คุณชอบสวดมนต์บทใดมากที่สุด

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย onlyone, 6 พฤศจิกายน 2007.

  1. เจี๊ยบ รักพ่อหลวงภูมิพล

    เจี๊ยบ รักพ่อหลวงภูมิพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,646
    ค่าพลัง:
    +4,272
    สวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก ชินบัญชร พาหุงมหากา อิติปิโส หลวงปู่ทวด คาถาเงินล้าน แล้วก็แผ่เมตตาให้ตนเอง ให้ผู้อื่นและสัมมาอาชีพค่ะ
     
  2. ผู้หญิงธรรมดา

    ผู้หญิงธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +535
    อิติปิโสแล้วชินบัญชรแล้วเงินล้าน ค่ะ
     
  3. พรหมศาสตร์พยากรณ์

    พรหมศาสตร์พยากรณ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +5
    พุทธะสังมิ ฯ คร๊าบบบ
     
  4. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,673
    คาถาบูชาสมเด็จองค์ปฐมต้น ชินบัญชร บูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม คาถาแผ่เมตตาหลวงปู่ทวด บูชาร.5 บูชาพระกษิตติครรภ์โพธิสัตว์

    ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกบางวัน ค่ะ
    ตามด้วยแผ่เมตตาให้ผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร สรรพชีวิตทั้งหลายค่ะ

    อนุโมทนากับทุกท่านด้วยค่ะ ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2008
  5. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    ผมชอบทุกบทสวดมนต์ครับ สวดแล้วเป็นสริมงคล สวดแล้วเทวดาอนุโมทนา สวดแล้วระลึกถึงพระพุทธเจ้า สวดแล้วแผ่เมตตาให้อบายภูมิทั้ง 4
     
  6. mchokun

    mchokun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +5
    THK
     
  7. mongkonchai

    mongkonchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,345
    ค่าพลัง:
    +259
    บูชาพระรัตนไตร-อิติปิโส-ชินบัญชร-เงินล้าน-แผ่เมตตา
     
  8. Glow-Worm

    Glow-Worm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +1,955
    ชอบ นะโมตัสสะ และ อิติปิโส ง่ะ หุหุ ง่ายดี บทสวดอื่นยังจำไม่ได้ แต่ในอนาคตจะต้องจำให้ขึ้นใจให้ได้เลย ฮิ๕
     
  9. 100ลีลา

    100ลีลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +1,855
    พระอภิธรรม
     
  10. อรรัชช์ฐาน์

    อรรัชช์ฐาน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    299
    ค่าพลัง:
    +437
    โมทนากับทุกท่านค่ะ
    สวดทุกวันก็คาถาหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ชอบสวดสั้นๆ ค่ะ...แต่ถึงสั้นก็มีพุทธคุณมากนะอธิบายดังนี้คือ ผู้หวังความสุขความเจริญ และความปลอดภัยแก่ตนและครอบครัว ทั้งปราถนาการเข้าถึงธรรม ควรภาวนาทุกอิริยาบท


    " สัมมาอะระหัง"


    และ.คาถาสืบสร้างทางสวรรค์และนิพพาน ของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

    " พุทธะ พุทธา พุทเธ พุทโธ พุทธัง อะระหัง
    พุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะโมพุทธายะ "

    ในหนังสือเขาเขียนมาแบบนี้นะคะก็เลยชอบสวดมานานแล้วสวดเสร็จก็กรวดน้ำ

    อิทังบุญผลัง....ตามแบบหลวงพ่อฤาษีค่ะ

    และตอนนี้เริ่ม สวดคาถาเงินล้าน เช้า 9 ก่อนนอน 9 บางวันก็ มากกว่านั้นค่ะ สาธุ ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 เมษายน 2008
  11. jdrennan

    jdrennan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +29
    ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ ส่วนตัวแล้วชอบท่องบทสวด หลวงพ่อโต
    ชินบัญชร คาถาเงินล้าน และ สัพเพสัตตา
     
  12. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ทำวัตรเช้า ~ ทำวัตรเย็น


    อนุโมทนากับทุกท่าน
     
  13. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    พุท - โธ ค่ะ...

    สวดตามลมหายใจ เข้า - ออก ไปเรื่อยๆ พร้อมกับจับภาพพระใส ควบคู่ไปด้วยกัน... พร้อมกับพิจารณาตัดขันธ์ 5 สักกายทิฐิ ไปเรื่อยๆ ค่ะ...

    แล้วก็หาโอกาสที่สงัดสักหน่อย ปฏิบัติดังนี้ค่ะ...

    ๑. จับลมสบายตลอดสาย

    ๒. จับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึกให้ได้สว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้... แล้วอธิษฐานขอให้พระบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาสถิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธรูปในจิตของเรา...
    ทรงอารมณ์ใจนี้ไว้สักระยะ... พร้อมกับน้อมจิตยอมรับนับถือองค์พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว... เสร็จแล้วนึกให้เห็นภาพตัวเองก้มลงกราบที่พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา... มีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด... พร้อมๆ กัน

    ๓. จากนั้นอธิษฐานต่อไปว่า ขอให้องค์พระพิชิตมารทรงเมตตามาเป็นประธาน และเป็นพยานให้แก่ข้าพเจ้าในการอธิษฐานดังต่อไปนี้...

    แล้วน้อมนึกถึงศีลที่ถือปฏิบัติอยู่... ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ก็ตาม... โดยน้อมนึกว่า...
    "ณ ขณะนี้ ศีล ๕ (๘) ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีทุกประการ... ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักขโมยผู้ใด ไม่ได้ผิดลูกผัว - เมียใคร ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆ ไม่ได้เสพสุราของมึนเมา หรือเล่นการพนันแต่อย่างใด... (ไม่ได้ทานอาหารหลังเที่ยง, ไม่ได้ใช้เครื่องไล้ของหอม เว้นจากการฟ้อนรำ ดูสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ไม่ได้ใช้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ, ไม่ได้นอนบนที่นอนสูงใหญ่)"

    ๔. กราบขอขมากรรมต่อองค์พระรัตนตรัย โดยการอธิษฐานว่า...
    "- ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"
    ก้มลงกราบพระบาทพระองค์ท่านอีกครั้ง

    ๕. เสร็จแล้วจับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึก... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นแต่สภาวะที่เป็นอากาศที่เวิ้งว้าง ว่างเปล่า เป็นที่ที่โล่งขาว ว่างเปล่าไปหมด แล้วกำหนดจิตอธิษฐานว่า...
    "ความเวิ้งว้างว่างเปล่านี้ไม่มีสาระแก่นสารใดๆ ข้าพเจ้าไม่ขอยึดถือ ยึดติดกับความว่างเปล่านี้" เสร็จแล้วทรงอารมณ์นี้ไว้สักพัก...

    ๖. เสร็จแล้วจับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึกอีกครั้ง... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นว่าจิตของเราลอยอยู่ในจักรวาลที่มีดาวเคราะห์น้อยใหญ่มากมาย แล้วดึงภาพของดาวโลกเข้ามาใกล้ๆ ให้เห็นตึกรามบ้านช่อง วัตถุสิ่งของต่างๆ... แล้วนึกให้เห็นว่าทั้งดวงจิตของเรา ดาวเคราะห์น้อยใหญ่นั้น และวัตถุธาตุทั้งหลาย สลายตัวลงเป็นฝุ่นผง จนมลายหายไปในที่สุด... จนเหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าของจักรวาลที่ขาวโพลนไปหมด โดยหาขอบจักรวาลไม่ได้... แล้วกำหนดจิตว่า...
    "วัตถุธาตุทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งดวงจิตของเราเองล้วนไม่เที่ยงแท้แท้แน่นอน... หาสาระใดๆ ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ขอยึดถือวัตถุธาตุทั้งหลายเหล่านี้เป็นสาระแก่นสารใดๆ ทั้งสิ้น" ทรงอารมณ์นี้ไว้สักพัก...

    ๗. กลับมาจับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึก... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นว่าอายตนะทั้ง 6 นั้นล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน... ไม่ว่าจะเป็นตาที่เห็นรูป จมูกที่ได้กลิ่น หูที่ได้ยินเสียง ลิ้นที่รับรสอาหาร กายที่รับสัมผัสต่างๆ และใจที่ต้องกระทบกระทั่งกับสิ่งทั้งปวง... แล้วนึกให้สัมผัสอันเกิดจากอายตนะทั้ง 6 นั้นสลายตัวไปเหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า... แล้วกำหนดจิตว่า...
    "อายตนะทั้ง 6 ล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เปลี่ยนแปล รวนเรไปมา หาสาระแก่นสารใดๆ ไม่ได้สักอย่าง ข้าพเจ้าไม่ขอยึดถือ ยึดติดกับสิ่งทั้งปวงที่เกิดจากอายตนะทั้ง 6 นี้อีกต่อไป" ทรงอารมณ์นี้ไว้สักพัก...

    ๘. จับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึกอีกครั้ง... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นว่าสัญญาความจำได้หมายรู้ ความรัก โลภ โกรธ หลง ความอาฆาตแค้นพยาบาท ชิงชัง ความหวาดระแวง หวาดกลัวสิ่งต่างๆ ความทุกข์ และความสุขต่างๆ ที่เป็นสัญญาความจำทั้งในอดีตชาติ ตั้งแต่ปฐมชาติ มาจนกระทั่งในชาติปัจจุบันนี้... ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์กาย ทุกข์ใจ เป็นสิ่งที่หาประโยชน์ใดๆ ไม่ได้... แล้วนึกให้สัญญาความจำทั้งหลายทั้งมวลนั้นสลายตัวไปไม่เหลืออะไรติดค้างอยู่ในดวงจิตอีกเลย มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น... กำหนดจิตอธิษฐานว่า...
    "ข้าพเจ้าขอน้อมจิตสลายสัญญาความจำได้หมายรู้ทั้งหมดทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปฐมชาติมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ความรัก โลภ โกรธ หลง ความอาฆาตแค้นพยาบาท ชิงชัง ความหวาดระแวง หวาดกลัวสิ่งต่างๆ ความทุกข์ และความสุขต่างๆ ที่เป็นสัญญาความจำทั้งหลายทั้งมวลนั้น... สัญญาความจำเหล่านั้นล้วนหาสาระแก่นสารใดๆ ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ขอยึด ขอติดอีกต่อไปนับแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน" แล้วประคองจิตนั้นไว้สักพัก...

    ๙. อธิษฐานต่อว่า... "ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาการเวียนว่ายตายเกิดใดๆ อีกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นในอบายภูมิก็ดี มนุษย์ภูมิก็ดี เทวภูมิ รูปพรหมภูมิ หรืออรูปพรหมภูมิก็ดี... ทุกภพภูมินั้นมีทั้งความทุกข์และความสุข... ถึงจะมีความสุข แต่ก็เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หมดบุญหมดวาสนาเมื่อใดก็ต้องลงมาพบกับความทุกข์โศกอีกไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นตายจากชาตินี้ ภพนี้เมื่อใด ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าพุ่งตรงสู่พระนิพพาน เพื่อจะได้กราบพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บนพระนิพพานนั้นในทันทีด้วยเถิด" ทรงอารมณ์นี้ไว้จนกว่าจะพอใจ ตอนนี้อารมณ์ใจของท่านจะสว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย ไร้ความทุกข์ ความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น...

    แล้วอธิษฐานกำกับอีกครั้งว่า...
    "ขอให้ข้าพเจ้าประสบพบ และเข้าถึงซึ่งอารมณ์จิตนี้ได้ทุกที่ทุกสถาน ทุกกาลเวลา ทั้งยามหลับ ยามตื่น ทั้งยามที่รู้สึก และไม่รู้สึกตัว ตามแต่ที่ข้าพเจ้าปรารถนา นับแต่บัดเดี๋ยวนี้ไปตราบจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"

    ๑๐. จากบนพระนิพพานนั้น... ให้น้อมนึกถึงกุศลผลบุญ อีกทั้งความดีงามทั้งหลายที่เคยสร้างมาดีแล้วให้มารวมตัวกันที่ดวงจิต (นึกให้เห็นดวงจิตของคเราสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐานขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรดังนี้...
    "- ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์ จนมาถึงปัจจุบันนี้ และที่จะทำต่อไปในอนาคต... ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย... ขอให้ทุกๆ ท่านมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านี้นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน...
    (ตอนนี้ให้นึกเห็นรัศมีความสว่างของกุศลผลบุญ ความดีงามทั้งหลายจากดวงจิตของเราแผ่ออกไปคลุมร่างของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา)
    - และข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพวกท่านไปด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอให้พวกท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ"

    ๑๑. ยังคงประคองจิตจับภาพพระด้วยใจที่เบาสบาย โล่งโปร่งต่อไป... หลังจากนั้นให้น้อมนึก อโหสิกรรม - ให้อภัย -ให้แก่ผู้ที่เคยล่วงเกินเรามา อธิษฐานว่า...
    "- นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะมีแต่จิตใจที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความดีงาม เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย... ข้าพเจ้าอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่ พรหม-เทพเทวา สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ข้าพเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ใด และขอให้พวกท่านทั้งหลายมีความสุขกาย สุขใจ เป็นสัมมาทิฐิ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวล มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม และมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"



    ๑๒. ท้ายที่สุดให้น้อมนึกถึงความสุข สดชื่น ความอิ่มเอม เปรมปรีด์ ความชุ่มชื่นใจ... ความรักที่บริสุทธิ์ที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน... ความสุขที่สุดที่เมื่อเรานึกถึงครั้งใดก็ตามจะสามารถเรียกรอยยิ้มให้เราได้ ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้ยิ้มไปกับเราด้วย ทำให้โลกนี้สว่างไสวมีแต่ความเบิกบาน ... ความดีงามทั้งหลายที่เคยสร้างมาดีแล้ว อีกทั้งกุศลผลบุญทั้งหลาย พรหมวิหารสี่ และอภัยทานที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในดวงจิตของเราให้มารวมตัวกัน (นึกให้เห็นดวงจิตของตัวเองสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐานแผ่เมตตาอัปปมาณฌานว่า...
    "- บุญ คือ ความสุขที่ปรากฏ ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวาย ความสุข ส่วนกุศลผลบุญ ทานบารมี อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมาโดยมีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด อีกทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย บูรพกษัตริย์ไทย บรรพชนไทย นักรบไทยทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีท่านท้าวจตุมหาราช และท่านพญายมราชเป็นที่สุด...
    - ขอทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน ได้โปรดมาร่วมกัน รับและอนุโมทนาในส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ และขอได้โปรดมาเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลผลบุญในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ...
    (น้อมนึกให้เห็นว่าในมือเรามีดอกบัวแก้วสว่างไสวแพรวพราว ซึ่งเกิดจากกุศลผลบุญของเรามารวมตัวกันเป็นดอกบัวนั้น... แล้วน้อมถวายแด่ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน) พร้อมกับอธิษฐานต่อว่า...
    - และข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศความสุข ส่วนกุศลผลบุญ ทานบารมี อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทานนี้ ให้แก่เหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้... ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี... ขอให้ทุกๆ ท่านจงมาร่วมกันอนุโมทนาและรับซึ่งส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน... ขอให้ทุกๆ ท่าน เป็นสัมมาทิฐิ ประสบแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน ได้สัมผัสและมีพระนิพพานอันเป็นบรมสุขเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ"

    แล้วน้อมนึกให้เห็น หรือให้รู้สึกว่าตัวของเราเองสว่างไสวมีแสงรัศมีสีทองเป็นประกาย อันเป็นรัศมีแห่งความรัก ความสุข ความเมตตา ที่เรามีให้แก่สรรพสัตว์ไม่มีวันจบวันสิ้น ไม่มีประมาณ... นึกให้แสงแห่งความเมตตานี้ค่อยๆ แผ่ปกคลุมอาณาบริเวณที่เราอยู่ให้สว่างไสวเรืองรอง เมื่อจิตของสรรพสัตว์ดวงใดได้สัมผัสกับรัศมีนี้ก็ขอให้มีความสุข ความสงบ ความชุ่มเย็นไปด้วย จิตเรายิ่งเปล่งรัศมีมากเท่าไหร่ จิตเราก็จะยิ่งมีความชุ่มเย็นมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น... ขยายอาณาเขตของการแผ่รัศมีสีทองเป็นประกายระยิบระยับนี้ให้ค่อยๆ ขยายวงกว้างออกเรื่อยๆ ให้ปกคลุมไปทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้โดยไม่มีประมาณ ไม่มีขอบ ไม่มีที่สุด... เมื่อจิตเรายิ่งแผ่รัศมีออกไปได้กว้างไกลและครอบคลุมมากเท่าไหร่ จิตของเราก็จะยิ่งอิ่มเอิบ แย้มยิ้มมากเท่านั้น...
    ยิ่งให้มากเท่าไหร่ จิตเราก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปเท่านั้น ประคองอารมณ์ใจที่แสนจะปิตินี้เอาไว้ให้นานที่สุดจนกว่าจิตจะพอใจ...

    เสร็จแล้วให้น้อมนึกเอาอทิสมานกายของเราเองไปกราบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่าน และถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ โดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ 3 ครั้ง พร้อมภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ...

    สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ค่ะ... จะนับเป็นบทสวดมนต์ได้ไหมคะ

    ......................................................................


    ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่บังเกิดขึ้นนี้... ขอได้โปรดมารวมตัวกันและส่งผลให้ทุกๆ ท่านมีดวงจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อภัยทาน มีความสุขทั้งทางโลก ทางธรรม เป็นสัมมาทิฐิ... มีดวงตาเห็นธรรม... เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป... เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน... และมีพระนิพพานเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ
     
  14. nanthitiphat

    nanthitiphat สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +17
    ชอบสวดพระคาถาชินบัญชร คือสวดไม่เคยขาด ซึ่งหลายครั้งที่กำลังสวดอยู่ ก็ขนลุก หรือตัวสั่น โดยไม่ทราบสาเหตุ ตอนนี้ก็เริ่มสวดคาถาพระไตรปิฎก ด้วย
     
  15. บารเมศวร์

    บารเมศวร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +21
    ชอบบทสวด ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก สวดแล้วมันพูดได้รัว ๆ เหมือนตอนเล่น นีด ฟอ เลย ....ถึงมันจะยาวก็เถอะ - -"

    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ ส า ธุ ส า ธุ . . .
     
  16. หญ้าคา

    หญ้าคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +138
    บทสวดมนต์

    อิติปิโส-พาหุง-มหากา-ชินบัญชร ครับผม
     
  17. sio191

    sio191 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +601
    สวดกี่ชม. ครับนี่ นับถือๆ
    อนุโมทนาครับ สาธุ

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  18. parasite_moll

    parasite_moll Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +79
    ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก กับชินบัญชรคับ


    แต่จำยอดพระกัณฑ์ ฯ ไม่ได้สะที
     
  19. phan909

    phan909 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +123
    ลองสวดพระคาถาชินบัญชรสิครับได้บุญและอานิสงฆ์แถมเป็นการเจริญกรรมฐานซึ่งหลายท่านอาจไม่รู้ มีอานิสงฆ์มากมายหลายสถาน พระคาถานี้มีที่มาซึ่งถ้าผมพิมพ์คงต้องหลายวันครับสอบถามได้ที่086-7501608จะให้คำตอบเรื่องพระคาถาชินบัญชร อย่างกระจ่างครับ
     
  20. ลุงชาลี

    ลุงชาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,958
    ค่าพลัง:
    +4,763
    ผมกางหนังสือสวดครับ หลายบท มีพุทธคุณ เป็นต้นไปครับ แต่หาเวลาสวดยากมาก มารมีมากใกล้ๆตัว ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...