เป็นผู้ไม่เคยมีอดีต เป็นผู้ไม่เคยมีปัจจุบัน เป็นผู้ไม่เคยมีอนาคต ....ใช่แล้ว...อุบัติขึ้นมาด้วยตนเองในท่ามกลางว่างเปล่านั่นเอง

    มีกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นสัจธรรมหรือความจริงที่จริงแท้ ที่มันต้องเป็นเช่นนั้นเสมอ นั่นคือ ประโยชน์ศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า

    อนัตตาล้วนเป็นผู้สร้างอัตตาเสมอ และสรรพสิ่งใดที่มีอัตตานั้นมีอยู่ทั่วไปทุกแห่งหน และสรรพสิ่งที่มีอัตตานั้นมีทั้งที่มนุษย์สัมผัสรู้ดูเห็นได้และไม่ได้!!

    ท่านทั้งหลาย อันสิ่งใดที่มีการสั่นสะเทือนเคลื่อนไหลไปไม่หยุดนิ่ง ไม่คงที่ และเปลี่ยนแปลงรูปธรรมตนเองได้เรื่อยไป โดยคุณสมบัติเฉพาะตนยังคงเดิม ซึ่งกลไกอวัยวะประสาทสัมผัสรู้ในร่างกายมนุษย์ไม่อาจสัมผัสรับรู้ได้นั้น สรรพสิ่งนั้นล้วนเป็น "อนัตตา" ที้งสิ้น มันคือรูปธรรมทางพลังงานที่ไม่สมดุล หรือคลื่นความถี่ทางพลังงานความถี่ใดความถี่หนึ่งที่สั่นสะเทือนอยู่อย่างต่อเนื่องและเคลื่อนไหวตัวมันเองเรื่อยไป ไม่มีการหยุดนิ่ง ไม่มีการดำรงอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเฉพาะที่ และพร้อมจะลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันกับ คลื่นความถี่ที่ไม่สมดุลอื่นได้เสมอ

    สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานี่เอง ที่ล้วนเป็นผู้สร้าง "อัตตา" คือ ความมีตัวตน ให้เกิดขึ้น โดยจะซ่อนเร้นสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาแต่เดิมซึ่งยังมิได้หายไปไหนเอาไว้ภายในเปลือกนอกที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ด้วยพลังอำนาจของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั่นเอง

    หมายความว่า ถ้าสรรพสิ่งใดที่มีอนัตตาหรือมีความเป็นตัวตนทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น สรรพสิ่งนั้นจะต้องมีอีกสรรพสิ่งหนึ่งที่เป็นอนัตตาเป็นแก่นแท้เร้นอยู่ข้างในเสมอ

    อาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า สรรพสิ่งทั้งหมดทั้งหลายที่อยู่รายรอบทั้งที่แลเห็นและแลไม่เห็น แต่เป็นสรรพสิ่งซึ่งมีตัวตนอยู่หรือมีความเป็นอัตตาอยู่จริง ล้วนเป็นสรรพสิ่งที่เกิดจากแก่นแท้ซึ่งมีความเป็นอนัตตาเร้นอยู่ข้างในทั้งสิ้น

    ให้นึกสร้างจินตนาการว่า สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา สำหรับมนุษย์ ที่เล็กละเอียดเป็นที่สุดล้วนเป็นรูปธรรมทางพลังงานของ คลื่นความถี่อิสระ ที่มีอนุภาคทางพลังงานของตนเองสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่เฉพาะตนและเคลื่อนไหลตนเองไปเรื่อย ๆ ไม่เคยหยุดนิ่ง ขณะเคลื่อนไหลตนเองไปเรื่อย ๆนั้น พวกมันสามารถที่จะทำการปฏิสัมพันธ์กันได้เป็นอย่างดีกับคลื่นความถี่อิสระอื่น ๆ ซึ่งอยู่ในสภาวะเป็นอนัตตาของตนเช่นเดียวกัน

    เมื่อสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตามีการปฏิสัมพันธ์กันของคลื่นความถี่ด้านบวกอันหลากหลายของแต่ละสรรพสิ่งอย่างลงตัวกันได้ดีแล้ว มันก็จะมีพลังอำนาจด้านบวกที่ร่วมกันสร้างใหม่เกิดขึ้น อำนาจด้านบวก คือ อำนาจในการดึงดูดเหนี่ยวรั้งสรรพสิ่งอื่นใดที่มีอนุภาคหรือมวลสารที่หยาบกว่าซึ่งอยู่ข้างเคียงให้เข้ามารวมตัวกันอย่างหนาแน่นเท่าที่อำนาจด้านบวกของตนที่พึงจะมี จนเกิดเป็นสรรพสิ่งใหม่ซึ่งเป็นวัตถุมวลหยาบขึ้นมาให้ได้เห็นได้สัมผัสรู้ดูเห็นเป็นมายาแห่งรูปลักษณ์ตัวตนได้ในที่สุด

    การที่สรรพสิ่งนั้น ๆ สามารถดำรงความมีอัตตาตัวตนอยู่ได้เพราะสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาซึ่งเร้อนอยู่ข้างใน มันยังคงแสดงบุคลิกของมันไปตามคุณสมบัติเดิมแท้ของตนเองอยู่อย่างต่อเนื่องมิรู้หยุดนิ่ง หรือยังคงแสดงออกซึ่งความเป็นอนัตตาอยู่ดังเดิมมิเคยแปรเปลี่ยนนั่นเอง

    การแสดงออกซึ่งความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่งในธรรมชาติซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ชัดเจนที่สุด มี ๒ ลักษณะด้วยกันคือ
    ๑.การสั่นสะเทือนตนเองเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างพลังอำนาจใหม่หรือพลังงานใหม่ด้านบวกเอาไว้เหนี่ยวรั้งผู้อื่นให้เข้ามาอยู่ในระบบของตน
    ๒.การหมุนวนรอบจุดศูนย์กลางของระบบตนเองเพื่อสร้างความสมดุลในระบบของตนเองกับระบบใหญ่

    ทั้งหมดนี้เป็นความรู้ใหม่เฉพาะโครงสร้างหลักของสรรพสิ่งที่เรียกว่า "อนัตตา" กับ "อัตตา" ที่มนุษย์ทั้งหลายจะต้องทำความเข้าใจและศึกษให้เข้าใจได้ในยุคพลังงานใหม่ที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างนามสองสิ่งเพียงแค่เบื้องต้นเท่านั้น

    ทุกสรรพสิ่งที่แลเห็นได้ล้วนเป็นอัตตาหรือมีอัตตาทั้งสิ้นนั้น ยังมิถูกต้องนัก จะต้องรู้ว่า สรรพสิ่งที่มองไม่เห็นบางสิ่งก็มีอัตตาได้เช่นเดียวกัน อย่างเช่น ผงธุลีในอากาศ หยดน้ำในบรรยากาศ อีเล็คตรอนสถิตย์ในบรรยากาศ แม้กระทั่งภาพจินตนาการในความรู้สึกนึกคิด ความทรงจำในอดีต ความรู้สึกนึกคิดที่มีตัวตนก็เป็นสรรพสิ่งที่มีอัตตาด้วยกันทั้งสิ้น

    ความรู้เบื้องต้นบทสรุปที่ชัดเจนสำหรับมนุษย์ก็คือ

    ไม่ว่าสรรพสิ่งใดก็ตาม ถ้าสามารถแสดงออกซึ่งมีความอัตตาตัวตนให้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ สรรพสิ่งนั้นย่อมเป็น "มายา" อันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างในทั้งสิ้น

    ทั้งหมดนี้คือ ความจริงที่จริงแท้ ที่ได้เรียนรู้ทดลองสร้าง ทดลองกระทำ เพื่อค้นคว้าหาความจริงและพิสูจน์ว่าความจริงนั้น ๆ ว่าจริงแท้แน่หรือไม่ด้วย ได้ทดลองสร้างจนเห็นจริงเห็นแจ้งและรู้จริงรู้แจ้งอย่างถ่องแท้มาแล้วว่า มันเป็นของมันเช่นนั้นจริง ๆ (อิทัปัจจยตา)

    ความรู้ใหม่นี้ที่สื่อเรื่องอนัตตากับอัตตาที่กล่าวไว้ทั้งหมดนั้นล้วนเกิดจาการค้นคว้าพิสูจน์ทดลองและสร้างใหม่ด้วยตนเองทุกด้านทุกแง่มุมจากความจริงที่กำหนดสร้างมันขึ้นมาเพื่อเรียนรู้ให้รู้แจ้งเห็นแจ้งในทุกสรรพสิ่งที่ต้องรู้และควรรู้นั่นเอง

    สรรพสิ่งในธรรมชาติทั้งหลายที่เรียกกันว่า "สัจธรรม" การที่มันจะเป็นเช่นนั้นเอง และไม่มีผู้ใดจะเปลี่ยนแปลงได้ ล้วนแล้วมีแต่ มีเหตุทั้งสิ้น เพียงแต่ผู้เป็นต้นเหตุแห่งการเกิด "สัจธรรม" ทั้งหลายในสนามพลังงานสากลจักรวาลนี้ก็เช่นเดียวกัน ย่อมหมายถึง "ผู้กำหนดสร้าง" ให้สรรพสิ่งนั้น ๆ ต้องมีต้องเป็นของมันเช่นนั้นเสมอ เมื่อกำหนดสร้างเอาไว้แล้วว่าต้องการให้อะไรเป็นอะไรอย่างไร สรรพสิ่งนั้นก็จะต้องเป็นของมันอยู่เช่นนั้นตลอดไป

    ดังนั้น ไม่ว่ามนุษย์หรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ใครจะมีรูปลักษณ์อย่างไร เป็นชนชาติใด นับถือศาสนาใด พูดจาภาษาใด และอยู่ตรงซอกหลืบใดภายในสนามพลังงานอันไพศาลนี้ก็ตาม ต่างล้วนมีสัจธรรม อันเป็นความจริงที่จริงแท้ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ร่วมกันทั้งสิ้น

    จิตจักรวาล ผู้ทรงกำหนดสร้าง "สัจธรรม" คือผู้ทรงกำหนดธรรมชาติที้งปวงนั่นเอง

    และเราก็เป็นหนึ่งในสัจธรรมเหล่านั้น ลองพิจารณาดูค่ะ
     
  18. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    ไม่มีสิ่งใดบังเอิญ ทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุและปัจจัย
    จิตใดก็ตาม ที่คิดว่าตนเองคือจิตจักรวาล จิตนั้นยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ จิตใดที่ยังเชื่อจิตจักรวาล จิตนั้นก็ยังคงเป็น มิจฉาทิฏฐิ

    พระไตรปิฎกภาษาบาลี แบ่งหมวดมิจฉาทิฏฐิไว้หลายแบบ เช่น สักกายทิฏฐิ 20 ในนกุลปิตาสูตร ทิฏฐิ 62 ในพรหมชาลสูตร และนิยตมิจฉาทิฏฐิ 3 ในสามัญญผลสูตร เป็นต้น

    นิยตมิจฉาทิฐิ 3 ได้แก่
    1. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นผิดว่าไม่มี ได้แก่
      1. นตฺถิ ทินฺนํ การให้ไม่มีผล
      2. นตฺถิ ยิฏฺฐํ การบูชาไม่มีผล
      3. นตฺถิ หุตํ การเซ่นสรวงไม่มีผล
      4. นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กม์มานํ ผลํ วิปาโก ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี
      5. นตฺถิ อยํ โลโก โลกนี้ไม่มี
      6. นตฺถิ ปโร โลโก โลกหน้าไม่มี
      7. นตฺถิ มาตา มารดาไม่มีคุณ
      8. นตฺถิ ปิตา บิดาไม่มีคุณ
      9. นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา สัตว์ที่เกิดผุดขึ้นไม่มี
      10. นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งก็ไม่มีในโลกไม่มี
    2. อเหตุกทิฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ
    3. อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันทำ
    ปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ
    ปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ มี 2 อย่าง ได้แก่
    • ปรโตโฆสะ คือ การโฆษณาแต่บุคคลอื่น เสียงจากผู้อื่น ฟังคำบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น
    • อโยนิโสมนสิการ คือ การทำในใจโดยไม่แยบคาย การไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ความไม่รู้จักคิด การปล่อยให้อวิชาครอบงำ ตรงกันข้ามกับคำว่า โยนิโสมนสิการ
    ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/มิจฉาทิฐิ
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    สิ่งไหนคือส่วนที่บอกว่า ตนคือจักรวาล แม้จักรวาลยังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายไป ตนจะคือจักรวาลไปได้อย่างไร!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2018
  20. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    ก้นางเอาคำว่าจิตจักรวาลมามิกซ์ในบทความ เช่นตอนท้ายบอกจิตจักรวาลสร้างสัจธรรมคือคนกำหนดธรรมชาติ และเราอยุ่ใต้กฎนี้ พออ่านก้เข้าใจไปว่าจิตจักรวาลคือตน ไม่เหนแปลก ส่วนบทความก้อพุดวนๆ แบบน้ำท่วมทุ่ง

    โดยปกติคนทั่วๆไปไม่เขียนแบบนี้ ก้อคงเขียนปกติทั่วไปแบบชาวพุทธง่ายๆ ชาวพุทธก้คงบอกความไม่เที่ยงก้คือความเที่ยง

    ความไม่เที่ยง คือ สังขารสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงมีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดาตามกฎพระไตรลักษณ์ ส่วนความเที่ยงนั้นหมายถึงอสังขตธรรมหรือสภาวะธรรม หมายถึง เป็นไปตามธรรมชาติ หรือมันต้องเป็นไปเช่นนี้เอง(ตถาตา) หรือเที่ยงแท้แน่นอน

    เขียนง่ายๆ แบบพุทธแท้มันดูไม่ล้ำงัย
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...