นั่งสมาธิจนมาถึงจุดทางตัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Chabob, 9 พฤษภาคม 2018.

  1. Chabob

    Chabob Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2018
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +59

    ขอบคุณมากครับ ผมมีการบ้านให้ทำล่ะ คือเจริญสติอยู่กับลมหายใจ แต่ผมไม่ถนัดภาวนาครับ แบบพุทโธ พยายามแล้วเหมือนฟุ้งซ่านมากขึ้น เลยใช้แบบนับเลขเอา หายใจเข้า1 หายใจออก2 แบบนี้ถูกทางรึป่าวครับ
     
  2. Chabob

    Chabob Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2018
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +59
    ถ้ามันตกแล้วคือดูเฉยๆใช่ไหมครับ
     
  3. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    อานาปานสติมันก้เป้นการเจริญสติอยู่แล้วครับ
    สายตรงในสติปัฐฐานอยู่แล้ว
    การจะนับไปด้วยหรือไม่ไม่สำคัญ
    ถ้าถนัดก็ทำไป
    คำภาวนาก้เหมือนกัน
    สิ่งสำคัญคือรู้ลมหายใจเข้าออก
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ย่อหน้าแรก เจริญสติประมาณนั้นหละ เช่น เดินไปนับก้าว อยู่เฉยๆระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก หรือนับนิ้ว ฯลฯ แต่สิ่งที่เราได้ ก็คือ สมาธิสะสมเล็กๆน้อย
    ที่เกิดในขณะที่เราเจริญสติให้ต่อเนื่องนั่นหละ ตรงนี้หละที่จะหนุนการยกพัฒนาสมาธิ
    ความเข้าใจทางนามธรรม มันมาจากกำลังสติทางธรรม ที่เราได้จากการเจริญสติ
    ให้ต่อเนื่องนั่นหละ ส่วนทางโลก เรียกแบบไหนก็ได้ แต่ขอให้กิริยาเหมือนกันพอ

    ย่อหน้าสอง...สมาธิต่อให้เราได้งานได้ ประมาณว่า หายใจครั้งเดียวใช้งานได้
    ก็ยังไม่ถือว่าเก่งได้ เพราะระดับเกจิ ท่านหายใจรอบเดียวเข้าออกได้ถึง ๔ ถึง ๕ รอบ
    ดังนั้นต่อให้เราจะทำได้ดีกว่านี้ ก็ยังถือว่าธรรมดา แม้ตัวผู้เขียนเอง ก็ยังถือ
    ว่าเด็กน้อยธรรมดาทั่วไป ไม่มีไรหรอก เข้าใจคำว่า สมาธิได้แล้วมันจบไหม
    มาให้ถึงจุดนี้ จะเข้าใจเอง คือ มันไม่เสื่อม มีพัฒนาต่อได้ ใช้ได้ภายในวินาที
    แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเก่งอะไร และที่สำคัญไม่ต้องมานั่งเกร๊งกล้ามตะรูด ฝึกให้เมื่อยอีก...

    ย่อหน้าสาม ไม่ใช่หน้าที่ แต่ถ้าจะไปต่อ ก็ควรทำ เพราะมันเป็นตัวหนุนให้พัฒนาต่อ
    ไปถึงขั้นที่ ''สมาธิได้แล้วมันจบ''

    ย่อหน้าสี่ จะมีลักษณะที่เป็นเฉพาะบุคคลนะไม่ใช่สากลบอกก่อนนะ
    คือ จิตตัดกายได้ชั่วคราวในสภาวะความเป็นทิพย์
    แต่ดันมีความคิดในสมองไปดึงความทรงจำในอดีตมาขวางไว้ (ทั่วไป)
    ส่วนที่เหมือนสำลัก
    เหมือนจะเฮือกมี ๒ กรณี แต่ต้องแก้ข้อแรกก่อน ๑.
    เพราะมีกระแสวิบากจากฝ่ายที่ต้องการกำลังบุญในระดับที่กำลังต่ำมาขวาง
    ถ้าเป็นอย่างนี้ ต้องแก้ด้วยการอุทิศส่วนกุศลบ่อยๆ และกรวดน้ำร่วมด้วยถึงจะหาย
    ข้อนี้เป็นเฉพาะตัวน้องนั่นหละ

    ๒.เพราะว่าจิตมันยังทิ้งสัญญาในอดีตไม่ขาดตอนที่จิตเป็นทิพย์ได้
    (เด่วตรงนี้เจริญสติให้ต่อเนื่องซักพักก็หาย
    คือตอนนี้มันเป็นอาการตามกำลังสติทางธรรมปกติเรา)
    กับอีกอย่าง
    ขาดเรื่องการพิจารณาตัดร่างกาย บวกกำลังสมาธิสะสม
    (ที่ตอนนี้มันขึ้นๆลง)
    ยังไม่เพียงพอ เวลาที่จิตเป็นทิพย์ มันถึงได้เหมือนระลึกได้และส่งผลต่อกาย
    อย่างที่เราเป็นนั่นหละ พวกนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรเท่าไร
    แค่มันเป็นตัวฟ้อง กำลังสติที่จะควบคุมไม่ให้ไปดึงสัญญาในอดีตแบบเคยชิน
    หรือไม่ได้ตั้งใจหรือเป็นไปแบบควบคุมไม่ได้ เป็นไปเองทำนองคล้ายกันหมดและ
    กำลังสมาธิสะสมซึ่งจะกลายเป็นภูมิต้านทานทางกายไม่ให้มีผลกระทบ
    เวลาที่จิตเป็นทิพย์ไม่ว่ากำลังระดับสูงหรือต่ำก็ตาม กับการขาดการ
    พิจารณาร่างกายเป็นตัวหนุน
    (ตรงนี้ทำให้เกิดกิริยาเป็นทิพย์ได้ช้าหรือเร็วรวม
    ทั้งความชัดเจนในการเห็นรับรู้ทางด้านนามธรรมต่างๆ ถ้าได้เหมือนกลางวัน
    แสดงว่า โอเครอยู่ ถ้าน้อยกว่านี้ให้เฉยๆ เห็นก็ช่างไม่เห็นก็ช่าง)

    ส่วนเรื่องสุดท้าย ที่บอกให้อุทิศส่วนกุศลกับกรวดน้ำเป็นเฉพาะกรณี
    เพราะเป็นระดับกำลังบุญไม่มาก คือไม่ใช่มาปรากฏให้เห็นได้
    (กำลังไม่พอ)
    เฉพาะตัวน้อง ณ เวลานี้ ไม่ใช่สากล...เพราะมันมีกระแสตรงนี้
    มาดึงขวางกายในช่วงบริเวณตำกว่าหัวเข่าลงมา
    (ฟังหูไว้หูเด้อ)
    อนาคตจะเข้าใจได้เองเรื่องพวกนี้....
    ปล.จบแระ...แค่เล่าให้ฟังเน้อ...
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ไม่ใช่ ดูเฉยๆ

    มันจะต้องมี รส รู้เท่า เอาทัน หน่อยๆ

    ถ้า ดูเฉยๆ ภวังค์จะแช่ แล้ว สรรพสังขารทั้งหลายมันจะ ดับ เป็นธรรมดา

    หากไปดูเฉยๆ ใน ขณะที่ ภวังค์นั้นๆ มันดับ มันเหมือน คนเก้อ ที่ก้าวเท้า
    จะขึ้นลงบันได คิดว่ามีอีกขั้น แต่จริงๆ ไม่มี มันจะ กระตุก กระชาก หวาดเสียว

    แต่ถ้ารู้เท่า เอาทัน มันจะเหมือน เล่นเกมส์โหดมันฮา ก้าวเท้าไปตาม
    โฟมแผ่นในน้ำ แล้ว กระโดดไปอีกอัน อีกอัน ก่อนมันดับ เห็นทั้งความ
    จมลงของ ภวังค์ตัวเดิม และ ภวังค์ตัวใหม่(ที่พร้อมจะไปข้างหน้า) ...
    ก้าวไปเรื่อยๆ จะกลายเป็น อิทธิบาท4 บางประการ

    แต่ วิญญชน กระโดดขึ้นฝั่งแล้ว จะไม่ กระโจนลงไปเล่นอีก พึงกำหนดรู้
    การถึงฝั่งด้วย เป้าหมายต้องมี และ ชัด ไม่อย่างนั้น กระโดดเล่น
    กับ สหายวิเศษแค่ไหน ก็ไร้สามัญผล อยู่ดี
     
  6. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    เอาเถอะ
    เอาเป็นว่าในที่นี้เป็นพยานรับรู้เลยละกัน
    เราขาดกันนับตั้งแต่บัดนี้
    สัญญาที่เคยให้ไว้ยกเลิกทั้งหมดรวมทั้งพรที่เคยให้ด้วย
    อย่าเจอกันอีกเลย
    บักมารตีสองหน้า
    คงคิดว่าสำเร็จสินะที่เข้ามาดิสเครดิตให้คนคลางแคลงสงสัยในข้อวัตรและปฏิปทาของเรา
    เอาเป็นว่าจากนี้ไป
    ดิ้นรนเอาเองนะ
    แล้วก็รับวิบากของตนเองไปซะเถอะ
    นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    เธอชักสะพานของเธอเองนะ
    ขอให้โชคดี
    บัก สส ผู้น่าสมเพท
     
  7. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ดีครับ
    สติปัฏฐาน 4 หมวดกาย ต่อเลยครับ เพื่อฝึกสติให้มากขึ้น
    เกือบทุกอย่างที่เกิดในสมาธิ ถ้าไม่ใช่ฝึกกสิณ ให้ลอง ดู รู้ คิด วาง

    ส่วนด้านปัญญา ให้ลองอ่าน อนิจจานุปัสนา ครับ ถ้าไม่ฝึกด้านปัญญาเพิ่มเลย จิตอาจแช่ในสุขของสมาธิ ไม่ยอมถอยออกมาพิจารณา
    ถ้าไม่เก็บความรู้เรื่องอนิจจังให้มากพอ เวลาเกิดเบื่อ มันจะตัดลงธรรมดาไม่ได้ ยอมรับความจริงไม่ได้
    กลายเป็นเดินทางถึงจุดสำคัญ ตีฝ่าออกไปไม่ได้ครับ เบื่อหลายเบื่อ ไปทั้งชาติ
     
  8. Chabob

    Chabob Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2018
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +59
    พี่หมายถึงใครครับ ใครดิสพี่พี่บอกผมได้ แล้วใครตีสองหน้าครับ ผมไม่ได้แอ๊บไม่รู้นะ แต่ผมไม่รู้จริงๆ เพราะผมไม่ได้ดิส ไอดีซ้อนผมก็บอกพี่แล้วไม่ใช่ผม ผมก็ตอบพี่ไปแล้ว ขอบคุณและจะเอาทำตามด้วยซ้ำ ผมเลยเข้าใจว่าพี่ไม่ได้หมายถึงผมแน่ๆ ถ้าผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าคนที่พี่หมายถึงคือใคร อย่างอลผมเลย ดีกันนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2018
  9. teerasak9e

    teerasak9e เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +187
    ผมว่า ที่กล่าวมาเป็น สมถะ ทั้งหมด ยังไม่เป็นวิปัสสนา
    หากให้ผมแนะนำ ก่อนที่จะนั่งสมาธิ ให้ไปหาน้ำเย็นที่เย็นมากๆ มา(จะเอาขวดน้ำแช่ไว้ก็ได้)
    ดื่มให้หมดในคราวเดียว จับจุดสุดท้าย ที่เย็นๆ นั้น
    แล้วนั่งสมาธิ สติจับตรงจุดเย็นๆ สุดท้ายนั้น
    นั่งไปจนกว่าจิตจะถอนออกมาเอง เท่านั้นแล่ะ

    การปฏิบัติ ไม่มีอะไรมาก ทำแค่นี้พอครับ
    เจริญในธรรม
     
  10. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    เอาเป็นว่าใครมีอิทธิวิธีไปส่องดูเอาเองนะครับ
    พิกัดบ้านหนองหิน หนองกุงศรี ท่าคันโท
    เบื่อละ
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ คำว่า "เดินปัญญา" ของคุณ คือ อะไร มากกว่า 90 % จะหมายถึง "ให้คิด"

    +++ แต่ตรงนี้เป็น "ปรุงแต่งขึ้นเอง จนกว่าจะพอใจ (มโนเอาเอง)" แล้วเรียกมันว่า "เข้าใจ" ให้ระวังให้ดี
    +++ ตรงนี้เป็น "สุข" จากรูป (สว่าง) บางคนว่าเป็นนิมิต บางคนว่าไม่ใช่ เอาเป็นว่า มันอยู่ในส่วนของ "รูป" ก็แล้วกัน ส่วนอาการ สงบ เงียบ เย็นใจ เป็น "ธัมมารมณ์ (นาม)" ในระดับ ฌาน 3
    +++ เป็น "สุข" นะ มันเลย "ปิติ" มาชั้นนึง
    +++ ตรงนี้แหละ ผมเคยผ่านมานานแล้ว มันส่งผลไป "อสัญญี" ได้ แก้ได้ด้วยการทำ "สัมปชัญญะ" คือ "รู้สึกตัว ทั้งตัว"
    +++ ระวังให้ดี ๆ ตรงนี้ก็แล้วกัน "สมถะก่อนแล้วยกเป็นวิปัสสนา" เป็นเพียง "คำพูด เฉย ๆ"

    +++ วิปัสสนา จริง ๆ คือ "วิปัสสนาญาณทัศนะ" คือ "สติรู้ จนกลายเป็น เห็น" ไม่ใช่ "คิด อย่างไรก็ เห็น อย่างนั้น"

    +++ ตรงนี้ให้ระวังดี ๆ เคยได้ยินคำว่า "กรรมฐานแตก" มาบ้างหรือเปล่า ให้ระวังด้วยนะ
    +++ ไม่ต้องไปหวังอะไร ถึงคือถึง ไม่ถึงคือไม่ถึง ตรงนี้ถูกต้องแล้ว
    +++ คำภาวนา บางที่เรียก "คำบริกรรม" เป็น "อุบายผูกจิต" ไม่ให้ ส่ายแส่ จนเปะปะวุ่นวาย เมื่อ "กลับมาอยู่กับ สติ" แล้ว "คำบริกรรม" ก็ไม่จำเป็น

    +++ ณ ขณะที่เกิดอาการ "สติรับรู้" ให้อยู่กับ "สติรู้" ส่วนสภาวะ "รอบข้างที่ถูกรู้" ให้ "รู้ไว้เฉย ๆ แต่อย่าไป อยู่ กับมัน"

    +++ เมื่อ "สติรู้" สามารถตั้งตัวได้ ด้วย ตัวของมันเองแล้ว สัพสิ่งรอบข้างที่ "ถูกรู้" จะแยกตัวของมัน "ออกไปเอง" ตามธรรมชาติของสภาวะธรรม

    +++ ตรงนี้จึงจะเรียกว่า "ยกเป็นวิปัสสนา" ตามความเป็นจริง และ "ความคิดเอง มโนเอง" จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะมันเลย "ความฟุ้งซ่าน" ไปแล้ว
    +++ ตรงนี้ หาก "อยู่กับรู้ หรือ รู้สึกทั้งตัว" ก็ถือว่า ok
    +++ ชื่อ "ฌานอะไร ก็ ชั่งหัวมัน" รู้จักแต่ชื่อ แต่ถ้า อาการไม่เกิดก็ "ไร้ประโยชน์สิ้นดี" แถมเป็น "ศัตรู" ต่อการปฏิบัติอีกด้วย
    +++ ตรงนี้มี 2 อาการ คือ

    1. อยู่กับ "สติรู้" เด่นชัด ไม่อยู่กับ "สิ่งรอบข้าง" ที่ถูกรู้
    2. อยู่กับ "สงบ เงียบ เย็นใจ" ไม่อยู่กับ "สิ่งรอบข้าง" เพราะมัน "ไม่ปรากฏ"

    +++ ในข้อที่ 1. จะตรงกับอาการ "ตั้งสติมั่น รู้ ธรรมเฉพาะหน้า"

    +++ ในข้อที่ 2. จะตรงกับอาการ "ฌาน 3 ของฌานฤษี" (อยู่กับ ธัมมารมณ์ หรือ อารมณ์ฌาน)
    +++ ถูกแล้ว "สภาวะอวกาศ" ต้องออกจาก "อัตตา" จึงถูกต้อง นอกนั้นจะ "หลง" แน่นอน และ "ไม่ใช่" การเดินปัญญา ตามที่เข้าใจ
    +++ ตัดสินใจได้ "ถูกแล้ว" หากเกิดอาการ "กึ่งหลับมีสติ" ก็ควรปล่อยให้ "อยู่" อย่างนั้น จนกว่า "หลับอยู่ส่วนหลับ และ ตื่นอยู่ส่วนตื่น" แยกตัวออกจากกัน

    +++ ตรงนี้ "หลวงปู่เทสก์" เน้นย้ำกับเหล่าศิษย์ของท่าน อยู่เสมอ ว่า "ควรทำให้ได้" ตรงนี้เป็นอาการที่ "สติกำลังข้ามถีนมิทธะ" ที่เป็น นิวรณ์ตัวสุดท้าย
    +++ ท่อนนี้ "แล้วแต่จริตส่วนบุคคล" ก็แล้วกัน หากมันทำให้ "เกิดปัญญา" ได้ก็ ok แต่ถ้าไม่ได้ ก็หาวิธีใหม่เอา
    +++ นอนฟังเสียงกรนตนเองได้ "ถือว่า สติ เริ่มทรงตัวได้บ้าง" หากทำจน "ได้นิสัย" ตรงนี้ "สติจะทรงตัวได้ดีขึ้น"

    +++ จนกว่า "หลับอยู่ส่วนหลับ กรนอยู่ส่วนกรน ตื่นอยู่ส่วนตื่น และ อื่น ๆ" อาการ "แยกส่วน แยกขันธ์" จะเป็นมาเอง

    +++ ตรงนี้ "สำคัญ" พระป่าศิษย์ทางหลวงปู่เทสก์ พูดถึงอาการในบริเวณนี้เสมอ ๆ เจอกันบ่อย
    +++ ตรง "เหมือนคนง่วง" ตรงนี้แหละ หากมีประสพการณ์ "ฟังเสียงกรน จนสติ ตั้งตัวได้"

    +++ ก็ให้ใช้ "ประสพการณ์ ฟังเสียงกรน" มาฝ่าด่านตรงนี้ และตรงนี้แหละที่เรียกว่า "เดินปัญญา" ของจริง
    +++ กลายเป็น "มโน" ไปเลย แทนที่ "สติ" จะตั้งตัวได้ เลยกลายเป็น "ดูหนัง" ไปเสียเลย
    +++ ความสว่าง "อาโลกะสัญญา" เป็นอุบาย "แก้ง่วง" ที่พระพุทธองค์ให้ไว้กับพระโมคคัลลา ในช่วงที่ "ยังเร่งความเพียร" อยู่

    +++ เมื่อความง่วงหายไปแล้ว ก็เร่งความเพียรต่อไป
    +++ รู้+รู้สึก จน "ได้นิสัย" ตัดอาการ "เหม่อลอย" ออกจน "ได้นิสัย" เช่นกัน ถูกแล้ว
    +++ หาก สติรู้ ดำรงค์อยู่ ถือว่าเป็นการ "ดำรงค์สติมั่น" ย่อมถูกทางเอง
    +++ หาก สติรู้ ดำรงค์อยู่ ถือว่าเป็นการ "ดำรงค์สติมั่น" ย่อมถูกทางเอง

    +++ เมื่อ "ดำรงค์สติมั่น" ได้อาการ "รู้ธรรมเฉพาะหน้า" ย่อมปรากฏมาเอง

    +++ นอนฟังเสียงกรน "เสียงกรน ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของ ๆ กู" ตรงนี้ ก็เริ่มปรากฏมาบ้างแล้ว นี่นา

    +++ "ดำรงค์สติมั่น รู้ กรน เฉพาะหน้า" ถือว่า "เป็นต้นทาง" ก็ได้

    +++ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ แม้ว่ามันจะเป็น "อวกาศ" หรือไม่ก็ตาม มันก็เป็น "แบบเดียวกัน" ทั้งหมดนั่นแล...

    +++ สำหรับคุณ Chabob "ดำรงค์สติมั่น รู้ กรน เฉพาะหน้า" สามารถเป็น "มรรคส่วนบุคคล" ของคุณได้นะ

    +++ มรรคส่วนนี้ ศิษย์หลวงปู่เทสก์ ถือเป็น "หลักปฏิบัติ" ที่สำคัญมาก ๆ

    +++ ขอให้เจริญในธรรม ยิ่ง ๆ ขึ้นไป นะครับ
     
  12. Chabob

    Chabob Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2018
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +59
    พี่ครับ บ้านผมชื่อร้าน ข้าวต้มเป็ดประตูผีครับ มี3สาขา ติวานน สะพานซังฮี้ สาย4 พี่เลือกสรรค์สาขาที่พี่สะดวกแล้วเดินเข้าไปถามเลยครับว่า รู้จัก นุ่นไหม นุ่นหลานของบ้านนี้ ถ้าพี่ไปบอกด้วยว่าผมคือคนที่ใช่ชื่อว่าผ่านมาเฉยๆ ผมให้กินเป็ดฟรีเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2018
  13. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    อ่อ ครับ งั้นขออภัยด้วย
    แสดงว่ามันมีidเท่านั้นที่ร่ายมา
    ขออภัยที่ฟาดงวงฟาดงาครับ
     
  14. Chabob

    Chabob Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2018
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +59
    ขอบคุณมากๆครับ
    แต่อาการกรน นานๆจะมาทีนึง ส่วนใหญ่จะสำลักลมหายใจ แบบนั่งอยู่ นับลมหายใจ 1 2 ไปเรื่อย นับตัวนี้ก็หายไป เหลือแค่ดูลมหายใจ ลมหายใจที่รู้สึกละเอียดเหมือนไม่หายใจแรกๆเจอตกใจครับ พอหลังๆเจอก็เลยเฉยๆปล่อยให้เบาไป พอช่วงนี้ไปมันดับครับ มีหูอื้อ เสียงวี่ๆยาวๆ แต่ก็มีบางช่วงที่รู้สึกตัวแวบเดียวที่ได้ยินเสียงทีวี (บ้านผมต้องมีเสียงตลอด แบบกันอยู่เงียบๆนี่ยากครับ)แวบมาแล้วก็หายไป ใช้เวลาช่วงนี้เกือบชม.เท่าที่ผมเคยดูเวลาตั้งแต่เริ่มทำสมาธิแล้วก็สะดุ้งเพราะสำลักลมหายใจ ที่แพทย์เรียกว่า หยุดหายใจขณะหลับแล้วทำให้สะดุ้งตื่น

    อาการนี้ผมเจอบ่อยมากกว่า ฟังเสียงตัวเองกรนซะอีก แต่สำหรับผม ผมว่าผมหลับ

    ส่วนอาการฟังเสียงตัวเองกรน จะเกิดต่อเมื่อผมกินยาควบคุมสมาธิ แล้วอาจจะเป็นจังหวะที่ยาทำงานมีประสิทธิภาพพอดี (ผมเป็นไฮเปอครับ หมอเลยจ่ายยาควบคุมสมาธิให้ ยาที่ผมกินควบคุมโดยแพทย์) ความคิดของผมนะ ผมเจอยาตัวนี้ไปรึป่าวเลยทำให้สมาธิได้ดี เปรียบเหมือนผมมีปืนติดลำกล้อง พอจี้ไปจุดไหนจะโฟกัสจุดนั้นได้ดี (ยาที่ผมกินไม่ใช่ยากดสมองหรือกล่อมประสาทนะครับ เป็นยาเพิ่มสมาธิเฉยๆ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2018
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ตรงนี้เป็นอาการของ "สมถะสมาธิ" อาการที่ ลมหายใจที่รู้สึกละเอียดเหมือนไม่หายใจ นั้น ให้ "อยู่" กับมัน โดยให้ "อยู่กับความรู้สึกทั้งตัว" แทน

    +++ เมื่อลมหายใจ ละเอียดไปเรื่อย ๆ จะเป็นเหมือน "ลมซึม เข้า/ออก ช่องทางรูจมูก เฉย ๆ"

    +++ เมื่อลมหายใจ ละเอียดต่อไปอีกจน "ลมไม่สามารถซึม เข้า/ออก ช่องทางรูจมูก" อีกต่อไป มันจะ "ซึม เข้า/ออก ทางรูขุมขนทั้งตัว" แทน

    +++ เมื่อลมหายใจ ละเอียดต่อไปอีกจน "ลมไม่สามารถซึม เข้า/ออก ทางรูขุมขนทั้งตัว" อีกต่อไป มันจะ "ซึม เข้า/ออก ทางผิวหนังทั้งตัว" แทน

    +++ ตรงนี้จะเป็นอาการ "คล้าย กบจำศีล" หรือ แล้วแต่ ภาษาจะเปรียบเทียบ หากสามารถ "อยู่" ต่อไปได้เรื่อย ๆ "กองลมจะหยุด" ไม่มีการ "ซึม เข้า/ออก อีก"

    +++ สิ่งที่เหลืออยู่ จะเป็นอาการ "คล้าย กองลมหมุนช้า ๆ อยู่ข้างในตัว" และจะช้าลงไปเรื่อย ๆ จนหมดการเคลื่อน เรียกว่า "สิ้นสุดกองลม"

    +++ เมื่อถึงตรงนี้ "จิตจะไม่สามารถ อยู่ กับกายเนื้อได้อีกต่อไป" มันจะ "ถอดออกมาจากกายเนื้อ" แบบ "ตัวเรา ถอดออกมาจาก ตัวเรา" กลายเป็น "สุขุมรูป"

    +++ ตรงนี้เป็นการ "ถอดจิต/ถอดกาย" แบบ อานาปานสติ คุณ Chabob อาจไม่เคยได้ยินรายละเอียดตรงนี้มาก่อน เพราะผู้ที่ทำมาถึงตรงนี้มักจะ "ไม่ค่อยพูดถึง"

    +++ การปฏิบัติจนถึงจุดนี้ สามารถยีนยันได้ว่า "ความตาย เป็นอาการ หลงชนิดหนึ่งของตัว ความคิด"

    +++ อาการตรงนี้ เป็นอาการ "สิ้นลมหายใจ" ตัวจริง ผมทำมาแล้ว แต่ "ไม่ตาย" ดังนั้น พระป่าสายหลวงปู่มั่นบางองค์ จึงกล่าวว่า "หลงตาย" นั่นเอง
    +++ เสียงคล้าย หูอื้อ เสียงวี่ๆยาวๆ นี่ "ให้ลองทำ ความรู้สึกที่ ใบหูทั้ง 2 ข้าง" มันก็มีมาเอง ตามธรรมชาติอยู่แล้ว "ทำดูก็รู้เอง" แหละ
    +++ ใช่แล้ว "หลับ"
    +++ อย่าไปเทียบกับอะไร มันเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นไปเอง

    +++ อาการ ไฮเปอร์ หากตรงกับ ข้อความในลิ้งค์ข้างล่างนี้ เป็นอาการที่เกิดจาก "จิตฟุ้งซ่าน" ซึ่งเป็นอาการปกติของ "จิตปรุงแต่ง" อยู่แล้ว

    https://www.pobpad.com/ไฮเปอร์-hyperactivity

    +++ อาการ ไฮเปอร์ ควรทำ "สมถะสมาธิ" เพื่อเป็นการ ทำการหยั่ง Balance ของจิต

    +++ เมื่อสามารถควบคุมอาการ ไฮเปอร์ ได้แล้ว จะออกจาก "กองสมถะ เพื่อเข้าสู่ กองวิปัสสนา" ในภายหลังก็จะเป็นการดี

    +++ แต่ ณ ปัจจุบัณขณะ ให้เน้นที่ "สมถะสมาธิ" เป็นหลักไว้ก่อน จนกว่าคุณ Chabob จะควบคุมอาการ ไฮเปอร์ ได้ด้วยตนเอง นะครับ
     
  16. นักบุญภาคอีสาน

    นักบุญภาคอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2008
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +334
    ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเล็กน้อยครับ คือจริงๆแล้วสมาธิไม่มีจุดตันหรอกนะครับ อยู่ที่ว่ามีการทำติดต่อเนื่องกันหรือป่าว...

    คือเอาเข้าจริงๆแล้ว เราๆท่านๆก็เสมือนหนึ่งว่าทำสมาธิอยู่ทุกๆวันอยู่แล้ว แต่เป็นสมาธิที่ไม่ต่อเนื่องนัก เนื่องจากกิจวัตรประจำวันก็ดี เรื่องราวในทุกๆวันก็ดี เข้ามาให้คิดให้ปรุงแต่งเสมอ จึงขาดการต่อเนื่อง ของสติ ถ้าสติมีการต่อเนื่องจริงๆแล้วจนเกิดความชำนาญ เป็นธรรมดาของจิตที่มีที่พึ่ง

    เพราะเมื่อจิตไม่มีที่พึ่งจะหาที่พึ่งปรุงแต่ง ยึดนั้นนี้มาเป็นอารมณ์เสมอครับ อันนี้ก็เป็นธรรมชาติอย่างนั้นของจิต

    ถ้าจิตมีความชำนาญจริงๆแล้ว ญาณก็ดีที่กล่าวกันอ้างกัน จะปรากฏเองเป็นธรรมชาติ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่จิตรวม เกิดความละเอียดเข้าๆ
    แต่จะให้หมายรุ้ว่าจิตถึงญาณไหนนั้น อันนี้ผมคิดว่าน้อยคนนักจะกล่าวได้ถูก เพราะบางทีถึงความละเอียดระดับนั้นแล้วจริงๆอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสภาวะนั้นอารมณ์ที่จิตสัมผัสอยู่เรียก ญาณหรืออะไรหรือป่าว

    แต่อย่างไรก็ตามถ้าจิตมีความชำนาญจริงๆ อาการต่างๆไม่ค่อยจะปรากฏให้เห็นเท่าไรหรอกครับ เว้นเสียแต่ว่า สติจะไม่รวมเป็นสมาธิเท่านั้น

    --ที่นี้ส่วนตัวผม ตอนเริ่มปฎิบัติแรกๆส่วนตัวชอบอานาปานุสติคือกำหนดลมเป็นหลัก แต่จะทำประจำเท่าที่พอจะระลึกได้ เดือนแรกๆก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เพราะหลายๆอย่างเราต้องอาศัยการคิดการทำ ในระหว่างงาน แต่ก็พยามประคับประครองสติให้ระลึกถึงลมหายใจอยู่เสมอ

    --บางครั้งอาจนำบทสวดมนต์มาช่วยบ้าง(กรณีคิดมากๆ) เช่นเวลาเข้าพักทานข้าว หรือเวลาจะนอนก็สวดในใจจนหลับ พอตื่นมารู้สึกว่าธาตุขันต์ จะปรุงแต่งน้อย ก็กำหนดลมทันที่ เท่าที่ระลึกได้ ก็ทำอย่างนี้มาโดยตลอด(ปัจจุบันก็20กว่าปีแล้ว) จะลำบากเฉพาะ 1-2 เดือนแรก เมื่อครองตัวแล้ว เวลาทำงานก็ดี ยืน เดิน นั่ง ก็ดี จิตจะติดทันที่เสมือนหนึ่งว่า จิตจะเข้าพักเลยครับ เมื่อว่างจากงานภายนอก จะกำหนดเองโดยอัตโนมัติ เพราะจิตมีที่พัก ตรงนี้จะพอเปรียบเทียบได้เลยครับว่า ถ้าจิตได้สัมพัสสุขภายในสมาธิแล้ว จิตจะติดไม่อยากสายเสไปติดสุขภายนอกเลย เว้นแต่เราจะกำหนดเอาออกมาจริงๆ

    --ส่วนถามว่าได้ญาณขั้นไหนไหม ตอบว่าไม่ทราบเช่นกัน เพราะกำหนดที่ฐานคือลมหายใจปับ ก็เข้าถึงความอิ่มทันที่ จิตจะจดจ่อตรงนั้นเลย แต่ได้ยินเสียงคนเรียกหรือภายนอกทุกอย่างครับ
    ไม่กระทบงานที่ทำ ตรงกันข้ามงานที่ทำจะละเอียด รอบคอบกว่าเดิมมาก เพราะจิตกับงานภายนอกเริ่มสอดครองกันเป็นอันเดียวกับความนึกคิดไปแล้ว

    แต่บางครั้งถ้าเพลินมากๆเสียงจะเงียบเลยรอบข้างจะไม่ได้ยิน ลืมตาอยู่แต่จิตก็ไม่บันทึกสิที่เห็นจนบางที่ ถ้าทำนานๆไปเพื่อนอาจจะมาขยับตัวเราเพื่อเรียกแทน เพราะเวลาอบรมณ์ก็ดี เวลาประชุมที่หน้าเบื่อๆผมมักจะกำหนดลงเสมอ แปบเดี่ยวเสร็จแล้วครับ จิตไม่รับรู้ภายนอกด้วย(เว้นแต่งานที่สำคัญจริงๆจะขยับจิตไปจอที่งานแทน)

    สรุปส่วนตัวนะครับตรงนี้ว่า อาการของจิตจะไม่เกิดมากถ้าสติมีการต่อเนื่องกัน จนสามารถเป็นที่พึ่งของจิตได้ครับ

    **ส่วนจะผิด จะถูก ก็ไม่ทราบเช่นกันเพราะทำมาแบบนี้หลายปีแล้ว ก็ได้ผลเป็นที่หน้าพอใจมากครับ**
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2018
  17. Chabob

    Chabob Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2018
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +59

    ได้คำตอบกระจ่างมากๆครับ ไฮเปอร์ผมคล้ายๆกับลิ้งครับ แต่ไม่คิดฟุ้งซ่าน ออกแนวหุนหันพลันแล่น แบบบ้าระห่ำ สร้างความรำคาญให้กับคนอื่น เหมือนลิงเลยครับ แพทย์จะแนะนำคือนั่งสมาธินับเลขให้ตรงตามเป้าหมายของแต่ล่ะวันกับนั่งเล่นรูมิต แต่ทางศาสนาไม่รู้ว่าผมมาต้องทำจุดไหน แต่นั่งสมาธิอาการไฮเปอร์ผมดีขึ้นนะ เช่นการระวังคำพูด เพราะก่อนนั่งคิดอะไรได้พูดทันที
     
  18. Chabob

    Chabob Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2018
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +59
    ขอบคุณครับ ตอนเริ่มต้นผมนั่งครึ่งชม.ตอนเช้าและบ่าย งานผมเป็นงานทำที่บ้านครับ จะไม่แน่นอนด้านเวลา พอนั่งไปเดือนนึง ขยับมาเป็นบ่าย ชม. เย็นชม นั่งจะยาวนานไปเองครับ ครั้งแรกที่นั่งยอมรับครับว่าติดสงบ ที่นั่งบ่อยๆนานๆ พอมาถึงจุดที่ผมเล่าว่าสว่างแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน ดันมาตรงกับสงกรานครับ ผมเลยไม่ได้นั่งนานๆแบบนั้นแต่นั่งทุกวัน นั่งแบบเวลาบีบกับเราจิตไม่มันสงบเพราะโดนบีบด้านเวลา ผมนั่งแบบรีบๆไม่มีสมาธิ 5 วัน แต่ยอมรับอีกครับว่า ผมพึ่งมาเจริญสตินั่งยืนนอน เมื่อถึงทางตันนี่แหละครับคือพึ่งทำ ผมจะพยายามมีสติตลอดเพราะ ความถนัดของผมจะสงบได้ก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียว แต่พออยู่ในสังคม จะวอกแวกตลอด ขอบคุณมากๆนะครับที่มาแนะนำ ผมเริ่มมานั่งจริงจังได้3เดือนเองครับ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    "บ่แม่นหมาวัดและกะบ่ได้ใจนาง
    หว่านแหลงดางกะดักใจนางไว้บ่ได้
    เฮ็ดดีปานได๋ๆ เจ้ากะบ่หัวซา
    นั่งฮ้องนอนไห้ ย้อนสงสารใจเจ้าของ
    น้องบ่เคยมองย่างสากกะบ่อยากใกล้
    ฮักเจ้าหลายๆ ได้ยินบ่.........................."

    "ฮักเจ้าหลายๆ ได้ยินบ่.........................."

    แหม หายไปนานบักคำแพง ม้างลมหายใจ ดีหลายบ่

    ขออนุญาติแนะนิดนึง อานานปานสติ เป็น กรรมฐานของ มหาบุรุษ ไม่ใช่ ยามหอคอย

    แปลว่าอะไร

    แปลว่า การประชุม ลวกเพ่ต้อง ขนาน ภาวนาขนาน โลก กับ ธรรม ไม่ก้ำเกินกัน

    ถ้า ธรรม ก้ำเกิน โลก ลวกเพ่ ภาวนา แล้ว โลกหาย เป็น ยามเข้าหอคอยปิดประตู อันนี้ไม่ถูก

    ลวกเพ่ เพิ่มความรู้ชัด การอยู่ กับ การออก เป็น วสี5 นิดนึง

    มี อิทธิบาท4 เข้ามานิดนึง โดยเฉพาะ วิมังสา ความพอเพียงในการ หน่วงเหนี่ยว
    เข้า อยู่ และ ออก

    ถ้าภาวนาถูก อานาปานสติ ก็มีในสมัย และ โลกก็ปรากฏครบ ไม่ ก้ำเกินกัน
    ไม่เป็น ปฏิปักษ์ เสี้ยนหนาม .....ชำนาญ ฌาณ4 เข้ามานิดนึง ข้ามฝากตาย
    โดยที อายตนะ ก็ยังมีอยู่ ( อานาปานสตินั้น อานิสงค์เด็กๆ ที่จะต้องได้ คือ
    ไป พรหมโลกด้วยกายเนื้อ )

    นะ

    ถ้า ลวกเพ่ ลองดู ลวกเพ่จะเป็น มหาบุรุษ ประชุมอะไร หากมี อะไร สมควร
    แก่กาล เทศะ ลวกเพ่ จะแย็บ ส่งให้คนที่เขามีภูมิ ได้ทำการ ระลึกได้ คิดได้
    เสนอที่ประชุมได้ เรา ปิดทองหลังพระลูกเดียว แกล้ง เออะอะ ngo baht soap ไป
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ตรงที่ "ออกแนวหุนหันพลันแล่น" นั้นฟ้องอยู่ในตัวว่า "รู้สึกอย่างไร ก็ ไปอย่างนั้น" สรุปคือ "มีความรู้สึก เป็นเครื่อง ชี้นำ" (ตัวคุณ Chabob)
    +++ สมาธิ "นับเลข" กับการเล่น "รูบิค" (แบบ Edward Snowden) เป็นการใช้ "ความคิด" เป็นเครื่องชี้นำ (ความเห็นแพทย์)
    +++ ทางศาสนา หลัก ๆ คือ "แก้ที่เหตุ" และ เหตุของคุณคือ "ไปรู้สึกที่อื่น" ไม่ได้ "รู้สึกที่ตัว"

    +++ การทำ "ความรู้สึกทั้งตัว" นั้นจะสามารถ "ตัด" อาการหุนหันพลันแล่นได้ ทั้ง ๆ ที่ยังมีอารมณ์บ้าระห่ำอยู่ (นาม)

    +++ แต่มันก็ "ตัด" ความคิดแบบ จิตส่งออก ไปในตัวด้วยเช่นกัน (รูป)(สวนทางกับความเห็นแพทย์)

    +++ ในกรณีของคุณ หากสามารถ "ทำความรู้สึกทั้งตัว ซึ่ง รวมการรู้ลมหายใจทั้งหมด" ไว้ด้วยกันในที่เดียว

    +++ ก็น่าจะ "เลิกทานยาระงับ ไฮเปอร์" ได้เร็วขึ้น ไม่ทราบว่า ยาพวกนี้ หากทานนานไป จะส่งผลกระทบต่อ "ไต" หรือไม่ นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...