ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดเว้นกระทำห้ามทำร้ายชุดปิดตำนานตัว"แก้"(ผนึกเหล็กไหลตาไฟกบิลมุนี) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    ร่วมทำบุญบูชา พระผงของขวัญสำเร็จทันใจ(ครูพระสีวลีผงทิพย์ปทุมเกสร,ข้าวก้นบาตรพระพุทธกัสสปะ)

    " มีพระลองพิมพ์อยู่ชุดหนึ่ง ที่ฉันทำให้สำเร็จได้โดยธาตุข้าวก้นบาตรของพระกัสสปะพุทธเจ้าแลของทิพย์ "..... " พระคุณเจ้าสีวลีนั้นท่านย้ำมาเองเลย ท่านกำกับไว้เลยว่าตะกรุดชุดนี้เมื่อนำมากดทำพระแล้วขอให้พ่ออาจารย์ยกถวายท่านเสกไว้อย่างน้อยต้องสองปีขึ้นไป จะไวจะช้ากว่านั้นท่านไม่ยอมเราเลย "

    ด้วยรูปเคารพสำคัญอยู่สิ่งหนึ่งที่พ่ออาจารย์ท่านไม่เคยสร้างเลย เเละผมก็ตอบปฏิเสธผู้ที่มาขอเมตตาให้ท่านทำให้หลายครั้ง นั่นก็คือพระสีวลีพ่ออาจารย์ท่านเคยกล่าวว่าวิชาพระสีวลีนั้น ไม่ใช่ดีเเต่เพียงเรื่องโชคลาภ โภคทรัพย์เงินทองอย่างเดียว เเต่วิชาพระสีวลีที่ท่านเรียนมา หัวใจของพระสีวลีจริงๆนั้น ผู้ที่ใช้เขาจะพบกับคำว่าสบายในสิ่งที่เขาทำ เเละที่มากไปกว่านั้นมันเป็นเมตตามหานิยม เเละก็เป็นเสน่ห์ด้วย ครูเราสอนมาเช่นนี้จริงๆ เพราะตั้งเเต่ก่อนสมัยครูเราท่านก็ทำสีผึ้งพระสีวลีไว้ แต่ไม่ได้ทำไว้หาเงินหรือเสี่ยงโชค ท่านทำไว้ป้ายผู้หญิง ป้ายที่ไหนได้ที่นั่น เพราะท่านถือว่าพระสีวลีนี้คือบุคคลพิเศษ ในรอบหลายพันปีจะมีผู้ที่มีบารมีเต็มมาเกิดเเบบพระสีวลีนี้ยากนัก พระสีวลีนี้เป็นที่รักใคร่ชอบพอของคนทั้งโลกเเม้ว่ามนุษย์หรืออมนุษย์ทุกภพภูมิ ทั้งยังเป็นผู้มีปัญญาเปรื่องปราดฉลาดเฉลียว เเละเหนือกว่านั้นหากพระเป็นเจ้าสีวลีท่านได้ให้พรแก่ผู้ใดแล้ว คำพรนั้นหนักแน่นหนักหนาเหมือนเหล็กเพชรลิขิตแผ่นผา ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปได้ถ้วนทุกประการ

    พ่ออาจารย์ท่านว่านางกวักเป็นอย่างไร นั่นก็ที่มีฤทธิ์วิเศษได้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพรของพระสีวลี เรื่องพรของพระสีวลีนี้ผมเคยเจอมากับตัวเเล้ว เอาไว้ค่อยเล่าเเล้วกันมันยาวมากๆ หลังจากนั้นพ่ออาจารย์ท่านก็ได้รับผงวิเศษและของอาถรรพ์ต่างๆมาสะสมไว้มากมาย แต่ท่านก็ยังไม่มีดำริจะทำพระสีวลีซักที จนกระทั่งท่านได้รับนิมิตรหนึ่งซึ่งเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง ท่านว่าท่านได้เดินไปท่ามกลางพระภิกษุที่กำลังนั่งพิจารณาบาตรกันอยู่กลุ่มหนึ่ง แต่ละท่านก็ล้วนแต่เป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านคุ้นหน้า ยกเว้นองค์ประธานที่นั่งอยู่หน้าสุด อันนี้ต้องบอกก่อนว่า ตอนท่านนิมิตรนี้ท่านเห็นตัวท่านเองห่มจีวรเเบบพระ และก็มีอาสนะด้านท้ายสุดเว้นว่างไว้ไม่มีผู้ใดนั่ง พ่ออาจารย์ท่านก็เลยตรงมากราบนมัสการท่านก่อน ท่านว่าถึงตรงนี้ท่านสื่อสารกับเราทางจิต เราไม่เห็นปากท่านขยับเลยเเต่เรารู้ว่าท่านพูดเเละบอกอะไร ซึ่งในการสนทนานั้นทำให้พ่ออาจารย์ท่านรู้ว่าพระภิกษุองค์ประธานนั้นคือพระคุณเจ้าสีวลีเถระ ท่านได้มีดำริกับพ่ออาจารย์ว่า เมื่อไหร่คุณจะกลับไปนั่งในที่ของคุณซักที ที่ตรงนั้นที่ว่างอยู่ยังรอคุณอยู่ตลอดนะ (ผมก็มานั่งคิดนะ ดีไม่ดีปลายปีนี้พ่ออาจารย์ท่านคงอาจจะได้บวชให้ครูบาอาจารย์อีกซักหนก็ได้) หลังจากนั้นท่านก็สนทนากันหลายเรื่อง สุดท้าย องค์พระสีวลีท่านจับมือของพ่ออาจารย์ขึ้นมากุมไว้ เเละก็ใช้นิ้วเขียนอะไรบางอย่างไว้กับมือท่าน

    พ่ออาจารย์ท่านว่านิมิตรนี้ถือเป็นมหามงคล เพราะเราได้เห็นรูปลักษณ์ของพระคุณเจ้าท่านอย่างใกล้ชิด เวลาเชิญเวลาจะทำอะไรทีนี้ก็ไม่ยากแล้วเพราะมีความผูกพันธ์ปรากฏในความจำได้หมายรู้ในสัญญาของเราเเล้ว เราเองก็ปรารถนาจะทำรูปพระสีวลีที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างการทำมาเหมือนกัน เราเชื่อว่าที่ท่านจับมือเรานั้นมันเป็นความรู้สึกที่ตื้นตันอยู่บ้าง เราก็จะใช้มือคู่นี้ทำรูปเคารพของท่านให้คนที่เรารักทั้งหลายเอาไปบูชา เมื่อมีความคิดเช่นนั้นท่านจึงมาเเกะเเม่พิมพ์ โดยท่านได้กล่าวว่าพระพิมพ์นี้มีให้เอาไว้ใช้นะเน้นการใช้งานสร้างเนื้อสร้างตัว ทุกอย่างในนี้ท่านว่าท่านเสกเเยกเอาไว้ทั้งหมด ท่านเเกะเเม่พิมพ์เป็นพระสีวลีทรงบาตร นั่งอยู่ในกลด มีน้ำเต้าอยู่ 2 ข้างซ้ายขวา ท่านว่าสิ่งต่างๆนั้นมีความหมายเเละพลานุภาพเเตกต่างกันไป
    - กลด กลดนี้ก็เหมือนที่อยู่ของคน กลดของพระวิปัสสนาจารย์ ก็เหมือนมหาประสาทราชวังของพวกเรา ด้วยกลดนี้จะใช้ป้องกันได้ทุกสิ่งเหมือนฉันกางกำเเพงเเก้วไว้ทั้ง 7 ชั้น ไม่มีสิ่งไม่ดีอะไรจะหลุดรอดเข้ามาทำอันตรายเธอได้ ใครไม่มีบ้าน ไม่มีที่อยู่อาศัย เขาก็จะได้โดยบุพกรรมของเขา เพราะในตัวเขามีสื่ออยู่เเล้ว พระเถระท่านอาศัยอยู่ในกลด พึงใจอยู่ในกลดเสียยิ่งกว่าอยู่ประสาทราชวังหรือทิพย์วิมานเทวดาในชั้นฟ้าของเทพองค์ไหน เพราะกลดนี้คือที่อยู่อาศัยอันสำราญอิริยาบท ต่อไปคนที่เขาบูชาเขาก็จะมีพร้อมในที่อยู่อาศัยและจตุปัจจัยทั้ง4เช่นกัน
    - บาตร บาตรนี้คือขุมทรัพย์ ทุกสิ่งที่ปรารถนาล้วนสำเร็จได้มาเเต่บาตรนี้ เพราะเราเดินมนต์พระสีวลีอธิษฐานบาตร นี่คือบาตรของพระสีวลี ไม่มีอะไรเลยในโลกที่เป็นไปไม่ได้ เเม้เป็นไปไม่ได้เทวดาเขาก็จะหามาให้ เมื่อพระสีวลีเปิดบาตรคนทั้งหลายไม่ว่าจะยากลำบากหรือต้องดิ้นรนซักเพียงใดเขาก็ปรารถนาจะใส่บาตรกับท่าน ที่เราลงพระสีวลีอธิษฐานบาตรไปให้ เพื่อให้โชคลาภให้สิ่งที่เธอต้องการ มันวิ่งมาหาเธอเองเเบบง่ายดาย เธอจะได้ไม่ลำบากตะเกียกตะกายวิ่งไปหาพวกมัน มนต์นี้สำคัญนะ เเม้มีปัญหาอุปสรรคอะไรขัดขวางมันก็จะมาหาเธอจนได้ หยุดไว้ไม่ได้เลย เวลาอยากได้อะไรก็ให้เอาหน้าผากของตนจรดที่บาตรนี้แล้วอธิษฐานขอกับพระผู้เป็นเจ้านามว่าพระสีวลีเถิด
    - น้ำเต้า พ่ออาจารย์ท่านลงน้ำเต้าไว้ซ้ายขวา ซึ่งเเต่เเรกเราเห็นเรายังเผลอคิดไปว่าถ้าไม่มีน้ำเต้าคงจะสวยงามมากกว่านี้ ท่านว่าไม่มีไม่ได้ น้ำเต้านี้เราประจุพระมนต์มหาสูบเอาไว้ให้มีพุทธคุณดูดกลืนได้ทุกสิ่ง เหมือนกับหลุมดำที่ดูดไม่มีวันเต็มไม่มีวันอิ่มเเบบนั้น จะได้สูบเอาดูดเอาสิ่งดีงามเข้ามาสู่ชีวิตของตนเอง อันนี้ใช้สูบเอาพลังงานก็ได้นะ เวลาไปสถานที่ธรรมชาติดีๆทั้งหลายเช่นทะเลภูเขาต่างๆ อธิษฐานบอกกล่าวให้เขาสูบเอาพลังงานธรรมชาติก็ได้ และวางทิ้งไว้ซักครู่หนึ่งประมาณ 5 นาที แล้วก็นำกลับมา นี่ไงเราถึงเรียกว่าเเรงเเละเห็นผลไว เพราะเธออธิษฐานอะไรกับบาตรพระสีวลีไป มันจะทำงานพร้อมกับน้ำเต้าที่ลงมหาสูบเอาไว้ น้ำเต้าก็จะสูบสิ่งที่ต้องการเเละปรารถนาเข้ามาในขณะที่บาตรนั้นก็เปิดรองรับอยู่เเล้ว นี่เป็นเคล็ดวิชา ไอ้ที่ไม่ได้ไม่สำเร็จไม่มีทั้งหลายนี่ถือว่าแก้เคล็ดไปทุกอย่างเเล้ว เพราะเราแก้ด้วยอาถรรพ์และวิชา


    มวลสารในส่วนของมวลสารนั้น ท่านใช้สิ่งต่างๆผสมสร้างดังนี้
    ****(ผงนี้มีเฉพาะชุดลองพิมพ์)
    - ธาตุข้าวก้นบาตรพระกัสสปะพุทธเจ้า
    เป็นของสำคัญที่ให้คุณทางโภคทรัพย์ยิ่งใหญ่ซึ่งเทวดาท่านบอกสถานที่ให้พ่ออาจารย์ท่านไปเอามารักษาไว้สมัยธุดงค์ ท่านว่าธาตุนี้ดีทางลาภผลมากแบบเหลือกินเหลือใช้ สมัยก่อนวัดไหนที่โบสถ์สร้างไม่เสร็จไม่คืบหน้า ท่านว่ามาขอยืมธาตุนี้ไปบูชาถวายสักการะสรงน้ำอบน้ำปรุงบอกกล่าวขอบารมีพระพุทธกัสสปะท่าน พ่ออาจารย์ท่านว่าไวทันตาเห็นเสร็จสวยงามกันทั้งนั้นนี่คืออานุภาพธาตุข้าวก้นบาตร ชุดลองพิมพ์นี้ท่านจึงเอาธาตุสำคัญมาทำด้วยรู้ว่าคนที่เขาห้อยนั้นเดือดร้อนทางลาภสักการะจะได้เปลี่ยนคนให้เป็นผู้มีกินมีใช้ไม่อดไม่อยากไม่ยากไม่จน ให้อุดมสมบูรณ์เพิ่มพูนทรัพย์สินตามใจ ท่านว่าธาตุนี้อยู่บ้านไหนลาภสักการะเต็มทั้งหมด มีกินอุดมสมบูรณ์กันทั้งบ้านเต็มไปด้วยความสุขร่ำรวยแบบเต็มบาตรไม่ขาดไม่พร่อง พ่ออาจารย์ท่านพลีธาตุข้าวก้นบาตรตำเป็นผงขออนุญาติพระพุทธกัสสปะให้ช่วยสงเคราะห์ช่วยทำผงนี้ให้อย่างลึกซึ้งเพื่อหวังจะให้ไว้เป็นผงขวัญถุงใช้เรียกโภคทรัพย์ เรียกเงิน เรียกทอง เรียกทรัพย์สมบัติ ทั้งพ่ออาจารย์ท่านยังว่าองค์พระพุทธกัสสปะนั้นยังได้ให้ความหมายของธาตุข้าวก้นบาตรของท่านเอาไว้ด้วย ว่าเป็นข้าวที่ท่านฉันเหลือ เป็นข้าวที่ท่านเหลือไว้จนมาปรากฏอยู่ในกาลนี้ ด้วยปกตินั้นท่านจะพิจารณาอาหารทุกมื้อที่ท่านฉัน(ภาษาปากเราก็เสกข้าวทุกมื้อทุกคำนั่นแหละ) ข้าวที่ท่านฉันเหลือจึงมีมงคลมากพ่ออาจารย์ท่านว่าเหลือกินเหลือใช้ทุกอย่างไม่ขาดไม่พร่อง ทำอะไรก็มีแต่เหลือเช่นนั้นท่านจึงเจาะจงนำผงธาตุสำคัญนี้มาทำครูพระสีวลีชุดกดลองพิมพ์เพื่อให้เป็นมหาโชคโภคทรัพย์อย่างถึงที่สุด
    - ผงบัวผุด ท่านว่าเป็นดอกบัวที่อยู่ในห้องพระท่าน ท่านว่าไม่รู้ว่ามาได้อย่างไรหรือใครเอามาไว้เพราะห้องพระท่านจะล๊อคกุญแจเสมอ แต่กลับมาปรากฏอยู่ตรงนั้นวางบูชาคุณพระเช่นนี้เอง ท่านได้ตรวจสอบดูจึงแน่ใจว่าดอกบัวนั้นไม่ปกติหากแต่มาจากที่สูง ท่านจึงเก็บบัวชุดนี้ไว้เฉพาะเพื่อตากแห้งและทำผงวิเศษโดยเรียกว่าผงบัวผุด ท่านว่าจะใช้ดอกบัวใดๆในโลกมาทำผงนี้ย่อมไม่มีอานุภาพเช่นของทิพย์ของเทวดาเค้าเอามาให้ ผงบัวผุดนี้ท่านว่าใครได้ใช้ไม่มีตกต่ำ แม้แย่ที่สุดต่ำที่สุดดุจอยู่ในโคลนตมก็ยังผุดพ้นชั้นดินมารับแสงอาทิตย์เป็นบัวที่บริสุทธิ์ไร้ราคีได้ ใครที่ได้ทุกข์หม่นหมองตกอับพ่ออาจารย์ท่านว่านี่แหละผงบัวผุดนี้จำเป็นนัก ใครที่รู้ตัวว่าชีวิตยังจมอยู่ไม่ผุดขึ้นมาซักทีท่านว่าเอาพระพิมพ์นี้ไปใช้ขอแค่มั่นคงในคุณพระรัตนตรัยเรื่องเือดร้อนทุกข์ภัยไข้เจ็บล้วนแต่ไม่ได้ใกล้ตัวเราเลย
    - ผงวิเศษ5ประการของสมเด็จบรมครู คือสมเด็จโต วัดระฆังเป็นมวลสารหลัก อันนี้คือปรมาจารย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พ่ออาจารย์ท่านว่าหมดห่วง ผงวิเศษ 5 ประการของขรัวโตนี้ ดีครอบคลุมทุกอย่างมีครบทุกทาง
    - ผงวิชาพระปัจเจกโพธิ์โปรดสัตว์ ของหลวงพ่อปาน ซึ่งสืบทอดมาถึงหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และพ่ออาจารย์ท่านได้มาในปริมาณที่ไม่มากนัก(แต่ก็ถือว่ามากอยู่ดี) พ่ออาจารย์ท่านว่าผงนี้สำคัญนักหลวงพ่อฤาษีท่านย้ำนักหนาว่าให้เก็บไว้ให้ดี ใครมีเอาไปใช้เเละหมั่นทำบุญ มีเเต่รวยเจริญขึ้นทันตาเห็น ซึ่งปกติสมัยหลวงพ่อปานมีชีวิตอยู่ ผงนี้จะใช้อุดรูพระผงพิมพ์ทรงสัตว์ต่างๆเเต่เพียงนิดเดียวเท่านั้น หาพระของท่านแท้ๆไม่ได้มาเอาองค์นี้ไปใช้เเทนกันได้เลย

    - นวดพระสีวลี ซึ่งเป็นนวดของครูบาอาจารย์ฆราวาสในดงที่ถ่ายทอดวิชาให้พ่ออาจารย์ท่านมีอิทธิคุณแรงกล้าในเรื่องโชคลาภโภคทรัพย์ มหาเมตตาใหญ่ และมหาเสน่ห์ใหญ่ ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านได้มาขวดหนึ่ง นวดนี้มีอายุตก40-50ปี ท่านว่านวดนี้มีพิธีการหุงที่พิเศษเเตกต่างจากสีผึ้งสายเทพ เเละสายพรายทั่วไป มีวิธีการสร้างที่แปลกประหลาดจนเราไม่คิดว่าจะหาใครมาทำได้เป็นคนที่สอง เพราะขนาดตัวเราเองก็ยังทำไม่ได้ ถึงจะเรียนไว้ เเต่อะไรหลายๆอย่างมันหาในยุคนี้ไม่ได้เสียเเล้ว ครั้งนี้เอามาใช้ให้เผยเเพร่ออกไปก็จะเป็นนวดในตำนานที่หมดเเล้วก็ไม่มีการสร้างขึ้นมาอีก
    - ผงหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ อันนี้ก็มีประสบการณ์เรื่องเมตตามหาเสน่ห์เป็นที่ยอมรับในวงกว้างสุดๆเหมือนกัน
    - ผงลบพุทธคุณ พ่ออาจารย์ท่านว่าท่านลบผงไว้ในสายวิชาพระสีวลีทั้งหมดทั้งพระสีวลีขอลาภ,พระสีวลีเปิดบาตร,พระสีวลีอุ้มทรัพย์,พระสีวลีเรือนหลวง,พระสีวลีรับทรัพย์,พระสีวลีหาลาภ....


    พ่ออาจารย์ท่านว่าใช้มวลสารเหล่านี้มากดพิมพ์ ก่อนกดนั้นได้เอามาเสกเเยกอีกครั้งหนึ่ง ท่านว่าเสกจนมีลมหมุนเข้ามาต้องผงจนฟุ้งขึ้นไปและเเมงมุมทุ่มอก จิ้งจกปี้กัน ตรงตามอาถรรพ์ในตำรา ถึงมั่นใจนำออกมาผสมกัน ท่านว่าถ้าเอาเสน่ห์หรือโชคลาภ คนใช้ก็หัวกะไดไม่เเห้ง ซ้ำด้านหลังชุดลองพิมพ์ท่านยังได้ฝังตะกรุดสำคัญไว้ด้วย
    - ตะกรุดสำเร็จทันใจ ตะกรุดดอกนี้ถือว่าสำคัญที่สุดไม่ได้ถ่ายให้ดูพระยันต์ด้านใน พ่ออาจารย์ท่านฝังไว้ด้านหน้า ท่านว่านี่เป็นเเหล่งพลังงานสำคัญขององค์พระเลย เพราะว่าท่านจารอักขระเเบบเดียวกับที่องค์พระสีวลีท่านจับข้อต่อเเขนเขียนลงบนมือท่าน ท่านถือว่าพระสีวลีท่านให้สิทธิ์ในวิชานี้แก่ท่านเเล้วเป็นอักขระที่ท่านไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เมื่อเขียนลงไปเเล้วก็เชิญองค์พระสีวลีให้ท่านมาสำเร็จวิชานี้ตะกรุดนี้ ท่านว่าเป็นมหาสำเร็จ ใครคิดหวังอะไรเป็นสำเร็จทุกเรื่อง คอยหนุนส่งพลังงานความคิดของเรา หนุนส่งอิทธิคุณของมวลสารเเละของวิเศษในองค์พระ ผู้ใดมีตะกรุดนี้ไว้ครอบครองและหมั่นทำบุญ หมั่นบูชาสวดคาถาที่ท่านให้ไว้เป็นประจำ จะทำมาค้าขายดีร่ำรวยเงินทอง เงินทองไหลมาเทมาเองไม่ขาด ### ซ้ำชุดนี้ท่านยังลงวิชาสำคัญล้อมไว้อีกสิบแขนง พ่ออาจารย์ท่านว่าพระคุณเจ้าสีวลีนั้นท่านย้ำมาเองเลย ท่านกำกับไว้เลยว่าตะกรุดชุดนี้เมื่อนำมากดทำพระแล้วขอให้พ่ออาจารย์ยกถวายท่านเสกไว้อย่างน้อยต้องสองปีขึ้นไปและท่านจะมาทำให้จึงจะสำเร็จ(พ่ออาจารย์ท่านว่าเราก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรจึงใช้เวลานานขนาดนั้นเพราะโดยปกติจิตของพระอรหันต์นั้นเสกอะไรแค่คาบลมหายใจก็ยอดขลังแล้ว) ท่านว่าจะไวจะช้ากว่านั้นท่านไม่ยอมเราเลยเช่นนี้พระลองพิมพ์ชุดนี้เราจึงเห็นว่าสำคัญมากจริงๆมีอะไรที่ลึกๆที่บอกกันไม่ได้อีกเยอะ เอาว่าที่ฉันออกให้บูชานี้ก็ตั้งใจจะให้คนที่ทำมาหากินไม่คล่องอยากได้สิ่งที่ส่งเสริมอาชีพและชีวิตตัวเองให้ง่ายขึ้น หากินคล่อง หาเงินง่ายเช่นนั้น ใครลำบากก็มาเอาไป


    คาถาบูชาพระของขวัญสำเร็จทันใจ
    ชาตังพุทโธโหติสัมภะโว อะสังวิสุโลปุสะพุภะนะโมพุทธาธาสัทธะวิปิปะสิอุ มะอะอุนะวีอุณาโลมาพุทธะชายะเต นะชาลิติ ชาลิตินะ ลิตินะชา ตินะชาลิ เอหิสมาตะมิพิชะ นะปะโพวิเยปะนะ เอยะ โลตะนะรังโล สีวลีจะมหาเถโร เถรัสสามะหะเตโน อสุรโห ชโรทินนัง มหาลาภัง เม ภวันตุ(ระลึกถึงพระสีวลีเป็นที่สุด)

    พ่ออาจารย์ท่านเสกเเละลงวิชาอาถรรพ์ไว้อย่างเต็มที่ ก่อนจะทำการเจิมเบิกเนตรและอธิษฐานจิตเชิญพระสีวลีเถระให้มารับรู้เเละให้พรเเก่ผู้ศรัทธานำไปบูชาทีละองค์ ก่อนเสกประจุวิชารวมด้านหน้าองค์พระชุดลองพิมพ์จะโรยเเร่เทวาประสิทธิ์ ท่านว่าไม่ต้องการความสวยเเต่ต้องการความขลังเน้นมวลสารศักดิ์สิทธิ์เเละธาตุกายสิทธิ์สำหรับพระของขวัญสำเร็จทันใจนี้ใครต้องการจะใช้จริงๆ ค่อยสั่งจองมาพ่ออาจารย์ท่านว่ามีบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระสีวลีตลอดจนครูสมเด็จเเละองค์หลวงพ่อปาน เทพยดาทั้งหลายเต็มบารมีพุทธภูมิ

    *** พระชุดลองพิมพ์นี้ท่านกดไว้ได้ไม่มาก พ่ออาจารย์ว่าจะเจิมเบิกเนตรให้ทีละองค์ทุกองค์อีกครั้ง รับจองเฉพาะทาง PM เท่านั้น รายได้ร่วมสมทบทุนการศึกษาเด็กด้อยโอกาสที่ขาดการสนับสนุนต่อไป

    ร่วมทำบุญบูชา พระผงของขวัญสำเร็จทันใจ(ครูพระสีวลีผงทิพย์ปทุมเกสร,ข้าวก้นบาตรพระพุทธกัสสปะ) บูชา 900 บาท

    69664569-1310283145805065-9076694896491888640-n.jpg 69651877-2303659333066497-8167914910836064256-n.jpg
    70415479-1131632680557775-6546368592554754048-n.jpg
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ฐิตกาญจน์ ED 8364 9597 1 TH

    พี่เสฏฐณันฐ์ ED 8364 9598 5 TH

    พี่อัครพงศ์ ED 8364 9599 9 TH

    พี่เมธาพันธ์ ED 8364 9600 5 TH

    พี่จิรัฏฐ์ ED 8364 9601 9 TH

    พี่ภิญโญ ED 8364 9602 2 TH

    พี่กานต์ธิดา ED 8364 9603 6 TH

    พี่ณธพรหม ED 8364 9604 0 TH
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ภิญโญ EI 2170 1085 5 TH

    พี่เมธาพันธ์ EI 2170 1086 9 TH

    พี่ณธพรหม EI 2170 1087 2 TH

    พี่มงคล EI 2170 1088 6 TH

    พี่ฐิตกาญจน์ EI 2170 1089 0 TH

    พี่ทวีพงษ์ EI 2170 1090 9 TH

    พี่นิธิรุจน์ EI 2170 1091 2 TH

    พี่ศิระ EI 2170 1092 6 TH

    พี่พิสุทธิ์ EI 2170 1093 0 TH

    พี่พชร EI 2170 1094 3 TH
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    ใครที่สอบถามเครื่องรางยุคแรกเดี๋ยวจะลงตะกรุดชนิดหนึ่งซึ่งสำคัญมาก..กว่าจะได้ดอกหนึ่งนั้นต้องใช้เวลาลงถึงเจ็ดวันเสกอีกพันคาบจึงจะสำเร็จทีละดอก ใครชอบของยากๆชนิดทำแล้วไม่คิดจะทำอีกพรุ่งนี้ติดตามกันดีๆ
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดเวทย์สวรรค์มหาโองการปฐมพรหม (ยืมกำลังพระเจ้าดับล้างสิ่งรบกวนสุจริต,ทุจริต,ยอดธาตุ,ยอดคนเข้าน้ำมันพระร่วง)

    เกี่ยวกับตะกรุดวิชานี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเป็นวิชาที่ทำให้สำเร็จได้ยากที่สุดในสายของครูพรหมสฮัมบดี ด้วยเป็นสิ่งที่ทำขึ้นเพื่อใช้ยืมกำลังเทพยดาต่างๆที่เรามีใจนับถือผูกพันธ์ให้เข้ามาช่วยคลี่คลายวิบัติภัยในชีวิต ### พ่ออาจารย์ท่านว่าการร้องขอ,การรอความเมตตาสงสารนั้นย่อมเทียบกับการยืมกำลังไม่ได้เลย เพราะการยืมกำลังนั้นคือการนำอำนาจของเทพเจ้าองค์นั้นๆมาใช้ การใช้งานก็เหมือนกับใช้เขาไปบัญชาเขาอีกขั้นหนึ่ง เช่นนี้ครูพรหมจึงย้ำว่าวิชานี้สำคัญมากจะให้ตกไปอยู่ในมือคนพาลทุจริตมิได้ การขอยืมกำลังเทพเจ้าให้มาอำนวยประโยชน์ช่วยเหลือเราเวลาติดขัดไร้หนทางเช่นนี้เมื่อใช้แล้วย่อมได้ชื่อว่ามีผู้อุปถัมภ์ทันที ด้วยชีวิตจะไม่ตกต่ำถึงเกิดมาชะตาลิขิตไว้เป็นคนไม่เคยมีโชคดีใดๆเลยแม้กระทั่งในตัวจะมีเสนียดจัญไรแฝงอยู่ตะกรุดก็จะล้างจะดับสิ่งที่ไม่เป็นมงคลทั้งหลายออกไปจากตัว ให้โชคลาภพึงมีพึงได้มาตามวาสนาอย่างไม่ยากเย็น ซ้ำยังหนุนให้แรงบนบานแลอธิษฐานใดๆแสดงผลเร็วไวชั่วพริบตารุนแรงดั่งสายฟ้าฟาด ทั้งยังมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์เสริมคุณวิเศษในวัตถุมงคลใดๆที่เจ้าของครอบครองอยู่ให้มีฤทธานุภาพมีกำลังกล้าแกร่งเป็นทวีคูณ

    พ่ออาจารย์ท่านย้ำว่าตะกรุดนี้คนใช้เล่นได้สองทาง นั่นคือใช้ได้ทั้งทาง "สุจริต" แล "ทุจริต" เลยทีเดียว ท่านว่าขอให้เป็นไปเพื่อความเจริญรุ่งเรืองไม่ว่าจะสุจริตหรือทุจริตย่อมใช้ได้ทั้งสิ้น ถ้าใคร่ใช้ในทางสุจริตจะให้เป็นมหาอำนาจหรือใช้ในการลงทุนสิ่งต่างๆทำกิจการใหญ่โต ติดตัวเพื่อให้เป็นตบะเดชะ มีชีวิตที่สุกสดใสดุจพระสุริยาทิตย์ขึ้นสูงสุดในเวลากลางวันก็ได้ แม้จะใช้ในทางทุจริตเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตัวเองเช่นการเสี่ยงโชคหรือการได้มาซึ่งโชคลาภโดยมิชอบ(ไม่ใช่ทำมาหากินตรงๆ) จะให้ชีวิตสุกสว่างดั่งพระจันทร์ทรงกลดยามค่ำคืนเช่นนั้นก็ย่อมได้ ขอให้เป็นไปเพื่ออำนาจวาสนาความเจริญรุ่งเรืองไม่ว่าจะในทางใด...พ่ออาจารย์ท่านบอกว่าครูพรหมท่านกำชับไว้เราพูดเยอะไม่ได้เพราะมันเป็นดาบสองคม บอกได้แค่ว่าสิ่งไม่ดีอันใดทั้งกลางวันและกลางคืนย่อมไม่เกิดขึ้นเลย ด้วยแรงครูจะช่วยหนุนเราให้สูงขึ้นไม่มีตก ให้ชีวิตสุกสว่างไม่ว่าจะเล่นทางสุจริตหรือทุจริตก็ดี แรงครูนั้นจะช่วยกันแก้สิ่งไม่ดีปัดเป่าความมืดมนออกไปจากชีวิตและจิตวิญญาณของตน *** อุบาทว์อันใดที่หมักหมมตกตะกอนข้ามชาติข้ามภพสะสมอยู่ในจิตวิญญาณส่งผลกับชีวิตเราโดยตรงท่านว่านั่นแหละเขาจะดับล้างออกไปจากตัวเรา ทั้งยังค้ำชูดวงชะตาเราเสริมราศีให้ดีขึ้นไม่ตกต่ำ ในเวลาที่ดวงดีอยู่แล้วจะดันให้ดีขึ้นไปอีก ในเวลาที่ตกก็จะดึงขึ้นไม่ให้ตกที่นั่งลำบาก พ่ออาจารย์ท่านว่าถ้าจะพูดกันเข้าใจง่ายๆเลยก็คือไม่มีวันดวงตกต่อให้ทายชะตาออกมาว่าดวงจะตกหรือดวงจะแตกอย่างไรแต่ชีวิตเราก็ดีขึ้นทางเดียวไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องดวงเหล่านั้นเลยเพราะตัวเรารุ่งเรืองเฟื่องฟูในทางเดียว ทั้งตะกรุดสำคัญนี้หากได้อาราธนาติดตัวเป็นประจำนอกจากจะดับล้างอุบาทว์ทั้งหลายในจิตวิญญาณตนแล้วยังจะช่วยชำระปราณในตัวให้บริสุทธิ์มากขึ้นไปเรื่อยๆด้วย พ่ออาจารย์ท่านว่าเราจะรู้และสังเกตุได้ด้วยตัวเองว่าความคิดเราจะกระฉับกระเฉงมากขึ้นเป็นคนปัญญาไวมีปัญญามาก มีประสาทสัมผัสต่างๆไวขึ้น สามารถเห็นนิมิตดีร้ายในกาลภายหน้าได้อย่างแม่นยำไม่บิดเบือน ทั้งคุณครูยังจะป้องสิ่งไม่ดีทั้งหลายแลอุบาทว์จัญไรทั้งปวง ช่วยเราเรียกหาทรัพย์สินเงินทองให้เราเจริญด้วยทรัพย์สมบัตินับคณา ### ดึงดูดเรื่องที่เราอยากให้เกิดสิ่งที่เราปรารถนา คล้ายกับหีบสมบัติที่จะเปิดไว้ให้ชีวิตมีแต่รับอย่างเดียว

    หากจะเจาะจงใช้ทางทำมาหากินโดยเฉพาะ พ่ออาจารย์ท่านว่าก็ย่อมให้คุณรุนแรงขึ้นไปอีกเพราะปฐมโองการนี้ ครูพรหมท่านให้ลงทั้งลาภะและธนะ คือเรียกทั้งลาภเรียกทั้งทรัพย์ ท่านว่าวิชานี้ต่อให้นั่งอยู่บ้านเฉยๆก็ยังมั่งมีไม่ขัดสนเงินทอง คนที่ประกอบกิจการต่างๆจะมีลูกค้าเดินเข้ามาหาเราเองเหมือนเป็นเสือนอนกิน ท่านว่าต่อให้หนีไกลไปอยู่ในถ้ำอยู่ในเขาก็จะมีคนดั้นด้นขึ้นไปหานำลาภสักการะไปให้มีเอกลาภมาหาถึงตัวเองมิได้ขาด จะนั่งจะนอนจะไปค้าไปแข่งกับใครล้วนกินคนอื่นทั้งสิ้นไม่มีที่ตัวเองจะถูกกิน ท่านว่าของแบบนี้ขอเงินได้เงินขอทองได้ทอง ครูพรหมท่านให้ลงไว้กันคนที่ทำมาหากินลำบาก ไอ้ประเภทว่าคนหาไม่ได้ใช้หามาให้คนอื่นเขาใช้ต่อไปจะไม่มี หลักๆเลยตะกรุดตัวนี้ให้ลองพกดูเวลาเราทำอาชีพทำมาหากินในทางของเรานั่นแหละ จะสังเกตุได้เลยว่าเราหาเงินทองง่ายขึ้น ได้ทรัพย์มาโดยที่ตนไม่เหนื่อยมากแบบเมื่อก่อน จะใช้ทางอุปเท่ห์เล่ห์กล(เสี่ยงดวง)กินใครก็สุดแต่อุปนิสัยแต่ละคน ท่านว่าพกไว้เถอะเรื่องยากทั้งหลายจะกลายกลับเป็นเรื่องง่ายๆ ทำอะไรก็ง่ายๆ ได้มาง่ายๆ สำเร็จง่ายๆเป็นอัศจรรย์แบบนี้

    ปฐมโองการหรือ*** โองการปฐมพรหมสูตรเฉพาะนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าลูกหลานสายพรหมจะรู้กันดี หากครูพรหมท่านโปรดแล้วให้ใช้ให้เข้าถึงวิชานี้แล้ว เรื่องไม่ดีดวงตกปีชงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกเป็นไม่ได้กิน ดวงดาวดวงชะตาจะไม่ใช่สาระสำคัญไม่อาจส่งผลกระทบมาถึงชีวิตเราจริงๆได้เลย ต่อให้ในปัจจุบันต้อยต่ำอย่างไรก็กลายเป็นคนชั้นสูงมีอันจะกินได้ ท่านว่าตะกรุดนี้มีคุณหลายด้านให้นำติดตัวไว้เถิดตั้งกำลังใจดีๆมั่นคงในองค์พรหม ท่านจะปัดเป่าทุกข์ภัยทั้งหลาย เป็นเคราะห์หนักให้กลายเป็นเบากลับจากร้ายเป็นเรื่องดีทั้งขจัดเรื่องที่เข้าขั้นอันตรายออกไปจากชีวิตเรา แม้ตะกรุดดอกนี้อยู่ที่ไหนคุณไสยมนต์ดำฝ่ายต่ำแลอวิชาทั้งหลายจะไม่เข้าใกล้เราเลย เอกลาภสูงสุดของชีวิตจะเกิดขึ้นโดยพลันนั่นคือจะไม่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงและจะแก่ตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นตัดหนทางตายก่อนหมดอายุขัยกลายเป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อนนั่นทีเดียว พ่ออาจารย์ท่านว่าตะกรุดนี้ใช้ได้หลายทางเลี่ยมให้ดีติดตัวไว้ก็มีกินไมีใช้ไม่รู้สิ้นรู้สูญ ติดบ้านไว้เงินก็ไม่ขาดบ้าน คนที่ไม่เคยมีโชคก็จะมีโชค,คนที่ไม่เคยได้รับวาสนาก็จะได้รับวาสนาเห็นโอกาสให้ไขว่คว้าได้ เวลาจะนอนก็ให้เอาตะกรุดนี้ใส่ไว้ใต้หมอน ท่านว่าป้องกันฝันร้ายทำให้ฝันดี หากอยากเห็นนิมิตอะไรให้กำตะกรุดเอ่ยนามครูพรหมไปจนหลับ อยากเห็นลาภลอยก็จะเห็น,อยากเห็นช่องทางทำมาหากินก็จะเห็น,อยากเห็นทางที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นก็จะเห็น ท่านว่าตะกรุดรุ่นนี้เคยมีคนเอาไปทำตามวิธีนี้แหละเขาขอครูพรหมไว้ว่าขัดสนยังไม่เห็นช่องทางชีวิตใดๆเลย อยากขอลาภสักก้อนหนึ่งมาลงทุนต่อชีวิต เขาว่ากำตะกรุดเอ่ยนามครูพรหมจนหลับทุกวัน หลับไปก็เห็นแต่เลขสักพักถูกหวยหลายงวดรวยใหญ่ได้ทุนสมกับที่ตั้งใจ

    การจะลงตะกรุดนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าครูพรหมท่านกำหนดมาแต่เริ่มเลยว่าให้ใช้อะไรบ้าง ท่านว่าท่านต้องไปหาตะกั่วโกฏมาใช้ ด้วยเป็นของสูงคนธรรมดาเมื่อตายไปไม่มีทางได้อยู่ในโกฏนอกจากเจ้านอกจากขุนนาง เช่นนี้ตะกั่วโกฏจึงเป็นของสูงอย่างแท้จริง ท่านว่าต้องนำตะกั่วโกฏมาหลอมกับตะกั่วอาถรรพ์เพื่อจะทำ"ยอดธาตุ"ที่จะชักนำวาสนา"ยอดคน"ให้สำเร็จได้ให้เป็นยอดของคนอยู่เหนือดวงรุ่งเรืองเกินไปกว่าที่พรหมลิขิต(วาสนาเดิม)จะมีได้ ท่านว่าต้องหลอมรีดและลงอักขระของครูพรหมตามที่ท่านสอน จากนั้นครูพรหมท่านจึงให้นำไปฝังทำอาถรรพ์ไว้ในกระถางธูปที่พ่ออาจารย์ท่านใช้จุดหนึ่งปี ท่านว่าเป็นเคล็ดให้ตะกั่วอาถรรพืนี้สามารถส่งคำขอแลความปรารถนาของคนอาราธนาไปสู่เทพเจ้าได้ครอบคลุมทั้งสิบหกชั้นฟ้าสิบห้าชั้นดินสิบสี่ชั้นบาดาล เมื่อครบปีจึงกู้มาหลอมรีดทำการลงถมตามที่ครูพรหมท่านกำหนด ทำซ้ำไปวนมาอยู่หลายเดือนจนแทบจะครบทุกวิชาในพระเวทย์สวรรค์ พ่ออาจารย์ท่านว่าเพื่อให้ได้ชนวนที่เข้มขลังแม้จะยังไม่ทำสิ่งใดแค่นี้ก็ยอดดีแล้ว ท่านว่าครูพรหมท่านต้องการให้ทำให้ดีที่สุดคนใช้จะได้สัมผัสได้,จับต้องได้,รู้เห็นได้ทันตา(ประสบการณ์)แก่ตนเอง และเมื่อได้นำแผ่นชนวนอาถรรพ์นี้ไปรีดลงวิชาด้วยแรงจากการลงถมทำอาถรรพ์ที่ผ่านมาวิชาที่ลงก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์นับประมาณมิได้เป็นพันเป็นหมื่นเท่า พ่ออาจารย์ท่านว่าครูพรหมท่านอยากจะเห็นลูกหลานเจริญรุ่งเรืองในส่วนเดียวไม่ได้รับความตระกำลำบากอย่างใด ให้มั่งมีมั่งคั่งท่านจึงดำริให้พ่ออาจารย์ทำเต็มที่แม้จะเสียเวลานานแต่ทุกอย่างก็คุ้ม พ่ออาจารย์ท่านว่าคนเรานั้นหากลองไม่มีอุปสรรคแล้ว โชคลาภก็จะเข้ามาเองะกรุดตัวนี้ได้ชื่อว่าดับล้างไปแล้วนี่คือดับล้างทั้งหมดเลยนะ ถ้าเราคิดว่าอุปสรรคมันเป็นสิ่งรบกวนนี่ก็ล้างไปด้วย ### เราคิดว่าอะไรที่มันรบกวนชีวิตเรามันก็ล้างอย่างนั้นแหละ

    จะช่วยดับล้างเปลี่ยนเราให้กลายเป็นยอดคน ให้ดีกว่าคนอื่น,ได้รับมากกว่าคนอื่น,รวยกว่าคนอื่น ท่านว่าจะได้มากกว่าที่คนปกติควรจะมีจะได้ แค่แผ่นตะกรุดนี้ก็เป็นของค้ำคูณชีวิตในตัวเองอยู่แล้ว ท่านลงเวทย์สวรรค์ไว้สารพัดวิชา ท่านว่าเอาแค่แผ่นตะกรุดที่ส่งไปรีดกลับมานั้นพกไว้ก็เป็นปิยะเมตตาเป็นที่รักแก่ชนทั้งหลาย ทำอะไรอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเกื้อกูล หาเงินเป็น เก็บเงินได้ไม่หมดหดหาย มีทรัพย์ใช้ไม่ขาดแคลน ติดตัวไว้ก็รักษาเนื้อตัวดับทุกข์ดับเข็ญในร่างกายแลอวัยวะน้อยใหญ่ จะแช่ทำน้ำมนต์ดื่มกินก็เปรียบได้กับยาอายุวัฒนะช่วยให้สุขภาพไม่เลวลงมีแต่กำลังร่างกายแข็งแรง ท่านว่าเก็บไว้ที่ไหนก็ดีงามที่ตรงนั้น เขาจะขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองแก่เรา ขับเคลื่อนเราให้เข้าหากุศลกรรม แค่ธาตุที่ทำแผ่นตะกรุดนี้หากเสกดีๆก็เปลี่ยนชีวิตคนได้มามากแล้ว พ่ออาจารย์ท่านว่าแค่แผ่นตะกรุดชุดนี้ท่านเคยแบ่งมาลงนะเศรษฐีตัวเดียวม้วนให้คนลองเอาไปใช้จากคนไม่มีอะไรเลยเดี๋ยวนี้มีพร้อมทั้งบ้านทั้งรถมีครบหมดไม่ต้องผ่อนไม่มีอยู่อย่างเดียวคือไม่มีหนี้ ท่านว่ายอดธาตุนี้เปลี่ยนคนเป็นยอดคนได้ เขามีกำลังดีขนาดนั้น

    ตะกรุดนี้ครูพรหมท่านเมตตาให้ลงไว้ใช้เพื่อบรรเทากรรมวิบากนานาทุกประการ ท่านว่าเจตนาตั้งใจจะให้ลูกหลานมีพลังใจสั่งสมสิ่งดีสร้างคูรงามความดีไม่ท้อถอย ท่านว่าให้ติดตัวไว้เถิดจะดับล้างสิ่งรบกวนบรรเทากรรมวิบากได้ ### หากชีวิตเคยผิดพลาดพลั้งเผลอสิ่งใดไปเพียงปัจจุบันขอให้กลับใจระลึกถึงครูพรหมสฮัมบดีที่ถ่ายทอดโองการปฐมพรหมเพื่อทำตะกรุดนี้ ท่านว่าขอแค่เรากลับตัวกลับใจแล้วอะไรมันก็ดีทั้งนั้น ตะกรุดนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าทำได้สำเร็จยากนักเพราะครูพรหมท่านกำหนดมาเลยว่าต้องลงจากบนลงล่างหนึ่งวันอย่างไรต้องเลือกวันไหนเริ่มทำก็ตีหนึ่งแล้ว ต้องวนซ้ายไปขวาหนึ่งวันอย่างไร คลุมสี่ทิศให้ทำทิศละวันอย่างไร ลงสำทับอีกหนึ่งวันอย่างไร ท่านว่ากว่าจะจารได้หนึ่งดอกครบเจ็ดวันพอดี ครูท่านให้ทำแม้ตัวเรามาลงเวทย์สวรรค์แบบนี้ก็เสียปราณไปเยอะ พอครบเจ็ดวันม้วนตะกรุดได้แล้วต้องรอเที่ยงคืนพระจันทร์เต็มดวงตรงหัวถึงจะเอามาเสกอีกพันคาบนั่นแหละจึงได้ตะกรุดเปลือยๆมาดอกหนึ่ง ท่านว่าต้องทยอยทำเก็บไว้ไหนจะต้องรอเวลาฟื้นปราณตนเองกว่าจะทำครบหกดอกนั้นยากหนักหนา พอได้ครบหกดอกต้องเอามาเชิญครูพรหมลงเสกตากแสงอาทิตย์แสงจันทร์อีกเจ็ดวันเจ็ดคืนโดยมีข้อแม้ว่าเมื่อทำแล้วห้ามมีฝนตก หากมีฝนตกต้องเริ่มนับ 1 ไปลงจารตะกรุดใหม่ตั้งแต่ต้น พ่ออาจารย์ท่านว่าเราอ่านพยากรณ์อากาศช่วงนั้นก็ยังไม่แน่ใจ ต้องถามครูพรหมท่านอย่างเดียวเลยว่าทำได้ช่วงไหน ใช้ฤกษ์ไหนถึงจะแรงกว่าทุกวันเหนือกว่าทุกฤกษ์ พ่ออาจารย์ท่านว่าครูพรหมท่านให้ฤกษ์มาทำ ท่านว่าคนเอาไปใช้จะข่มได้ทุกคน ในเจ็ดวันนี้ทั้งกลางวันและกลางคืนไม่มีสัตว์ใดๆที่จะล่วงพ้นวันทั้งเจ็ดไปได้ ตราบใดที่อยู่ในวัฏจักรเราก็ข่มเขาได้ทุกคน มีแต่ชนะ มีแต่เราที่เป็นยอดคนเช่นนั้น พ่ออาจารย์ท่านว่ามันวุ่นวายถึงขนาดนั้นพอทำเสร็จมาก็หายอยากแล้วต่อให้ใครมาแจ้งเราก็ไม่ทำอีกแล้วท่านว่าแค่คิดถึงก็เข็ดไปนานเลย วิชาตำรับครูพรหมนั้นกว่าจะทำให้สำเร็จได้ไม่มีง่ายเลยจริงๆ

    ตะกรุดทุกดอกนั้นพ่ออาจารย์ท่านนำมาอุดด้วยน้ำมันพระร่วงที่จับตัวกันแข็งเป็นก้อน น้ำมันนี้ท่านว่าหลวงพ่อปานท่านก็เคยใช้ เป็นน้ำมันเก่าตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัยนั่นเลยถูกฝังไว้พอตกมาถึงหลวงพ่อปานน้ำมันก็จับตัวแข็งแล้ว พ่ออาจารย์ท่านว่าสมัยก่อนแม้หลวงพ่อปานเองท่านก็ยังพกขวดใส่น้ำมันพระร่วงนี้ไปในที่ต่างๆ ใครจะเชิญท่านไปเป็นประธานที่ไหนไปสร้างวัดตรงไหนไปช่วยเหลืองานศาสนาใดๆก็ดี ท่านก็จะพกขวดใส่น้ำมันนี้ไปด้วยโดยเอาน้ำมันงาเทผสมน้ำมันพระร่วงเก่าที่จับตัวแข็งๆเหนียวๆแล้ว ท่านผสมรอจนตกตะกอนจึงแบ่งน้ำมันใส่ขวดเล็กๆไปตั้งทำอาถรรพ์ไว้ พ่ออาจารย์ท่านว่าวัดไหนท่านสร้างก็เจริญรุ่งเรืองเร็วกว่าปกติด้วยอาญาสิทธิ์น้ำมันพระร่วงนี้อยู่ที่ไหนก็เจริญรุ่งเรืองพุ่งแรงอย่างรวดเร็ว ยกจบหัวอธิษฐานสิ่งใดก็ได้ชื่อว่าเป็นวาจาสิทธิ์ดั่งปากพระร่วง ทำอะไรก็สำเร็จโดยง่าย พ่ออาจารย์ท่านได้รับชุดน้ำมันเก่าในสังคโลกกรุสุโขทัยที่จับตัวแข็งมา ท่านว่าเป็นหัวเชื้อน้ำมันพระร่วงแบบที่หลวงพ่อปานท่านเคยใช้ ท่านจึงนำหัวน้ำมันที่แข็งตัวเป็นไขนี้มาอุดหัวอุดท้ายตะกรุด ท่านว่าอุดแค่นี้ก็พอไม่ต้องมาก เฉพาะที่อุดไปนี่ถ้าจะเอาไปขยายทำน้ำมันแบบหลวงพ่อปานก็ทำได้เป็นร้อยๆขวด พ่ออาจารย์ท่านว่าเอาหัวเชื้อนี่แหละไปใช้กันคนละเล็กละน้อยและรักษากันไว้ให้ดี เพื่อเป็นที่ระลึกเป็นที่มาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของตนเอง

    คาถาบูชา
    โอม จตุรมุขายะ วิทมเห หัมษา รุทายะ ธีมหิตันโน พรหมมา ประโจทะยาต พรหมมะเณยะนะมะ

    *** ตะกรุดมหาโองการนี้ท่านทำไว้หกดอกแต่มีแบ่งบูชาไปนานแล้วดอกหนึ่ง และตัวท่านก็ใช้เองดอกหนึ่ง จึงมีให้บูชาสี่ดอก รับจองเฉพาะทาง PM เท่านั้น ผู้จองให้แจ้งชื่อนามสกุลลวันเดือนปีเกิดตลอดจนเรื่องขัดข้องและสิ่งรบกวนในชีวิตไว้ด้วย พ่ออาจารย์ท่านจะทำการบอกกล่าวครูพรหมประสิทธิ์ให้อีกคำรบหนึ่ง รายได้ร่วมสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในโอกาสต่อไป

    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดเวทย์สวรรค์มหาโองการปฐมพรหม (ยืมกำลังพระเจ้าดับล้างสิ่งรบกวนสุจริต,ทุจริต,ยอดธาตุ,ยอดคนเข้าน้ำมันพระร่วง) บูชา 4,000 บาท

    70378771-2421268424623319-4514664150319759360-n.jpg
    69886241-2512855328945399-1259590384657367040-n.jpg
    70395585-2440281366259200-988322852992188416-n.jpg
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่กีรติศักดิ์ EI 2170 3188 6 TH

    พี่สายเมธี EI 2170 3189 0 TH

    พี่มณฑล EI 2170 3190 9 TH

    พี่พรเทพ EI 2170 3191 2 TH
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    ที่สอบถามกันมาว่ามีตะกรุดหลักๆราคาเบาๆหลักร้อยบ้างมั๊ยเดี๋ยวเเจ้งอีกทีนะครับ เพราะคำถามนี้เป็นของหลักๆไม่ใช่ของราคาเบาๆก็เอาไว้ติดตามกันอีกที
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    นิมิตฝัน

    ฝันดีฝันร้ายฝันในวันต่างๆ ตีความหมายอย่างไรได้บ้าง… มีบอกไว้ด้วย (แต่ไม่มีฝันกลางวันฝันเหม่อๆนะ) ถ้าฝันวันอาทิตย์ : ปวงประชา , จันทร์ : ญาติ , อังคาร : บิดามารดา , พุธ : บุตร ภริยา , พฤหัสบดี : ครูอาจารย์ , ศุกร์ : เพื่อนฝูง , เสาร์ : ตัวเอง

    1. ถ้าฝัน เห็นมูลหรือถูกของเน่าเหม็นเปรอะเปื้อนกาย ทายว่า จะได้ลาภเงินทอง

    2. ถ้าฝันว่าได้นุ่งผ้าใหม่ จะได้ดีมีสุข ชนะศัตรู

    3. ถ้าฝันถึง การทอดแห ตกปลา และได้มา มักจะเสียของรัก

    4. ถ้าฝัน นาคเกี้ยวมือ เท้า จะมีคนช่วยเหลือเรา

    5. ถ้าฝัน ได้แหวน และสวมนิ้วมือ จะได้เนื้อคู่ที่ถูกใจ ถ้าแต่งงานแล้วจะได้บุตร

    6. ถ้าฝัน เก็บผลไม้ได้ ทายว่า จะได้ของที่รัก ถูกอกถูกใจ

    7. ถ้าฝัน ได้ทานอาหารร่วมกับครอบครัว ทายว่าจะได้ลาภที่ถูกใจ

    8. ถ้าฝัน ถูกจับเข้าตาราง หรือถูกใส่ความ ทายว่าได้เปลี่ยนงาน หรือ ตำแหน่งสูงขึ้นไป

    9. ถ้าฝัน ถูกตัดเท้า ตัดมือ ทายว่า จะได้เลื่อนยศ

    10. ถ้าฝัน ได้เต่าหรือเห็นเต่า ทายว่าจะได้คนรับใช้

    11. ถ้าฝันถึง ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่ม ทายว่าจะได้คนช่วยเหลือ

    12. ถ้าฝันเห็น ไฟไหม้บ้านตนเอง ทายว่าจะเดือนร้อนที่อยู่ ถ้าไฟไหม้บ้านคนอื่น ทายว่า ตนจะเย็นเป็นสุข

    13. ถ้าฝันว่า เหาะเหินเดินอากาศได้ ทายว่า จะได้อะไรสมใจนึก

    14. ถ้าฝันเห็น มีเด็กเล็ก ๆ มานอนเต็มบ้านเรือน ทายว่าจะได้ข้าทาสบริวาร และจะได้เจ้าคน

    15. ถ้าฝัน นุ่งผ้าสีแดง ทายว่าจะเกิดทุกข์ใจมีศัตรูปองร้าย

    16. ถ้าฝัน นุ่งผ้าสีม่วง-ชมพู จะพบเนื้อคู่ที่ถูกใจ

    17. ถ้าฝัน เห็นยักษ์-ผี มาราวี ทายว่า จะถูกฟ้องศาล

    18. ถ้าฝัน เห็นเทวดา ทายว่าจะถูกเพื่อนฝูงใส่ความ

    19. ถ้าฝัน เห็นหญิงถือไฟเข้ามาหา ทายว่าจะได้ ภรรยา – สามี

    20. ถ้าฝัน ได้สวดมนต์หรือได้ฟังพระสวด ทายว่า จะหมดเคราะห์ที่เคยทำมา

    21. ถ้าฝัน เดินกางร่มกลางแดด ทายว่า จะได้ทรัพย์สินเงินทอง ควรเสี่ยงโชคทางการพนัน

    22. ถ้าฝัน เข้าวัดฟังเทศน์ ทายว่า จะสุขสบายยิ่งนัก

    23. ถ้าฝัน เห็นพระพุทธรูป ทายว่า มีอำนาจ ศัตรูพ่ายแพ้

    24. ถ้าฝัน เห็นครูอาจารย์ ทายว่า นึกอะไร จะสมประสงค์

    25. ถ้าฝัน เห็นบิดามารดายังอยู่หรือจะสิ้นไปแล้ว ทายว่าจะรู้สึกกังวลใจ ควรทำบุญตักบาตร

    26. ถ้าฝัน เป่าแตรหรือ ปี่ ทายว่าจะมีอำนาจวาสนาใครๆ สรรเสริญ

    27. ถ้าฝัน ฟ้าผ่าตน ทายว่า จะเดือนร้อนเพราะผู้ใหญ่

    28. ถ้าฝัน งูเกี้ยวแขนพันขา ทายว่า จะพบเนื้อคู่ในเร็ววัน

    29. ถ้าฝัน ถูกงูพิษไล่กัด ทายว่า จะได้คู่ต้องอารมณ์

    30. ถ้าฝัน ขึ้นบ้านใหม่ ทายว่า จะได้เลื่อนบศตำแหน่งการงาน

    31. ถ้าฝัน นั่งเรือข้ามน้ำ ทายว่ามีศัตรูคอยปองร้าย

    32. ถ้าฝัน ขึ้นเครื่องบิน ทายว่าจะได้เดินทางไกล

    33. ถ้าฝัน เห็นเครื่องบินตก ทายว่าญาติสนิทจะเสียชีวิต

    34. ถ้าฝัน ฟันซี่หน้า ๆ หัก ทายว่าญาติพี่น้องจะเสียชีวิต

    35. ถ้าฝัน ฟันกรามหัก พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่จะเสียชีวิต

    36. ถ้าฝัน ถูกคนอื่น ฆ่าเรา ทายว่าจะได้ลาภชนะศัตรู

    37. ถ้าฝัน เก็บเงินทองไม่รู้จักหมด ทายว่าสิ่งที่คิดจะสมปรารถนา

    38. ถ้าฝัน ขี่ช้างม้าวัวควาย ทายว่า จะได้ลาภอยู่เย็นเป็นสุข

    39. ถ้าฝัน เสือ – ช้าง – หมี ไล่ ทายว่า จะมีคนกลั่นแกล้ง

    40. ถ้าฝัน นั่งเรือหรือรถ ชนหรือล่ม ทายว่า มีลางร้ายไม่ควรเดินทาง

    41. ถ้าฝัน ได้กอดสมสู่กัน ทายว่า มีเรื่องทุกข์ร้อนกังวลใจ

    42. ถ้าฝัน เห็นพระสงฆ์ ทายว่า จะสุขกายสบายใจ แต่ไม่ได้ลาภ

    43. ถ้าฝัน ได้ดื่มกินสุรา ทายว่าจะป่วยไข้ไม่สบาย

    44. ถ้าฝัน นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทายว่าจะเป็นหัวหน้าคนทั้งปวง

    45. ถ้าฝัน ถูกเขามัดตน ทายว่าจะเกิดคดีที่ต้องฟ้องศาล

    46. ถ้าฝัน ร้องไห้ ทายว่าจะมีเรื่องขุ่นใจ

    47. ถ้าฝัน เดือนหงาย ทายว่า คู่ครองจะนอกใจ

    48. ถ้าฝัน เดือนมืด ทายว่า จะผิดใจกับคนรัก

    49. ถ้าฝัน บ้านพังทลาย ทายว่า คู่ครองจะแยก หรือตายไป

    50. ถ้าฝัน ได้เด็ดดอกไม้ ทายว่า จะได้เนื้อคู่

    51. ถ้าฝัน ฟันหัก ทายว่า จะเจ็บไข้หรือได้รับข่าวร้าย

    52. ถ้าฝัน ได้ลูกหรือคลอกลูก ทายว่า จะได้ลาภ โชควาสนาดี

    53. ถ้าฝัน ตกกล้าทำนา ทายว่า จะเสียของรักลำบากใจ

    54. ถ้าฝัน ได้บวชพระหรือเณร ทายว่า จะได้วาสนาแต่อับโชคลาภ

    55. ถ้าฝัน ได้เดินทาง ทายว่า จะเดือดร้อนเรื่องหน้าที่การงาน

    56. ถ้าฝัน เห็นสุนัข ทายว่า จะมีเพื่อนฝูงมาจุนเจือ

    57. ถ้าฝัน เห็นแมว ทายว่า จะเสียเงินทองช่วยเหลือคนอื่น

    58. ถ้าฝัน ทะเลาะกับพี่ ๆ น้อง ๆ ทายว่า ญาติที่คิดจะมา

    59. ถ้าฝัน ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ทายว่า จะมีเรื่องเดือดร้อนใจ

    60. ถ้าฝัน ตนตายถูกหามไป ทายว่า ถ้าป่วยไข้จะหายดี

    61. ถ้าฝัน เห็นแร้งกา ทายว่า จะเสียของรักที่ชอบใจ

    62. ถ้าฝัน เห็นงู ทายว่า จะมีเพศตรงข้ามมาชมชอบ

    63. ถ้าฝัน ได้เดินข้ามน้ำ ทายว่า จะเกิดอุปสรรคต่อหน้าที่การงาน

    64. ถ้าฝัน ถูกแทง ทายว่า จะได้เป็นใหญ่ศัตรูเกรงขาม

    65. ถ้าฝัน นั่งรถลงเรือ ทายว่า จะถูกโยกย้ายจากงาน

    66. ถ้าฝัน เห็นราชา ราชินี ทายว่า จะโชคดีมีโชคมีผู้ใหญ่อุปถัมภ์ค้ำชู

    67. ถ้าฝัน เห็นเจ้านาย ทายว่า จะถูกเพ่งเล็งหรือถูกตำหนิ

    68. ถ้าฝัน ได้สวมสร้อยคอ ทายว่า จะได้คู่ครองที่รักกันมาก

    69. ถ้าฝัน เห็นคนตายหรือเห็นศพคนอื่น ทายว่า จะหมดเคราะห์

    70. ถ้าฝัน เห็นวัวควาย จะเหนื่อยหายไม่สบายใจ

    71. ถ้าฝัน มีคนเอาเงินมาให้ ทายว่า จะได้ลาภแต่ระวังคนหักหลัง

    72. ถ้าฝัน ทะเลาะกับเพื่อนฝูง ทายว่า จะมีการขัดแย้งหมางใจกัน

    73. ถ้าฝัน ปัสสาวะรดผ้านุ่ง ทายว่า จะเกิดยุ่งยากลำบากใจ

    74. ถ้าฝัน อุจจาระราด ทายว่า จะได้ลาภแก้วเหวานเงินทอง

    75. ถ้าฝัน เห็นแมลงต่าง ๆ ทายว่า จะเกิดทุหข์ยาก เกิดจากบุตร

    76. ถ้าฝัน เห็นเถ้าถ่าน ทายว่า จะถูกใส่ความ ถูกตำหนิ

    77. ถ้าฝัน เห็นข้าวสาร-ข้าวสุก ทายว่า จะมีโชคลาภดี

    78. ถ้าฝัน มีคนให้ผ้าเช็ดหน้า ทายว่า จะเกิดเรื่องยุ่งยากถึงน้ำตาตก

    79. ถ้าฝัน ตกเรือนต้นไม้ ทายว่า จะอับโชค สิ้นวาสนา

    80. ถ้าฝัน ได้กินน้ำผึ้ง ทายว่า จะได้เป็นใหญ่หัวหน้าคน

    81. ถ้าฝัน อาบน้ำ ทายว่าจะอยู่เย็นเป็นสุข

    82. ถ้าฝัน ถูกตัดแขนตัดขา ทายว่า จะเสียเพื่อน

    83. ถ้าฝัน ถูกควักลูกตา ทายว่า จะเสียบุตรไป

    84. ถ้าฝัน ถูกผ่าเอาหัวใจไป ทายว่า จะเสียคู่ครอง

    85. ถ้าฝัน ช้างม้ามาเดินที่บ้านตน ทายว่า จะได้พบญาติที่จากกันไปนาน

    86. ถ้าฝัน เห็นต้นไม้ ทายว่ามีโชค

    87. ถ้าฝัน เห็นต้นไม้ในโกร๋น ทายว่า จะเสียของรักชอบใจ

    88. ถ้าฝัน ถูกไล่ฟัน ตี ทายว่า จะถูกนินทา

    89. ถ้าฝัน เห็นรองเท้าหรือใส่รองเท้า ทายว่า จะมีการเดินทางไกล

    90. ถ้าฝัน นอนบนที่นอนิ่มสบาย ทายว่า จะมีความสุข ปราศจากทุกข์

    91. ถ้าฝัน เห็นดวงอาทิตย์ ทายว่า มีอำนาจวาสนา

    92. ถ้าฝัน เห็นดอกบัว ทายว่าจะได้ยศบรรดาศักดิ์

    93. ถ้าฝัน ได้ทัดดอกไม้ ทายว่า จะได้บุตร

    94. ถ้าฝัน ขึ้นไปบนเขา ทายว่า จะได้เลื่อนขั้น

    95. ถ้าฝัน ได้หมวกหรือสวมหมวก ทายว่า จะมีผู้ใหญ่คอบอุปถัมภ์

    96. ถ้าฝัน ได้สวมรองเท้าใหม่ ทายว่า จะได้บริวาร

    97. ถ้าฝัน ได้ดื่มน้ำ ทายว่า จะเริ่มสุขปราศจากทุกข์

    98. ถ้าฝัน ได้รับประทานอาหาร ทายว่า จะเจ็บไข้

    99. ถ้าฝัน ร้องไห้ ทายว่า จะหมดเคราะห์

    100. ถ้าฝัน ตัดผม – ตัดเล็บ ทายว่า จะเสียทรัพย์สินเงินทอง

    101. ถ้าฝัน เห็นดาว-เห็นเดือน ทายว่า จะได้ลาภจากผู้ใหญ่

    102. ถ้าฝัน เห็นช้าง ทายว่า จะได้ของรักชอบใจ

    103. ถ้าฝัน เห็นปราสาทราชวัง ทายว่า จะได้เป็นหัวหน้าที่มีวาสนา

    104. ถ้าฝัน ร่างกายเน่าเปื่อย เน่า ทายว่าจะได้ข่าวจากเพศตรงข้าม

    105. ถ้าฝัน เห็นหมาคาบหม้อ ทายว่า จะถูกโกง

    106. ถ้าฝัน พบหมอดู ทายว่า จะมีเรื่องเดือดร้อนใจ

    107. ถ้าฝัน ได้รับประทานผลไม้ ทายว่า จะได้รับข่าวจากคนไกลกัน

    108. ถ้าฝัน ตกเขาจากที่สูง ทายว่า จะเสื่อมเกียรติ ถอดยศ หมดอำนาจ
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    ใครรอของดีสายพญายมราชห้ามพลาดพรุ่งนี้นะครับ
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดพระยมราชผลาญเพชรฆาต(สมใจนึก เผาคำอธิษฐาน)

    เครื่องมงคลในสายบารมีของพระธรรมบดียมราชนั้น ศิษย์ในสายพ่ออาจารย์ท่านจะทราบกันดีว่าท่านทำออกมาให้ใช้กันไม่บ่อย นอกจากนี้ในสายวิชาของท่านยังถือองค์ยมราชเป็นครูสำคัญ พ่ออาจารย์ท่านมักกล่าวว่าใครที่ใช้เครื่องมงคลในสายยมราชนั้นจะมีตบะน่าเกรงขาม ภูติผีปีศาจไม่อาจเข้ามาระรานเข้าใกล้ คนที่คิดร้ายหรือคิดไม่ดีต่อเราจะมีอันเป็นไปแพ้ภัยตัวเองแม้แต่คนที่คิดอิจฉาริษยาเราหรือจะมาลองดีลองวิชากับเราก็เช่นกัน ทั้งยังอาศัยบารมีขององค์ยมราชนั้นข่มและสะกดอาถรรพ์ได้ทุกชนิด แม้โรคภัยไข้เจ็บก็ยากที่จะเบียดเบียนจะถึงซึ่งความมีชนฒ์อายุยืนนานประสบแต่ความรุ่งเรืองในชีวิต พ่ออาจารย์ท่านว่าองค์ครูยมราชนั้นสำคัญนักแม้ท่านเองก็ยังอาราธนาติดตัวและออกนามท่านเสมอ ท่านว่าเราใช้ป้องกันอาถรรพ์ในตัวศิษย์ทั้งหลายเครื่องมงคลของท่านนั้นท่านจะลงกันอาถรรพ์ไว้เสมอและจะขอบารมีครูยมราชลงประสิทธิ์คลุมให้อีกครั้ง *** อันวิชาในสายครูยมราชนี้ปกติพ่ออาจารย์ท่านจะไม่ค่อยทำด้วยท่านให้เหตุผลว่าแรงเกินไป แรงมาก อย่างตะกรุดรุ่นนี้ก็เช่นกัน ท่านว่าจารอักขระทีไรไข้ขึ้นทุกที วิชาชุดนี้แรงมากท่านจารไม่ไหวแล้วจึงทำได้เท่าที่จารเก็บไว้ให้นำมาออกบูชาแค่นั้น ด้วยท่านปรารถนาจะให้คนที่มีปัจจัยไม่มากได้บูชาเครื่องมงคลในสายบารมีขององค์ยมราชอย่างแท้จริง

    ...ในอนันตจักรวาลนั้นมีภพย่อยมากมาย แต่ก็ปรากฏภูมิใหญ่ๆทั้งหมดเพียงสามภูมิเท่านั้นหรือที่เราเรียกกันว่าไตรภูมินั่นเอง หากไม่นับรวมพื้นโลกที่เราอาศัยอยู่หรือสวรรค์แล้ว นรกก็นับได้ว่าเป็นดินแดนอันลึกลับและไม่มีใครอยากเฉียดกรายเข้าใกล้มากที่สุด ถึงกระนั้นนรกภูมิก็ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์โลกผู้ใดจะหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเมื่อถึงกาลกิริยาจำเป็นต้องไปรับคำพิพากษาจากพญามัจจุราชเสียทั้งสิ้น ### มหาพรหมอนาคามีผู้เป็นนายเหนือหัวแห่งนรกภูมิ มีวิมานอันอยู่ในภูมินรกปกครองทวยเทพทั้งหลายที่มาทำหน้าที่ต่างๆในภูมินั้นรวมไปถึงสัตว์นรกทั้งปวง เราจะรู้จักกันดีในนามของยมเทพหรือจะเรียกว่าพระธรรมราชบ้าง แลธรรมเทพก็ดี เมื่อพ่ออาจารย์ท่านจะสร้างเครื่องมงคลที่ให้ผลเหนือกรรมลิขิตแลสัมพันธ์กับโชคและดวงชะตานั้น โดยฉันทามติแห่งครูเฒ่าและองค์เทพทั้งหลายไม่ว่าจะทิพย์กายและอสุรกายก็ดี ต่างพร้อมใจกันอนุญาติและอัญเชิญพระธรรมบดียมราชให้มาแผ่บารมีคุ้มเกรงผู้เคารพศรัทธาโดยมติพ่อแม่ครูอาจารย์เหนือหัวพ่ออาจารย์ท่านจึงได้สร้งเครื่องรางในสายวิชาองค์ยมราชอย่างแท้จริงอีกครั้ง

    พระธรรมบดียมราชเจ้าแห่งนรกภูมินั้น เมื่อในสมัยพุทธกาลได้มีโอกาสฟังเทศน์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็มีดวงตาเห็นธรรมบรรลุพระโสดาบัน ในกาลต่อมาก็ถึงซึ่งภูมิธรรมชั้นพระอนาคามี เป็นภูมิพรหมสุทธาวาสกล่าวได้ว่ามีทั้งวิมานอยู่ในปัญจสุทธาวาสมหาพรหมแลเมื่อจะเสด็จออกพิพากษาดวงวิญญาณทั้งหลายก็จะปรากฏองค์อยู่ในวิมานแดนนรกภูมิ พ่ออาจารย์ท่านว่าหลายๆคนมักจะคิดว่าพญายมท่านน่ากลัว แต่ข้อเท็จจริงแล้วท่านเป็นท้าวมหาพรหมลำดับสูงสุดในรูปพรหม ดังนั้นคนทั้งหลายจึงมักเห็นท่านตามแต่ตะกอนจิตใจจะปรุงแต่ง หากเป็นคนบาปทุจริตก็จะเห็นรูปกายท่านดูน่าสยดสยองแลหวาดกลัว แต่หากตั้งมั่นในธรรมสุจริตก็จะพบกับรูปกายที่สวยงามเกินเทวราชและเหล่าพรหมทั้งหลาย อันท้าวพญายมราชนั้นท่านดำรงตำแหน่งคอยพิพากษาตัดสินดวงวิญญาณในแดนยมโลกอย่างยุติธรรม ประกอบด้วยจิตเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมกับคณะผู้ช่วยของท่าน ผู้ช่วยของพระยมนอกจากคณะยมฑูตกับนายนิรยบาล สุวัน สุวานแล้วยังมี พระจิตตคุปต์ และพระกาฬไชยศรี เป็นต้น

    ด้วยมติแห่งครูบาอาจารย์ในโลกทิพย์ พ่ออาจารย์ท่านว่าผู้ใดก็ดี ที่จะได้พบ ได้เข้าเฝ้าพระธรรมบดียมราชนั้นล้วนแต่เป็นผู้ตกตายรอการเกิดใหม่ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงถือคติแห่งพระเวทย์ว่าเมื่อเราสร้างเครื่องรางในบารมีของพระยมนี้ แม้ใครสักการะบูชาก็เท่ากับว่าเขาได้พบกับองค์ยมราชแล้ว ชีวิตนั้นถือว่าได้กำเนิดใหม่ ได้เกิดในรูปใหม่ พ้นจากสภาวะเดิมแล้ว หลุดพ้นจากกงล้อกรรมและลิขิตฟ้าที่จองจำพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนทั้งหลาย พ้นจากโรคร้ายแลมีอายุยืนนานสืบไป โดยปกติแล้วอานิสงค์ของการบูชานับถือพระยมนั้นเชื่อกันว่าภูติผีปีศาจไม่กล้าระราน คนผู้นั้นจะมีตบะบารมีที่น่าเกรงขาม ผู้ที่คิดร้ายด้วยทุจริตมิชอบอิจฉาตาร้อนจะแพ้ภัยตัวเอง นอกจากนี้หากหมั่นบูชาระลึกถึงพระองค์ท่านเสมอๆ ท่านว่าจะห่างไกลจากความป่วยไข้ มีอายุยืนนาน หากรับราชการหรือทำมาค้าขายด้วยความซื่อตรงก็จะบังเกิดความเจริญมีความสุขในชีวิตยิ่งๆขึ้นไป พ่ออาจารย์ท่านสร้างเครื่องรางอันเป็นยอดวิชาในสายพระธรรมบดียมราชไว้ด้วยประสงค์จะให้ผู้ใช้ถึงซึ่งสวัสดิมงคล นอกจากในส่วนของวิชาแล้วท่านว่ายังจะได้ถือองค์ยมราชท่านเป็นครูที่จะคอยรักษาเราทั้งยังลงโทษทุกสรรพชีวิตอันจะคิดร้ายและจ้องทำลายเราผู้ศรัทธา เมื่อปรารถนาจะขอพรและระลึกถึงองค์ท่านก็จะได้นำตะกรุดจรดหน้าผากของตนแล้วอธิษฐานใจตามปรารถนาพระองค์จะช่วยให้กาลทุกสิ่งที่เดือดร้อนคลี่คลาย พร้อมกับเติมเต็มความสุขให้ถึงพร้อม ท่านว่าอยากจะขออะไรก็ให้คิดให้ดี อย่าไปขออะไรที่ไม่มีวันเกิดขึ้นหรือเป็นไปได้ก็พอ

    ### ตะกรุดพระยมราชผลาญเพชรฆาต ชื่อนี้ฟังว่าน่ากลัวนักต่างจากจุดประสงค์และวิธีการใช้ไปไกลลิบ พ่ออาจารย์ท่านว่านี่เป็นวิชาของครูยมราชโดยเฉพาะ ท่านว่าผลาญนั้นคือเมื่อจะใช้ต้องจุดไฟเผา ส่วนเพชรฆาตนั้นก็คืออาญาสิทธิ์ลงดาบได้ทันทีไม่ต้องปรึกษาผู้ใดจะทำอะไรก็ไวดั่งใจคิดไร้ผู้ต่อต้าน วิชานี้หากจะเรียกให้ถูกต้องจริงๆแล้วต้องเรียกว่า"ยมราชสมใจนึกเผาคำอธิษฐาน" ด้วยวิธีใช้นั้นท่านให้กลั้นใจเขียนเรื่องที่ตนเองต้องการบอกกล่าวครูยมราชหรือข้อความคำอธิษฐานของตนใส่ไว้ในกระดาษขาว เอาตะกรุดครูยมราชนั้นวางทับไว้ชั่วเวลาธูปไหม้หมดดอก ก่อนจะนำกระดาษนั้นเผาส่งคำอธิษฐานร้องขอแก่ครูยมราช ท่านว่าปัญหาของเราจะคลี่คลายในทันที... หากอยากใช้ให้เห็นผลไวสมดั่งที่ใจหวังท่านว่ามันมีเคล็ดกันอยู่นิดหน่อย นั่นคือ ตอนเขียนคำขอใส่กระดาษขาวนั้นต้องทำใจ ทำจิต ทำความรู้สึกตัวเองให้ว่างเปล่าอย่าไปคิดอะไรว่าต้องได้ ต้องเอา ต้องสำเร็จ ท่านว่าเขียนตอนที่จิตว่างจิตเป็นกลางไม่ปรารถนาสิ่งใดแม้จะเป็นคำขอหรือพรมงคลทั้งหลายที่กำลังเขียนก็ดี ให้ตั้งจิตอยู่ในอุเปกขาวางไว้ให้เป็นกลางเช่นนั้น ### ทั้งให้ทำเมื่อเวลาเที่ยงคืนในวันที่ตรงกับวันเกิดตนเอง(อาทิตย์-เสาร์ที่เป็นวันเกิดตน) และให้ขอได้เพียงครั้งละข้อเท่านั้น ในคำขอนั้นห้ามมิให้ผู้ใดเห็นและไม่ให้ผู้ใดอ่านจนกว่าเราจะเผาส่งสาสน์นี้ถึงครูยมราช ท่านว่าขอไปเถอะอาทิตย์ละครั้ง ให้ขอในสิ่งที่เป็นไปได้ จำไว้ว่าตอนเขียนนั้นให้ทำใจเป็นกลาง ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเพียงเท่านั้นสิ่งที่คิดฝันจะได้มาทันใจสมปรารถนา วิชานี้ตามสัญญาของครูยมราชพ่ออาจารย์ท่านว่าพวกเธอรู้มั๊ยวิชานี้ถือว่าเป็นอาญาสิทธิ์ของเจ้านรกเชียวนะ เมื่อเอามาลงเป็นตะกรุดนี่ยังปวดมือไปหมดขนาดท่านอนุญาติให้เราทำแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าเป็นตะกรุดที่ศักดิ์สิทธิ์มากเพราะไม่ว่าจะขอพร ขอความช่วยเหลืออะไร ท่านก็จะประทานพรให้สมความปรารถนา สมกับเหตุการณ์ที่ขอทุกครั้ง พ่ออาจารย์ท่านว่าแม้ตัวท่านเองก็ลองดูแล้วมันก็แปลกดีเพราะว่าทุกสิ่งนั้นทันใจ ทันความคิด และได้สมดั่งปรารถนา ครูยมราชท่านปรารภว่าวิชานี้ต่อไปจะได้ช่วยคนของท่านอีกมาก พ่ออาจารย์ท่านเห็นว่าเป็นวิชาสำคัญที่ดี เร็ว และแรงจริงๆ อธิษฐานขอได้ครบสมใจนึกท่านจึงเชิญครูยมราชมาอธิษฐานจิตทำให้เรื่อยๆเต็มกำลัง เต็มบารมีในสายครูของท่านนั้นทีเดียว ท่านว่าถ้าคนมีวาสนาต้องกับตะกรุดนี้เขาจะได้ตะกรุดไปอธิษฐาน ขอเพียงหลับตาให้เห็นองค์ยมราชแค่นั้นขอได้หมดเลย(ในกรณีคนที่จิตไว ตาดีมองเห็นได้มีกำลังใจสูงท่านว่าไม่ต้องรอจุดไฟเผาคำขออาทิตย์ละครั้งเลย ถ้ากำลังใจเราดีนี่ส่งถึงท่านได้ตลอดแบบนั้นทีเดียว) ท่านว่าครูยมราชท่านจะช่วยคนของท่านให้นำพาตัวเองให้อยู่รอดไปได้ท่ามกลางสภาวะการเปลี่ยนแปลงที่ผกผันอย่างรุนแรงในสังคมปัจจุบัน

    ทั้งตะกรุดในสายพระยมนี้พ่ออาจารย์ยังเป่ามนต์โองการพระยมสำทับอีกร้อยแปดพันคาบ(108,000) ตะกรุดนี้จึงมีคุณดีทางสะท้อนย้อนกลับกรรมไปสนองผู้ปองร้ายและคิดร้ายเราในทุกรูปแบบ ดุจดั่งพระยมราชท่านลงโทษคนกระทำผิดคิดชั่วให้ได้รับผลกรรมนั้น นั่นคือการสะท้อนย้อนกลับโดยฉับพลันทันที เรียกได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ผู้บูชาตะกรุดมีผู้ประสงค์ร้ายหรือคิดไม่ดีนั้น อานุภาพของตะกรุดจะสะท้อนผลร้ายกลับไปร้อยเท่าพันทวีเป็นเหตุให้ต้องมาขอขมาเรา หากไม่มาขอขมาแก่เราแล้วก็ไม่สามารถลบล้างได้ พ่ออาจารย์ท่านว่าที่ผ่านมานั้นเราจะไม่ได้ทำตัวนี้หรือใช้วิชานี้ประสิทธิ์เครื่องมงคลไว้ให้ใครมากนัก เพียงมหาสะท้อนงานศพก็นับได้ว่าแรงและมีกำลังจนคนเอาไปใช้เกิดประสบการณ์ถามหากันว่ามากแล้วแต่ตัวนี้ยังถือได้ว่าแรงกว่านั้น แรงกว่าแม้มนต์พระกาฬสะท้อนกลับอันมีอาถรรพ์จนถึงขั้นวิบัติมีอันเป็นไปต่างๆนานัปการ เมื่อเห็นว่ากำลังสร้างเครื่องมงคลในสายบารมีของยมราชท่านจึงสงเคราะห์ปรารถนาจะให้เป็นที่สุดเรียกว่าดอกเดียวใช้ได้รอบด้านท่านจึงเป่ามนต์โองการพระยมราชไว้ให้คู่กัน ท่านว่าตะกรุดกับวิชานั้นมีความสัมพันธ์กันและจะเสริมส่งซึ่งกันและกัน ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดบอกได้สั้นๆแต่เพียงว่านี่คือวิชาของพระธรรมบดียมราชให้ผู้บูชาระลึกไว้เสมอจะได้ไม่พลั้งเผลอผิดพลาดนำไปใช้ก่อกรรมสร้างเวรใดๆ เอาแค่ให้สะท้อนย้อนสิ่งอัปมงคลทั้งหลายตามวินิจฉัยแห่งยมเทพนั้นก็พอ

    นอกจากนั้นท่านยังนำผงว่านยาทางเมตตามหานิยมมาเข้ากับผงยมบาลใจอ่อนอุดไว้ในตะกรุด วิชายมบาลใจอ่อนนั้นเมื่อนำมาทำผงใช้กำกับในการสร้างเครื่องรางในสายวิชาพระธรรมบดียมราชนั้น ท่านว่าโดยปกติแล้ววิชานี้แม้ยมบาลผู้รักษากฏเหล็กดำรงค์อยู่ในสุจริตเที่ยงตรงไม่โอนอ่อนผ่อนตามผู้ใด ไม่มีสิ่งใดทำให้ท่านเอนเอียงได้ ก็ยังต้องผ่อนปรนยอมให้กับเรา จึงเป็นที่สุดแห่งวิชามหาเมตตามหาเสน่ห์ที่พ่ออาจารย์ท่านตั้งใจลงกำกับทำอาถรรพ์ไว้กับกับตะกรุดอันเป็นตัวแทนสายวิชาของพระยม *** พ่ออาจารย์ท่านว่าพระยมนี้ แตกต่างจากเทพองค์อื่น ด้วยปกติท่านจะสัตย์ซื่อ ใจแข็ง แต่เราใช้คติพระเวทย์และมายาศาสตร์สร้างตะกรุดแทนครูในสายวิชาท่านอุดผงกำกับด้วยวิชาผงยมบาลใจอ่อน นั่นก็เพื่อให้ท่านโอนอ่อนตามใจและให้พรทุกประการดั่งใจผู้บูชาปรารถนา อันพรของพระธรรมบดียมราชนายเหนือหัวแห่งนรกภูมินั้น ถือได้ว่าเป็นพรวิเศษดุจพรของพรหมมหาปัญจสุทธาวาส ด้วยเรากำกับเวทย์ยมบาลใจอ่อนไว้ถ้าไม่ขอสิ่งใดที่หนักปากและยากเกินกว่าจะเป็นไปได้แล้วสิ่งนั้นย่อมสำเร็จโดยพลัน ด้วยพระยมท่านถือสัจจะยิ่งชีพ ไม่ใช่เพียงแต่ยกมือให้พรไปเรื่อย แต่หากให้พรผู้ใดแล้วท่านจะติดตามงานของท่านเสมอจนประสบความสำเร็จ แม้จะต้องแหกกฏเหล็ก ฝืนลิขิตฟ้าแลกฏแห่งกรรมก็ตาม แต่หากพระองค์เผลอให้พรผู้ใดแล้วก็จำต้องช่วยเหลือให้ได้ดั่งในกรณีคืนชีวิตให้พระสัตยวานที่ถึงกาลสิ้นอายุขัยท่านก็ยังมอบชีวิตคืนชีพให้เขาอันจะต้องแหกกฏเหล็กของท่านเช่นนั้นนั่นเอง พ่ออาจารย์ท่านนำผงยมบาลใจอ่อนมาเข้ากับผงยันต์พันคาถา ซึ่งผงนี้เกิดจากการเขียนคาถาพันบท เขียนยันต์พันรูป ซึ่งจะมีอานุภาพดุจฝอยท่วมหลังช้างที่เรียกว่าอธิษฐานใช้ได้ทุกด้าน เสมือนเรามีทรัพย์สินมากมายหลายประการปรารถนาสิ่งใดก็นำไปใช้แลกเปลี่ยนได้ไม่รู้หมด พ่ออาจารย์ท่านว่าผงนี้เราทำมาเป็นปีและต้องใช้ความอุตสาหะมาก ให้คิดเอาเองว่าลำพังยันต์หนึ่งนั้นยังมีอุปเท่ห์ใช้ได้นับสิบนับร้อย เช่นนั้นยันต์พัน คาถาพัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เอาว่าที่นำมาใช้เป็นมวลสารก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนบูชา เมื่อได้ผงยันต์พันคาถาแล้ว พ่ออาจารย์ท่านท่านได้เขียนผงยันต์ธงพระฉิมเรียกทรัพย์ ผงมนต์มหาลาภ ผงคาถาเรียกทรัพย์ ผงคาถาเงินแสน ผงคาถาเงินล้าน ผงยันต์มหาโสฬสสะระตะใส่ลงไปอีกด้วย ท่านว่าเอาผงทั้งหมดมาคลุกกับน้ำมันตานีที่ต้องพลีปลีกล้วยตานีมาเคี่ยวกับว่านเจ็ดชนิดในโบสถ์เจ็ดโบสถ์ตอนเที่ยงคืน พ่ออาจารย์ว่าท่านทำเก็บไว้นานก็เพิ่งได้นำมาใช้เพราะสมัยนี้จะไปขออนุญาตินั่งเคี่ยวน้ำมันในโบส์ตอนเที่ยงคืนพระท่านก็จะมองเราไม่ดีไปเสียอีกท่านจึงไม่ทำน้ำมันตัวนี้แล้ว ท่านว่าน้ำมันนี้แรงนะเพราะตอนเคี่ยวเราต้องใช้เตโชกสิณไม่ใช่ใช้ไฟเคี่ยว ต้องเคี่ยวไปเรื่อยๆจนน้ำมันเดือดขึ้นฟองนั่นจึงถือว่าสำเร็จ ท่านว่าน้ำมันนี้โดยรวมจะดีทางเมตตามหานิยม แต่ที่แน่ๆทางเสี่ยงโชคลาภลอยก็ได้ไม่หยอกเหมือนกัน ท่านนำผงสำคัญชุดนี้อุดกำกับไว้ในตะกรุดสายครูยมราชโดยเน้นใช้ให้เกิดปิยะเมตตาอย่างถึงที่สุด ท่านว่าโดยแท้จริงแล้วครูยมราชนั้นท่านไม่ได้น่ากลัว ซ้ำท่านยังเมตตาลูกหลานอย่างถึงที่สุดเช่นกัน

    คาถาบูชา
    โอม ยะมะมหาเทวะตา สุเนตตะมหาราชา อันตรายาปิวินัสสันตุ

    ตะกรุดในสายครูยมราชนั้นพ่ออาจารย์ท่านดำริว่าเป็นของมีเจ้าของถือครองกันครบทุกดอก เป็นของเฉพาะกาล เฉพาะวาระที่ท่านพลีกรรมบวงสรวงและใช้เวลาในการสร้างลงจารกปลุกเสกมายาวนาน คนที่ได้บูชานั้นจะเป็นลูกรักของพญายมราช มีบุญบารมีสัมพันธ์กันมาแต่ภพเก่าก่อนในทางใดทางหนึ่ง เมื่อจะได้เกื้อหนุนกันให้สำเร็จกิจแห่งภพ ท่านจะดลบันดาลให้รับรู้แลเกิดความสนใจ พึงใจ ขึ้นมาเอง

    *** ตะกรุดพระยมราชผลาญ..นี้รับจองเฉพาะทาง PM เท่านั้น ผู้บูชาให้แจ้งชื่อนามสกุลไว้ด้วย พ่ออาจารย์ท่านจะบอกกล่าวครูยมราชทำการประสิทธิ์ให้อีกคำรบหนึ่ง รายได้ร่วมสมทบทุนช่วยผู้ประสบอุทกภัยต่อไป


    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดพระยมราชผลาญเพชรฆาต(สมใจนึก เผาคำอธิษฐาน) บูชา 900 บาท

    70188459-943939252619130-1933311869674586112-n.jpg 70248009-2522316591321819-4649137901320273920-n.jpg
    70042092-524816788286505-3359246092892897280-n.jpg
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่พิสิษฐ์ EI 2170 1763 2 TH

    พี่ฐิตกาญจน์ EI 2170 1764 6 TH

    พี่ศิระ EI 2170 1765 0 TH

    พี่เมธาพันธ์ EI 2170 1766 3 TH

    พี่เกษมธิดา EI 2170 1767 7 TH

    พี่สายเมธี EI 2170 1768 5 TH

    พี่รัตนะ EI 2170 1769 4 TH

    พี่สุรวุฒิ EI 2170 1770 3 TH
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    งวดนี้มีแจ้งประสบการณ์คนถูกหวยหลายท่านเลยบางคนว่าเฉียด บางคนไม่ได้ซื้อ ทีหลังถ้าได้นิมิตเลขชัดๆก็ลองซื้อกันนะครับ
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    บุญ กับ กุศล
    เมื่อใดมีการพิจารณากันให้ละเอียดถี่ถ้วน เมื่อนั้นจะพบความแตกต่างระหว่าง สิ่งที่เรียกกันว่า "บุญ" กับสิ่งที่เรียกว่า "กุศล" บ้างไม่มากก็น้อย แล้วแต่ความสามารถในการพินิจพิจารณา แต่ว่า โดยเนื้อแท้แล้วบุญกับกุศลควรจะเป็นคนละอย่างหรือเรียกได้ว่าตรงกันข้าม ตามความหมาย ของรูปศัพท์แห่งคำสองคำนี้ทีเดียว

    คำว่า บุญ มีความหมายว่า ทำให้ฟู หรือ พองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น,ส่วนคำว่า กุศล นั้น แปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป โดยความหมายเช่นนี้เราย่อมเห็นได้ว่าเป็นของคนละอย่างหรือเดินคนละทาง

    บุญ เป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจพอใจชอบใจ เช่น ทำบุญให้ทานหรือรักษาศีลก็ตามแล้วก็ฟูใจ อิ่มเอิบ หรือ แม้ที่สุดแต่รู้สึกว่าตัวได้ทำสิ่งที่ทำยากในกรณีที่ทำบุญเอาหน้าเอาเกียรติอย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่า ได้บุญเหมือนกัน แม้จะเป็นบุญชนิดที่ไม่สู้จะแพ้หรือแม้ในกรณีที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจ
    เพื่อเอาบุญกันจริงๆ ก็ยังอดฟูใจไม่ได้ว่าตนจะได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์มีความปรารถนาอย่างนั้น อย่างนี้ ในภพนั้น ภพนี้ อันเป็นภวตัณหานำไปสู่การเกิดในภพใหม่เพื่อเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามแต่ตนจะปรารถนา ไม่ออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสารได้ แม้จะไปเกิดในโลกที่เป็นสุคติอย่างไรก็ตาม ฉะนั้นความหมายของคำว่า บุญ จึงหมายถึงสิ่งที่ทำให้ฟูใจและเวียนไปเพื่อความเกิดอีกไม่มีวันที่สิ้นสุดลงได้​


    ส่วนกุศลนั้น เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่แผ้วถาง สิ่งกีดขวาง ผูกรัด หรือ รกรุงรังไม่ข้องแวะ กับความฟูใจ หรือ พอใจ เช่นนั้น แต่มีความมุ่งหมายจะกำจัดเสียซึ่งสิ่งต่างๆอันเป็นเหตุให้พัวพันอยู่ในกิเลสตัณหา อันเป็นเครื่องนำให้เกิดแล้วเกิดอีก และมีจุดมุ่งหมายกวาดล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัว ในเมื่อบุญต้องการโอบรัดเข้ามาหาตัวให้มีเป็นของของตัวมากขึ้น ในเมื่อฝ่ายที่ถือข้างบุญยึดถืออะไรเอาไว้มากๆและพอใจดีใจนั้น ฝ่ายที่ถือข้างกุศลก็เห็นว่าการทำอย่างนั้นเป็นความโง่เขลาขนาดเข้าไปกอดรัดงูเห่าทีเดียว ฝ่ายข้างกุศลหรือที่เรียกว่าฉลาดนั้นต้องการจะปล่อยวางหรือผ่านพ้นไปทั้งช่วยผู้อื่นให้ปล่อยวางหรือผ่านพ้นไปด้วยกัน ฝ่ายข้างกุศลจึงถือว่าฝ่ายข้างบุญนั้นยังเป็นความมืดบอดอยู่

    แต่ว่า บุญ กับ กุศล สองอย่างนี้ ทั้งที่มีเจตนารมณ์แตกต่างกันก็ยังมีการกระทำทางภายนอกอย่างเดียวกัน ซึ่งทำให้เราหลงใหลในคำสองนี้อย่างฟั่นเฝือ เพื่อจะให้เข้าใจกันง่ายๆเราต้องพิจารณาดูที่ตัวอย่างต่างๆที่เรากระทำกันอยู่จริงๆ คือในการให้ทาน ถ้าให้เพราะจะเอาหน้าเอาเกียรติหรือเอาของตอบแทนเป็นกำไรหรือเพื่อผูกมิตรหาพวกพ้อง หรือแม้ที่สุดแต่เพื่อให้บังเกิดในสวรรค์อย่างนี้เรียกว่าให้ทานเอาบุญหรือได้บุญ แต่ถ้าให้ทานอย่างเดียวกันนั่นเองแต่ต้องการเพื่อขูดความขี้เหนียวของตัวขูดความเห็นแก่ตัวหรือให้เพื่อค้ำจุนศาสนาเอาไว้ เพราะเห็นว่าศาสนาเป็นเครื่องขูดทุกข์ของโลก หรือให้เพราะเมตตาล้วนๆโดยบริสุทธิ์ใจ หรืออำนาจเหตุผล อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งปัญญาเป็นผู้ชี้ขาดว่าให้ไปเสียมีประโยชน์มากกว่าเอาไว้อย่างนี้เรียกว่า ให้ทานเอากุศล หรือได้กุศลซึ่งมันแตกต่างไปคนละทิศละทางกับการให้ทานเอาบุญ เราจะเห็นได้กันสืบไปอีกว่าการให้ทานเอาบุญนั่นเองที่ทำให้เกิดการฟุ่มเฟือยขึ้นในสังคมฝ่ายผู้รับทานจนกลายเป็นผลร้ายขึ้น ในวงพระศาสนาเองหรือในวงสังคมรูปอื่นๆเช่นมีคนขอทานในประเทศมากเกินไปเป็นต้น การให้ทานถูกนักคิดพากันวิพากษ์วิจารณ์ในแง่เสื่อมเสียก็ได้แก่การให้ทานเอาบุญนี้เอง ส่วนการให้ทานเอากุศลนั้นอยู่สูงพ้นการที่ถูกเหยียดอย่างนี้เพราะว่ามีปัญญาหรือเหตุผลเข้าควบคุม แม้ว่าอยากจะให้ทานเพื่อขูดเกลาความขี้เหนียวในจิตใจของเขา ก็ยังมีปัญญารู้จักเหตุผลว่าควรให้ไปในรูปไหน มิใช่เป็นการให้ไปในรูปละโมบบุญหรือเมาบุญเพราะว่ากุศลไม่ได้เป็นสิ่งที่หวานเหมือนกับบุญจึงไม่มีใครเมา และไม่ทำให้เกิดการเหลือเฟือผิดความสมดุลขึ้นในวงสังคมได้เลย นี่เราพอจะเห็นได้ว่าให้ทานเอาบุญกับให้ทานเอากุศลนั่นผิดกันเป็นคนละอันอย่างไร

    ในการรักษาศีลก็เป็นทำนองเดียวกันอีก รักษาศีลเอาบุญ คือรักษาไปทั้งที่ไม่รู้จักความมุ่งหมายของศีล เป็นแต่ยึดถือในรูปร่างของการรักษาศีลแล้วรักษาเพื่ออวดเพื่อนฝูง หรือเพื่อแลกเอาสวรรค์ตามที่นักพรรณนาอานิสงส์เขาพรรณนากันไว้ หรือทำอย่างละเมอไปตามความนิยมของคนที่มีอายุล่วงมาถึงวัยนั้นวัยนี้เป็นต้น ยิ่งเคร่งเท่าใดยิ่งส่อความเห็นแก่ตัวและความยกตัวมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งมีความยุ่งยากในครอบครัวหรือวงสังคมเกิดขึ้นใหม่ๆแปลกๆเพราะความเคร่งครัดในศีลของบุคคลประเภทนี้อย่างนี้เรียกว่ารักษาศีลเอาบุญ ส่วนบุคคลอีกประเภทหนึ่งรักษาศีลเพียงเพื่อให้เกิดการบังคับตัวเองสำหรับจะเป็นทางให้เกิดความบริสุทธิ์และความสงบสุขแก่ตัวเองและเพื่อนมนุษย์เพื่อใจสงบสำหรับเกิดปัญญาชั้นสูง นี้เรียกว่ารักษาศีลเอากุศล รักษามีจำนวนเท่ากัน ลักษณะเดียวกันในวัดเดียวกันแต่กลับเดินไปคนละทิศละทางอย่างนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นภาวะแห่งความแตกต่าง ระหว่างคำว่า บุญ กับคำว่า กุศล คำว่ากุศลนั้นทำอย่างไรเสียก็ไม่มีทางตกหล่มจมปลักได้เลยไม่เหมือนกับคำว่าบุญ และกินเข้าไปมากเท่าไรก็ไม่มีเมา ไม่เกิดโทษ ไม่เป็นพิษ ในขณะที่ คำว่าบุญ แปลว่า เครื่องฟูใจนั้น คำว่ากุศล แปลว่า ความฉลาดหรือ เครื่องทำให้ฉลาดและปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์

    ในการเจริญสมาธิก็เป็นอย่างเดียวกันอีกคือสมาธิเอาบุญก็ได้ เอากุศลก็ได้ สมาธิเพื่อดูนั่นดูนี่ ติดต่อกับคนโน้นคนนี้ที่โลกอื่นตามที่ตนกระหายจะทำให้เก่งกว่าคนอื่น หรือสมาธิเพื่อการไปเกิด ในภพนั้นภพนี้อย่างนี้เรียกว่าสมาธิเอาบุญหรือได้บุญเพราะทำใจให้ฟูให้พองตามความหมายของมันนั่นเอง ซึ่งเป็นของที่ปรากฏว่าทำอันตรายแก่เจ้าของถึงกับต้องรับการรักษาเป็นพิเศษ หรือรักษาไม่หายจนตลอดชีวิตก็มีอยู่ไม่น้อย เพราะว่าสมาธิเช่นนี้มีตัณหาและทิฎฐิเป็นสมุฎฐาน แม้จะได้ผลอย่างดีที่สุดก็เพียงได้เกิดในวัฏสงสารตามที่ตนปรารถนาเท่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน ส่วนสมาธิที่มีความมุ่งหมายเพื่อการบังคับใจตัวเองให้อยู่ในอำนาจเพื่อกวาดล้างกิเลส อันกลุ้มรุมจิตให้ราบเตียน ข่มขี่มิจฉาทิฎฐิอันจรมาในปริมณฑลของจิตทำจิตให้ผ่องใสเป็นทางเกิดของวิปัสสนาปัญญาอันดิ่งไปยังนิพพาน เช่นนี้เรียกว่าสมาธิได้กุศลไม่ทำอันตรายใครไม่ต้องหาหมอรักษาไม่หลงวนเวียนในวัฎสงสารจึงตรงกันข้ามจากสมาธิเอาบุญ

    ครั้นมาถึงปัญญา นี้ไม่มีแยกเป็นสองฝ่ายคือไม่มีปัญญาเอาบุญ เพราะตัวปัญญานั้นเป็นตัวกุศล เสียเองแล้ว เป็นกุศลฝ่ายเดียว นำออกจากทุกข์อย่างเดียว แม้ยังจะต้องเกิดในโลกอีกเพราะยังไม่แก่ถึงขนาดก็มีความรู้สึกตัว เดินออกนอกวัฎสงสารมีทิศทางดิ่งไปยังนิพพานเสมอ ไม่วนเวียนจนติดหล่มจมเลนโดยความไม่รู้สึกตัว ถ้ายังไม่ถึงขนาดนี้ก็ยังไม่เรียกว่าปัญญาในกองธรรมหรือ ธรรมขันธ์ของพุทธศาสนา ดังเช่นปัญญาในทางอาชีพหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นต้น

    ตามตัวอย่างที่เป็นอยู่ในเรื่องจริงที่เกี่ยวกับการกระทำของพวกเราเองดังที่กล่าวมาแล้วนี้ ทำให้เราเห็นได้ว่าการที่เราเผลอหรือถึงกับหลงเอาบุญกับกุศลมาปนเปเป็นอันเดียวกันนั้น ได้ทำให้เกิดความสับสนอลเวงเพียงไร และทำให้คว้าไม่ถูกตัวสิ่งที่เราต้องการจนเกิดความยุ่งยากสับสนอลหม่านในวงพวกพุทธบริษัทเองเพียงไร ถ้าเรายังขืนทำสุ่มสี่สุ่มห้าเอาของสองอย่างนี เป็นของอันเดียวกัน อย่างที่เรียกกันพล่อยๆติดปากชาวบ้านว่า"บุญกุศลๆ" เช่นนี้อยู่สืบไปแล้ว เราก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆอันเกี่ยวกับการทำบุญกุศลนี้ ให้ลุล่วงไปด้วยความดีจนตลอดกัลปาวสาน ก็ได้

    ถ้ากล่าวให้ชัดๆสั้นๆ บุญเป็นเครื่องหุ้มห่อกีดกั้นบาปไม่ให้งอกงามหรือปรากฏ หมดอำนาจบุญเมื่อใดบาปก็จะโผล่ออกมาและงอกงามสืบไปอีก ส่วนกุศลนั้นเป็นเครื่องตัดรากเหง้าของบาป อยู่เรื่อยไปจนมันเหี่ยวแห้งสูญสิ้นไม่มีเหลือ ความต่างกันอย่างยิ่งย่อมมีอยู่ดังกล่าวนี้

    คนปรารถนาบุญ จงได้บุญ คนปรารถนากุศล ก็จงได้กุศลและปลอดภัยตามความปรารถนา แล้วแต่ใครจะมองเห็นและจะสมัครใจจะปรารถนาอย่างไรได้เช่นนี้ เมื่อใดจึงจะชื่อว่าพวกเรารู้จักบุญกุศล กันจริงๆรู้ทิศทางแห่งการก้าวหน้าและทิศทางที่วกเวียนว่าเป็นของที่ไม่อาจจะเอามาเป็นอันเดียวกันได้เลย แม้จะเรียกว่า"ทางๆ"เหมือนกันทั้งสองฝ่าย
    b475bf7c9427a179e31fda933bba992b.jpg
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    ใครชอบสายลิงครู...อดทนรอกันอีกนิดนะครับ
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    ร่วมทำบุญบูชา หนุมานมหาพาลีรวมชีพศรีเทพพยนตรา(ผงมหากาฬสุริยกัณฑ์)

    ว่าด้วยลิงครูเนื้อพิเศษที่พ่ออาจารย์ท่านกดลองพิมพ์ไว้เมื่อสร้างหนุมานศรีเทพพยนตรา ท่านได้มีดำริจะนำผงคุณวิชาพญาพาลีมาเข้ากับผงหนุมานกดเนื้อลองพิมพ์ขึ้นเพื่อให้ลิงครูนั้นมีกำลังอันเป็นข้อดีของทั้งหนุมานและพาลีรวมกันโดยท่านเรียกพระผงลองพิมพ์นี้ว่า...หนุมานมหาพาลีรวมชีพ
    จะกล่าวถึงพาลี...." หนึ่งในวิชาและพระเวทย์ฝ่ายไศวะโบราณที่มีอิทธิคุณแปลกประหลาด สามารถดลบันดาลให้ผู้ครอบครองชนะไร้พ่าย ทำอะไรก็สำเร็จ แต่ทว่าครูบาอาจารย์นั้นเกรงกลัวว่าคุณสมบัติแท้จริงของวิชานี้น่ากลัวเกินไป จึงปิดบังอำพราง ไม่สร้างไปเลยก็มี ถ้าสร้างก็มักจะไม่ทำเต็มวิชา ด้วยเกรงว่าจะก่อภัยอันตรายให้กับศิษย์ทั้งหลายที่ได้ใจครอบครองจนกระทั่งท่านได้สร้างทำผงวิชาพญาพาลีอินทรสังกาศขึ้นมาเพื่อจะสืบทอดเวทย์ฝ่ายไศวะโบราณที่ขาดการสืบต่อไป ด้วยพาลีนั้นชาติพันธุ์เป็นลิงแต่หน่อเนื้อเชื้อวงศ์เป็นอินทรวงศ์ เป็นลิงมีศักดิ์สูงเป็นลูกเจ้าสวรรค์ต่างกับบรรดาลิงทั้งหลายไม่ว่าจะสุครีพ นิลพัตร หรือหนุมาน ซ้ำยังมีฤทธิ์เลิศเป็นเอกอีกด้วย ถึงขนาดพ่ออาจารย์กล่าวไว้ว่า *** พาลีถ้าไม่ตายเสียก่อน ในรามเกียรติ์นั้นพระรามไม่ได้ฉายแสงแน่นอน เพราะใครก็ฆ่าพาลีไม่ได้ ใครสู้ก็แพ้พาลี ขนาดเจ้าทศกัณฐ์ที่พระรามตามล่าทำสงครามจนเรื่องกินระยะเวลายาวนานนั้น เจอพาลีเข้าก็หมดแรง รบกี่ทีก็แพ้ แถมยังโดนพาลีจับไปกระทำการทรมานทรกรรมให้กินข้าวเหลือของนางกำนัลแล้วให้องคตลูกชายเอาทศกัณฐ์ไปลากเล่น(เหมือนจูงหมาเดินเล่น)ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยง หยามเกียรติอสูรวงศ์พรหมถึงปานนั้น...พ่ออาจารย์ท่านว่าที่จริงนั้นถ้าว่ากันด้วยฤทธิ์พระรามก็ยังฆ่าพาลีไม่ตาย พาลีตายด้วยมือของตนเอง แม้แต่พระรามแผลงศร ศรพระรามที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดศาสตราวุธฝ่ายเทพ แผลงที่ไหนทีไรได้เรื่องทุกที พาลีก็ยังคว้าจับมาเล่นได้ไม่ได้สะทกสะท้านในฤทธิ์อำนาจใดๆเลย แต่เพราะระลึกถึงคำสาบานแต่หนหลังได้ว่าตนเองนั้นแย่งเมียน้องคือสุครีพ และเคยถวายสัตย์ต่อพระนารายณ์ไว้ว่าถ้าแย่งจะให้ศรพระนารายณ์ล้างชีวิตก็เลยทำตามคำสัตย์นั้น พระรามนั้นอาลัยในตัวพาลีมากนัก เพราะในประวัติศาสตร์ไม่เคยปรากฏมีผู้ใดที่จะมีฤทธิ์แกล้วกล้าเฉกเช่นพญาวานรผู้นี้ พระรามจึงอยากได้พาลีมาทำราชการกับพระองค์ ได้เอ่ยขอเพียงเลือดของพาลีเสียครึ่งหยดมาล้างคำสัตย์ที่สาปสรรค์ไว้ถึงชีวิตให้แก่ศรพระเป็นเจ้า แต่พาลีก็หายอมไม่เพราะต้องการรักษาคำสัตย์นั้น จึงใช้ศรของพระรามทำการปลิดชีพตัวเอง เมื่อตายไปก็ได้เกิดเป็นเทพเจ้ากลับมาทำลายพิธีบูชาหอกของทศกัณฐ์ที่ทำให้อินทร์พรหมยมยักษ์ทั้งสวรรค์เดือดร้อนอีกครั้งนั่นเองพาลีนั้นพ่ออาจารย์บอกว่ามีความสามารถที่ไม่เหมือนใคร ในชั้นฤทธิ์นั้นถ้าเปรียบกับชั้นหลานอย่างหนุมานแล้ว ระดับเจ้าผู้ครองนครขีดขินก็มีความสามารถแต่เดิมอยู่แล้วไม่เป็นรองกันแต่อย่างใด เพราะสืบสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เป็นบุตรพระอินทร์เจ้าสวรรค์นั่นเอง แต่สิ่งหนึ่งซึ่งรู้กันไปทั่ว ว่าเป็นความสามารถที่ขี้โกงที่สุดในสามโลก ทำให้กากาศนั้นเก่งเกินกว่าเก่ง เก่งจนแม้แต่พระเป็นเจ้าก็ยังไม่สามารถต่อกรให้มีชัยชนะได้ นั่นคือพรของพระศิวะเจ้าที่ให้กับพาลี กล่าวคือ เวลาสู้กับใครให้กำลังอีกฝ่ายนั้นลดลงเสียครึ่งหนึ่งแล้วกลับมาเพิ่มเป็นกำลังให้พาลี เพราะเช่นนี้พาลีเมื่อสู้กับใครจึงมีฤทธิ์เพิ่มอีกมหาศาล ยิ่งศัตรูเก่งแค่ไหน พาลีก็ยิ่งเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดด ซ้ำพระศิวะเป็นเจ้ายังมอบพระขรรค์เพชรของพระองค์ให้เป็นเทพศาสตราคู่กายอีกด้วยในฐานะที่พาลีและสุครีพทั้งสองพี่น้องช่วยกันยกเขาไกรลาสให้ตั้งตรงได้ตามเดิมหากจะกล่าวถึงความเจ้าชู้แล้ว กากาศนั้น เหนือเสียยิ่งกว่าที่เรียกว่าเจ้าชู้ยักษ์อีกหลายขุม เพราะสนมกำนัลนั้นเต็มวังสนุกปานวิมานของบิดาคือพระอินทร์ก็ไม่ปาน แถมไม่พอใจใครก็ไปช่วงชิงเมียเค้ามาได้ดื้อๆไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น เช่นนางมณโฑของทศกัณฐ์ ที่มีลูกกับพาลีเป็นองคต ด้วยทศกัณฐ์นั้นได้รางวัลพระเป็นเจ้าประทานนางมณโฑให้ ยังไม่ทันที่จะได้เชยชมเผลอเหาะข้ามเมืองของพาลี กากาศนั้นพิโรธสุดกำลังกล่าวหาว่าทศกัณฐ์หยามเกียรติกล้าบินข้ามศรีษะตน จึงสั่งสอนต่อรบด้วย เอาทศกัณฐ์มาทรมานและเอาเมียพระราชทานนั้นมาเป็นเมียตนเอง แม้แต่นางดาราที่พระศิวะเจ้าโปรดประทานให้น้องชายคือสุครีพก็ยังตกเป็นของพาลี เรียกว่าถ้าใจรักผู้ใดไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมหน้าไหนทั้งนั้น เพราะใครก็สู้ด้วยไม่ได้ รบไปก็แพ้เปล่าๆ "

    พ่ออาจารย์นั้นได้นำผงคุณวิชาพญาพาลีมารวมกับกำลังหนุมานเพื่อสร้างลิงครูสำคัญขึ้น ยิ่งพ่ออาจารย์ท่านทำย้อนอารยธรรมเดิม ท่านว่าหนุมานของท่านนั้นครบรสเป็นทั้งเทพทั้งพยนต์ที่สำคัญเป็นเจ้าแห่งพลัง ความซื่อสัตย์ และจงรักภักดี เป็นการทำหนุมานสายพระเวทย์แบบดั้งเดิมจริงๆ ท่านว่าหนุมานไทยที่ว่าเก่งแล้วก็ยังคนละเรื่องกับอินเดียเพราะนี่คือหนุมานที่เป็นเทพเจ้า ไม่ใช่หนุมานที่เป็นทหารลิง

    จากเทพอมตะในตำนานที่ยังดำรงค์ชีวิต สู่ปฐมบทแห่งเครื่องรางอันเป็นอมตะ ...เมื่อกล่าวถึงหนุมานแล้ว เชื่อได้ว่าย่อมเป็นเครื่องรางหนึ่งในดวงใจของชายชาตรีหลายๆท่าน ด้วยว่ามีดีครบรสใช้ได้ทุกทาง แต่ถึงกระนั้นพ่ออาจารย์ท่านก็ยังวางเฉย แม้จะมีคนถามหาอยากบูชาหนุมานกันอยู่เรื่อยๆ จนท่านต้องลงตะกรุดให้เขาไปใช้กันแทนและมีประสบการณ์กล่าวขานกันอย่างมากถึงกำลังฤทธิ์และความรู้สึกพิเศษที่เกิดขึ้นในชีวิตอันสัมผัสได้จริงจากการใช้หนุมาน .....พ่ออาจารย์ท่านได้ปรารภว่า " ที่เรายังยั้งไว้ก่อนนั้น เพราะคิดว่าหลายๆคนอาจจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับหนุมานของเรา เพราะหนุมานของเรานั้นไม่ได้เหมือนหนุมานทรงหัวโขนทั่วไป หากแต่เป็นเทพหนุมาน เป็นเจ้าแห่งเผ่าพันธุ์วานร เจ้าแห่งกำลัง อิทธิฤทธิ์ ชัยชนะ เจ้าแห่งความซื่อสัตย์และจงรักภักดี " นอกจากนั้นท่านยังผูกให้เป็นพยนต์อีกด้วย ท่านว่าทำยากมากแตกต่างจากพยนต์ทั่วไป เพราะเป็นพยนต์ที่เกิดจากเทพ มีพลังงานต้นกำเนิดคือเทพหนุมาน เป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าเหนือดิน ดังนั้นพยนต์ต้นกำเนิดเทพหนุมานนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าถึงเป็นพยนต์รูปหนุมานที่สร้างไว้เจาะจงประโยชน์ใหญ่อันจะเกิดขึ้นกับผู้บูชา เพื่อให้ผู้บูชาได้ใช้งานเขาได้ ซึ่งปกติเทพทั่วไปเราต้องขอความเมตตาอ้อนวอนท่าน แต่นี่เป็นพยนต์เทพจึงแตกต่างกัน ความตั้งใจของท่านคือให้เราออกคำสั่งได้ ใช้เขาได้ซึ่งเขาต้องทำตามด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี ดุจดั่งว่าศรีรามจันทร์ผู้เป็นเจ้าชีวิตใช้งานหนุมานฉันใดก็ฉันนั้น ร้อยเรื่อง ร้อยงาน ร้อยราชการสงคราม ทุกสิ่งย่อมสำเร็จกิจดั่งใจปรารถนาทุกเรื่อง

    พ่ออาจารย์ท่านว่าเทพหนุมานสายพระเวทย์โบราณนั้นเป็นศาสตราคู่กายที่สำคัญอย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นอวตารสำคัญของพระศิวะ ซ้ำยังมีครูที่เก่งที่สุดในโลกช่วยกันสอนผลัดกันถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆให้ ทั้งพระศิวะ พระพาย พระสุริยาทิตย์ ท่านว่าตรงนี้หลายตำนานก็จะกล่าวต่างกันออกไป แต่ขึ้นชื่อว่าครูชั้นดีแล้ว จะมีศิษย์ไม่ได้ความได้อย่างไร เมื่อท่านจะแกะบล๊อคสร้างเทพหนุมานนั้นท่านได้อธิษฐานใจบอกครูพระศิวะเสียก่อนพร้อมทั้งขอรูปนิมิตจากเทพหนุมาน ซึ่งท่านก็ได้รูปนิมิตให้สร้างเป็นรูปหนุมานคุกเข่ายกมือขึ้นวันทาในอิริยาบถพร้อมรับคำสั่งคำบัญชาจากศรีรามจันทร์ผู้เป็นเจ้ามหาชีวิตทุกประการ พ่ออาจารย์ท่านว่าหนุมานถ้าสร้างเป็นพิมพ์นี้แล้วเหมือนเขาบอกแก่เราว่าเค้าพร้อมแล้วนะที่จะช่วย พร้อมรับคำสั่งหรือเรื่องราวร้อยแปดพันประการของเราแล้วนั่นเอง

    ทีนี้ก็จะกล่าวถึงจุดสำคัญ พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่า การจะสร้างหนุมานให้สามารถใช้งานเขาได้นั้น จะทำแต่รูปหนุมานขึ้นมาโดดๆไม่ได้ จะต้องมีสิ่งที่บรรจุธาตุพลังงานสำคัญของเจ้านายเขาลงไปด้วยซึ่งก็คือศรีรามจันทร์และพระลักษมันนั่นเอง ดุจว่าเมื่อเราบูชาหนุมานนี้ เราจะบูชาไปพร้อมกับการบูชานายของเขา

    เย ชยนฺติ สทา เสนหนาม มนฺคลย กรนมฺ

    ศรี มโตราม จนฺทรสฺย กริปาโล มรม สวมินิ

    เตศมารโถ สทาวิปร ปรทาตหม ปรยาตนตห

    ทาทามิ วนฺจิต นิตฺยมฺ สรวนา เสารวยมุตตม

    ผู้ภักดีเหล่าใด ผู้ซึ่งระลึกนึกถึงพระรามผู้มีความเมตตาที่สุดของเราทุกๆวันและตลอดเวลา ข้าฯ จะทำให้ความปรารถนาทุกๆอย่างของผู้ภักดีเช่นนั้นให้สำเร็จลงโดยสมบูรณ์ และประทานความสำเร็จในการกระทำทุกๆอย่างให้แก่พวกเขา


    ดังนั้นพ่ออาจารย์ท่านจึงพิจารณาลงตะกรุดรามจันทร์ผลาญฟ้ากับลักษมันร่างทองปลุกเสกเชิญญาณสองมหาเทพทั้งพระวิษณุนารายณ์และองค์อนันต์นาคราช ให้นิรมาณกายมาสถิตย์ดุจภาคอวตารของรามลักษณ์เช่นนั้นทีเดียว(ในเนื้อลองพิมพ์นั้นท่านลงตะกรุดรวมยันต์ไว้ในดอกเดียว) พ่ออาจารย์ท่านว่าเช่นนั้นแล้วหนุมานที่ท่านทำขึ้นนี้แม้นบูชาไปหากจะขออธิษฐานสิ่งใดๆก็จะสำเร็จเสมอใจทุกประการ เพราะเมื่อเราไหว้เราบูชา เท่ากับเราได้บูชานายของเขาไปในตัวแล้วชนิดแยกกันไม่ออก ขาดกันไม่ได้ ที่ใดมีรามที่นั่นย่อมมีหนุมาน ตรงนี้เข้าเงื่อนไขให้เขาพร้อมช่วยเหลือเราอย่างสุดชีวิตและเต็มกำลังเขาแล้วนั่นเอง ทั้งนี้ไม่นับตะกรุดรามจันทร์ผลาญฟ้ากับลักษมันร่างทองซึ่งเป็นวิชาเกื้อหนุนค้ำจุนและเป็นนายที่หนุมานจงรักภักดีทั้งคู่นอกจากนี้ยังมีผงมหากาฬสุริยกัณฑ์ที่พ่ออาจารย์ท่านได้นำมาเป็นมวลสารตั้งต้นในเนื้อลองพิมพ์ด้วยเน้นเอาให้แรง ให้มีฤทธิ์เกินคำว่าเป็นตัวเป็นตนทีเดียวกับหนุมานศรีเทพพยนตรารุ่นนี้ ด้วยหน้าที่ของหนุมานเหนือสิ่งอื่นใดนั่นคือการอุทิศชีวิตเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จสมดั่งเป้าหมายผู้เป็นนาย ตรงนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าสำคัญที่สุด เครื่องมงคลเช่นนี้นั้นย่อมไม่ธรรมดา

    นอกจากจะผูกเป็นพยนต์เทพหนุมานแล้ว พ่ออาจารย์ท่านยังกล่าวว่า ที่ท่านสร้างหนุมานนี้เนื่องจากหลายคนใช้ชีวิตกันอยู่ในโชคชะตาเวียนว่ายตายเกิด ได้รับอิทธิพลของดวงดาว พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก เรียกว่าดาวบาปเคราะห์ให้ผลแรงกล้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดาวราหูก็ดี เมื่อเสวยอายุบางช่วงก็กินเวลานานหลายปี พ่ออาจารย์ท่านว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จะให้มาเสียเวลาหลายๆปีเพราะอำนาจดาวบาปเคราะห์นี้ก็ไม่ควรกัน พอดวงนี้เคลื่อนดวงนั้นก็เสวยต่อวนเวียนแบบนี้ไปไม่รู้จบ ตรงนี้ท่านว่าเป็นอำนาจของดาวบาปเคราะห์ที่แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังหยุดไม่ให้แสดงผลไม่ได้ ด้วยสาเหตุนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเมื่อมีกฏก็ย่อมมีสิ่งที่กฏแห่งธรรมชาติยกเว้นเช่นกัน นั่นคือหนุมาน หนุมานนั้นมีบุญคุณกับเทพนพเคราะห์ทั้งหลาย จนพระเสาร์ได้ให้คำสัตย์สัญญาไว้ ว่าจะคอยช่วยเหลือหนุมานและงดเว้นคำสาปตลอดจนพลังวิถีรัศมีแห่งดวงดาวที่จะส่องเข้ากระทบดวงชะตาของผู้บูชาหนุมาน ดังนั้นพ่ออาจารย์ท่านว่าหนุมานสายพระเวทย์ฮินดูนี่แหละที่เป็นดาวข่มแท้จริงกับชะตาชีวิตที่ขึ้นๆลงๆเอาแน่เอานอนไม่ได้ของมนุษย์ ใครที่โดนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกทั้งหลาย ได้ดีก็ไม่ตลอด สามวันดีสีวันไข้ ต้องคอยตามคอยแก้คอยกังวลกับดวงชะตา ทำอะไรก็ไม่มีความสบายใจลุ่มๆดอนๆ ท่านว่าตรงนี้คือสิ่งพิเศษที่กฏเกณฑ์พลังงานของธรรมชาติและวิถีดวงดาวนั้นเกื้อหนุนกัน ตรงนี้คือวาระพิเศษที่จะทำให้มนุษย์ส่วนหนึ่งนั้นพ้นจากอำนาจแห่งดาวบาปเคราะห์และตรงนี้ก็คือศรีหนุมานนั่นเอง

    ทำไมถึงต้องเป็นพยนต์เทพหนุมาน พ่ออาจารย์ท่านว่าให้เราทั้งหลายลองตรองดูเถิด นึกไปถึงพระราม พระรามในอุดมคติของเราเป็นเอกบุรุษหรือไม่ ท่านเก่งหรือไม่ ถึงแม้จะเก่ง แต่ทุกย่างก้าวของยอดบุรุษผู้นั้น ชีวิตพระรามผู้นั้นก็ต้องมีหนุมาน หนุมานจะคอยช่วยเหลือพระรามทุกๆย่างก้าวของชีวิต คอยขจัดความทุกข์ทั้งมวลออกจากใจของศรีราม คอยทำให้ความปรารถนาของศรีรามจันทร์นั้นสำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่าถ้าจะหาตัวช่วยที่เป็นดุจองครักษ์ชั้นยอด ที่คอยช่วยกำจัดทุกข์ คอยทำให้ความปรารถนาเราสำเร็จ ไม่ทิ้งเราและอยู่กับเราทุกย่างก้าวของชีวิตแล้ว ตรงนี้คือตอบว่าทำไมต้องเป็นพยนต์เทพหนุมาน เพราะคนเรานั้นถึงจะเก่งเทียมฟ้า มีฤทธิ์ดุจดั่งเทพเจ้าแล้วก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะประสบผลสำเร็จ จะอยู่ได้ตัวคนเดียวในโลกโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือ

    พ่ออาจารย์ท่านได้รวบรวมว่านยาต่างๆจำนวนมากรวมถึงผงลบถมวิเศษอีกหลายประการ แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลย ท่านได้ลบถมผงสายพระเวทย์ของฮินดูขึ้นมาโดยชักยันต์หัวใจเทพเจ้าสำคัญๆต่างๆใส่ลงไปด้วย ไม่ว่าจะพระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ พระแม่ปาราวตี พระแม่ลักษมี พระแม่สุรัสวดี พระพาย พระสุริยาทิตย์ พระจันทร์ พระอินทร์ พระธรณี พระคงคา พระเพลิง พระกุเวร พระยม พระพฤหัสบดี พระกศยปะเทพบิดร พ่ออาจารย์ท่านว่าเพราะหนุมานนี้ ในตัวของเขามีพลังงานของเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายอยู่เนื่องด้วยได้รับการสั่งสอนรวมถึงได้รับพรประการต่างๆจากเทพทั้งหลาย เมื่อท่านจะทำหนุมานนั้น ท่านจึงดำริว่าให้ทำขอไปทีนั้นไม่เอา ถ้าจะทำต้องทำจริงๆ และในกายหนุมานนั้นต้องมีพลังงานของเทพสำคัญทุกองค์แฝงอยู่อย่างแท้จริง นั่นแหละจึงจะได้ชื่อว่ามีฤทธิ์เป็นเอกเหนือฟ้าเหนือดิน ท่านนำผงเทพวิชานั้นมาเข้ากับผงมหากาฬสุริยกัณฑ์ พ่ออาจารย์ท่านว่า ผงวิเศษนี้คือสิ่งที่ท่านตั้งใจลบถมปรุงแต่งขึ้นเพื่อฝากไว้เป็นตำนานอย่างแท้จริง ท่านว่าคนสมัยนี้ส่วนใหญ่จะรู้จักแต่มนต์พระกาฬอันเป็นคาถาสาปแช่ง ในวาระนี้ท่านจึงได้ลบถมผงมหากาฬสุริยกัณฑ์ขึ้นมา ท่านว่าผงนี้ทำยากต้องเข้าว่านยามวลสารที่เผาด้วยไฟจากพระอาทิตย์ ทั้งเวลาทำผงก็ต้องทำตอนพระอาทิตย์ตรงหัวขึ้นสู่จุดสูงสุด มีการทำพิธีนมัสการพระสุริยเทพก่อน ผงที่ได้มานั้นท่านว่ามีฤทธิ์มาก มีความร้อนแรงอย่างถึงที่สุด อยู่ที่ไหนก็สะกดข่มและปราบปรามสิ่งต่างๆได้ทั้งสิ้น ซ้ำยงเป็นทั้งของกัน ของแก้ และของสะท้อนกลับในตัวด้วย ท่านว่าศักดิ์สิทธิ์ถึงเพียงนั้นมีอุปเท่ห์วิธีใช้รุนแรงและพิศดารมากมาย แต่ท่านตั้งใจเอาไว้ให้ถือครองกันเพื่อหวังอานิสงค์ในทางกัน แก้ และสะท้อนกลับเพียงเท่านั้น ทั้งสามสิ่งนี้ครอบคลุมและเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์นั้นงดงามและดำรงค์อยู่ได้อย่างปรกติสุขปราศจากเรื่องเดือดร้อนใดๆท่านว่าอยากเห็นชีวิตของเขากินดีอยู่ดีอยู่ได้โดยไม่โดนใครเบียดเบียนรังแกไม่ว่าจะภัยจากมนุษย์หรืออมนุษย์ก็ตาม ท่านว่าอย่างอื่นอย่ารู้อย่าทำเลยเป็นบาปกรรมเสียเปล่า ผงนี้สำเร็จได้ด้วยอำนาจพระสุริยาทิตย์ พ่ออาจารย์ท่านว่าตัวหนุมานนี้เองก็เป็นลูกศิษย์พระอาทิตย์ได้ให้คุรุทักษิณาแก่อาจารย์คือพระสุริยาทิตย์โดยการลงมาช่วยสุครีพผู้เป็นลูกพระอาทิตย์ดูแลบ้านเมืองจนกระทั่งพบพระรามในที่สุด เช่นนี้ท่านจึงใช้ผงนี้ไสร้างหนุมานด้วย ท่านว่าเสมือนเมื่อศิษย์อยู่คู่กับครูของเขาก็จะเหมือนชาติพยัคฆ์ติดเขี้ยวเล็บ เขาจะมีฤทธิ์มากขึ้น

    ทั้งชุดลองพิมพ์นี้ท่านยังได้เข้าผงคุณวิชามหาพาลี,หัวใจพาลีเต็มสูตร,ผงวิชาพาลีรั้งทวีป ท่านว่าต้องลงต้องเดินให้ครบเพื่อจะเสริมการตั้งจิตตั้งรูปพญาพาลี และทำผงเอกคือวิชาพาลีลูบหลังนางแก้วดาราที่เรียกว่าเป็นเสน่ห์เจ้าชู้สุดๆอีกวิชาหนึ่ง ลูบหลังใครได้ร่วมรักหลับนอน ผสมกับผงวิชาลิงสายต่างๆ ซ้ำยังลงผง 18 มงกุฏ อันเป็นลิงเจ้ายอดทหารเอกของพระรามทั้ง 18 ตนท่านว่าจะได้ขานรับกับผงลบวิชานี้ส่งพลังถึงผู้บูชาได้แรงและไวยิ่งนัก และท่านได้นำเศษไม้ เศษงาช้างตกทอดที่เหลือจากการแกะสลักหนุมานของหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน อันเป็นตำนานเครื่องรางในสายหนุมานมาบดเป็นผงผสมลงไปด้วย ท่านว่าหาหนุมานที่หลวงพ่อสุ่นทำไม่ได้ราคาแพงเกินเอื้อม เอานี่ไปใช้ฤทธิ์ท่านก็อยู่ในนี้ ไม่ต่างกัน วิชามหาพาลีนี้แม้เป็นผงก็ต้องทำให้สำเร็จมีตัวตนก่อนจะเรียกจิตตั้งรูปนาม และนำไปพรมน้ำทิพย์ที่เกิดเองตามธรรมชาติอันมีกำลังฝ่ายเวทย์สูงและปลุกเสกบนยอดดอยเพื่อจะให้มีกำลังธาตุที่เข้มข้นสำเร็จเป็นผงมหาพาลีที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ สุดท้ายท่านก็ได้เชิญครูพระสยม(พระศิวะ)มามอบพรแก่พญาพาลีเพื่อให้มีฤทธิ์แกล้วกล้าเช่นในวรรณคดีจริงๆ แต่กลายเป็นท่านบอกพรแก่พาลีว่า ถ้าแม้เผชิญหน้าด้วยผู้หนึ่งผู้ใด ให้กำลังเขาถดถอยเสียครึ่งหนึ่งและมาทดแทนให้กับเรา พ่ออาจารย์ท่านว่าสมัยนี้ไม่มีสงครามแล้ว จะไปรบกับใคร เอาแบบนี้ดีกว่าใช้ได้หลายทางดี สุดแต่ใจจะคิดประดิษฐ์วิธีใช้กันเลย วิชาพญาพาลีโดดๆนั้นก็มีฤทธิ์มากจนกลายเป็นสายวิชาในตำนานอยู่แล้ว ด้วยพลังแฝงพิเศษ ### แม้อยู่ต่อหน้าใครก็ลดทอนกำลังวาสนาบารมีเค้าเสียครึ่งหนึ่งมาเพิ่มให้ตนเอง เมื่อรวมกับกำลังหนุมานและพญาลิงแล้วยังได้เพิ่มทางสำเร็จ ชนะอุปสรรคด้วย สำเร็จไว ทำอะไรก็ไวดั่งพญาวานร จะเล่นทางเสน่ห์ก็ยอดเสียยิ่งกว่าพระขุนแผน จะเอาผงผีผงพรายมาเทียบนั้นไม่ได้เลย ผงวิชาลิงนี่แหละแรงกว่ามากท่านเมตตาฝากไว้ว่า ลิงอย่างไรก็คือลิงเห็นแบบนี้องค์ๆหนึ่งนั้นมีวิชาลิงอยู่สารพัดเลย เป็นลิงเจ้าทั้งนั้น ถ้าจะขออะไรอย่าลืมให้กล้วยท่านด้วย จะบนอะไรก็เอากล้วยซักหวีน้ำเปล่าซักแก้ว ผลหมากรากไม้ถวายบ้างตามกำลังแล้วแต่เหตุการณ์ที่เราจะบน ลิงนี่ทำอะไรก็สำเร็จไว ขออะไรเขาก็เต็มใจทำให้ พ่ออาจารย์ท่านยังพูดให้คิดว่าไวกว่าพิมพ์พระพิมพ์เทพเจ้าเสียอีก แต่เลี้ยงก็หมั่นพูดคุยบอกกล่าวท่านหน่อย ของที่มีจิตมีญาณรู้สิงสู่แบบนี้ ยิ่งเราพูดยิ่งเราคุยกับเค้าท่านว่ามันยิ่งดีกับตัวเราเอง

    ด้านหลังฝังตะกรุดรามจันทร์ผลาญฟ้าลักษมันร่างทอง ปกติจะเป็นตะกรุดคู่แต่ในชุดลองพิมพ์นั้นท่านว่าลงไว้ด้วยกันเอาอำนาจน้องมาเสริมพี่ให้กลืนกันจะแรงฤทธิ์ยิ่งกว่าฝังดอกเดียวก็แรงลูกโดดเช่นนั้น ตะกรุดสำคัญนี้พ่ออาจารย์ท่านเชิญบารมีพระนารายณ์อวตารกับพญาอนันตนาคราชแฝงญานแผ่บารมีไว้อย่างแท้จริง รามจันทร์ผลาญฟ้านั้นท่านว่ามีฤทธิ์มากนอกจากกระแสญาณของพระนารายณ์แล้ว ยังมีพลังแฝงด้วยว่าลงหัวใจศรพรหมมาสตร์ไว้ อันพรหมมาสตร์นั้นเป็นศรที่พระพรหมสร้างขึ้น ศรพรหมาสตร์เป็นศัตราวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ ดังนั้นตะกรุดรามจันทร์ผลาญฟ้านี้ท่านจึงลงไว้เพื่อปราบคู่แข่ง สะกดอาถรรพ์ ล้างผลาญศัตรูหมู่มารทั้งหลาย ส่วนลักษมันร่างทองนั้นท่านว่านี่ของจริงด้วยบารมีอนันตนาคราช ตรงนี้ดีเสียยิ่งกว่าพระลักษณ์หน้าทอง ท่านลงให้ไว้เป็นเสน่ห์สะกดรูปสะกดใจคนอย่างถึงที่สุด ท่านว่าถ้าวิชาสายสะกดจิตใจคนหรือพระลักษณ์หน้าทองธรรมดานั้นจะให้ผลดังนี้ “เห็นหน้าแล้วลืมตัวลืมลูกลืมสามีไปเสียสิ้น สบตาแล้วลืมกิน กระทั่งอินทร์ก็ลืมดู” แต่นี่ท่านว่าทำไว้เหนือกว่านั้น ก็ขอบารมีองค์อนันตนาคราชเจ้าแผ่งเผ่าพันธุ์นาคาให้แฝงร่างสัมผัสกายเป็นสิริมงคลกันให้ดี ท่านว่าใช้ทางเสน่ห์ได้แต่บาปกรรมรับกันเอง หากมิใช้ทางเสน่ห์แต่เจาะจงเพียงพกพาอาราธนาแล้วก็จะเป็นสง่าราศีอย่างถึงที่สุด พ่ออาจารย์ท่านว่าว่าตะกรุดรามจันทร์ผลาญฟ้าลักษมันร่างทองนี้ เป็นธาตุตั้งต้นของพลังงาน เป็นธาตุญาณของเจ้านายศรีหนุมานอย่างแท้จริง เมื่อสร้างหนุมานพยนตราท่านต้องฝังไปด้วยเพื่อความสำเร็จในการบูชาของคนใช้นั่นเอง

    พ่ออาจารย์ท่านได้เสกหนุมานศรีเทพพยนตรานี้มายาวนานและทำจนมั่นใจทั้งนำไปเสกบนยอดดอย ในถ้ำ ในป่า(แทนโลกทั้งสามบนดอยที่สูงเหมือนอยู่ในเหมเขาไกรลาสกลางสวรรค์,ในถ้ำดุจอยู่ในพิภพบาดาล,กลางป่าเปรียบกับโลกลี้ลับทั้งหลายในภาคปฐพี) โดยการเสกนั้นท่านว่าจะเกิดเหตุประหลาดและอัศจรรย์ใจท่านทุกครั้ง *** ด้วยท่านลงวิชาทั้งพาลีและหนุมานเอาไว้ลิงครูลองพิมพ์นี้จึงมีกำลังมากเหมือนเทพเจ้าที่แบ่งภาคประสานกันกำเนิดเป็นเทพหนุมานและมหาพาลีรวมชีพ ด้วยหนุมานนี้เก่งทุกด้านทั้งบุ๋นและบู๊ ซ้ำยังเสริมกำลังด้วยวิชาสายธาตุหนุนด้วยธาตุลมเป็นเอก เอาพระพายเข้ามาใช้ เอาพ่อมาหนุนลูก ทำอะไรจะได้สำเร็จ จะได้ว่องไว เหมือนลมที่เข้าไปได้ทุกที่ อยู่ที่ไหนก็ไปถึง ไม่มีที่ไหนที่ปราศจากลม ท่านว่าของที่ทำด้วยธาตุลมนี่เสน่ห์ดีนัก ลิงครูนี้ผู้ใดได้ใช้เวลาเราคิดถึงใครเค้าก็คิดถึงเรากลับ จะทำอะไรก็อธิษฐานฝากบอกพระพายบอกหนุมานไว้ก็ได้ เขาช่วยได้จะสำเร็จไวดั่งมหาวายุพัด ท่านว่าตอนเสกจะมีลิงมาป้วนเปี้ยนในบริเวณที่ท่านเสก บางครั้งก็มีลิงเอามือมาจับองค์พระแต่ไม่ได้ทุบทำลายหรือโยนเล่นและนำไปอันผิดวิสัยของลิงป่า ท่านว่าลิงนั้นก็เป็นสื่อเป็นตัวแทนของเทพหนุมานซึ่งเขายังเป็นอมตะและดำรงค์อยู่จนถึงทุกวันนี้ เทพพยนต์นี้เราก็ทำให้จนดีที่สุดจึงนำมาออกให้บูชา โดยพยนต์นี้ท่านว่าถ้าจะไหว้จะบนจะขออะไร ก็ให้ถวายกล้วย น้ำ นม เนย กับเขาก็พอ(ถ้าไม่บนก็ไม่ต้องถวายพกติดตัวเฉยๆก็แรงแล้ว) ใช้ได้ทุกด้าน

    คาถาบูชา(นึกถึงพระรามเป็นที่สุดเมื่อจะขอพรหนุมาน)
    โอมมะโนจาวัม มารุตาตุละยาเวกัม จิเทนทะริยัม พุทธิมาตัม วาริสะตัม วาตัตตะมาชัม วานะรายุ ธะมุขะยัม ศรีรามทุตัม สาระนัม ประปัทะเย


    *** พระผงลิงครูชุดลองพิมพ์นี้เป็นของสำคัญที่พ่ออาจารย์ท่านเน้นย้ำว่าสำเร็จด้วยผงของยอดวิชา มีแรงครูสูงมาก มีฤทธิ์เสมอใจเรา และเป็นเทพพยนต์ที่มีกำลังมาก ให้บูชาด้วยความรักความใส่ใจดุจนายควรมีกับบริวารที่เป็นดั่งมิตรที่ดีที่สุดของตนเขาจะยิ่งแรงและเข้าถึงจิตใจเราได้มากและให้คุณแก่เราได้สูงสุด รายการนี้รับจองเฉพาะทาง PM ผู้จองให้แจ้งชื่อนามสกุลไว้ด้วย พ่ออาจารย์ท่านจทำการเจิมประสิทธิ์ให้อีกวาระหนึ่ง รายได้ร่วมสมทบทุนเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษาต่อไป

    ร่วมทำบุญบูชา หนุมานมหาพาลีรวมชีพศรีเทพพยนตรา(ผงมหากาฬสุริยกัณฑ์) บูชา 900 บาท

    70426746-1357751331061111-2954918743525818368-n.jpg 70682429-899288517108461-6756902348896862208-n.jpg
    70388938-946866918987897-6739082276182687744-n.jpg
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่วิระพัฒน์ EI 2170 2482 3 TH

    พี่แมน EI 2170 2483 7 TH

    พี่ณธพรหม EI 2170 2484 5 TH

    พี่สุเมธ EI 2170 2485 4 TH

    พี่สายเมธี EI 2170 2486 8 TH

    พี่ภาคภูมิ EI 2170 2487 1 TH
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    อานิสงค์การสวดมนต์

    การสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ก่อนนอน หรือสวดมนต์ในวันพระนั้น เป็นหนึ่งที่ในกิจกรรมทางศาสนาที่ชาวพุทธนิยมปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน เพราะการสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิจะทำให้จิตใจของเราสงบ มีสมาธิ เกิดสติปัญญา เกิดสิริมงคลให้กับชีวิตได้ นอกจากนี้ถ้าเราความตั้งใจจริง นำจิตไปจับที่ตัวอักษรที่จะสวดออกมาอย่างจดจ่อ เปล่งเสียงให้ดังฟังชัดเจน เราจะได้รับอานิสงส์อย่างมากกว่าเดิมทีเดียว โดยครูบาอาจารย์ได้อรรถาธิบายความถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ไว้ดังนี้

    1. อานิสงส์ที่เกิดกับสุขภาพร่างกาย
    ผู้ที่นิยมสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิสม่ำเสมอจะก่อให้เกิดผลดีต่อจิตยิ่ง จะมีความผ่องแผ้วสว่างบริสุทธิ์ จิตที่สว่างจะทำให้อารมณ์ผ่องใส ไม่โกรธง่าย ไม่เครียด แม้ถ้าจะต้องใช้ความคิดก็จะคิดแบบมีเหตุมีผล การที่จิตผ่องแผ้วถือเป็นโอสถทิพย์ที่สำคัญต่อร่างกายที่เดียว ส่งผลให้ร่างกายสร้างและหลั่งฮอร์โมนในร่างกายที่เป็นปกติ ทำให้ร่างกายสมดุล เมื่อร่ายกายสมดุลบุคคลนั้นจะอายุยืน คนที่มีอารมณ์ดี ไม่เครียด จะอายุยืนยาว เช่น พระสงฆ์ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นสรณะจะอายุยืนบางองค์เกินร้อยปีก็มีหรือคนโบราณที่ชอบสวดมนต์ ไหว้พระจะอายุยืนยาวมากไม่มีต่ำกว่าแปดสิบปี ซึ่งต่างจากคนสมัยปัจจุบันที่แก่เร็ว อายุสั้น เฉลี่ยแล้วไม่เกินหกสิบห้า หรือ อย่างมากก็เจ็ดสิบปี การมีจิตที่ผ่องใส เสมือนหนึ่งมียาอายุวัฒนะขนานเอกไว้ในตัวเอง ลักษณะนี้ครูบาอาจารย์ท่านให้เรียกว่า "การนำปัจจัยภายในมาสร้างอายุวัฒนะ"


    2. อานิสงส์ให้เกิดจิตที่แกร่ง
    หลังการสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิ จะทำให้จิตมีกำลัง เป็นการบำรุงจิต จิตที่มีกำลังจะเข้มแข็ง ไม่อ่อนไหวง่าย สติดี หนักแน่น การมีจิตเป็นสมาธิสติจะคงอยู่เสมอ จะก่อให้เกิดปัญญาตามมา ปัญญาหมายถึง ระบบการคิดที่มีสติคอยกำกับ การคิดจึงอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลไม่มีอารมณ์เข้ามาเจือปน ส่วนความคิดที่ขาดสติ เราเรียกว่า "อารมณ์" คนสมัยใหม่ที่ไม่นิยมนั่งสมาธิ ส่งผลให้สติไม่มั่นคง โกรธง่าย โมโหร้าย ขี้หงุดหงิด ไม่อดทนต่อแรงกดดันทั้งปวง มีอารมณ์แปรปรวนไม่สม่ำเสมอ เหตุเพราะจิตมีอ่อนกำลัง เราจึงพบว่าสถิติการฆ่าตัวตายของคนสมัยนี้ จึงมีอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้น รูปธรรมข้างต้นเหล่านี้คงจะพอแสดงให้เห็นถึงความต่างระหว่างจิตสองลักษณะคือ จิตแกร่งกับจิตอ่อน ได้เป็นอย่างดี ให้เปรียบเทียบง่ายๆ ว่า การที่เราต้องรับประทานข้าวปลาอาหารเพราะอาหารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิต ฉันใดก็ฉันนั้น สมาธิก็จะเป็นอาหารที่สำคัญของจิต เช่นกัน


    3. ได้อานิสงส์จากการได้โปรดดวงจิตวิญญาณ
    ผู้ที่สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิถึงขั้นเป็นผู้มีจิตใสสว่าง จะเป็นที่โปรดปรานของพวกวิญญาณเร่ร่อน โดยปรารถนาจะขอส่วนบุญ ส่วนกุศลให้ตนได้ร่มเย็น หรือพ้นทุกข์ หรือแม้กระทั่งหลุดพ้นจากการถูกจองจำ โดยปกติบทสวดมนต์จะมีความขลังอยู่ในตัวเพราะ เป็นอักขระภาษาที่มีมนต์ขลัง บางบทเป็นพระคาถาที่มีอานุภาพสูง โดยเฉพาะบทพุทธบารมี บทพระคาถาชินบัญชร มีอานุภาพสูง ยิ่งผู้สวดมีสมาธิจิตที่ดีแล้ว พลังแห่งเมตตาและอานุภาพจะแผ่กระจายปกคลุมไปไกล ด้วยอานุภาพของพลังจิตผู้สวดเอง เมื่อเสียงสวดและอักขระไปกระทบ หรือสัมผัสกับดวงจิตวิญญาณใด พลังเมตตาและพลานุภาพแห่งมนตรานี้จะกระตุ้นให้ดวงจิตวิญญาณเกิดความระลึกได้ เมื่อระลึกได้ก็จะสามารถดูดซับพลังบารมีทั้งปวงจากบทสวดอย่างเต็มที่ ดวงจิตที่มืดบอดก็จะสว่างผ่องใสขึ้นและหลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการในที่สุด

    4. ได้อานิสงส์จากโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    นอกจากดวงจิตวิญญาณแล้ว ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่จะได้รับพลังเมตตาบารมีจากการสวดมนต์ ไหว้พระและนั่งสมาธิเช่นกัน คือ พวกสัตว์เล็ก สัตว์น้อย สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลังแห่งการแผ่เมตตาบารมีจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ เป็นพลังแห่งพุทธานุภาพ เป็นพลังฝ่ายบุญกุศล การสวดมนต์ ไหว้พระนั่งสมาธิ และแผ่เมตตาบ่อยๆ จะทำให้จิตมีความแข็งแกร่ง พลังแห่งการแผ่เมตตาก็จะมีอานุภาพที่แรงครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น นั่นย่อมหมายถึงไปสู่สรรพสัตว์มากจำนวนยิ่งขึ้นตามเบื้องต้นสามารถพิสูจน์ได้จริง ไม่ว่ามด ยุง แมลง ฯลฯ ล้วนต้องการ และแสวงหาพลานุภาพแห่งเมตตาอย่างหิวโหยจริง เช่น ผู้ปฏิบัติธรรมบางคนพบว่ามีมดขึ้นมาเกาะบนกลดขณะที่ท่านกำลังที่ภาวนาอยู่จำนวนมาก หรือมียุงมากัดจำนวนมากขณะนั่งสมาธิ แต่เมื่อท่านกล่าวแผ่เมตตาให้แล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็จะจากไปของเขาเอง ไม่ทำร้าย ไม่รบกวนเราอีกเหตุเพราะพวกเขาได้รับแล้ว ลักษณะเช่นนี้จะเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ครูบาอาจารย์ที่กล่าวไว้ว่า พวกมด ยุง แมลง นั้นพวกเราสามารถพูดกับเขาได้นั่นเอง เมื่อทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้ทุกข์หลุดพ้นจากทุกข์ ช่วยให้สรรพสัตว์ที่ได้สุข ให้ได้สุขยิ่งๆขึ้นไป เราก็ได้อานิสงส์แห่งการนี้ตอบคืน อานิสงส์เช่นนี้ เป็นอานิสงส์ที่ก่อให้เกิดบารมีที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว เราเรียกว่า "อานิสงส์ทางทิพย์"

    5. ได้อานิสงส์จากพรเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ทุกครั้งที่เราสวดมนต์ หลังจากสวดบทบูชาพระรัตนตรัยแล้ว เราก็มักจะสวดบทชุมนุมอัญเชิญเทวดาเสมอ (สักเคฯ) เป็นการบอกกล่าวอัญเชิญเทวดาให้มาร่วมพิธีการสวดมนต์ เทวดาเทพ เทพารักษ์ทั้งหลายโปรดการฟังสวดมนต์มาก เพราะถือเป็นพิธีกรรมแห่งพุทธที่มีมนต์ขลังมีความศักดิ์สิทธิ์ บทสวดทุกบทเป็นอักขระ มีพลังพุทธานุภาพสูง ใครได้ยินได้ฟังได้ซึมซับก็จะเกิดความสว่างไสว เกิดพลังบารมี มนุษย์ที่สวดมนต์ไหว้พระประจำเทวดา จึงเป็นที่โปรดปรานของเทวดา ไปที่ไหนมีเทวดาปกป้องคุ้มครอง ให้โชคให้ลาภ ให้ความมั่งมีสีสุข คนโบราณจึงย้ำหนักหนาให้ลูกหลานสวดมนต์ก่อนนอน เพราะเทวดาก็ต้องการสร้างบารมีของตนให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปเช่นกัน เมื่อเราสวดมนต์ ไหว้พระ แผ่เมตตา ทำให้เทวดาได้บารมีเพิ่ม ได้ความสว่างเพิ่ม เทวดาก็จะอำนวยอวยพรชัยมงคลให้กับเรา เป็นการตอบแทนคุณเรา


    6. สามารถแผ่เมตตาช่วยคนเจ็บป่วยได้
    อานิสงส์การแผ่เมตตานั้น นอกจากสรรพสัตว์และดวงวิญญาณทั้งหลายแล้ว มนุษย์ทั่วไปที่นอนเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานก็สามารถรับอานิสงส์ของการแผ่เมตตาได้ โดยให้กล่าวดังนี้ "อานิสงส์ของการสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ของข้าพเจ้าในวันนี้ ขอส่งให้ (ชื่อ-สกุล ผู้ป่วย)" เพียงเท่านี้เองก็จะก่อให้เกิดผลดีต่อผู้ป่วยมหาศาล โดยเฉพาะผู้แผ่เมตตาเป็นผู้บุญบารมีมากยิ่งก่อให้เกิดผลเร็วขึ้น โดยมาตรฐานที่จะให้เกิดผลสมบูรณ์ ให้ทำติดต่อกัน 33 วัน สภาพร่างกายและอำนาจจิตของผู้ป่วยก็จะดีขึ้นอย่างชัดเจน แม้บางรายสังขารจะไม่ดีก็ตาม ความทุกข์ทรมานจะลดลงจิตจะดี คนเราเมื่อจิตดีก็มีความสุข อย่างไรก็ดีต้องทำความเข้าใจหลักของเวรกรรมแต่ละคนด้วย (ผู้ป่วย) ผู้ป่วยบางรายอาจจะยกเว้นไม่เป็นไปตามมาตรฐานนี้ อันเนื่องจากอยู่ในภาวะชดใช้กรรมของเขาเอง และอีกประการหนึ่งให้เข้าใจในเรื่องวิถีจิตของผู้ป่วยต้องเปิดด้วย ถ้าจิตปิดก็รับไม่ได้ แต่หากผู้ป่วยเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้วก็จะยิ่งเกิดผลเร็วทันตาเห็น ใช้เวลาเพียง 16 ถึง 24 วันเท่านั้นก็เพียงพอ นั้นหมายถึงเขาเปิดประตูจิตไว้รออยู่แล้วนั่นเอง


    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    ที่สอบถามกันมาว่าชุดลองพิมพ์พวกนี้มีรายการอื่นอีกมั๊ย ก็อย่างที่แจ้งตอนแรกว่าไม่ได้มีทุกพิมพ์ และรายการลองพิมพ์ก็ไม่มีแล้วนะครับ ต่อไปก็จะเป็นรายการปกติ เพราะรอบนี้นำชุดลองพิมพ์ออกมาให้เช่ากันไปหมดแล้ว
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    สติกับการฝึกปฏิบัติ

    มิจฉาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีมิจฉาสติ
    สัมมาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีสัมมาสติ
    มิจฺฉาสติสฺส มิจฺฉาสมาธิ ปโหติ
    สมฺมาสติสฺส สมฺมาสมาธิ ปโหติ (อวิชชาสูตร ๑๙/๑)

    สติ ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือการปฏิบัตินั่นเอง

    สติเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการปฏิบัติในทางพุทธศาสนา เช่น สติในมรรค๘ หรือสติในโพชฌงค์๗ สติในสติปัฏฐาน๔ เป็นต้น. อันเป็นเหตุปัจจัยอันสําคัญยิ่งในการบรรลุถึงจุดหมายในการดับทุกข์ หรือความจางคลายหายจากทุกข์ ในที่นี้ผู้เขียนจะกล่าวจําเพาะเจาะจงลงไปในเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติ โดยเฉพาะสติให้เห็นเวทนาและจิตเป็นสําคัญ (เวทนานุปัสสนา และจิตตานุปัสสนา ในสติปัฏฐาน๔)

    สตินั้นก็คือ กริยาหรืออาการหนึ่งของจิตนั่นเองที่ทำหน้าที่ระลึกได้หรือสำนึกพร้อม เป็นหนึ่งในเจตสิก๕๒(ข้อที่๒๙) เป็นสังขารขันธ์คือการกระทำทางใจหรือจิตอย่างหนึ่ง และเป็นสังขารขันธ์ที่พระพุทธองธ์ทรงสรรเสริญยิ่งว่า "สติ มีประโยชน์ในที่ทั้งปวง" จึงเป็นภาเวตัพพธรรม สิ่งที่ควรภาวนาคือทำให้เจริญขึ้น

    พึงจดจำไว้ว่า สติที่ใช้ในการปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์นั้น ทำหน้าที่สำคัญที่สุดอย่างยิ่ง คือเพื่อระลึกอย่างเท่าทันในเวทนาและกายคตาสติสูตรนั้น ก็เป็นการฝึกสติและเป็นเครื่องอยู่ของจิตอันดียิ่งอย่างหนึ่ง แต่พึงเข้าใจด้วยว่าเป็นการฝึกสติในเบื้องต้น รวมทั้งเป็นเครื่องอยู่ของจิตไม่ให้ซัดส่ายออกไปปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านออกไปภายนอกให้เป็นทุกข์ ก็เพื่อให้มีสติเป็นสัมมาสมาธิที่หมายถึงต่อเนื่องหรือตั้งมั่นในระดับขณิกสมาธิ เพื่อเป็นกำลังหรือบาทฐานในการฝึกสติต่อไปในขั้นเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนาดังที่กล่าวข้างต้น หรือเพื่อใช้สติไปในการพิจารณาธรรม(ธรรมานุปัสสนา) อันเป็นไปเพื่อการดับอุปาทานทุกข์โดยตรง ดังนั้นถ้าปฏิบัติแต่ตามลมหายใจ อิริยาบถหรือสัมปชัญญะโดยไม่ดำเนินการปฏิบัติในขั้นต่อไปเลย ย่อมก่อให้เกิดความชงักงันเป็นธรรมดา ในขั้นแรกอาจได้ความสงบ แต่ถ้าไม่ดำเนินให้เกิดปัญญาต่อไป จนถึงขั้นไปติดเพลินจึงกลายเป็นมิจฉาสติหรือมิจฉาสมาธิเสียก็เป็นได้

    มีสติเห็นเวทนาหรือจิต พร้อมทั้งปัญญาความเข้าใจ(ญาณ)ในเวทนาหรือจิตหรือจิตสังขาร ให้เหมือนดั่งตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง กล่าวคือ มีสติระลึกรู้ในเวทนาหรือจิตคิด พร้อมทั้งปัญญาความเข้าใจ ให้ได้อุปมาดั่งตาเห็นรูปหรือตัวอักษร ที่สติเห็นระลึกรู้และปัญญาเข้าใจในสิ่งที่เห็นนั้น หรือดั่งเมื่อหูได้ยินระลึกรู้เสียงไพเราะหรือไม่, พร้อมทั้งเข้าใจในความหมายที่สื่อนั้น หรือกล่าวอย่างสั้นๆว่า

    มีสติเพื่อทำญาณให้เห็นจิต ให้เหมือนตาเห็นรูป
    อันเป็นไปตามหลักปฏิบัติ สติปัฎฐาน๔
    คือเห็นเวทนาหรือจิต(จิตสังขาร)ที่เกิดขึ้นบ้าง หรือเห็นความเสื่อมไปบ้าง หรือเห็นความดับลงไปบ้าง หรือเห็นความเกิดขึ้นในบุคคลอื่นบ้าง ในตนเองบ้าง ฯ.

    อนึ่งควรมีความเข้าใจให้ถูกต้อง เมื่อฝึกสติ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยเครื่องสนับสนุนให้เกิดสมาธิขึ้นด้วยเป็นธรรมดา กล่าวคือ การมีสติ อย่างแน่วแน่คือเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องในการปฏิบัติ

    สมาธินี้ จึงหมายถึง ความมีสติต่อเนื่องอยู่ในการปฏิบัติ มิได้หมายถึงสมถสมาธิที่เข้าถึงแต่ความประณีตความสงบความสบายแต่อย่างใด สมถสมาธิเป็นสมาธิเริ่มต้นเพื่อฝึกจิตให้เป็นสมาธิในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้ซัดส่ายเป็นทุกข์ เพื่อให้มีกำลังของจิตใช้ไปในการปฏิบัติขั้นต่อไป คือการวิปัสสนาเพื่อการดับทุกข์อย่างจริงจังเท่านั้น เนื่องจากในปัจจุบันมีการเน้นการฝึกสมถสมาธิแต่อย่างเดียว แต่ก็เรียกกันโดยทั่วไปว่าสมถวิปัสสนาบ้าง พระกรรมฐานบ้าง ผู้ไม่รู้จึงไปเข้าใจผิด คิดว่าปฏิบัติวิปัสสนาที่จำเป็นต้องอาศัยปัญญาให้เข้าใจธรรมอันเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์แล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนาแต่อย่างใด จึงกลับกลายดำเนินไปในรูปของมิจฉาสมาธิแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา ดังเช่นการปฏิบัติอานาปานสติแต่กลายเป็นมิจฉาสติ จึงยังให้เกิดเป็นมิจฉาสมาธิอันให้โทษ ดังนั้นเมื่อปฏิบัติสมถสมาธิแล้ว จึงควรเจริญในวิปัสสนาทุกครั้ง จึงยังให้สมาธินั้นเป็นสัมมาสมาธิอันถูกต้อง กล่าวคือเป็นบาทฐานเครื่องสนับสนุนการวิปัสสนา


    วัตถุประสงค์ในการเจริญสติ
    ๑. ฝึกสติให้เห็นจิต หมายถึง ระลึกรู้เท่าทันจิต (หมายรวมทั้ง เวทนา-ความรู้สึกรับรู้ และจิตสังขาร เช่น ความคิด, คิดปรุงแต่ง, โมหะ, โทสะ, โลภะ ฯ.)
    ๒. ฝึกสติให้เห็นความแตกต่างของความรู้สึก(เวทนา)ระหว่าง จิตขณะปกติ และขณะที่ จิตปรุงแต่ง เพื่อให้เห็นโดยปัจจัตตัง คือเห็นรู้ด้วยตนเอง
    ๓. ฝึกสติ ให้ชำนาญอย่างต่อเนื่องในการเห็น จิต (เห็นใน เวทนา+จิตสังขาร อย่างเป็นสัมมาสมาธิ)
    ๔. ฝึกสติ ไม่ให้ไปคิดนึกปรุงแต่งต่อจากจิต(เวทนา+จิตสังขาร)ที่เห็นหรือเกิดขึ้นนั้น (หมายถึงยังมีคิดเป็นปกติธรรมดาของขันธ์๕ที่ยังกระทบแล้วรู้สึกเป็นธรรมดา แต่ไม่คิดปรุงแต่งชนิดที่ยังให้เกิดทุกข์ต่อ) หรือคือการฝึกสติในการถืออุเบกขานั่นเอง
    ๕. ฝึกสติให้เห็นความแตกต่างของความรู้สึกระหว่าง เมื่อจิตไม่รู้เท่าทันไปปรุงแต่ง กับ จิตที่รู้เท่าทันแล้วถืออุเบกขา (แลคล้าย ข้อ๒. แต่แตกต่างกัน)


    ข้อสําคัญในการปฏิบัติ
    ในระยะแรกๆ อย่าปฏิบัติในขณะที่รู้สึกเป็นทุกข์ หรือจิตใจซัดส่าย ข้อสำคัญให้มีใจสบายๆพอสมควร หรือสมาธิก็แค่ระดับขณิกสมาธิคือจิตแน่วแน่ ไม่วอกแวกมากเกินไป ให้มีสติอยู่ในกิจหรือการปฏิบัติ, เพราะต้องการใช้จิตที่อยู่ในสภาวะขณะปกติไปเปรียบเทียบให้เห็นกับขณะจิตปรุงแต่ง จึงจะเห็นสภาวะหรือความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอย่างปัจจัตตัง จึงจะคลายวิจิกิจฉาความสงสัย

    ถ้าปฏิบัติในรูปแบบ ให้มีสติ อย่าปล่อยให้เลื่อนไหลลงภวังค์ คือไม่เลื่อนไหลไปสู่สมาธิหรือฌานในระดับลึก สมาธิก็แค่ขณิกสมาธิ เพราะเราต้องการฝึกฝนปฏิบัติการใช้สติในการปฏิบัติตามความรู้ความเข้าใจในปฏิจจสมุปบาทหรือสติปัฏฐาน๔ มิใช่การปฏิบัติสมถสมาธิหรือฌานเพราะถ้าลึกกว่านี้แล้วสติจะไม่บริบูรณ์มีอาการเคลิบเคลิ้ม ลงภวังค์ หรือเกิดนิมิตต่างๆนาๆ ถ้าหลับตาแล้วเลื่อนไหลลงภวังค์หรือหลับง่ายๆก็ให้ลืมตาขึ้น หรือยืน เดิน ในอริยาบทสบายๆได้ โดยไม่ต้องกังวล, ให้มีสติยาวนานต่อเนื่องอย่าง ไม่เลื่อนไหล


    ปฏิบัติโดยให้มีสติกํากับความคิด สําหรับนักปฏิบัติใหม่ๆอาจมองไม่เห็นความคิด หรือมีความรู้สึกว่า ไม่รู้จะวางสติไว้กับอะไรหรือ ณ.ตําแหน่งใด ก็ให้ลองบริกรรมพุทธโธ ในใจสักระยะ หรือคิดภาวนาพิจารณาในใจอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุให้ขุ่นเคืองหรือวุ่นวายใจ เพื่อเป็นเครื่องกำหนด เครื่องระลึก โดยปรับกายใจให้ผ่อนคลาย คำบริกรรมอาจสั้นหรือยาวก็ได้ ดังเช่น พุทโธ สั้นๆ หรือดังเช่น
    " ที่นี่แหละฐานแห่งจิต " หรือ " มีสติ ไม่คิดปรุง " หรือ " สัมมาอรหัง " เหล่านี้เป็นต้น หรือภาวนาอะไรก็ได้ อย่างสั้นๆตามจริตก็ได้

    เพราะคำบริกรรมภาวนาเหล่านี้เอง เป็นจิตสังขารหรือความคิดที่เป็นผลที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง หรือการพูดในใจโดยไม่ออกเสียงมานั่นเอง ที่เราต้องการจะฝึกให้มีสติระลึกรู้เท่าทัน ที่บางทีเรียกกันว่า"เห็น" และควรฝึกหัดให้เห็นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง(สัมมาสมาธิ)ไม่เลื่อนไหล และปัญญาที่เกิดแต่การพิจารณาจนเกิดความเข้าใจในสภาวะธรรมจะเป็นผู้แก้ปัญหา อันรวมทั้งจำแนกแจกแจงว่า อันใดเป็นคิดที่ควรเกิดควรมี อันใดเป็นคิดปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ที่ควรอุเบกขา

    แล้วภาวนาพิจารณาในใจอย่างใจเบาๆนุ่มนวล พร้อมสังเกตุกําหนดชัดว่าอยู่ที่ใด อาจจะอยู่ที่ใดก็ได้ แค่พอให้สังเกตุเห็นฐานแห่งจิต คือหาโฟกัส(จุดรวม)ความคิดให้ชัดเจนของจิตเท่านั้น อย่ากังวล เพียงแต่ให้สติระลึกรู้ว่ามีความรู้สึกชัดเจนที่สุดตรงไหน อาจอยู่ภายในกายหรือนอกกายก็ได้ ก็ให้ถือว่าที่นั่นแหละฐานแห่งจิตหรือตําแหน่งของจิตที่เราต้องมีสติคอยกํากับ คือ จิตหรือสติเห็นคำภาวนานั้นอย่างมีสติได้อย่างต่อเนื่อง, เมื่อฝึกปฏิบัติบ่อยๆจนเกิดความชำนาญแล้ว ก็เปลี่ยนจากจิตหรือสติที่เห็นคำบริกรรมนั้นเป็นคอยมีจิตหรือสติเห็นเวทนาหรือจิตคิดหรือจิตสังขารที่เกิดขึ้นแทนในภายหลัง แล้วมีสติถืออุเบกขาไม่ปรุงแต่ง ไม่แทรกแซง หรือไม่เอนเอียงไปทั้งในด้านดีหรือร้าย เช่น เราดีหรือเขาชั่ว,นั่นดีหรือนี่ชั่ว,เราถูกหรือเขาผิด คืออยู่ในภาวะเหนือดีเหนือชั่ว หรือเหนือบุญเหนือบาปทั้งปวงนั่นเอง ตามที่ได้กล่าวมาในบทก่อนๆแล้ว, ฐานแห่งจิตนี้เป็นนามธรรม เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนจริงๆเป็นเพียงอุบายวิธีในการปฏิบัติเพื่อจําลองเป้าหมาย ช่วยในการก่อสติ ให้สติเกาะระลึกรู้อยู่กับสิ่งที่ตั้งใจอันถูกต้องดีงาม ในแต่ละท่านตําแหน่งอาจไม่เหมือนกัน และบางทีบางครั้งก็รู้สึกคนละตําแหน่งกับที่เคยปฏิบัติมาเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต้องใส่ใจ เพราะในที่สุดจะเข้าใจถูกต้องเอง

    เมื่อสติกำกับจิต หรือเห็นจิต หรือจิตเห็นจิต ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ให้วางเฉยเสีย อย่าคิดหรือคิดปรุงแต่งใดๆให้ได้สักระยะหนึ่ง ปฏิบัติใหม่ๆก็จะยากอยู่เป็นธรรมดา (เพราะมักเกิดอาการที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้กล่าวไว้ บอกว่าให้หยุดคิด กลับไปคิดว่าจะหยุดคิดอย่างไร กลับกลายไปคอยคิดคำนึงปรุงแต่งในเรื่องการหยุดคิดนั่นเอง) เมื่อหยุดคิดได้สักระยะหนึ่ง สังเกตุความรู้สึกหรือเวทนาที่มีอยู่ (แต่ไม่ใช่จิตส่งในที่ติดเพลินไม่ปล่อยวาง) จะพิจารณาสังเกตุพบความสงบ สบาย ไม่กระวนกระวาย ไม่ร้อนรุ่ม ไม่เผาลน แล้วต้องปล่อยวาง เมื่อปฏิบัติได้สักพักหนึ่งจิตจะเริ่มส่งออกนอกไปคิดนึกปรุงแต่งในบางเรื่องขึ้นมาเป็นธรรมดา หมายถึงต้องเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอนจึงอย่าไปหงุดหงิดกังวล แต่เมื่อจิตส่งออกนอกไปปรุงแต่งจนอิ่มตัวหรือมีสติกลับคืนมาเห็นจิตปรุงแต่งเหล่านั้นแล้ว สังเกตุความรู้สึก(เวทนา)ที่เกิดขึ้นเพื่อให้รู้ว่าเมื่อจิตส่งออกไปปรุงแต่งแล้วเกิดเวทนาอย่างไรขึ้นมา แล้วปล่อยวาง ให้กลับมาอยู่ที่สติหรือฐานเดิม คือเพียงพิจารณาสังเกตุรู้ในความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วละเสีย และอย่าปรุงต่อ

    จิตที่แว็บออกไปปรุงแต่งดังข้างต้นนั้น มีสองลักษณะ คือ บางครั้งยังไม่ทันก่อทุกข์ขึ้น เป็นแค่การผุดการแว๊บออกไปปรุงแต่งแรกๆ แล้วมีสติรู้ทัน จะได้ประโยชน์ คือ ฝึกสติให้เห็นและรู้ทันจิตที่ส่งออกไปภายนอกหรือผุดหรือแว๊บขึ้นมานั้น, อีกลักษณะหนึ่งคือความคิดที่ผุดขึ้นมานั้นก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์เลย หรือขณะแรกไม่เป็นทุกข์แต่ขาดสติปรุงแต่งเลื่อนไหลต่อไปเรื่อยๆจนเกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นในที่สุด เมื่อจิตปรุงจนอิ่มตัวแล้วหรือมีสติรู้เท่าทันขึ้นมา ก็ให้หยุดการปรุงแต่งเหล่านั้นเสีย แล้วพิจารณาด้วยปัญญาก็จักได้ประโยชน์คือเปรียบเทียบเห็นความรู้สึก(เวทนา)ที่เป็นทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งด้วยตนเองได้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ในขณะฝึกสตินั้นจึงให้ทำจิตว่างๆที่หมายถึงหยุดคิด,หยุดปรุงแต่งชั่วขณะ จุดประสงค์ก็เพื่อให้สังเกตุเห็นความรู้สึกหรือเวทนาที่เกิดขึ้นชัดเจน คือเปรียบเทียบเวทนาหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างจิตไม่ปรุงแต่งและจิตปรุงแต่งกันให้เห็นหรือเข้าใจอย่างชัดเจน, แต่ระมัดระวังไว้ด้วย อย่าไปยึดในจิตว่างหรือหยุดคิดนั้น เป็นขั้นตอนการใช้ตอนปฏิบัติเท่านั้น ในการดำรงชีวิตโดยทั่วไปนั้น ความคิดนั้นยังต้องมีอยู่ แต่อยู่ในระดับขันธ์๕ คือไม่คิดปรุงแต่งเท่านั้น หรือหยุดเฉพาะคิดนึกปรุงแต่งเท่านั้น อย่าได้พยามยามไปทำจิตว่างหรือพยายามหยุดทุกๆความคิดในการดำเนินชีวิตประจำวัน หยุดแค่การคิดปรุงแต่ง

    ข้อสําคัญในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
    ไม่ใช่การห้ามหรือหยุดเวทนาหรือจิตคิดอย่างดื้อๆ มันทําหน้าที่ของมันอย่างถูกต้องตามสภาวะธรรม(ธรรมชาติ) เป็นขันธ์๕ในการดำรงขันธ์(ชีวิต) ส่วนความคิดนึกปรุงแต่งหรือจิตฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งนั้นต้องหยุด

    เราจึงทําหน้าที่หลักๆ เพียง๒ประการคือ

    ๑.มีสติรู้ทันเวทนาหรือความคิด(จิต)ที่เกิดขึ้น ก็ให้มีสติรู้ว่ามี คือ เมื่อจิตสอดส่ายออกไปคิดปรุงแต่งเกิดความรู้สึก(เวทนา) หรือจิตสังขารใดๆเช่น จิตปรุงแต่ง จิตหดหู่ โมหะ โทสะ โลภะ ฯ. ก็รับรู้ตามความเป็นจริงอย่างมีความเข้าใจในเวทนาหรือจิต(อ่านในปฏิจจสมุปบาท หรือขันธ์๕) หรือเห็นความเกิดขึ้นบ้าง เห็นความเสื่อม ความดับไปบ้าง (ความสําคัญอยู่ที่รับรู้สิ่งที่กระทบนั้นตามความเป็นจริง แล้วรีบละไม่จดจ้องหรือพิรี้พิไรต่อมัน ) จิตที่สอดส่ายออกไปนี้มันต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และเมื่อเกิดการกระทบผัสสะย่อมเกิดผลขึ้นเป็นธรรมดา ตามที่ได้ปัญญาญาณจากปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์๕ ไม่ต้องพยายามทําอื่นใดทั้งสิ้น เช่น ไม่ติดเพลินหรือผลักไสใดๆ ไม่พยายามทําให้ความรู้สึกรับรู้(เวทนา)หายหรือดับไป และควรพิจาณาเมื่อสติกลับมาแล้ว คือรู้ตัว ให้สังเกตุความแตกต่างระหว่างความรู้สึกขณะที่มีสติ กับ ขณะที่จิตคิดปรุงแต่งเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่เห็นได้ด้วยตนเอง(ปัจจัตตัง) ข้อสำคัญแค่สังเกตุอยู่ในความแตกต่าง แล้วต้องไม่ปรุงแต่งต่อ
    มีความเข้าใจและรับรู้ตามความเป็นจริง เช่น อร่อยเป็นอร่อย สวยเป็นสวย ทุกข์เป็นทุกข์ สุขเป็นสุข เศร้าเป็นเศร้า มีความจําเป็นอย่างยิ่ง มิฉนั้นจะเกิดการวางอุเบกขาในข้อ๒ทุกๆเรื่อง อันเมื่อเป็นสังขารที่สั่งสมแล้วจะเกิดเป็นปัญหาขึ้น เพราะจะไปถืออุเบกขาเช่นวางเวทนาหรือความคิดหรือสิ่งอื่นที่มีคุณต่อการดำรงขันธ์(ดําเนินชีวิต)ไปโดยไม่รู้ตัว, การรู้ตามความเป็นจริงเช่นเกิดทุกขเวทนาก็รู้และรับรู้ความรู้สึกที่เกิดนั้น เป็นสุขเวทนาก็รู้ เป็นไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้, เห็นจิตคิดชนิดโมหะ โทสะ โลภะ ก็มีสติรู้เท่าทัน อันล้วนมีเจตจํานงให้มีสติรู้เท่าทันเวทนาหรือจิตอันแฝงกิเลสหรือตัณหาอยู่ในที เป็นจุดประสงค์สำคัญ แล้วปฏิบัติตามข้อ๒
    ๒.แล้วมีสติ ถืออุเบกขา(ในโพชฌงค์) เท่านั้น กล่าวคือเมื่อเกิดรู้สึกสุข,ทุกข์ หรือเห็นจิตสังขารดังที่กล่าวไว้ก็ตาม เพราะย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมคือธรรมชาตินั้นๆในการรับรู้ของชีวิตจากการผัสสะต่างๆ แต่เราต้องมีสติ แล้วเป็นกลาง ด้วยอาการตั้งใจไม่เอนเอียงเข้าไปปรุงแต่งด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆในสิ่งนั้น (ไม่ว่าจะ ดีชั่ว บุญบาป ถูกผิด อันล้วนเป็นมายาจิตหลอกล่อให้ไปปรุงแต่งทั้งสิ้น)
    อุเบกขานี้จะเกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรม เป็นกลางโดยการวางทีเฉยต่อเวทนาหรือจิตสังขารที่เกิดขึ้นนั้นอย่างมีสติมีอุเบกขา รู้สึกอย่างไรก็รู้เท่าทันตามความเป็นจริงอย่างนั้น เช่น โกรธ โลภ หลง ฯ. เพียงแต่ไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซง ไม่คิดนึกปรุงแต่ง ด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆ ไปทั้งในทางดีหรือร้าย, อุเบกขามิใช่การวางจิตเฉยๆ หรือต้องรู้สึกเฉยๆตามที่บางคนเข้าใจ และไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง, จักเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการเจตนาปฏิบัติ หรือสังขารขึ้นเท่านั้น, ปฏิบัติใหม่ๆอาจรู้สึกยากแสนยาก แต่เมื่อปฏิบัติไปอย่างสมํ่าเสมอก็จักราบรื่นขึ้น, ถ้ากระทําด้วยความเพียรไม่เกียจคร้านในที่สุดก็จะเป็นดั่งสังขารที่สั่งสมในปฏิจจสมุปบาทเพียงแต่ว่ามิได้เกิดแต่อวิชชา แต่เกิดจากวิชชาของพระองค์, ซึ่งเมื่อเวทนาหรือจิตคิดมากระทบ อุเบกขา(อันมีญาณรู้เข้าใจว่าสิ่งใดทำให้เป็นทุกข์ จากการปฏิบัติในข้อ๑.)จะกลับกลายเป็นสังขารแล้วก็จักทํางานเป็นธรรมชาติเหมือนหนึ่งดังบุคคลิกลักษณะประจําตัวหรือทำโดยอัตโนมัตินั่นเอง อันทําให้เวทนาหรือจิตคิดที่ยังให้เกิดทุกข์เมื่อมากระทบผัสสะเหล่านั้น ขาดเหตุเกิดอันยังให้ต่อเนื่อง หรือขาดเชื้อไฟที่จะทำให้ลุกไหม้ต่อไปได้ เพราะขาดเวทนาหรือคิดปรุงแต่งต่อสืบเนื่อง จึงยังให้ไม่เกิดเวทนาต่อเนื่องขึ้นมาอีก เมื่อขาดปัจจัยคือเวทนาอันเป็นเหตุเกิดของตัณหา ตัณหาก็ต้องมอดดับลงไป อันเป็นไปตามหลักปรมัตถธรรมปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง, เวทนาหรือจิตคิดเหล่านั้นจะยังคงเกิดแค่ขันธ์๕ อันเป็นเพียงทุกขเวทนาอันต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติธรรมดาๆขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่เป็นทุกข์จริงๆ(ความทุกข์จริงคือทุกข์อุปาทาน-อันกระวนกระวาย ร้อนรุ่ม และเผาลน อย่างยาวนานและต่อเนื่อง และยังเก็บไปหมักหมมนอนเนื่องเป็นอาสวะกิเลสอันก่อทุกข์โทษภัยในภายหน้า)

    ถ้าปฏิบัติแล้วมีความรู้สึก ตึง แน่น เครียด หรืออึดอัด ส่วนหนึ่งส่วนใดมากเกินไป แสดงว่าอาจเกิดจากเหตุปัจจัย ๒ อย่างนี้
    ๑.อาจกําหนดฐานของจิตผิด เช่นไปกําหนดจดจ่อที่กายส่วนหนึ่งส่วนใดโดยไม่รู้ตัว หรืออาจเป็นไปในลักษณะจิตส่งในโดยไม่รู้ตัว อันมักเป็นผลมาจากการปฏิบัติหรือความเคยชินเก่าๆที่สั่งสม(สังขาร) เช่น อาจรู้สึกหายใจไม่สะดวก หรือตึง แน่น อึดอัดตามจมูก หน้าอก ขมับหรือสมองมากเกินไป เนื่องจากเลื่อนไหลไปกำหนดตามความเคยชินในฐานของสมาธิเดิมๆ ให้ลองปรับฐานจิตแห่งความคิดใหม่
    ๒.หรืออาจเกิดจากใช้สติระลึกรู้จดจ่อหรือจดจ้องแก่กล้าเกินไป ให้ผ่อนคลายสติระลึกรู้นั้นลง ปรับให้พอดีๆ ระลึกรู้อย่างเบาๆ อันเป็นเรื่องของจริตแต่ละบุคคลที่ต้องหาให้พบ การจดจ่อหรือจดจ้องระลึกรู้(สติ)อย่างแรงกล้ามากเกินไปก็ใช้พลังงานมากและก่อให้เครียดและล้า อาการนี้มักเกิดกับการปฏิบัติในรูปแบบเช่นนั่งในรูปแบบสมาธิและหลับตาอันทําให้เกิดการจดจ้องหรือตั้งใจเกินพอดี ไปจดจ่ออยู่ที่สิ่งๆเดียวอย่างมุ่งมั่นหรือแน่วแน่จนเกินพอดีไป อาจใช้วิธีแก้ไขโดยลืมตาขึ้น หรือเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการเดิน หรือการนั่งอย่างสบายๆก็ได้


    ปฏิบัติดังนี้ให้ได้ต่อเนื่องยาวขึ้น นานขึ้น และเป็นประจําสมํ่าเสมอขึ้น สามารถกระทําได้ในทุกอิริยาบถ ยิ่งปฏิบัติในขณะดําเนินชีวิตประจําวันได้ยิ่งเป็นคุณอันประเสริฐ อันเมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้วผู้ปฏิบัติควรรู้ได้ด้วยตนเองว่าทุกข์นั้นลดน้อยลงไปไหม? มีความเข้าใจเกิดขึ้นไหม? เห็นการดับไปของทุกข์ไหมเมื่อขาดเหตุปัจจัยหรือเหตุเกิดต่างๆ อันเกิดขึ้นจากการถืออุเบกขา? ถ้าปฏิบัติแล้วทุกข์ไม่ลดลงให้หยุดการปฏิบัติ แล้วพิจารณาการปฏิบัติใหม่ให้ดีเช่นพิจารณาในธรรมให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น อย่าพยายามฝืนปฏิบัติต่อไป ค้นหาจุดบกพร่องหรือข้อสงสัยเสียก่อน.

    การปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่างไม่เคร่งเครียด อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดดังสังขารในวงจรปฏิจสมุปบาท หรือเป็นมหาสตินั่นเอง เพียงแต่สังขารนี้มิได้เกิดแต่อวิชชา แต่เกิดจากวิชชาโดยตรง อันเมื่อเป็นสังขารแล้วการปฏิบัติจะเป็นไปเองตามความเคยชินที่ได้สั่งสมอบรมไว้อันเป็นสภาวะธรรมของชีวิตอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง โดยมีกําลังของสัมมาญาณและสติเป็นกําลังแห่งจิต เพราะการดับทุกข์นั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสอยู่เนืองๆว่า ธรรมของพระองค์เป็นเรื่องสวนทวนกระแส, ซึ่งก็เป็นจริงตามพระพุทธดํารัสนั้น เพราะเป็นการทวนสวนกระแสของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ดึงดูดมวลหมู่สัตว์เข้าสู่กองทุกข์โดยธรรมชาติดุจดั่งนํ้าที่ย่อมไหลลงสู่ที่ตํ่ากว่า แต่ด้วยพระปรีชาญาณจึงได้อาศัยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั้นเอง มาปฏิบัติสวนทวนกระแสธรรมชาติฝ่ายก่อให้เกิดทุกข์จนสําเร็จได้ อุปมาดั่งเรือใบที่แล่นทวนสวนกระแสลมหรือกระแสนํ้าอันเชี่ยวกรากของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั้นได้ ก็ด้วยความเข้าใจในธรรมชาติของลมและใช้ธรรมชาติของลมนั้นเองเป็นเหตุปัจจัยเช่นกัน โดยอาศัยใบเรือที่ถูกต้องอันอุปมาได้ดั่งสังขารธรรมหรือธรรมะของพระพุทธองค์ ที่ทําให้สามารถใช้ธรรมชาติของลมนั้นเอง ทําให้เรือแล่นสวนทวนกระแสธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของลมหรือแม้กระแสนํ้าได้

    นอกจากปฏิบัติดังกล่าวแล้ว ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ด้วยเมื่อมีโอกาส
    สติหมั่นพิจารณากาย(กายานุปัสสนา) เช่น กายสักแต่ว่าเกิดแต่ธาตุ๔เป็น เหตุปัจจัย เพื่อให้เกิดนิพพิทาลดละอุปาทานในความเป็นตัวตนของตน และเพื่อความเข้าใจในความเป็นเหตุปัจจัยอันปรุงแต่ง อันล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ขณะหนึ่ง แล้วดับไป

    โยนิโสมนสิการ ให้เห็นสภาวะธรรมหรือปรมัตถสัจจะของการกระทบผัสสะ ดังเช่น การที่กายกระทบผัสสะกับสิ่งใด แล้วย้อนกลับมาโยนิโสมนสิการ จิตที่กระทบกับความคิด โดยเฉพาะความคิดนึกปรุงแต่ง

    สติหมั่นพิจารณาในธรรมคือธรรมะวิจยะหรือธรรมานุปัสสนา อันเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งยวดในอันยังให้เกิดมรรคองค์ที่๙ สัมมาญาณความรู้ความเข้าใจอันเป็นกําลังแห่งจิต และเพื่อใช้แก้ไขปัญหาข้อสงสัยต่างๆที่จักเกิดขึ้นในการปฏิบัติอันต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ธรรมที่ใช้ในการพิจารณาอาจเลือกตามจริตของผู้ปฏิบัติ, สําหรับผู้เขียนเองแนะนําปฏิจจสมุปบาทที่ลึกซึ้ง จึงก่อให้เกิดสัมมาญาณได้อย่างดีจึงให้คุณอนันต์สมดั่งพระพุทธพจน์ที่ตรัสว่า
    ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม

    edu-photo-197576089587.jpg
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,310
    ค่าพลัง:
    +17,480
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่สุรวุฒิ EI 2170 4379 6 TH

    พี่ศิระ EI 2170 4380 5 TH

    พี่เสฏฐณันฐ EI 2170 4381 9 TH

    พี่พรหมพล EI 2170 4382 2 TH

    พี่เมธาพันธ์ EI 2170 4383 6 TH

    พี่ณธพรหม EI 2170 4384 0 TH

    พี่พรเทพ EI 2170 4385 3 TH
     

แชร์หน้านี้

Loading...