@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

วันนี้วันที่ ๓๐ ตุลาคม เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ครบ ๒๖ ปี หลวงพ่อฤาษีลิงดำ "พระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญาและแตกฉานในการสอนธรรม" ท่านเป็นพระอริยบุคคล ผู้อยู่ด้วยความกรุณาเป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะ และสิ่งทีเป็นประโยชน์สงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับเป็น“ศากยบุตรพุทธชิโนรส"อย่างแท้จริง

"..คนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหน ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์ คือ
๑.ศิษย์ชั้น ๓ คือ พยายามรักษาศีล ๕ เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนให้มากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น ๓ คือ ศิษย์ขนาดจิ๋ว

๒.ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้ คือ มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง

๓.ศิษย์เอก มีปฏิปทา ดังนี้ คือ รักษาศีล ๕ ครบถ้วนเป็นปกติ มีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า ถ้าตายไปจากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นปกติ..."

ประวัติหลวงพ่อฤาษีลิงดำ โดยย่อ
ท่านถือกำเนิดตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เกิดที่ต.สาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ก่อนที่ท่านจะเกิดนั้น มารดาของท่านฝันว่า เห็นพรหมมีสีเหลืองเป็นทองคำเหมือนพระพุทธรูป นอนลอยไปในอากาศ มีเพชรประดับแพรวพราวทั้งตัว เข้าทางหัวจั่วด้านทิศเหนือ เข้ามานั่งที่ตักท่าน มารดาก็กอดไว้ แล้วก็หายเข้าไปในกาย เมื่อเกิดมาใหม่ ๆ หลวงพ่อเล็ก เกสโร ซึ่งมีฐานะเป็นลุง ได้กล่าวว่า เจ้าเด็กคนนี้มาจากพรหม ดังนั้นจึงให้ชื่อว่า "พรหม" และต่อมาภายหลัง คนที่จดสำมะโนครัวเขามาเปลี่ยนชื่อให้เป็น "สังเวียน" ท่านยายกับชาวบ้านเรียกว่า "เล็ก" ส่วนท่านมารดาและพี่ๆ น้องๆ เรียกว่า "พ่อกลาง"

เมื่ออายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบันคือโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) พออายุครบบวช ๒๐ ปี ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ พัทธสีมาวัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ(หลวงพ่อปาน โสนันโท)เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก

คำสั่งพระอุปัชฌาย์ ขณะเข้าบวช หลวงพ่อปาน ท่านบอกท่านอุปัชฌาย์ว่า เจ้านี่หัวแข็งมาก ต้องเสกด้วยตะพดหนักหน่อย ท่านอุปัชฌาย์ท่านเป็นพระทรงธรรมเหมือนหลวงพ่อปาน หลวงพ่อเล็กก็เหมือนกัน ท่านอุปัชฌาย์ท่านยิ้มแล้วท่านพูดว่า "๓ องค์นี้ไม่สึก อีกองค์ต้องสึกเพราะมีลูก เมื่อจะสึกไม่ต้องเสียดายนะลูก เกษียณแล้วบวชใหม่มีผลสมบูรณ์เหมือนกัน ๒ องค์นี้พอครบ ๑๐ พรรษาต้องเข้าป่า เมื่อเข้าป่าแล้วห้ามออกมายุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย จะพาพระและชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก จงไปตามทางของเธอ ท่านปานช่วยสอนวิชาเข้าป่าให้หนักหน่อย ท่านองค์นี้ (หมายถึงฉัน) จงเข้าป่าไปกับเขา แต่ห้ามอยู่ในป่าเป็นวัตร เพราะเธอมีบริวารมาก ต้องอยู่สอนบริวารจนตาย พอครบ ๒๐ พรรษาจงออกจากสำนักเดิม เธอจะได้ดี จงไปตามทางของเธอ ฉันบวชพระมามากแล้วไม่อิ่มใจเท่าบวชพวกเธอ"

ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐานจากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่น หลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ

พ.ศ.๒๕๑๑ เข้ามาบูรณะวัดท่าซุง และรับตำแหน่งเจ้าอาวาส
พ.ศ.๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"

หลวงพ่อฤาษีลิงดำอาพาธด้วยโรคปอดบวมและติดเชื้อในกระแสโลหิต ท่านมรณภาพที่รพ.ศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

"..การอยู่ธุดงค์ต้องระมัดระวัง นั่นก็คือว่าการที่จะต้องอดข้าวกินจะต้องระวังทางด้านจิตใจ ไม่ให้นิวรณ์กวนใจ ขึ้นชื่อว่า นิวรณ์ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันต้องกวนตลอดเวลา คำว่า นิวรณ์ แปลว่า เป็นกิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง นั่นก็หมายความว่าคนใดถ้านิวรณ์รบกวนใจ ประจำใจอยู่ เวลานั้นเป็นคนไร้ปัญญา นิวรณ์ ๕ ประการก็คือ

๑.ความรักในระหว่างเพศ ขอเจาะเอาสั้น ๆ คือ รักรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ก็ขอบอกสั้น ๆ ว่า ความรักระหว่างเพศ รักแก้ว ถ้วยโถโอชามสร้อยถนิมพิมพา ก็รักแค่นั้นแหละ ความรุ่มร้อนมันมีน้อย ถ้าเกิดรักคนสวยขึ้นมานี่ ความเร่าร้อนมันมีมาก เลยถือใช้คำนี้เป็นคำสำคัญ และก็
๒.อารมณ์ไม่พอใจ จะต้องมีอารมณ์แช่มชื่นอยู่เสมอ
๓.ความง่วงในขณะที่ปฏิบัติความดี
๔.อารมณ์ฟุ้งซ่านนอกรีตนอกรอย สร้างวิมานในอากาศ
๕.สงสัยในความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกฏของกรรม

รวมความว่า ทั้ง ๕ อย่างนี้ จะต้องไม่ให้เป็นเจ้าหัวใจ มันมีได้ แต่ทว่า มันก็ต้องมีไม่ใช่ไม่มี แต่มันมีขึ้นเดี๋ยวเดียว ต้องรีบตกลงไป
ถ้า กามฉันทะ เกิดขึ้น ก็ใช้ ภายคตานุสสติ กับอสุภกรรมฐาน เข้าหักล้าง
ถ้า ความโกรธ ความพยาบาท เกิดขึ้น ใช้ พรหมวิหาร ๔ เข้าหักล้าง
ถ้า ความง่วง เกิดขึ้น เอาน้ำล้างหน้า หักล้าง
ถ้า ความฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นจับ อานาปานสติ หักล้าง
ถ้า ความสงสัยเกิดขึ้น ใช้ ปัญญา ใคร่ครวญความเป็นจริง ถึงความ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ความแก่ ความเก่า ในท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลงในท่ามกลางการแตกสลายในที่สุด.."

 

พระคาถา #พุทธอุษณีษวิชยธารณีสูตร เป็นคาถาพิเศษ พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ก็ทรงใช้บทนี้ช่วยสัตว์นรก....เริ่มต้นจากพระพุทธองค์ทรงเมตตาประทานให้แก่พระอินทร์และเทวบุตรบนเทวโลก และตกทอดมาถึงมนุษย์ จากอินเดียไปสู่จีนเมื่อ พันสามร้อยปีที่แล้ว และมาไทยเมื่อ5ปีที่แล้ว โดยพระอาจารย์วิศวภัทร

อันพระคาถานี้ พระตถาคตกล่าวว่า ..."สามารถชำระอบายมรรคทั้งปวง สามารถชำระทุกข์เศร้าหมองของสังสารวัฏ อีกสามารถชำระทุกข์แห่งนรก ยมราชาโลก เดรัจฉานให้บริสุทธิ์ อีกทั้งทำลายนรกทั้งปวง สามารถปรินามสู่กุศลมรรค”

... ตั้งใจแกะคำอ่านมา เพื่อให้ท่านที่ศรัทธาอย่างแท้จริงได้สวดกันเพื่อช่วยสัตว์นรก จะพริ้นท์ออกมาก็ได้ แต่ขออย่างเดียว #ห้ามวางกับพื้นหรือที่ต่ำเด็ดขาด!!

#จังหวะในการอ่านแบบต้นฉบับดูจากยูทูปนี้ค่ะ

‭https://m.youtube.com/watch?v=_hq13isVMnY‬

#พระคาถา พุทธอุษณีษวิชยธารณีสูตร

นโม ภะคะวะเต ไตรโลกิยะ ประติวิศิษฏายะ พุทธายะ ภะคะวะเต ตะรียะถาโอม วิศุทธะยะ วิศุทธะยะ อะสะมะ สะมะ สมันตะวะภาสัส ผะระณะ คติ คะหะนะ โสวะภา วิศุทเธ อภิษิญจะตุ มัม สุคะตะ วะระ วะจะนะ อเมฤตะ อภิเษไก มหามันตระ ปะได อาหะระ อาหะระ อายุ สัม ดาระณิ โศธะยะ โศธะยะ คะคะนะ วิศุทเธ อุษณีษะ วิชะยะ วิศุทเธ สะหัสสรารัศมิ สัมโจทิเต สรวะ ตถาคะตะ อะวาโลกะนิ ษัฏ ปารมิตา ปริปูระณิ สระวะ ตถาคะตะ มติ ทะศะ ภูมิ ประติษฐิเต สระวะตถาคะตะ หฤทะยะ อธิษฐานา ธิษฐิตะ มหา มุทเร วัชรกายะ สัม หะตะนะ วิศุทเธ สรวา วะระณะ อปายะ โดคะติ ปะริ วิศุทเธ ประติ นิวรัตตะยะ อายุ ศุทเธ สะมะยะ อธิษฐิเต มณิ มณิ มหา มณิ ตะถาตา ภูตะ โกฏิ ปริศุทเธ วิชผุตะ พุทธิ ศุทเธ ชะยะ ชะยะ วิชะยะ วิชะยะ สะมะระ สะมะระ สระวะ พุทธะ อธิษฐิตะ ศุทเธ วัชริ วัชระ คระเภ วัชรัม ภาวะตุ มะมะ ศรีรัม สรวะ สัตวา นาม จะ กายะ ปริ วิศุทเธ สระวะ คะติ ปริศุทเธ สระวะ ตถาคะตะ สิญจะ เม สะมาศะวาสะ ยันตุ สระวะ ตถาคะตะ สะมาศะวาสะ อธิษฐิเต พุทธิยะ พุทธิยะ วิพุทธะยะ วิพุทธะยะ โพธะยะ โพธะยะ วิโพธะยะ วิโพธะยะ สมันตะ ปริศุทเธ สระวะ ตถาคะตะ หฤทะยะ อธิษฐานา ธิษฐิตะ มหา มุทเร สวาหา

พระคาถา #พุทธอุษณีษวิชยธารณีสูตร นี้แปลจากภาษาอินเดียโบราณ หรือภาษาสันสกฤต เป็นภาษาจีนในสมัยราชวงศ์ถัง พระเจ้าถังเกาจง พ.ศ. 1226 และ พระวิศวภัทร เส็กก่วงโต่ว ท่านเจ้าอาวาสพุทธจักษุวิชชาลัยกษิติครรภ์โพธิมณฑล ประเทศไทย ได้แปลเป็นภาษาไทย เมื่อวันที่ 11 พย. 2556

จากที่ได้อ่านหนังสือพระคาถานี้ เรื่องราวที่ทำให้เราได้รู้จักพระสูตรนี้คือ สมัยนั้นบนดาวดึงส์เทวโลก มีเทวบุตรผู้ยิ่งใหญ่ เสวยทิพยสมบัตินานาประการ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงว่า "อีก 7 วัน เทวบุตรนี้จะหมดอายุขัย จะไปเกิดเป็นเดรัจฉาน 7 ครั้ง และรับทุกขเวทนาในนรก เมื่ออกจากนรก จะเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลยากจนต่ำต้อย จะไร้ซึ่งดวงตาทั้งสองข้างตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา"

เทวบุตรทราบดังนั้น ก็ตกใจกลัวมาก จึงรีบไปกราบแทบเท้า พระสักกเทวราชแล้วเล่าให้พระองค์ฟัง เมื่อพระสักกเทวราชฟังดังนั้นก็สงสารมาก ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เห็นจะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงไปกราบทูลเรื่องราวของเทวบุตรผู้นี้ให้พระตถาคตฟัง พระพุทธองค์จึงเมตตาประทานท่องมนต์ #พุทธอุษณีษวิชยธารณีสูตรนี้ให้ฟัง นี่คือปฐมบทแห่งการได้มาซึ่งพระสูตรนี้ อันมีจารึกอยู่บนแท่งศิลา สมัยราชวงศ์ถัง ปี พ.ศ. 1326 และจารึกบนแท่งศิลา สมัย 5 ราชวงศ์ ราวปี พ.ศ. 1479-1487

ทีนี้ มนุษย์ ได้รับพระคาถานี้อย่างไร? จากจารึก พบว่า พระพุทธปาลิตมหาเถระ จากอินเดีย (ปัจฉิมประเทศ) มีความเลื่อมใสศรัทธา พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตว์เป็นอย่างมาก ด้วยมีความคิดว่า "หลังจากพระพุทธปรินิพพานแล้ว บรรดาพระอริยเจ้าก็หลีกเร้น จะมีก็แต่พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตว์ ที่สถิตอยู่ในพุทธคิรีอู่ไถ เพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์และหมู่พระโพธิสัตว์" จึงดั้นด้นเดินทางมาที่ประเทศจีน (บูรพประเทศ)

เมื่อมาถึง ก็เห็นคนชราผู้หนึ่งเดินออกมาจากภูเขา ตรงเข้ามากล่าวว่า" พระอาจารย์มีจิตเปี่ยมล้นด้วยศรัทธา มุ่งมั่นมาคารวะยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก แต่ทว่าหมู่สัตว์ในบูรพประเทศกระทำบาปเป็นอันมาก ผู้ออกบวชก็ละเมิดพระธรรมวินัย เห็นมีเพียง พุทธอุษณียวิชัยธารณีสูตร ที่สามารถดับอกุศลทั้งปวงของหมู่สัตว์ ไม่ทราบว่าพระอาจารย์ได้นำพระสูตรนี้มาด้วยหรือไม่? "

พระพุทธปาลิตตอบ" อาตมาเดินทางมาเพียงนมัสการ ไม่ได้นำพระสูตรมาด้วย"

คนชราตอบ" หากท่านไม่ได้นำพระสูตรมา ก็ศูนย์ซึ่งประโยชน์แม้นได้พบพระมัญชุศรี ก็ไม่รู้จัก พระอาจารย์พึงหวนกลับปัจฉิมประเทศ (อินเดีย) เพื่อนำพระสูตรนี้มาเผยแผ่ ถ่ายทอดยังบูรพประเทศ จึงจะเป็นการยังประโยชน์ให้แก่สรรพสัตว์ได้อย่างกว้างขวาง ฉุดช่วยสัตว์ในยมโลก สนองกตเวทิตาคุณแห่งพระพุทธองค์ ก็เมื่อใดที่พระอาจารย์นำพระสูตรมายังสถานที่นี้ ศิษย์จะบอกที่ประทับของพระมัญชุศนีแก่พระอาจารย์" พูดจบ คนชราผู้นั้นก็หายตัวไป (เชื่อกันว่าคนชราผู้นั้นคือ พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตว์ นั่นเอง)

ก็คือพระพุทธปาลิตมหาเถระ ต้องกลับอินเดียเพื่ออัญเชิญพระสูตรนี้ กลับมาถึงจีนอีกที ปี พ.ศ. 1226 (ไปกลับ 7ปี)

อันพระคาถานี้ พระตถาคตกล่าวว่า ..."สามารถชำระอบายมรรคทั้งปวง สามารถชำระทุกข์เศร้าหมองของสังสารวัฏ อีกสามารถชำระทุกข์แห่งนรก ยมราชาโลก เดรัจฉานให้บริสุทธิ์ อีกทั้งทำลายนรกทั้งปวง สามารถปรินามสู่กุศลมรรค”

พระคาถานี้มีมานานหลายกาลเวลา เป็นบทที่ พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ทรงประทานเพื่อรื้อขนสัตว์นรกและผู้ตกในอบายภูมิ

พระคาถาบทนี้มีมานานกว่า 1,300ปี เป็นภาษาอินเดียโบราณ (สันสกฤต) เผยแผ่ไปสู่มหายาน จีนแผ่นดินใหญ่เป็นภาษาจีน บัดนี้มีภาษาไทยแล้ว ถอดแปลและเผยแผ่โดย#พระวิศวภัทร เส็กก่วงโต่ว (釋廣度) ท่านเจ้าอาวาส พุทธจักษุวิชชาลัย ซึ่งพระวิศวภัทรท่านเป็นชาวไทยที่ออกบวช ณ ภูเขาเก้ายอด หรือภูเขาจิ่วหัวซาน (九華山) ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 พุทธบรรพตของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

หากต้องการพระคาถา #พุทธอุษณีษวิชยธารณีสูตรเป็นเล่มที่จัดทำโดยมูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย สามารถไปขอได้ด้วยตนเอง

พระคาถานี้จึงสำคัญมาก และเมื่อท่านได้พระคาถาเล่มนี้มาแล้ว ต้องเก็บไว้บนที่สูง หรือ หิ้งพระ ห้ามวางกับพื้นเด็ดขาด

#ข้าพเจ้าได้ขอทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งในการเผยแผ่พระคาถา #พุทธอุษณีษวิชยธารณี ประโยชน์อันใดที่จะเกิดขึ้นแก่สรรพสัตว์สรรพจิตนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

กราบอนุโมทนาสาธุการ

Cr. คุณ Saruttaya Rose Mahanavarani

 

หากสรรพสัตว์ใดเหยียดหยามเรา
เย็นชาต่อเรา
สร้างความอับอายแก่เรา
เคารพนบน้อมต่อเรา
ไม่เคารพนบน้อมต่อเรา
คอยขัดขวางเรา ไม่ขัดขวางเรา
ใช้เรา ไม่ใช้เรา
แสวงหาเรา ไม่แสวงหาเรา
ขอความช่วยเหลือจากเรา
ไม่ขอความช่วยเหลือจากเรา
เรียกหาเรา ไม่เรียกหาเรา
เชื่อฟังเรา ไม่เชื่อฟังเรา
พบเรา ไม่พบเรา
ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น
จงเป็นผู้มีบุญสัมพันธ์ต่อเรา
และให้บังเกิดโพธิจิต
ขึ้นในสรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น

มหาปณิธานที่ 5 แห่งมหาโพธิสัตว์มัญชุศรี

 

พระอมิตาภะพุทธเจ้าตรัสว่า “อย่าได้ห่วงกังวล ไม่มีสัตว์โลกตนใดที่พลัดไปในความหลงตลอดกาล เธอไม่เป็นอะไรหรอก จงผ่อนคลายเถิด” ทว่าสัตว์โลกทั้งหลายก็ยังคงคร่ำครวญว่า “โอ้ ไม่! มันแย่เหลือเกิน!”

ความสุขหรือความทุกข์, ความเหนือกว่าหรือความด้อยกว่า, ชอบหรือชัง, ดีหรือชั่ว ในโลกนี้ผู้คนล้วนสับสนวุ่นวายเกี่ยวกับพวกมัน โลกซึ่งไม่มีสิ่งใดควรค่าแก่การห่วงกังวลนั้นอยู่พ้นไปจากความคิด เราทลายกรอบแห่งความคิดต่างๆของมนุษย์ด้วยเพียงการนั่งลงซื่อๆ*

*’นั่งลงซื้อๆ’ ภาษาญี่ปุ่นคือ ‘只管打坐’ (ชิกันทะซะ) เป็นศัพท์เฉพาะในฝ่ายเซ็น หมายถึงการนั่งสมาธิ (ซาเซ็น) เพียงเพื่อนั่งเท่านั้น โดยไม่มีความคาดหวังว่าจะได้รับหรือบรรลุสิ่งใดแม้แต่การตรัสรู้ ผู้ปฏิบัติพึงนั่งลงด้วยความตระหนักรู้ในการนั่ง แม้เมื่อมีความคิดความรู้สึกใดผุดขึ้น ก็ให้รู้เท่าทันและกลับมาสู่การนั่งเพียงเท่านั้น

 

คาถาเรียกบารมีของหลวงพ่อ

ถาม : บทเรียกบารมีของวัดท่าซุง ที่ขึ้นต้นด้วย "พุทฺธํ นเม รตนภูตสรีรจิตฺตํ" คือ บทสวดมนต์บทเดียวกันกับที่ใช้อธิษฐานจิตเรียกบารมีทั้ง ๑๐ ที่ได้บำเพ็ญมาตั้งแต่อดีตชาติแรกให้มารวมตัวกันในชาติปัจจุบันใช่หรือไม่ ? หากไม่ใช่บทเดียวกัน กราบอาราธนาพระอาจารย์เมตตาชี้แนะบทสวดมนต์ที่ถูกต้องด้วยครับ
ตอบ : เอามาจากไหน ? อาตมาอยู่กับหลวงพ่อมาตั้งแต่ฆราวาสจนบวชพระ รวมแล้ว ๑๘ ปี ไม่เคยได้ยินบทดังกล่าวเลย

บทเรียกบารมีของหลวงพ่อก็คือ อายันตุ โภนโต อิธะ ทานะ สีละ เนกขัมมะ ปัญญาสะหะวิริยะ ขันตีสัจจะธิฏฐานะ สะเมตตุเปกขา ยุทธายะ โว คัณหะถะ ที่อยู่รอบเหรียญพุทธบารมี ไปค่อย ๆ อ่านรอบเหรียญเอาเอง ของจริงอยู่ที่นั่น

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๙
สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี

 

" ยังไม่ถึงชาติที่สุดแล้วต้องให้ "

เราเป็นมนุษย์ ยังไม่ถึงชาติที่สุดแล้วต้องให้ ถ้าไม่ให้แล้ว ไปในภายภาคข้างหน้าแล้วมันกันดาร ไม่สมบูรณ์ด้วยเครื่องกินเครื่องใช้ มันขาดตกบกพร่อง

ถ้าว่าให้อยู่เนืองนิตย์อัตราแล้ว ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ทุกข์ไม่ยาก ในระหว่างนั้นๆ พอใช้พอสอยทีเดียว เพราะการให้เป็นตัวสำคัญนัก

พระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร)
จากหนังสือ : วิสุทธิวาจา 3

 

สวดนานถึงสามสิบปี

ภิกษุณีท่านหนึ่งในไต้หวัน เริ่มบำเพ็ญเมื่ออายุสามสิบปี
เธอออกบวชในพุทธศาสนา เมื่ออกบวชแล้วก็ปลีกวิเวกบำเพ็ญ
อาศัยอยู่บนเขาในถ้ำ ทุกวันฉันผลไม้ป่าเป็นอาหาร
ดื่มน้ำจากลำธาร ที่ตักนำมาถวายบูชาพระเป็นนิจ

ภิกษุณีรูปนี้ เธอตั้งปณิธานและศรัทธา ในพระกวนอิมโพธิสัตว์อย่างมาก เมื่อบำเพ็ญอยู่บนเขา หลวงแม่ก็ภาวนามนต์
มหากรุณาธารณีสูตร(ไต่ปุยจิ่ว) เพียงอย่างเดียว
ทุกค่ำเช้าตลอดเวลา

ผ่านไปเกือบสามสิบปี วันหนึ่งหลวงแม่ก็สวดมนต์ปรกติตามเวลา ท่านได้เห็นว่า รอบๆถ้ำที่ท่านบำเพ็ญสว่างไสวด้วยสีทองเป็นรัศมีประกาย มีดอกไม้ทิพย์ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย เป็นดอกไม้ทองคำ ร่วงลงมาแล้วก็จมหายไปในพื้นถ้ำท่านก็หลับตาภาวนาต่อไป

ไม่นานจากนั้น ท่านก็เห็นแสงสว่างปรากฏขึ้นในถ้ำอีก ระหว่างสวดมนต์มหากรุณาธารณีสูตร คราวนี้ภายในผนังถ้ำกลับปรากฏพระโพธิสัตว์ทั้ง84พระองค์ ในบทมหากรุณาธารณีสูตร ยืนล้อมรอบภิกษุณีท่าน ทุกองค์อยู่ในท่าอนุโมทนา

ไม่นานหลังจากนั้นท่านจึงกลับลงจากเขา ทุกคนที่เคยเห็นท่านเมื่อสามสิบปีก่อน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านยังคงรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิม ไม่มีริ้วรอยของความแก่ชรา กลับดูเหมือนว่าเมื่อท่านยังคงอายุสามสิบอยู่นั่นเอง ทั้งๆที่ท่านอายุหกสิบปีแล้ว

คัดจากบทบรรยายของพระธรรมจารย์อู้เหอ
วัดผู่ถว๋อซื่อ จูไห่

#คนเราเดี๋ยวนี้บำเพ็ญทุกวิชาเหมือนเป็ด
#บินได้ลงน้ำได้ขึ้นบกได้ดำน้ำก็ได้ชำนาญในเรื่องเป็ด
#ธรรมแต่ละอย่างบำเพ็ญซ้ำๆเดิมๆนมนานไม่ใช่ไม่เป็นผล
#วันหนึ่งองค์หนึ่งคืนหนึ่งหลายองค์องค์นี้ก็ดีนั่นก็ดีสับสน
#อะไรอะไรก็ดีค้นไม่เจอสักทีอะไรที่เหมาะกับตัว

 

.."#อย่าพูดคำว่าไม่มี หลวงพ่อไม่ชอบเลย สมบัติเต็มแผ่นดิน แค่มันยังไม่ถึงเวลาของเรา มันอยู่ที่เราเคยได้สร้าง เคยได้ทำไว้หรือเปล่า แค่นั้นเอง เมื่อวาสนาเรามี จะอยู่ที่ไหนมันก็ตกทับเราเอง

#ใจก็เหมือนกันอย่าคิดว่าไม่มี #ให้คิดว่ามีไว้เสมอ หมั่นทำใจให้มีไว้เสมอ ใจมีอำนาจมาก มีกระเเสพลังมาก มันจะดึงดูดมาเอง ใจที่มีพลังก็เหมือนแม่เหล็กที่ดูดเหล็กด้วยกันเองได้ อย่าไปพูดคำว่าไม่มี จะมีมาก มีน้อย ก็ให้คิดว่ามี"...

#วิสุทธิธรรมก่อนเข้านอน จากพระคุณหลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล

 

https://www.facebook.com/watputtapr...PTrbczS5NE048UyFZwFl-afJobvEzAztBXNpV2u7ELBf4

 

" หิมะ "


พวกเอ็งเห็นหิมะนี่ไหม ? มันก็เหมือน ชีวิต เวลา กับสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามา เราจับต้อง สัมผัส มันได้ มีอยู่จริง เสร็จแล้วมันก็ละลายมลายสิ้นหายไป เหมือนดังเช่นหิมะ ลองเอาขึ้นมากำในมือ ไม่นานเดี๋ยวก็ละลาย หายไปจากมือกลายเป็นแค่หยดน้ำจากหยดน้ำก็ไม่มีอะไรในมือแล้ว มันแค่นั้นจริงๆ ๆ สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป จะเอาอะไรกันมากกับชีวิต ? ในเมื่อยังมีเวลาก็จงทำประโยชน์ ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า นี่คือสิ่งที่หลวงตา สื่อสารออกมาด้วยใจ ธรรมะจากรุ่นสู่รุ่น จากใจสู่ใจ จากคำพูดแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องราว ก่อเกิดเป็นตัวหนังสือ และสิ่งนี้ก็จะเลือนหายไปหากไม่ถูกบันทึกไว้ในใจและนำไปปฏิบัติ

 

มีผู้หญิงต่างศาสนาคนหนึ่งมากราบหลวงปู่ และเรียนถามท่านว่า จะห้อยพระอะไรถึงเหมาะ เพราะไม่ใช่คนพุทธ
หลวงปู่ท่านก็บอกให้ห้อยลูกแก้วมณีนพรัตน์ เพราะไม่ใช่รูปพระเข้าผับเข้าบาร์ก็ได้ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็นำหนังสือคำสอนของศาสนาเขามาให้หลวงปู่เสก หลวงปู่ท่านก็มาบอกดีเขาจะได้ไม่โจมตีเรา

 

หาทางออกให้
คุณนายมลได้ไปขอบนกับหลวงปู่ให้สำเร็จดังใจที่หวังโดนบอกจะถือศีล ๘ ผ่านไป ซักพักหนึ่ง สิ่งที่ขอไว้เกิดสำเร็จตามที่บนไว้ คุณนายมล เกิดกลัวหิวข้าวเย็น จึงไปปรึกษาหลวงปู่ ว่าหลวงพ่อทำยังไงดีกลัวหิวข้าว หลวงปู่ท่านชี้แนวทางว่า ให้เปลี่ยนเป็นถือศีล ๕ แทนแต่เปลี่ยนข้อ ๓ จากกาเมฯ เป็น พรหมาฯ แทน ถือเป็นการถือขั้น อุกฤษฏ์ ถือว่าหลวงปู่ช่วยแนะนำแนวทางได้ทุกเรื่องจริงๆ

 

หลวงปู่คำพันธุ์
ราวๆปี 2543-2544 คณะอาจารย์ศุภรัตน์ได้นำพระปางมหาจักรพรรดิ ไปถวายหลวงปู่คำพันธุ์ เมื่อทำการมอบพระปางมหาจักรพรรดิได้ซักระยะ เกิดเห็นการมหัศจรรย์ในกุฏิหลวงปู่ มีดวงแก้วมหาจักรพรรดิเสด็จมาต่อหน้าลูกศิษย์ของหลวงปู่ และอาจารย์หลายสิบคน วันนั้นดวงแก้วเสด็จมาทั้งหมด 72 องค์ เป็นวันเฉลิมในหลวง ร.9 หลวงปู่ท่านบอกดีเลย กำลังจะสร้างพระธาตุที่เมืองเลย จะได้นำดวงแก้วไปบรรจุ ตอนแรกท่านคิดว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ แต่พอสัมผัสไปท่านบอกว่า ของสิ่งนี้มาไกล มาจากวิมานแก้ว เมื่อถวายเสร็จแล้วกราบลาท่าน ท่านก็เรียกลูกศิษย์ที่ดูแลท่านเป็นทหารอากาศ และก็บอกกับทหารนายนั้นว่า ให้ตามหาอาจารย์คนนี้ มีอะไรให้ช่วยเหลือเขา เพราะเขา “ดี” ปัจจุบันลูกศิษย์หลวงปู่คำพันธุ์ก็ยังติดต่อ กับ ทางลูกศิษย์อาจารย์เรื่อยมา

**********************************

 

วิธีทำให้ อำนาจกฏของกรรมค่อยๆคลายตัว

...วิธีที่ทำให้ "..อำนาจของกฏของกรรม.." ค่อย ๆ คลายตัว ฯ

#มีรุ่น4เหลี่ยมทำน้ำมนต์(รุ่นใหม่) สามารถใช้แทนกันได้ ที่วัดท่าซุง ยังมีให้บูชาครับ

...ลุงพุฒ(ท่านพญา ยมราช) มาบอกหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ให้บอกลูกหลานว่า
ถ้ามีกำลังใจสูงกำลังใจเข้มข้นแล้ว ก็ไม่ต้องใช้เหรียญทำน้ำมนต์ ให้นึกถึงภาพยันต์ทำน้ำมนต์
(ที่อยู่ด้านหลังเหรียญ)ให้อยู่กลางกระหม่อม

แล้วก็สวดภาวนาตามวิธีอาราธนาใช้เหรียญไปเรื่อยๆ จะค่อยๆคลายกฎของกรรมได้ ถ้าทำทุกวันต่อไปก็จะเหลือนิดเดียว

☆☆☆ วิธีการอาราธนาเหรียญทำน้ำมนต์ ☆☆☆

1. นึกถึงภาพยันต์ทำน้ำมนต์ (ที่อยู่ด้านหลังเหรียญ) ให้อยู่ตรงกลางกระหม่อม

2. ตั้ง นะโม 3จบ ท่อง อิติปิโส ทั้ง 3 ห้อง
(อิติปิโส... สวากขาโต... สุปฏิปันโน...) 7 จบ
และท่อง นะ มะ พะ ธะ
(พร้อมทั้งกำหนดลมหายใจเข้า-ออกด้วยจะดีมาก โดยหายใจเข้าภาวนาว่า “นะมะ” หายใจออกภาวนาว่า “พะธะ”) 15 จบ

3. แล้วอธิษฐานตามความปรารถนา แต่จะมีผลเฉพาะผู้ที่มีความเคารพในพระรัตนตรัยเท่านั้น

☆☆☆ ผลของเหรียญทำน้ำมนต์ ☆☆☆

ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมปฎิบัติเป็นประจำดังต่อไปนี้ และได้ผลเป็นที่พอใจ คือ…

๑. เวลาปกติผมสวดมนต์ ผมจะเอาเหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงพ่อวางไว้บนศีรษะแล้วก็ว่า
คาถา อิติปิ โส ๗ จบ และ
นะมะ พะธะ ๑๕ จบ

ผลปรากฎว่า อาการโรคภัยไข้เจ็บบรรเทาและหาย ไป โดยไม่ต้องกินยาหมอ เมื่อได้ผลอย่างนี้

กระผมอยากจะขอถวายแนะนำว่า ให้หลวงพ่อทดลองดูบ้าง หลวงพ่อทดลองดูบ้าง หลวงพ่ออาจจะหายโดยฉับพลันก็ได้

หลวงพ่อ : แต่เขามาวางสูงนะ เขาไว้บนหัวศีรษะ ( หัวเราะ ) ไอ้โรคของฉันน่ะ ก็ใช้น้ำมนต์อยู่เสมอ แต่อย่าลืมว่ากำหนดเวลามีอยู่ ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าต้องธันวาคม ธันวาหน้านี่ถึงแล้ว ๒ ธันวานี่ ต้องรักษา ๒ ปี

ผู้ถาม : ก็โรคภัยไข้เจ็บจะ...

หลวงพ่อ : ก็คลายมาเรื่อย ๆ คลายมาเยอะแล้ว อย่าลืมว่ากฏของกรรมเก่าทำไว้มาก ไม่ใช่เล็กน้อย และ

ประการที่ ๒ ลูกหนี้จะหนีเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็ตามทวง ก็ช่างมัน ! วันนี้วันที่ ๙ ธันวาคมนะ ( พ .ศ. ๒๕๓๒ ) ก็เป็นอันว่าขณะที่สวด อิติปิ โส เมื่อกี้นี้

พระท่านก็มามาก ท่านลุงก็มา ท่านก็บอกว่า เหรียญที่ทำแจกครั้งหลังนี้นะ เหรียญทำน้ำมนต์นะ ท่านบอกว่าให้ทุกคนทำตามนี้ว่า…

ถึงเวลาที่จะนอน ถ้ามีกำลังใจสูงนะ กำลังเข้มข้นก็ไม่ต้องใช้น้ำมนต์ นึกถึงเหรียญหรือผ้ายันต์นั้นอยู่ตรงกระหม่อม

บูชาพระเสียก่อนนะ
แล้วก็ว่า อิติปิ โส
แล้วก็ นะมะพะธะ

สวด อิติปิ โส ตามที่ท่านเขียนไว้ในหนังสือกี่จบ จึงนึกพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็ว่า นะมะพะธะ เท่านั้น

25aa.png ▪อย่างนี้ท่านบอกว่า จะคลายกฎของกรรมไปมาก ค่อย ๆ คลายกฏของกรรมนะ

◇◇◇
กฏของกรรมนี่ความจริงทำลายไม่ได้ แต่อำนาจกฏของกรรมจะค่อย ๆ คลายตัว
ถ้าทำทุกวันต่อไปจะเหลือนิดเดียว

◇ อย่างโทษ ปาณาติบาต ต้องป่วยไข้ไม่สบาย หรือทุพพลภาพทางกาย จะคลายทางกาย จะคลายตัวเหลือเล็กน้อย
◇ อย่าง อทินนาทาน ไฟไหม้บ้านบ้าง น้ำท่วมบ้านบ้าง ลมพัดบ้านบ้าง โดนโจรขโมยปล้นบ้าง ใช่ไหม

ทีนี้ทำเรื่อย ๆ ไปจะคลายเหลือนิดหน่อย กฏของกรรมต่าง ๆ จะคลาย

▪แล้วท่านบอกว่า ถ้าบุคคลใดกำลังใจไม่เข้มแข็ง ก็ให้นึกถึงน้ำมนต์แล้วว่า อิติปิ โส ตามนั้น แล้วก็สวด นะมะพะธะ เหมือนกัน

◇ เอาน้ำมนต์มาพรมที่ศีรษะเล็กน้อย อย่างนี้ทุกวัน ทำทุกวัน กฏของกรรมจะคลายตัว อันนี้ดีมาก กฏของกรรมเราหาทางแก้ไม่ได้อยู่แล้วนะ ท่านบอกว่าจะคลายเรื่อย ๆ ไป จนกระทั่งจะสิ้นกำลัง แต่ไม่สิ้นเลย เหลือนิดหน่อย ดีมาก !

》》》หมายเหตุ เหรียญทำน้ำมนต์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง เหรียญทำน้ำมนต์เป็นเหรียญโลหะชุบทอง เดิมๆจะอัดกรอบพลาสติกสีเหลืองจากวัด

สร้างเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2532 ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อและชื่อ "พระสุธรรมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)" ใต้รูปเขียนว่า "วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี" ส่วนด้านหลังเป็นยันต์พระสารีบุตร และคำว่า "ทำน้ำมนต์"

◇◇◇ อย่างไรก็ตามหากกำลังใจเรามั่นคงต่อพระรัตนตรัย เพียงเรานึกถึงภาพของยันต์ด้านหลังเหรียญเท่านั้น ก็สามารถอาราธนาบารมีพุทธคุณอันศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นกัน ◇◇◇
...