บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อุเบกขาสัมโพชฌงค์
    จึงมาถึงข้อที่ 7 อุเบกขาสัมโพชฌงค์ หรือ อุเบกขาโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์หรือโพชฌงค์คืออุเบกขา อุเบกขาแปลว่าความเข้าไปเพ่งดูอยู่ อันมีความหมายว่าจิตที่ตั้งสงบอยู่นั้นก็รู้ รู้อยู่ตลอดว่าจิตตั้งอยู่สงบ เหมือนอย่างคอยดูอยู่ด้วยลูกตาซึ่งจิตนั้น เป็นความที่เข้าไปเพ่งดู มีตัวรู้ด้วย รู้จิตนั้นว่าตั้งสงบ

    ตัวรู้จิตนั้นที่ตั้งสงบนั้น เป็นตัวรู้ที่ไม่ออกไปเช่นเดียวกัน และเป็นตัวรู้ที่ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เป็นตัวรู้ที่เป็นตัวรู้วาง รู้แล้วก็วาง และเมื่อวางได้ก็ไม่วุ่นวาย ความไม่วุ่นวายนี้เรียกว่าเฉย เพราะฉะนั้น จึงมีอาการที่เป็นตัวความวาง คือไม่ยึดถือ เป็นตัวความเฉยก็คือว่าไม่วุ่นวาย ไม่ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย เป็นรู้ที่วาง และเป็นรู้ที่เฉยคือไม่วุ่นวายไม่กระสับกระส่าย แต่ว่ารู้ทุกอย่าง เหมือนอย่างนั่งอยู่ในบ้านในห้องที่หลังคามุงด้วยดีฝนลงมาก็รู้ และก็ฝนก็ไม่รั่วลงมารด อารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา อย่างจะดูอะไร จะได้ยินอะไร จะทราบอะไร จะคิดอะไร ก็รู้ แต่ว่ารู้แล้วก็วาง ไม่วุ่นวายไม่กระสับกระส่าย สงบ ดั่งนี้คืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันเป็นข้อสำคัญ อันเป็นข้อที่ 7 ซึ่งจะต้องมีกำกับอยู่กับตัวสมาธิ จึงจะทำให้สมาธินี้เป็นสมาธิที่ก้าวหน้า เบื้องต้นก็เป็นบริกรรม ก็เป็นอุปจาระสมาธิ แล้วก็เป็นอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่นได้

    เพราะฉะนั้น สมาธิแม้ที่เป็นอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่นนี้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ไม่ใช่ว่าหลับ หรือไม่ใช่ว่าดับ ความหลับหรือความดับคือตัวหายไปเฉยๆ ดั่งนี้ไม่ใช่สมาธิ เป็นอาการของความหลับ เป็นถีนมิทธะอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเป็นสมาธิแล้วยิ่งละเอียดเท่าไหร่ ก็จะต้องมีตัวรู้ ที่ตื่นที่สว่าง ที่แจ่มใสเพียงนั้น แต่ว่าเป็นตัวรู้ที่เป็นอุเบกขาดังกล่าว สงบไม่วุ่นวาย ไม่ยึดถือ แต่ว่ารู้ แล้วก็เป็นความรู้ที่รู้อยู่ในภายในไปโดยลำดับ ซึ่งบางคราวจะปรากฏเหมือนอย่างว่าไม่มีตัว แต่ว่ามีตัวรู้ อันความปรากฏเหมือนอย่างว่าไม่มีตัวนี้ ก็คือว่าเหมือนอย่างประสาททั้ง 5 ดับหรือสงบ ประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย ละเอียดสงบ จึงเหมือนอย่างไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย จึงคล้ายๆ รู้สึกว่าไม่มีตัว แต่ว่าอายตนะที่ 6 คือมโนกับธรรมคือเรื่องราวนั้นยังอยู่ ใจไม่ดับ ใจสว่างใจตื่นใจโพลง และธรรมะที่รวมอยู่กับมโนนั้น ก็คือสติสมาธิอุเบกขานี้เอง เป็นตัวธรรมะที่ประกอบอยู่กับตัวมโน ดั่งนี้แหละจึงจะเป็นตัวสมาธิ และเป็นตัวอุเบกขา ที่เป็นสัมโพชฌงค์ที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น

    เครดิต...เวปบ้านจอมยุทธ
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอยกเรื่อง..."ปัจจุบัน" มาให้อ่านกันจ้า

    เรื่องปัจจุบัน คำว่าปัจจุบัน มี 2 อย่าง คือ ปัจจุบันธรรม กับปัจจุบันอารมณ์

    ปัจจุบันธรรม คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลายของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต เช่น รูป เสียง กลิ่น รส ความร้อน-เย็น ความอ่อน-แข็ง กลางวัน-กลางคืน คลื่นแม่เหล็ก คลื่นไฟฟ้า ที่มีอยู่ในบรรยากาศทั่วทุกมุมของโลก ความรู้สึก รัก - เกลียด ดีใจ - เสียใจ เจ็บปวด - กลัวตาย การเกิด การตาย ที่มีอยู่ในความเป็นอยู่ของสัตว์ทุกชนิด เช่น ยุง มีอยู่ทั่วไปเป็นปัจจุบันธรรม แต่เมื่อใดที่ยุงมากัดเราทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บ ยุงตัวนั้น และความรู้สึกเจ็บ จัดว่าเป็นปัจจุบันอารมณ์

    ดังนั้น ปัจจุบันอารมณ์จึงหมายถึง รูป-นามที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้า และผู้ปฏิบัติรู้เท่าทันปัจจุบันธรรมที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้านั้นได้เป็นอารมณ์ได้ อารมณ์นั้นก็ชื่อว่าปัจจุบันอารมณ์ ผู้ปฏิบัติจะต้องพยายามให้ได้ปัจจุบันอารมณ์เสมอ เช่น เวลานั่งอยู่อาการท่าทางของร่างกายที่ตั้งอยู่อย่างนั้นเป็นปัจจุบันธรรมด้วย และผู้ปฏิบัติก็กำหนดดูในขณะที่รูปนั่งปรากฎอยู่เฉพาะหน้านั้น รูปนั่งนั้นก็เป็นปัจจุบันอารมณ์ด้วยดังนี้ เป็นต้น

    ประโยชน์ของปัจจุบันอารมณ์ คือ ทำลายอภิชฌา (ความยินดี) และโทมนัส (ความไม่ยินดี) การเจริญสติปัฏฐานนั้น จุดประสงค์สำคัญก็เพื่อทำลายอภิชฌาและโทมนัส เพียงแต่ความเพียรอย่างเดียว หรือสติอย่างเดียว หรือปัญญาอย่างเดียว ไม่สามารถทำลายอภิชฌาและโทมนัส หรือให้เกิดวิปัสสนาได้ เพราะเหตุว่าไม่มีปัจจุบันอารมณ์ ผู้ปฏิบัติจึงต้องอาศัยอารมณ์ด้วย เพราะอารมณ์ปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่การทำลายอภิชฌาและโทมนัส และเป็นปัจจัยให้เกิดวิปัสสนาปัญญา

    อารมณ์ปัจจุบันนั้นได้มาอย่างไร ก็ได้มาจากอินทรีย์สังวร เช่น สังวรในเวลาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อเวลาได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เป็นต้น ถ้ามีปัจจุบันอารมณ์แล้วอภิชฌาและโทมนัสจะเกิดขึ้นไม่ได้ขณะนั้น

    ผู้ที่มีความเข้าใจในอารมณ์ปัจจุบัน และเคยมีประสบการณ์ตรงในอารมณ์ปัจจุบัน แล้วจึงรู้ว่า กาลใด สถานที่ใดควรแก่การเจริญวิปัสสนา เพราะปัจจุบันธรรมนั้นมีอยู่ตลอดเวลา แต่กาละเทศะที่ควรแก่การจะถือเอาปัจจุบันธรรมมาเป็นอารมณ์ปัจจุบันได้นั้น อาจจะไม่เหมาะสมในบางเวลาและบางสถานที่

    ผู้ไม่เข้าใจก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ เช่น ขณะฟังพระเทศน์ ไม่ใช่กาลที่ควรเจริญวิปัสสนา เพราะถ้ากำหนดการได้ยินว่าเป็นนามแล้ว ก็จะไม่รู้เรื่องที่เทศน์ และสถานที่ในการเจริญวิปัสสนาก็ควรพิจารณาว่าต้องเป็นสถานที่ที่ไม่เป็นปัจจัยแก่กิเลส พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญป่า โคนไม้ เรือนร้างว่างเปล่า เป็นต้น ว่าเป็นสถานที่อันสงัดและเงียบสงบ เหมาะแก่การทำความเพียรที่เกื้อกูลผู้ปฏิบัติให้เกิดวิปัสสนาปัญญาได้สะดวก
    .
    .
    .
    .
    .
    ปล. เมื่ออ่านจบแล้ว ลองนำไปพิจารณาว่าเราเข้าถึงความเป็นปัจจุบันแล้วหรือยัง ไม่ต้องตอบที่นี่ ให้ตอบกับตัวเองนะจ๊ะ
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ศรัทธา ซื้อ-ขายกันไม่ได้ บังคับกันไม่ได้

    มาอัพเดทยอดเงินร่วมบุญ สร้างบันไดหน้าพระอุโบสถ วัดภูเพียง จังหวัดน่านค่ะ

    กำหนดทอดกฐินสามัคคี วันที่ 11 พฤศจิกายน 2561

    1. คุณพิมพ์สุภัค. 5 กอง. โอนแล้ว 4,995 บาท
    2. คุณเพ็ญแข. 2. "------------" 2,196. "
    3. คุณนราวดี. 1. กอง เงินสด 1,000. "
    4. คุณพิไลลักษ์ 1. กอง.โอนแล้ว. 1,000 "
    5. คุณรัตนกาล. 6. กอง โอนแล้ว. 6,000. "
    7. คุณษร. 1 กอง โอนแล้ว 1,000 "
    8. คุณจำเนียน. 1 กอง. โอนแล้ว 1,000 "
    9. คุณทัศ. 1 กอง. โอนแล้ว 1,000. "
    10.คุณณัฐิดา. 1 กอง โอนแล้ว. 999. "
    11.คุณเบญจรัตน์.1 กอง โอนแล้ว. 999. "
    12.ดญ.สิริภัสสร โพธิสุวรรณ. 200. "
    13.คุณพยุงศักดิ์ โสตทวี และคุณวันดี ช้างเขียว = 1,000. บาท
    14.คุณลีลารัตน์ แตงอ่อน (เยอรมัน)
    1,000 บาท
    15.คุณชญาณ์นันท์. 1,500. บาท
    16.คุณธีระภัทร. 6 กอง โอนแล้ว. 6,000. บาท
    17.สายคุณMathura. เวปพลังจิต
    1. คุณ จงกล อัคราธนกุล
    2. คุณ ดวงใจชนก พรรษา ฟองฟู และ กุ้ยช่าย
    3. คุณ ปทิตตา อัคราธนกุล และครอบครัว
    4. คุณ โชคชัย ดุรงคเวโรจน์ และครอบครัว
    5. คุณ พรไพรินทร์ ตั้งบรรพบุรุษ
    6. คุณ ปุณยภา แสงศรี
    7. คุณ เบญจมา ณ มหาไชย
    8. นาวาโทณัฐจักร - นางอังค์วรา และเด็กชาย. ณัฏฐกฤษฏิ์ เหลืองนภา
    9. ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
    ยอดเงินรวม 1200 บาท

    ยอดรวมวันที่ 21/9/61- 30. กอง = 31,089. บาท

    ขออนุโมทนากับผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ขอให้มีความร่มเย็นเป็นสุข เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ชอบเดินพิจารณาธรรม พอเท้าก้าวก็บริกรรมเป็นอัตโนมัติ จิตแยกออกมา ยกกองกรรมฐานขึ้นพิจารณาให้แจ้ง

    เมื่อเช้าพิจารณาเรื่องกามราคะที่เกิดกับกาย เพ่งไปที่เหตุ ความจริงได้เห็นเรื่องจิตไม่เกาะมาหลายวันแล้ว ไม่เกาะเกี่ยวรูปนาม ทั้งๆ ที่โหมกระหน่ำนันทิราคะอยู่ทุกวัน

    ยกอสุภะอสุภังขึ้นมา โอ๊ย...ไหลๆๆ เห็นธรรมไหล เห็นปฏิกูลไปทั่วสรรพางค์กาย เมื่อก่อนก็เห็นแค่แบบหยาบๆ คราวนี้เห็นละเอียดลงไปอีก

    เราคงถูกจริตกับอิริยาบทเดิน มันมีผัสสะจากหนทางที่ได้เดินผ่านไป รูป รส กลิ่น เสียง ธรรมารมณ์ ครบเลย

    ร่างกายนี้เป็นปฏิกูลชัดๆ ทุกซอกทุกมุม ทุกอณูเนื้อ พิจารณาตรงไหน ตรงนั้นก็ปฏิกูล เห็นรูปที่ประกอบด้วยปฏิกูล ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ถูกต้องแล้ว อสุภะ...อสุภัง
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอยกนิทานชาดก มาให้อ่านกันจ้า

    มุทุลักขณาชาดก - กามกิเลส

    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภสภาวะธรรมที่ทำให้คนเศร้าหมอง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีตนหนึ่งได้อภิญญา บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ป่าหิมพานต์ วันหนึ่งได้เดินทางเข้าไปพำนักในสวนหลวง ในเมืองพารณสี รุ่งเช้าครองผ้าเปลือกไม้ ห่มหนังเสือ เกล้าผมทรงบริขาร เที่ยวภิกขาจารไปถึงประตูพระราชวัง พระราชาทรงเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้เข้าไปฉันในพระราชวัง และนิมนต์ให้อยู่ในสวนหลวง ฤาษีรับคำนิมนต์อยู่เป็นเวลา ๑๖ ปี

    อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปปราบกบฎแถบชายแดน จึงมอบหน้าที่ถวายภัตตาหารแก่พระมเหสีนามว่ามุทุลักขณา ฤาษีมักเข้าพระราชวังตามเวลาที่ตนพอใจเป็นประจำ วันหนึ่งพระนางได้เตรียมอาหารเสร็จแล้ว เข้าใจว่าฤาษีจะมาช้าจึงเอนพระกายรอที่ท้องพระโรง ขณะนั้น ฤาษีได้เหาะมาถึงพอดี พระนางเมื่อได้ยินเสียงเปลือกไม้ก็รีบเสด็จลุกขึ้น ทำให้ผ้าที่ทรงอยู่ซึ่งเป็นผ้าเนื้อเกลี้ยงหลุดลง เป็นเวลาที่พระฤาษีเหาะเข้าทางช่องพระแกลพอดีทำให้เห็นรูปกายของพระนาง อำนาจแห่งความงามเป็นเหตุให้กิเลสภายในฤาษีกำเริบขึ้น ทันใดนั้น ฌานของท่านเสื่อมลงทันที หลังจากรับอาหารแล้วท่านบริโภคไม่ได้ เดินลงจากปราสาทเข้าไปสวนหลวงนอนซมไม่แตะอาหารปล่อยให้ร่างกายซูบผอมถึง ๗ วัน

    ในวันที่ ๗ พระราชาเสด็จกลับมาถึงเมืองทำประทักษิณพระนครแล้ว เสด็จตรงไปหาฤาษีทันที เห็นอาการเช่นนั้นแล้วทรงตกพระทัยจึงตรัสถามถึงสาเหตุ ฤาษีได้ตอบว่าเป็นเพราะมีจิตกำหนัดในพระนางมุทุลักขณาเป็นเหตุ พระองค์ทรงยินดีถวายพระนางให้แก่ฤาษี ก่อนถึงเวลาได้สัญญาลับกับพระนางมุทุลักขณาว่า ขอให้พระนางพยายามรักษาตนด้วยกำลัง พระนางได้บอกฤาษีว่าต้องมีเรือนหลังหนึ่ง ฤาษีขอพระราชทานจากพระราชา พระองค์มอบเรือนวัจจกุฏี(ส้วม)ให้หลังหนึ่ง พระนางไม่เข้าไปด้วยความสกปรก ดาบสจึงไปนำตะกร้ามาจากพระราชสำนักมาโกยสิ่งสกปรกและขยะไปทิ้ง พระนางให้ดาบสทำความสะอาดห้องแล้วไปนำเตียงมาและเก้าอี้มาทีละอย่าง และใช้ตักน้ำให้เต็มตุ่ม

    เมื่อกำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยกัน พระเทวีจับสีข้างดาบสฉุดให้ก้มลงตรงหน้าพลางตรัสว่า
    " ท่านไม่รู้ตัวว่าเป็นสมณะหรือพราหมณ์เลยหรือ "

    ดาบสกลับได้สติคืนมาในเวลานั้นเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านไม่รู้ตัวเอาเสียเลย เพราะอำนาจกิเลส จึงนำพระเทวีไปถวายพระราชาแล้วกล่าวคาถาว่า
    " ครั้งก่อน เรายังไม่ได้ประสบพระนางมุทุลักขณา ความปรารถนามีอยู่อย่างเดียว
    ครั้นได้พบพระนาง ผู้มีเนตรแวววาวเข้าแล้ว ความปรารถนาช่วยให้เกิดความต้องการ
    ขึ้นหลายอย่าง "

    ฤาษี ได้อำลาพระราชากลับเข้าป่าหิมวันตะด้วยการบำเพ็ญฌานใหม่ เหาะขึ้นสู่อากาศทันที ไม่หวนกลับมาถิ่นของมนุษย์อีกเลย

    อำนาจแห่งความงามกิเลสตัณหาทำให้คนตาบอด

    * เรื่องที่ ๖ ในอิตถีวรรค หน้า ๑๔๖-๑๕๖ พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๒
    ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมื่อคืนเปิดยูทูปดู เมื่อยมือที่ต้องถือโทรศัพท์ ก็เลยวางไว้ข้างๆ ตัว นอนตะแคงขวาหลับตาฟัง ฟังแค่เสียงไม่มีการแปลความหมายใดๆ จับคลื่นเสียงนั้น หลับซิคะ 555 นานแค่ไหนไม่รู้ รู้สึกตัวลืมตา เอ้าเราฟังยูทูปไม่ใช่หรอ เสียงต่างๆ หายไป มองหาโทรศัพท์ ยังอยู่ที่เดิม ไฟก็ยังเปิดสว่าง ก็เลยเก็บโทรศัพท์แล้วปิดไฟ นอนต่อ

    สุขอุราเสียจริง ภายในทำกิจเรื่องอริยสัจสี่ เห็นการบรรยายว่าอริยสัจสี่เกิดขึ้นที่อายตนะ จิตทำกิจวนไป. อืมๆๆ วนไปเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงเจ้าสเกลร้องเรียก เช้าแล้ว ลืมตาตื่นมาเปิดกรงให้มัน...จบ สาระประจำวัน 555
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สาระที่มีอยู่ในความไร้สาระนะเออ
    เปลือกที่ห่อหุ้มมักนำมาซึ่งความปิดบัง ซ่อนเร้น
    เหมือนเพชรในตม ฮาๆ:p
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เกิดเป็นคนต้องมีอาการครบ 32 ประการ

    อาการ 32 ประการ

    1. เกศา คือผม อย่าได้ชื่นชม ว่าผมโสภา ทั้งเก้าล้านเส้น ย่อมเป็นอนัตตา ครั้นแก่ชรา...กลับขาวน่าชัง

    2. โลมา คือขน งอกทั่วตัวตน ก็เป็นอนิจจัง ได้เก้าโกฏิเส้น ล้วนเป็นอสุภัง น่าเกลียดน่าชัง...อย่าชมว่าดี

    3. นะขา คือเล็บ ถอดหักมักเจ็บ ว่าเล็บกระสี ทั้งยี่สิบทัศ วิบัติอัปรีย์ แก่นสารไม่มี...วิปริตสาธารณ์

    4. ทันตา คือฟัน สามสิบสองอัน ใช่แก่นใช่สาร คลอนขลุกหงุกหงัก หลุดหักสาธารณ์ ไม่ตั้งอยู่นาน... ควรคิดอนิจจา

    5. ตะโจ คือหนัง เปื่อยเน่าพองพัง ทั่วทั้งกายา ถ้าจะม้วนเข้า เท่าลูกพุทรา คนอันธพาลา...นับถือว่าดี

    6. มังสัง คือเนื้อ เปื่อยเน่าบ่มีเหลือ เท่าเส้นเกศี ทั้งเก้าร้อยชิ้น ในกายอินทรีย์ ตายแล้วเป็นผี...รังเกียจเกลียดอาย

    7. นะหารู คือเอ็น เก้าร้อยทำเข็ญ เมื่อยขบสารพางค์
    ลุกโอยนั่งโอย รัญจวนครวญคราง ให้โทษทุกอย่าง...อย่าถือว่าดี

    8. อัฐิ กระดูก เส้นรัดมัดผูก สามร้อยท่อนมี ล้วนเป็นอนัตตา อย่าชมว่าดี แก่นสารไม่มี...เครื่องถมแผ่นดินหาปัญญาไม่ รักใคร่อาจิณ จะเพิ่มพูนดิน...บ่ได้คิดถึง อวิชชาหุ้มห่อ ผูกรัดมัดรึง หลงรักตะบึง...บ่คล้อยถอยหลัง

    9. อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก เพลิงร้อนต้องถูกละลายไหลหลั่ง เหม็นขื่นเหม็นเขียว น่าเกลียดน่าชัง ควรคิดอนิจจัง...ทุกขังอนัตตา

    10. วังกัง คือม้าม แต่ล้วนไม่งาม โสโครกหนักหนา
    เครื่องเปื่อยเครื่องเน่า ถมแผ่นพสุธา ครั้นสิ้นชีวา...แร้งกาแย่งกิน

    11. หะทะยัง หัวใจ ม้ามปกคลุมไว้ ในอกอาจิณ
    สิ้นลมระบาย สุนัขกากิน เครื่องเน่าทั้งสิ้น...ไม่เหลือสักอัน

    12. ยะกะนัง คือตับ เป็นชิ้นประทับ กับหว่างนมนั้น
    กำหนดโดยสี สีแดงแสงฉัน เครื่องเน่าทั้งนั้น...ในกายอินทรีย์

    13. กิโลมะกัง พังผืดนั้นเล่า พระสรรเพชญ์เจ้ากำหนดโดยสี เหมือนทุกุลพัสตร์ ที่ผ้าพอดี เก่า ๆ เศร้าสี...มิสู้งามตา เป็นเครื่องสาธารณ์ อาหารแร้งกา ควรคิดอนิจจา...อย่าได้ละวาง

    14. ปิหะกัง คือพุง จงตั้งจิตมุ่ง อย่าเหินอย่าห่าง
    เอาเป็นกัมมัฏฐาน อย่าได้ละวาง พุงมีสีอย่าง...ดอกคนทิสอ สัณฐานพุงนั้น เหมือนสีโคมอ อาศัยอยู่ต่อ...ที่ท้ายดวงใจ

    15. ปัปผาสัง คือปอด เอาปัญญาสอด ส่องลงภายใน
    ให้เห็นอนิจจัง ประจักษ์แจ่มใส สีปอดนั้นไซร้...แดง ๆ สำราญ สามสิบสองชิ้น ติดกันสัณฐาน เหมือนขนมหวาน...ตัดชิ้นเสี้ยว ๆ

    16. อันตัง ไส้ใหญ่ เป็นสายยาวเรียว เป็นขดลดเลี้ยว...ยี่สิบแปดขด ไส้ชายกำหนด สามสิบสองศอก ว่ายืดยาวออก...กว่าไส้สตรี ไส้หญิงสั้นกว่า สี่ศอกโดยมี กำหนดโดยสี...เหมือนฉาบปูนขาว เบื้องบนนั้นยาว ตลอดลำคอ เบื้องต่ำนั้นต่อ...ทวารเบื้องใต้

    17. อันตะคุณัง ไส้น้อยกำหนด รัดขดไส้ใหญ่ บางทีรัดไว้...บางทีโยนยาน

    18. อุทะริยัง คืออาหารใหม่ เข้าอยู่ในไส้ เหมือนไถ้ข้าวสาร

    19. กะรีสัง คืออาหารเก่า ลงเข้าทวาร เหม็นพ้นประมาณ...รังเกียจเกลียดชัง

    20. ปิตตัง คือดี เขียว ๆ โดยสี ดีมีสองอย่าง อย่างหนึ่งดีฝัก ซับซาบสารพางค์ ดีทั้งสองอย่าง...อสุจิอสุภัง

    21. เสมหัง เสลดข้น เป็นไขไหลล้น น่าเกลียดน่าชัง
    ท่านผู้บัณฑิต ควรคิดอนิจจัง เสลดนี้ปิดบัง...อยู่บนอาหาร

    22. ปุปโป คือหนอง เกิดแต่พุพอง เปื่อยเน่าทุกประการ

    23. โลหิตัง คือเลือด เหลวไหลซาบซ่าน ทั่วกายทวาร...สีแดงดังชาด เลือดข้นนั้นไซร้ พอได้เต็มบาตร เป็นอาโปธาตุ...ชังอยู่ในท้อง ทับท่วมหัวใจ ตับไตทั้งผอง พึงระลึกตรึกตรอง...ให้เห็นอนัตตา

    24. เสโท คือเหงื่อ ซาบอยู่ในเนื้อ ทั่วทั้งสรีรา ต้องร้อนไหลหลั่ง เทพังออกมา โซมทั่วกายา...น่าเกลียดน่าอาย

    25. เมโท คือมันข้น ซาบอยู่ในตน ทั่วทั้งสารพางค์
    สีเหมือนขมิ้น เหลืองอ่อนจาง ๆ เหม็นสาบเหม็นสาง...โสโครกหนักหนา

    26. อัสสุ น้ำเนตร โทมนัสเป็นเหตุ ไหลหลั่งออกมา
    จากคลองจักษุ ทั้งสองซ้ายขวา เป็นท่อธารา...หยาดย้อยฟูมฟอง

    27. วะสา มันเหลว ต้องร้อนไหลนอง ปลงสติติตรอง...ให้เห็นอนัตตา

    28. เขโฬ น้ำลาย ที่เหลวอยู่ปลาย ประเทศชิวหา
    ข้นอยู่ปลายลิ้น ไหลออกอัตรา เร่งคิดอนิจจา...อย่าหลงว่าดี

    29. สิงฆานิกา น้ำมูก ออกช่องจมูก เห็นน่าบัดสี
    บ้างขังบ้างไหล มิใช่พอดี โสโครกเต็มที...น่าเกลียดน่าอาย

    30. ละสิกา ไขข้อ อยู่ที่ข้อต่อ กระดูกร่างกาย
    เหมือนไขทาเพลา แห่งเกวียนทั้งหลาย อย่าได้มั่นหมาย...ว่าเป็นของดี เร่งคิดสังเวช จิตตั้งสังเกต ถึงกายอินทรีย์ ปัญญาส่องมอง ตามคลองวิถี โดยพระบาลี... ว่าไว้ในสูตร

    31. มุตตัง มูตรเน่า คืออาหารเก่า แบ่งออกเป็นมูตร
    ยิ่งเก่ายิ่งเหม็น ยิ่งเน่ายิ่งบูด รู้ว่าเป็นมูตร...แสยงขนพอง

    32. มัตถะเก มัตถะลุงคัง เยื่อในศีรษะ...คือแป้งสามปั้นอยู่ในสมอง ต้องร้อนเมื่อไร เหลวไหลออกนอง อย่าได้คิดปอง...ว่าเป็นแก่นสารเลยฯ
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ครับผ๊ม
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เหตุของการปั้นพระพุทธรูปปางสมาธิ

    ที่งานปริวาสกรรม วัดภูเพียง จังหวัดน่าน ครั้งที่ผ่านมา (1-10 พฤษภา 2561) ค่ำวันหนึ่ง ณ ลานธรรมที่เหล่าแม่ชี แม่ขาว อุบาสก อุบาสิกา มารวมกันเพื่อสวดมนต์ทำวัตรเย็น และนั่งกรรมฐาน แม่ชีมี่ก็หยิบของสองสิ่งส่งให้ นั่นคือ หินคลอนพญานาค กับกำไลเชือกถักแก้วขนเหล็ก พร้อมทั้งบอกว่าของสองสิ่งนี้พระอาจารย์เป็นผู้ให้มา ได้มาจากคำชะโนด จังหวัดอุดรธานี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ตอนที่รับมาไว้ในมือ มีกระแสเย็นแล่นเข้ามาจับจิต เกิดปิติอย่างประหลาด แม่ชีบอกว่าข้างในเป็นสีเหลืองทอง สวยมาก ถ้าพี่ทุบแล้วส่งรูปมาให้ดูด้วยนะว่าตรงกับที่แม่ชีเห็นหรือเปล่า จากนั้นก็ทำกิจสวดมนต์และนั่งกรรมฐาน

    เกิดนิมิตขึ้นในสมาธิเห็นพระพุทธรูป ปางสมาธิ สีทองอร่าม ก็เล่าให้แม่ชีฟังว่าข้างในสีเหลืองทองแน่เลย เมื่อไตร่ตรองดูเห็นว่าต้องมีเหตุ พระอาจารย์ให้แม่ชี แล้วแม่ชีเอามาให้เราอีกต่อนึง เรื่องนี้ต้องมีเหตุแน่นอน จากอุดรขึ้นมาถึงน่าน
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หลังจากวันนั้นก็คุยกับแม่ชีเรื่องจะสร้างบันไดหน้าพระอุโบสถ เพื่อสาธารณประโยชน์แก่ชาวบ้านและพระภิกษุ น้อมถวายเป็นพุทธบูชา. ของเดิมชำรุดหักพัง เนื่องจากดินทรุดตัว โยมและพระต้องเดินอ้อมทางหลังวัด

    ต้องใช้งบประมาณหลักล้าน ขอให้ชีช่วยบอกบุญต่อให้ด้วย ชีบอกว่าพี่มาช่วยชีสร้างสำนักปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ก่อน โยมถวายที่ดินให้อยู่ที่แพร่ ที่สวยมากมีสระบัวขนาดใหญ่

    อ้าว...ที่พญานาคนี่ ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวก็เสร็จ ดีเหมือนกันอีกหน่อยเราจะได้ไปปลีกวิเวกที่แพร่บ้าง ถามชีไปว่าสองปีสร้างเสร็จมั้ย ชีบอกว่าน่าจะเสร็จ ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้าง ชีก็ต้องไปๆ มาๆ น่านกับแพร่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2018
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แล้วเราจะไปช่วยทางไหนได้.....

    เสร็จงานปริวาสกรรมก็แยกย้ายกันกลับ กลับมาพร้อมกับของสองสิ่งนั้น ชีส่งข้อความมาถามว่าทุบหินหรือยัง ก็เลยทุบออกมาเป็นพลอยสีเหลืองทอง เราจะเก็บไว้ทำอะไร เพชรพลอยมาอยู่กับเราก็คงเป็นแค่ก้อนกรวด

    พิจารณาทบทวนไปมาของเหตุทั้งปวงที่ได้ประสบมา กับคำร้องขอให้ช่วยของชี....ไม่ได้แล้วเราต้องช่วย ส่งข่าวไปถึงชีว่า...พี่จะปั้นพระประธานให้สำนักปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ของชีนะ และพลอยจากหินคลอนจะนำมาติดเป็นอุณาโลม จิตสื่อได้ว่าท่านต้องการมาร่วมสร้างบารมีด้วย...เอวัง
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    โลกทิพย์สำหรับเรา คือ โลกแห่งภวังคจิต คือภพๆ หนึ่งที่มีอยู่ในจิตของผู้ที่พบเห็น เป็นสัญญาอารมณ์ที่หมักดองมาข้ามภพข้ามชาติ เราจึงไม่ค่อยใยดีกับเรื่องโลกทิพย์ ไม่ยึดเกาะเกี่ยว อ่านได้เพื่อความบันเทิง เห็นแต่กฏแห่งกรรมและวัฏฏสงสาร ถ้าจะให้เล่าก็พากันฟุ้งอีก กิเลสไม่ปล่อยให้ใครหลุดพ้นไปจากวัฏฏสงสารได้ง่ายๆ

    ตราบใดที่จิตยังมีความติดข้องในภพชาติ การเล่าจึงเป็นการสนับสนุนให้ปรุงแต่งไปในสังขารธรรม

    เรื่องราวพะลึกพิลั่นเว่อวังเกินบรรยายมีมากมายนะ ส่งเสริมจินตนาการ คนทางโลกต้องมีจินตนาการเพื่อนำไปใช้ในหน้าที่การงาน และความเป็นอยู่ ต่างจากผู้ทำความเพียรเพื่อความหลุดพ้น จินตนาการเป็นเครื่องขวางความก้าวหน้าในทางธรรม บางคนบอกว่าจินตนาการคือจินตามยปัญญา มันก็ใช่ แต่นั่นคือโลกิยะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2018
  16. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    นั่นสิคับ ไม่ติดข้องอะไร เคว้งคว้างเลยทีนี้ :oops:
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไม่น่าจะเคว้งนะ ถ้ารู้จักปัจจุบัน มีลมหายใจเป็นเพื่อน:D
     
  18. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    สักพัก ลมหายใจก็ทิ้งเราไปอีกคน :(
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สรรพสิ่งเป็นเพียงรูปนาม มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ไม่คงที่ ไม่คงทน ย่อมเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ใดๆ ในโลกนี้ล้วนอนิจจัง ความมีอยู่เกิดคู่กับความไม่มีอยู่เสมอ:cool:
     
  20. Fallenz

    Fallenz ○~พบแล้ว เจอแล้ว เสวนาแล้ว ที่เหลือแล้วแต่วาสนา~●

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +733
    เนาะ รองเท้ายังขาดทีละข้างเลย อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...