การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 10 เมษายน 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <table class="news2006_topic" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="595"><tbody><tr><td height="10" width="585"><table class="news2006_topic" border="0" width="100%"><tbody><tr><td align="left" valign="bottom">เผย กทม. ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 42 ล้านตัน/ปี

    </td> <td align="right" width="100">
    </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td>[​IMG]</td> </tr> <tr> <td class="news2006_graylight" height="10">โดย ไทยรัฐ <script language="JavaScript" src="http://news.sanook.com/global_js/global_function.js"></script><!--START-->วัน อาทิตย์ ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 11:11 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="595"> <tbody><tr> <td height="10">
    </td> </tr> </tbody></table> <table class="news2006_black" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="595"><tbody><tr><td rowspan="4" width="10">
    </td> <td width="575">
    [​IMG]
    กรุงเทพทำให้โลกร้อน​

    วันนี้ (11 พ.ค.) นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์ วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า เนื่องจากการที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้มอบให้ศูนย์ฯ ทำรายงานการศึกษาภาวะโลกร้อนของกรุงเทพฯ โดยจำลองสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยในอนาคตภายใต้เงื่อนไขที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพิ่มปริมาณสูงขึ้น บ่งชี้ว่าประเทศไทยฝนจะตกมากทุกภาค อากาศเย็นจะสั้น อากาศร้อนจะยาว ทั้งจะทำให้ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงบ่อยครั้ง โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมอันเนื่องมาจากปริมาณฝนที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในเขตปากแม่น้ำจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบกับในอ่าวไทย ภายใต้อิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้นในอนาคตจะหนุนให้น้ำทะเลสูงขึ้น ยิ่งจะทำให้กรุงเทพฯซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความลาดชันต่ำ และระดับความสูงของพื้นที่ใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเล จึงอยู่ในภาวะเสี่ยงมาก



    นายอานนท์ กล่าวต่อว่า จากผลการศึกษาพบว่ากรุงเทพฯ มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วย เมื่อเทียบกับการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมหานครและเมืองใหญ่ที่สำคัญบางเมือง เนื่องจากกรุงเทพฯมีการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 42 ล้านตันต่อปี จากจำนวนประชากรอย่างเป็นทางการโดยประมาณ 6 ล้านคน คิดเป็นอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อประชากร 7.1 ตันต่อคนต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับมหานครนิวยอร์กที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์โดยประมาณ 58 ล้านตันต่อปี จากจำนวนประชากรอย่างเป็นทางการโดยประมาณ 8.2 ล้านคนคิดเป็นอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อประชากร 7.1 ตันต่อคนต่อปี



    "เนื่องจากคนกรุงเทพฯ ใช้การจราจรทางบกเป็นหลัก โดยเฉพาะระบบขนส่งทางถนนที่มีถนนสายสำคัญรวมกันเป็นระยะทางประมาณ 4,700 กิโลเมตร การใช้ยานพาหนะส่วนบุคคลมากถึงร้อยละ 53" ผอ.ศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์ วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาฯ กล่าว และว่านอกจากนี้ในปี 2549 กรุงเทพฯ ยังมีปริมาณขยะมูลฝอยประมาณ 8,300 ตันต่อวัน เกือบทั้งหมดจะส่งไปฝั่งกลบในที่ดินเอกชนจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นแหล่งกำเนิดของก๊าซมีเทนและน้ำเสีย</td></tr></tbody></table>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ทศวรรษหน้าจะหนาวขึ้นนะ...ไม่ใช่ร้อนขึ้น

    ความเปลี่ยนแปลงในการไหลเวียนของน้ำในมหาสมุทร ทำให้อุณหภูมิส่วนหนึ่งของโลกเย็นลง ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในจะถูกถูกระงับลงได้เนื่องจากการเปลี่ยนการไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทรตามธรรมชาติ แต่อุณหภูมิบนโลกจะร้อนมากขึ้นเมื่อคำนวณในระยะยาว

    นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศของเยอรมนีได้ทำนายและเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงการไหลของกระแสน้ำในอ่าวเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว ทำให้น้ำร้อนที่อยู่บริเวณผิวน้ำของมหาสมุทรแอตแลนติกในบริเวณโซนอบอุ่นจะไหลย้อนไปสู่ตอนเหนือ และน้ำเย็นจากแอตแลนติกเหนือจะไหลสวนทางกลับมาทางใต้

    การไหลของกระแสน้ำในอ่าวมีจะกำลังอ่อนตัวลงในทศวรรษหน้า ทำให้เส้นทางการเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต จากปรากฏการณ์นี้อาจจะทำให้อุณหภูมิเย็นลงในแถบแอตแลนติก อเมริกา และยุโรปตอนเหนือ และช่วยให้อุณหภูมิในเขตอบอุ่นคงที่

    ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์จาก UN Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) ได้แถลงว่าในปี 2100 อุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.1-6.4 oC เมื่อเปรียบเทียบจากช่วงทศวรรษที่ 1980-99

    ในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า ภูมิอากาศของโลกจะร้อนขึ้นประมาณ 0.2 oCทุกๆ ทศวรรษ สาเหตุหลักๆคือมหาสมุทรที่เป็นแหล่งกักเก็บความร้อนที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงระบบไหลเวียนตามธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว

    ซึ่งการที่อากาศจะเย็นลง ทำให้ลดภาวะโลกร้อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ลงไม่ให้รุนแรงมากเหมือนที่คาดไว้ นอกจากผลกระทบด้านอุณหภูมิแล้ว การไหลกลับทิศของกระแสน้ำยังส่งผลต่อความเค็มของทะเลด้วย โดยความเค็มของกระแสน้ำที่ไหลไปสู่แอตแลนติกเหนือ จะถูกกระทบโดยน้ำแข็งที่ละลายออกมาจากธารน้ำแข็งใน Greenland และ Siberia

    ที่มา : http://www.abc.net.au/science/articles/2008/05/01/2232561.htm?site=science&topic=latest
    [​IMG]
     
  3. mook_me

    mook_me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +241
    - -*
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ชีวิตคนเมืองจีนในเหมันต์ที่หนาวเหน็บที่สุดในรอบ 100 ปี จีน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>29 กุมภาพันธ์ 2551 20:14 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>คนเมืองจีนปะทะเหมันต์ฤดูที่หนาวเหน็บที่สุดในรอบ 100 ปี กลุ่มมณฑลที่ไม่เคยเกิดหิมะตก กลับต้องพายุหิมะอย่างสาหัสสากรรจ์ ภัยธรรมชาติครั้งนี้ ส่งผลต่อประเทศจีนอย่างถ้วนทั่วทุกด้าน ไม่ว่าต่อชีวิตของปัจเจกชน ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และภาคเศรษฐกิจแต่ละภาค

    ประชาชนกว่า 100 ล้านคน ได้รับความเดือดร้อนกันไปต่างๆนานา พายุน้ำแข็งเด็ดชีพผู้คนอย่างน้อย 129 คน บ้านเรือนพังยับเสียหายราว 485,000 หลัง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น 151,700 ล้านหยวน ผลพวงจากพายุหิมะยังสะเทือนถึงเศรษฐกิจในไตรมาสแรก คาดจีดีพีจะตกลงไปร้อยละ 0.5 ภาคส่งออก ภาคการผลิต ตกลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี การท่องเที่ยวสูญอย่างหนัก 6,970 ล้านหยวน ภาวะข้าวยากหมากแพงยังซ้ำเติมราคาสินค้าที่กำลังสูงขึ้น และดันเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นปัญหาหนักอกที่สุดของผู้นำจีนอยู่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

    พายุหิมะปิดถนนหนทาง ทำลายแหล่งป้อนพลังงานต่างๆ ทำให้คนทำงานและแรงงานในต่างถิ่น ที่กำลังกลับบ้านไปฉลองตรุษจีนกับครอบครัวนับล้านๆต้องติดอยู่ตามสถานีรถไฟ ขนส่งมวลชน จนเกิดความวุ่นวายโกลาหลในการแย่งชิงกันขึ้นรถ ถึงขึ้นเหยียบกันบาดเจ็บ และเสียชีวิตไป 1 คน ที่สถานีรถไฟกว่างตง นับเป็นผลกระทบความวุ่นวายทางสังคมที่น่ากลัวที่สุด

    สำหรับมณฑลและเขต รวม 18 แห่ง ที่ได้รับผลกระทบจากพายุหิมะ ดังนี้ พื้นที่ได้รับความเสียหายรุนแรงได้แก่ กว่างซี, กุ้ยโจว, หูหนัน, หูเป่ย, เจียงซี, อันฮุย ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทั่วไป ได้แก่ กว่างตง, หยุยหนัน, เสฉวน, ฉงชิ่ง, เจ้อเจียง, เซี่ยงไฮ้, เจียงซู, เหอหนัน, ส่านซี, ชิงไห่, กันซู่, ซินเจียง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    "อีก 10 ปี กทม.จะเป็นเมืองใต้บาดาล" หากอุณหภูมิสูงขึ้น 2-6 องศา <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr bgcolor="#cccccc"><td valign="center"> </td></tr> <tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"> นับตั้งแต่พิบัติภัยสึนามิถาโถมเข้าใส่ชายฝั่งสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินมหาศาล คนทั่วโลกเริ่มหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ ตามติดมาด้วยพายุไซโคลนนาร์กีสถล่มประเทศพม่าและเหตุแผ่นดินไหวในประเทศจีน

    หลายประเทศทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงภัยธรรมชาติที่อาจจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ในชั่วข้ามคืน

    หากไม่มีมาตรการรับมือดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการด้านการเตือนภัย แล้วประเทศไทย โอกาสที่จะเผชิญกับมหันตภัยทางธรรมชาตินี้มีมากน้อยแค่ไหน ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จะเป็นผู้ให้คำตอบ
    ตอนนี้มวลมนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่กับอะไร 4 ปีที่ผ่านมา หลายประเทศได้รับความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งพายุและแผ่นดินไหว

    ขณะนี้โลกเรากำลังเผชิญกับภัยธรรมชาติที่มีความผิดปกติจนเห็นได้ชัด

    ทั้งเรื่องความรุนแรง ที่มีผลกระทบต่อทรัพย์สินและผู้คนจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีให้เห็นเรื่องของการเกิดภัยพิบัติถี่ขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่ระบุว่า
    สาเหตุของการเกิดภัยธรรมชาติที่ผิดปกตินี้มีผลกระทบมาจากสภาวะโลกร้อน อย่างเช่นภัยธรรมชาติที่เห็นได้ชัดคือพายุนาร์กีสที่ประเทศพม่า ที่ก่อตัวในมหาสมุทรที่มีอุณหภูมิสูงพอ แต่สำหรับการเกิดแผ่นดินไหวนั้น ทางวิชาการถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ

    ประเทศไทยมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติในรูปแบบของพายุมากน้อยแค่ไหน

    บอกได้เลยว่าประเทศไทยมีอัตราเสี่ยงภัยพายุแน่นอนและมีทุกปี ขึ้นอยู่กับว่าปีไหนมีน้อย ปีไหนมีมาก แต่สำหรับปีนี้มีอัตราเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน และตุลาคม จะมีมรสุมที่ก่อตัวมาจากมหาสมุทรแปรซิฟิกเข้ามาทางอ่าวไทย และมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนบน ภาคกลางจนถึงภาคเหนือ ซึ่งผลกระทบจะเกิดกับชุมชนใหญ่ๆ เมืองใหญ่ๆ ของประเทศแน่นอน ขณะนี้เราก็ยังไม่สามารถคำนวณได้ว่า ความรุนแรงจะมากน้อยแค่ไหน จะเท่าพายุนาร์กีสหรือไม่ อาจน้อยหรือมากกว่า เพราะเราต้องรอให้พายุที่จะเกิดขึ้นนั้นก่อตัว เคลื่อนตัว ขึ้นมาก่อน เราถึงจะคำนวณได้จากทิศทาง เส้นผ่าศูนย์กลาง และแรงลม หากตรวจจับได้ว่ามีการก่อตัวของพายุกลางทะเล เราจะสามารถคาดคะเนได้ก่อน 3-5 วัน แต่หากให้คาดการณ์ได้ว่าพายุลูกต่อไปจะเกิดความรุนแรงมากเท่าไร อันตรายแค่ไหน ไม่มีหลักวิทยาศาสตร์ไหนตอบได้ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวไหม
    อย่างที่บอกการเกิดแผ่นดินไหวนั้นเป็นภัยธรรมชาติดั้งเดิม ซึ่งโลกประสบมาหลายร้อยล้านปี

    การเกิดแผ่นดินไหวมีสาเหตุมาจากการปลดปล่อยพลังงาน ระบายพลังงาน จากใจกลางใต้ผิวโลกมาสู่พื้นผิวโลก อันนี้ปกติ ซึ่งพลังงานใต้เปลือกโลกยังมีอีกมหาศาล สำหรับประเทศไทยนั้นโชคดี เราไม่มีพื้นที่อยู่บนหรือใกล้รอยแยกของเปลือกโลกเหมือนประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และอินโดนีเซีย
    พื้นที่เสี่ยงของไทยต่อการเกิดแผ่นดินไหวอยู่ที่ไหน ประเทศไทยของเราอยู่ใกล้กับรอยเลื่อนของเปลือกโลก มี 13 จุดทั่วประเทศที่เราเฝ้าระวัง ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ไล่ลงมาทางกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ไปถึงจนภาคใต้ ซึ่งประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากการเกิดแผ่นดินยุบตัว แผ่นดินถล่ม ก็ต่อเมื่อเกิดการปลดปล่อยพลังงานผ่านรอยเลื่อนดังกล่าวรอยหนึ่งรอยใดก็จะได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ซึ่งเราไม่รู้อีกว่ามันจะรุนแรงแค่ไหน


    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"> ปัญหาที่จะเกิดขึ้นหากเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในประเทศไทยคืออะไร
    ที่ผ่านมาเราไม่เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของอาคารสูงว่า สามารถทนทานต่อการสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหวได้มากน้อยแค่ไหน เพราะอาคารหลายแห่ง
    เอาแค่ใน กทม.มีการสร้างมานานแล้ว ตรงนี้วิศวกรหลายคนพูดเหมือนกันว่า หากเกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงขนาดกลาง เพียงแค่ 7-8 ริกเตอร์ ก็จะมีตึกหลายตึกทรุดตัวลงมา เพราะทนแรงสั่นสะเทือนไม่ได้ เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพียงแต่ภาวนาว่าอย่าเกิดการปล่อยพลังงานที่บริเวณรอยเลื่อนในไทยเลย ไม่เช่นนั้นก็คงเห็นภาพตึกหลายตึกพังลงมา เพราะกฎหมายบ้านเราไม่เคยระบุข้อกำหนดเกี่ยวกับการรองรับเรื่องนี้ไว้เลย อันที่จริงแล้วเราต้องออกกฎหมายเหล่านี้มาป้องกันเหตุสุดวิสัยนี้ แต่ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้เลยต่างก็สร้างเอาราคาถูกเข้าว่า

    ประเทศไทยมีความพร้อมในการเฝ้าระวังภัยพิบัติทางธรรมชาติมากน้อยแค่ไหน

    เรื่องพายุหรือลมมรสุมเนี่ยผมแน่ใจว่า กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยมีความพร้อมในเรื่องอุปกรณ์ตัววัด การเฝ้าระวัง รวมไปถึงการเตือนภัยที่ดี ดีจนแทบจะบอกได้ว่าเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคนี้เลยทีเดียว แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าเราจะเอาข้อมูลที่กรุมอุตุฯ เตือนไปบอกชาวบ้านอย่างต่อเนื่องยังไงมากกว่า หากเขารับรู้ชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านก็คงจะปลอดภัย แต่เรื่องแผ่นดินไหวนั้นยอมรับว่าขณะนี้ก็คงพยายามติดตั้งระบบตรวจวัดคลื่นแผ่นดินไหว ซึ่งปัจจุบันเราก็มีแต่มันยังไม่สมบูรณ์เท่าไร แต่ก็อยู่ในมาตรฐานที่รับได้

    นอกจากภัยพิบัติทางธรรมชาติแล้ว ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนมีอะไรอีก


    จากที่มีการศึกษาและหากเป็นจริง อีกภายใน 50 ปีข้างหน้า โลกจะร้อนขึ้นอีกประมาณ 2-6 องศา ผลที่ตามมาคือระดับน้ำทะเลสูงขึ้นหลายฟุต เนื่องจากการละลายของน้ำแข็งลงสู่มหาสมุทร ก่อให้เกิดการพังทลายของแนวชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะเมื่อมีพายุรุนแรง การสูญเสียตามแนวชายฝั่งและแนวชายหาด ที่ลุ่มน้ำขัง และอุตสาหกรรมตามแนวชายฝั่ง น้ำเค็มจะแพร่เข้าสู่พื้นดิน ก่อปัญหาแก่น้ำบริโภค ระบบนิเวศตามแนวชายฝั่งทะเล และน้ำเค็มซึมสู่แหล่งน้ำจืดใต้ดิน เกิดพายุที่มีความรุนแรงมากขึ้นและบ่อยครั้ง แหล่งการเกษตรและการประมงจะเปลี่ยนแปลง เช่น ผลผลิตทางการเกษตรของประเทศแคนนาดา และสหภาพโซเวียตอาจเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลผลิตของสหรัฐอเมริกาลดลง
    มีการเลื่อนตัวของแนวร่องความกดอากาศต่ำ ทำให้ปริมาณฝนในบางพื้นที่ตลอดจนตำแหน่งพายุเปลี่ยนแปลง

    คลื่นความร้อนและความแห้งแล้งจะทวีความรุนแรงและบ่อยขึ้น การลดลงของก๊าซโอโซนในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ มีผลต่อเนื่องถึงสุขภาพของมนุษย์ขาดโภชนาการต่อเนื่อง ทำให้เกิดโรคต่างๆ และเกิดโรคพืชและโรคสัตว์
    ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรหากอุณหภูมิสูงขึ้น 2-6 องศา หลังจากนี้ไปน้ำทะเลจะสูงขึ้นทุกวัน อีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า กทม.จะกลายเป็นเมืองใต้บาดาลอย่างถาวร เรื่องนี้ผมพูดมานานมากแล้ว ทุกวันนี้ผมท้อ เพราะหลายครั้งที่ผ่านมา ผมและนักวิชาการคนอื่นพูด ผมวิเคราะห์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่เห็นจะมีผลอะไร แทนที่จะเอาไปตั้งคณะกรรมการศึกษา สิ่งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ หาแนวทางป้องกัน กลับนิ่งเฉยไม่ทำอะไร ผมต่อสู้มาหลายรัฐบาล แต่ไม่ได้รับความสนใจ หลายสิ่งหลายอย่างมีคนต่อต้านค้านไม่เห็นด้วย ทุกวันนี้ผมก็เลยไม่พูด ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมของประเทศ หากเกิดสภาวะแบบนั้นจริงๆ ซึ่งมันก็ช้าไปกับการที่จะหาวิธีป้องกันอย่างที่เราคำนวณไว้
    การพัฒนาศักยภาพและทิศทางในอนาคตของศูนย์เตือนภัยฯ

    เราพยายามที่จะพัฒนามาตลอด ตั้งแต่มีการจัดตั้งศูนย์ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าเลย ไม่ได้รับความสนใจจากผู้นำประเทศ ไม่ได้รับการพัฒนาในทิศทางที่ควรจะเป็น คือมีศักยภาพและมาตรฐานสากล เทียบเท่าที่เขาเจริญแล้ว เช่น สิ่งที่มองเห็นได้ชัดว่าเราด้อยกว่าเขาคือ เราไม่มีสถานภาพที่ชัดเจน องค์กรไม่มีการระบุชัดเจนว่าทำอะไร อยู่ในระดับไหน มีเจ้าหน้าที่เท่าไร อะไรต่างๆ ไม่มีความแน่ชัด จึงไม่มีผลงานที่จะออกไปต่อสาธารณชน ที่อยู่ได้มาถึงทุกวันนี้เป็นการประคับประคองเท่านั้น หากต้องการที่จะพัฒนาป้องกันอย่างจริงจัง ต้องทำในวันนี้ก่อนที่มันจะสายไป

    คนไทยควรปฏิบัติตัวอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้


    ก็คงต้องทำตัวปกติ อย่าวิตกกังวลมากไป ติดตามข่าวสารที่มีการเตือนออกมา ศึกษาวิธีการป้องกันไว้บ้าง อย่างเช่นหากเกิดแผ่นดินไหวควรจะทำตัวอย่างไร ซึ่งข้อมูลลักษณะนี้ก็มีการประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั่นคือตอนนี้เรารับรู้แล้วว่า สาเหตุที่ในระยะนี้ทั่วโลกเกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง เนื่องจากโลกได้รับผลกระทบจากปฏิกิริยาความร้อนของเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น
    หากอุณหภูมิในทะเลสูงขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงบ่อยครั้งขึ้น ดังนั้น จึงเป็นบทเรียนที่มนุษย์จะต้องหยุดทำลายสิ่งแวดล้อม ด้วยการปล่อยสารพิษสู่ชั้นบรรยากาศ

    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr><td><center>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
    [​IMG]</center></td></tr> </tbody></table>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center bgColor=#e2e2e2 border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>สร้าง 'ต้นไม้ยักษ์' กินก๊าซคาร์บอน แก้ปัญหาโลก ร้อนให้หายหมดไปได้ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>นักวิทยาศาสตร์เอกผู้ให้กำเนิดคำว่า
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ปรากฏการณ์เกาะร้อน (Urban Heat island) กับความสับสนของภาวะโลกร้อน

    สภาวะที่อากาศร้อนสูงขึ้นจนรู้สึกได้


    การรณรงค์หรือชักจูงให้ร่วมกิจกรรมอะไรสักหลายๆอย่างตอนนี้ โหนกระแสอยู่เพียงประเด็นของ
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ปัญหาที่ตามมา และทางแห่งการบรรเทา



    อิทธิพลของปรากฏการณ์เกาะร้อนนี้ จะสามารถแพร่ออกไปยังนอกเมืองได้ โดยจะไปได้ไกลขนาดไหน นั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยของกระแสลม และขนาดพื้นที่ของเกาะร้อนนั้นๆว่ากว้างใหญ่เพียงใด บางเมืองใหญ่สามารถแพร่ออกไปได้มากถึง 30 กิโลเมตร อีกทั้งพบว่ายังส่งผลให้พื้นที่ใต้ลมของตัวเมืองในระยะ 25
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE height=45 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD><TD vAlign=bottom width=500 height=24><!-- Show Head -->ยูเอ็นร้องนานาชาติเลิกนิสัยก่อคาร์บอนวันสิ่งแวดล้อมโลก <!-- End Show Head --></TD><TD width=10> </TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD bgColor=#d7d4d2>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=10> </TD><TD height=20>โดยทีมข่าว INN News <!-- Show Date -->05 มิถุนายน 2551 11:33:12 น. [​IMG] <!-- End Show Date -->
    </TD><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=664 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD><TD width=644>
    [​IMG]
    </TD><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE height=300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width=20> </TD><TD width=584 bgColor=#dae4ea><TABLE height=300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=522 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD><TD width=500 bgColor=#d3d4d4>[​IMG]</TD><TD align=left width=10></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- ถึงนี่แล้ว--><TABLE height=300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=664 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD><TD width=1 bgColor=#d3d4d4>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>
    <!-- [​IMG] -->
    <!-- Show Detail -->
    สหประชาชาติเรียกร้องนานาชาติเลิกนิสัยการบริโภคทุกอย่างที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD height=5></TD></TR>



    <!-- Show Image -->
    [​IMG]


    <!-- End Show Image -->


    </TBODY></TABLE>

    นายบัน คี มูน เลขาธิการยูเอ็น กล่าวเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี ว่า ภาวะโลกร้อนกำลังจะกลายเป็นประเด็นที่เป็นนิยามของยุคนี้ และจะสร้างความเดือดร้อนให้ทุกคนทั่วโลก ไม่ว่ายากดีมีจน โลกเริ่มติดนิสัยก่อคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นนิสัยไม่ดีที่ควบคุมชีวิตมนุษย์ ทำให้เราปฏิเสธความจริงและมองไม่เห็นผลจากการกระทำของตนเอง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคล องค์กร ธุรกิจ หรือรัฐบาล สามารถลดการก่อคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายวิธี และต้องท่องจำสิ่งนี้ให้ขึ้นใจ คำกล่าวของนายบัน เป็นการย้ำคำขวัญของวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ว่า
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=headnews vAlign=top>6องศาเซลเซียสเปลี่ยนโลกทั้งโลก
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=4></TD></TR><TR><TD class=dessubmmenu1><CENTER>[​IMG]</CENTER>


    หากโลกร้อนขึ้น0.8 องศาเซลเซียส จะเป็นอย่างไร คำตอบปรากฏอยู่บนจอวีดิทัศน์ขนาดยักษ์ฉายให้เห็นภาพหมีขาวโดดเดี่ยวอยู่บนก้อนน้ำแข็งไฟไหม้ป่าอย่างรุนแรง ภูเขาน้ำแข็งทั่วโลกทลาย เกิดพายุเฮอริเคนพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ฯลฯ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>



    แล้วถ้าโลกร้อนขึ้นอีก1 องศาเซลเซียส ก่อนจะเพิ่มเป็น 2 องศาเซลเซียส และ 3 องศาเซลเซียส ภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล่านี้จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
    เมื่อเพิ่มขึ้น4-5 องศาเซลเซียส มหานครใหญ่ๆ ของโลก เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน เซี่ยงไฮ้ หรือแม้แต่ กรุงเทพฯ และอีกหลายๆ เมืองทั่วโลกจะกลายเป็นเมืองบาดาลในชั่วพริบตา คลื่นมหาชนผู้ประสบภัยทั่วโลกจะเคลื่อนย้ายถิ่นฐานครั้งมโหฬาร <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    พอเพิ่มถึง6 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์ไม่อาจคาดเดาได้อีกต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์และโลกใบนี้ !?!
    เหล่านี้คือปฐมบทจากสารคดี"Six Degrees Could Change the World" หรืออุณหภูมิ6 องศาเซลเซียส เปลี่ยนแปลงโลก นำเสนอแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิทั้ง 5 ทวีป จัดทำโดยเนชั่นแนล จีโอ กราฟฟิก โดยมีแรงบันดาลใจจากหนังสือ "Six Degrees" ซึ่ง "มาร์ค ไลนัส" นักข่าวและนักอนุรักษนิยมชาวอังกฤษค้นคว้าบทความทางวิชาการหลายหมื่นชิ้น เพื่อเผยให้เห็นความน่าสะพรึงกลัวของอุณหภูมิโลกที่จะเพิ่มขึ้น 6 องศาเซลเซียส ในอีก 100 ปีข้างหน้า
    "สภาวะโลกร้อนไม่ได้หมายถึงแค่การเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ของอุณหภูมิโลก แต่จริงๆ แล้วมันคือการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในโลก นั่นเป็นเหตุผลให้เราได้เห็นทั้งความแห้งแล้งและน้ำท่วมในสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่การเกิดน้ำท่วมและสภาวะแห้งแล้งในพื้นที่เดียวกันอย่างต่อเนื่อง" ไลนัส วิทยากรสารคดีชุดนี้ เปรยขึ้น <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    ถ้าให้ทุกคนลองจินตนาการถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไลนัส อาจช่วยไขภาพความเป็นจริงของภาวะโลกให้เข้าใจง่ายขึ้น เพราะใครเลยจะคิดว่าสารพิษที่ปล่อยออกมาจากท่อไอเสียรถคุณวันนี้ จะทำให้ธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยละลายในอีก 50 ปีข้างหน้าได้ !
    หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นอีก1 องศาเซลเซียส พื้นดินชั้นบางๆ เพียงไม่กี่เซนติเมตรที่ปกคลุมผืนทรายทางตะวันตกของอเมริกา จะแปรเปลี่ยนเป็นพายุฝุ่นที่มีความรุนแรง ซัดพาตะกอนดินปลิวหายไปในอากาศ หลงเหลือเพียงทะเลทรายอันแห้งแล้งในชั่วพริบตา
    ส่วนธารน้ำแข็งขนาดยักษ์ในกรีนแลนด์อายุ1.5 แสนปี ก็กำลังละลายลงสู่ทะเล โดยเฉพาะแผ่นน้ำแข็ง "จาคอบชวาน" ในกรีนแลนด์เป็นแผ่นน้ำแข็งที่เคลื่อนตัวเร็วที่สุดในโลก 40 เมตรต่อวัน หากอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะทำให้แผ่นน้ำแข็งละลาย เพียงแค่ 2 วันก็เท่ากับปริมาณน้ำที่ใช้ในเมืองนิวยอร์ก 1 ปี <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    ณ"สวิส แคมป์" ศูนย์วิจัยที่สร้างขึ้นกลางแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก เพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของ ดร.คอนราด สเตฟเฟนส์ ติดตั้งสถานีอากาศเต็มรูปแบบ 23 สถานี เพื่อวัดค่าสภาพอากาศทุก 15 นาที เพื่อป้อนข้อมูลแก่โมเดลภาวะโลกร้อนทั่วโลก นักวิจัยน้ำแข็งยังขุดสำรวจแผ่นน้ำแข็งในพื้นที่ต่างๆ และค้นพบลักษณะแปลกประหลาดและอันตรายที่สุดของแผ่นน้ำแข็ง
    แอ่งน้ำขนาดใหญ่ดั่งโอเอซีสกลางทะเลทรายแต่ที่นี่เป็นน้ำแข็งที่ละลายอยู่บนก้อนน้ำแข็งมหึมา และมีช่องทางให้น้ำไหลไปตามเส้นทางของมันทะลุทะลวงก้อนน้ำแข็งลึกไปยังแผ่นหินเบื้องล่าง จนเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "มูแลง" โดยน้ำแข็งที่ละลายแล้วจะทำหน้าที่หล่อเลี้ยงแผ่นน้ำแข็งขนาดมหึมานั้น เป็นสาเหตุทำให้แผ่นน้ำแข็งเคลื่อนตัวสู่มหาสมุทรเร็วขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเคลื่อนตัวเร็วเท่าไร โอกาสที่แผ่นน้ำแข็งจะละลายเร็วก็มีมากขึ้นเท่านั้น
    เมื่อเวลานั้นมาถึง"หายนะ" ก็จะมาเยือนโลก !!! <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    หากแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายจะเพิ่มระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นประมาณ 7 เมตร ซึ่งมากพอจะท่วม ลอนดอน นิวยอร์ก เซี่ยงไฮ้ กทม. และอีกหลายๆ เมือง หากอุณหภูมิเพิ่มเป็น 2 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเห็นพ้องต้องกันว่า มันเกินจะเยียวยาโลกแล้ว เพราะสมดุลธรรมชาติอันอ่อนไหว ตั้งแต่ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก จนจรดส่วนที่ลึกที่สูงของโลกมหาสมุทร จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
    "โอฟ เฮิก กัลต์เบิร์ก" นักชีววิทยาทางทะเลประจำมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เฝ้าติดตามความเปลี่ยนแปลงของปะการัง ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ถึง 2 ครั้ง ที่เกรทแบริเออร์รีฟ แหลมเคปยอร์ก รัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งเป็นแหล่งปะการังใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการเรียกขานว่า "สิ่งก่อสร้างที่มีชีวิต" กำลังตกอยู่ในอันตรายจากน้ำทะเลที่อุ่นเกิน30 องศาเซลเซียส ปะการังเริ่มพ่นสาหร่ายที่จำเป็นต่อการยังชีพออกมา แล้วมันก็ล้มตายลง ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตกว่าล้านสายพันธุ์ที่หากินตามแนวปะการังล้มตายดั่งโดมิโน
    สัญญาณแห่งความตายจากชายฝั่งทะเลยังแพร่ปกคลุมไปถึงก้นทะเลลึกในมหาสมุทร ซึ่งเปรียบเสมือนอ่างเก็บกักคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วเพียงไม่กี่มิลลิเมตร อย่าง โฟแรม และคอดโคลิโธฟอร์ ต้องใช้ประโยชน์จากคาร์บอนไดออกไซด์ในทะเล เพื่อสร้างเปลือกและโครงกระดูกของมัน แต่เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์มีมากเกินไป ก็ย้อนกลับมาทำลายชีวิตของมันเอง จากภาวะน้ำทะเลเป็นกรด ทำลายเปลือกและโครงกระดูก และไม่ว่าสัตว์ทะเลหน้าตาเป็นอย่างไร ตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ล้วนตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันหมด
    เมื่ออุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเป็น3 องศาเซลเซียส "อะเมซอน" ผืนป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์แห่งหนึ่งของโลก อาจจะกลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา เมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2548 อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1 องศาเซลเซียส อะเมซอนต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่งผลให้แม่น้ำอะเมซอนสายที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห้งขอดจนมองเห็นผืนดิน ต่อจากนั้นก็เกิดไฟป่าเผาผลาญผืนป่า ทำลายแหล่งกำเนิดน้ำเป็นวงกว้างถึง 2,500 ตารางกิโลเมตร
    "ภาวะโลกร้อนกำลังนำหายนะมาสู่ป่าไม้ในภูมิภาคนี้" แดเนียล เนปสแตด ผู้ศึกษาผืนป่าอะเมซอนมา 25 ปี ระบุ
    และเมื่ออุณหภูมิโลกขยับขึ้นมาอีก4 องศาเซลเซียส ยอดเขา "หิมาลัย" ที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดปีจะเหลือเพียงตำนาน แม่น้ำสายสำคัญที่เกิดจากเทือกเขาหิมาลัย โดยเฉพาะแม่น้ำคงคาจะถึงกาลอวสาน
    "ชวามี ซันดารานันต์" นักพรตวัย 80 ปี เคยบันทึกภาพธารน้ำแข็งต้นแม่น้ำเมื่อปี 2499 อีก 15 ปีต่อมาเขากลับไปเยือนธารน้ำแข็งอีกครั้งและพบกับความหวั่นวิตก
    "เมื่อ 50 ปีก่อนผมเดินเท้าขึ้นไปยังธารน้ำแข็งถึงฐานเมรูพีด พอกลับไปอีกครั้งธารน้ำแข็งก็หายไปหมดแล้ว เวลาที่ผมเห็นธารน้ำแข็งละลายไป ผมรู้สึกกังวลใจมาก แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา" ชวามี บอกความในใจ ขณะที่ภาพภ่ายดาวเทียมขององค์การนาซาก็ยืนยันถึงความสูญเสียลักษณะเดียวกัน
    หากยังเป็นเช่นนี้เรื่อยๆอีก 100 ปีข้างหน้า การเกษตร การผลิตไฟฟ้าจากน้ำ การคมนาคม การทำเหมืองแร่ และสัตว์ป่าริมสองฝั่งแม่น้ำคงคาจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยลำดับแรกจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ก่อน แต่หลังจากนั้นจะเกิดการขาดแคลนน้ำอย่างหนักตลอดทั้งปี
    เมื่อโลกเดินทางถึงจุดเดือดที่อุณหภูมิสูงขึ้นอีก5-6 องศาเซลเซียส ไลนัส เชื่อว่า มนุษย์ไม่สามารถทนความเปลี่ยนแปลงอันโหดร้ายเช่นนี้ได้ เขา บอกว่า ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อภาพแห่งฝันร้ายของทุกชีวิตบนโลกใบนี้ หากโลกร้อนขึ้นอีก 6 องศาเซลเซียส จริง มหาสมุทรจะกลายเป็นสีฟ้าสดใส ภัยธรรมชาติจะเป็นเรื่องธรรมดา และทะเลทรายจะแผ่ปกคลุมทวีปต่างๆ ดั่งกองทัพที่มีชัยไปทั่วทุกแคว้น ชีวิตของเราก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
    ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกพยายามหาหนทางหยุดโลกร้อนไว้ที่2 องศาเซลเซียส พวกเราทุกคนก็สามารถช่วยลดโลกร้อนได้ ก่อนที่มันจะสายเกินเยียวยา ร่วมหาคำตอบได้ใน "Six Degrees Could Change the World" ทางเนชั่นแนล จีโอ กราฟฟิก แชนแนล ทรูวิชั่นส์ ตลอดเดือนมีนาคมนี้



    ลำดับหายนะ

    -- 1 ํ --
    - มหาสมุทรอาร์กติกจะปราศจากน้ำแข็งเป็นเวลา 6 เดือน ปิดเส้นทางเดินเรือ "นอร์ทเวสต์ พาสสาจ" เส้นทางเชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชีย ซึ่งเคยสร้างตำนานแห่งการผจญภัยให้นักบุกเบิกเผชิญหน้ากับความตาย ขณะพยายามแล่นเรือฝ่าแผ่นน้ำแข็ง และสภาพอากาศเลวร้ายอันแสนหนาวเหน็บมานักต่อนัก
    - กระแสน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้หลายพันครัวเรือนบริเวณอ่าวเบงกอลจมหายอยู่ใต้น้ำ
    - พายุเฮอริเคนอาจเข้าโจมตีมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้
    - เกิดความแห้งแล้งอย่างรุนแรงทางภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ตลาดขาดแคลนข้าวและเนื้อสัตว์
    - พื้นที่ด้านฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา จะแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทราย
    - วิถีเกษตรกรรมในประเทศอังกฤษจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ไร่องุ่นกว่า 400 แห่ง แหล่งผลิตไวน์รสเลิศจะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น

    -- 2 ํ --
    - ธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์ค่อยๆ ละลายหายไป "จาคอบชวาน" ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดของกรีนแลนด์ กลายเป็นธารน้ำแข็งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดในโลก
    - เมื่อน้ำแข็งในทะเลลดน้อยลง หมีขั้วโลกเหนือจะตกอยู่ในสภาวะอันตรายและถึงขั้นเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
    - แมลงอาจอพยพไปพื้นที่ใหม่ๆ เช่น ด้วงสนอาจทำลายป่าไม้ทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา
    - ขั้วโลกเหนือของประเทศแคนาดา บริเวณพื้นราบจะมีป่าไม้จากเดิมที่ไม่เคยมีมาก่อน
    - ประเทศตูวาลูในหมู่เกาะแปซิฟิก อาจจมอยู่ใต้น้ำ เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
    - ระบบนิเวศทางทะเลจะเกิดผลกระทบรุนแรง ทำให้ปะการังเขตร้อนตายหมดสิ้น

    -- 3 ํ--
    - ป่าอะเมซอนจะแห้งเหือดและเกิดไฟป่าซ้ำซาก ทำให้ผืนป่าอะเมซอนเสียหายเป็นบริเวณกว้าง ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ตัวการโลกร้อนหลายร้อยตันสู่ชั้นบรรยากาศโลก
    - ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอลป์ละลายจนหมดสิ้น
    - ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในฝั่งทวีปยุโรปจะแห้งเหือดในฤดูร้อน
    - ปรากฏการณ์เอลนีโญ่จะทวีความรุนแรง เกิดสภาวะอากาศวิปริตแปรปรวน
    - พายุเฮอริเคนจะทวีความรุนแรงเป็นระดับ 6 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้
    - เมื่อโลกร้อนขึ้นอีก 3 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องต้องกันว่า จะเกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์

    -- 4 ํ --
    - แผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรแอนตาร์กติกตะวันตก อาจละลายและจมหายไปในทะเล ส่งผลให้ระดับน้ำในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้น เกิดปัญหาน้ำท่วมรุนแรงบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ทำให้ประเทศต่างๆ ได้รับความเสียหาย เช่น บังกลาเทศ และอียิปต์ ส่วนเมืองเวนิสทั้งเมืองอาจจมอยู่ใต้บาดาล
    - แม่น้ำคงคาสายน้ำแห่งชีวิตของคนกว่าพันล้านคนในประเทศจีน เนปาล และอินเดีย จะเอ่อล้นท่วมครั้งยิ่งใหญ่ และจากผลพวงการละลายของธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัย ที่คาดว่าจะละลายหมดในปี 2578 จะเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำ อาหาร และที่อยู่อาศัยตามมา
    - ประเทศแคนาดาทางตอนเหนือจะกลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

    -- 5 ํ --
    - แผ่นดินที่ไม่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ทางตอนเหนือและใต้ของโลก จะกลายเป็นเขตอบอุ่น และกลายเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในอนาคต
    - มหานครของโลก เช่น ลอสแองเจลิส กรุงไคโร ลิมา และบอมเบย์ ที่เคยปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งบางช่วงเวลาจะไม่มีหิมะตกอีกต่อไป
    - ผู้คนหลายสิบล้านคนจะกลายเป็นผู้อพยพลี้ภัย อันเนื่องมาจากสภาพอากาศและความขัดแย้ง อันเกิดจากการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ

    -- 6 ํ --
    - โลกของเราจะมีสภาพคล้ายคลึงกับยุคครีเตเซียส ซึ่งโลกมีอุณหภูมิสูงมาก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 65-144 ล้านปีก่อน
    - น้ำทะเลมีสีฟ้าใส เพราะไม่หลงเหลือวงจรห่วงโซ่อาหาร และสารอาหารในทะเลอีกแล้ว
    - ทะเลทรายจะเข้ายึดครองพื้นที่ในทวีปต่างๆ ทั่วโลก
    - ภัยพิบัติทางธรรมชาติกลายเป็นเรื่องปกติ เมืองใหญ่ๆ เกิดภาวะอุทกภัยจนผู้คนต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน

    เมื่อเวลานั้นมาถึง...มนุษย์โลกจะเผชิญชะตากรรมอย่างไร!!

    ทีมข่าวรายงานพิเศษ: เรื่อง


    เนชั่นแนลจีโอ กราฟฟิก : ภาพ

    http://www.komchadluek.net/2008/06/2...news_id=194129
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <table width="100%" border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="headline" valign="baseline" align="left">"แมงกะพรุน" ทั่วโลกเพิ่มไม่หยุดหวั่นทะเลเสียสมดุล</td> <td valign="baseline" width="85" align="right">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" valign="baseline" align="left">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="baseline" align="left">25 มิถุนายน 2551 12:39 น.</td> </tr> </tbody></table> <table width="100%" border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="middle" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">แมงกระพรุน แหวกว่ายอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ใกล้กับชายฝั่งเมืองเคแมร์ ประเทศตุรกี ซึ่งถูกบันทึกภาพไว้ได้เมื่อเดือน มิ.ย. 2547 (ภาพจาก AFP PHOTO / TARIK TINAZAY)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> นักสมุทรศาสตร์เผย สถิติแมงกะพรุนทั่วโลกกำลังแพร่พันธุ์เต็มมหาสมุทรอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลด จำนวนลงได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ขณะที่ปลาทะเลและสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ กลับลดลงอย่างน่าใจหายเพราะน้ำมือของมนุษย์

    "เมื่อสัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา ลดจำนวนลง สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นมาแทนที โดยเฉพาะแมงกะพรุน" คำพูดของริคาร์โด อากิลาร์ (Ricardo Aguilar) ผู้อำนวยการของโอเชียนา (Oceana) องค์กรสากลด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งท้องทะเล ซึ่งรายงานจากสำนักข่าวเอเอฟพีระบุอีกว่าในขณะนี้ท้องทะเลทั่วโลกกำลังประสบ กับปัญหาแมงกะพรุนแพร่กระจายเป็นจำนวนมาก และในบางท้องที่ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">เจ้าหน้าที่นักดำน้ำ กำลังติดเซนเซอร์ไว้กับแมงกะพรุนตัวเขื่องที่อยู่บริเวณใกล้กับชายฝั่งเมือง โคมะทสึ (Komatsu) ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นเมื่อเดือน ต.ค. 2549 (ภาพจาก AFP PHOTO/YOMIURI SHIMBUN)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ข้อมูลจากนักสมุทรศาสตร์ระบุว่าโดยปกติแมง กะพรุนจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในทุกๆ 12 ปี และจะมีปริมาณมากคงที่อย่างนั้นต่อไปราว 4-6 ปี ก่อนจะค่อยลดลงอีกครั้ง เป็นวัฏจักรเช่นนี้มานานร่วม 2 ศตวรรษ ทว่าในปี 2551 นี้นับเป็นปีที่ 8 แล้วที่ฝูงแมงกะพรุนในทะเลต่างพากันเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่าง ขาดการควบคุม จนมีปริมาณมากและกลายเป็นปัญหาในหลายๆ ท้องที่ เช่น ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

    ที่มากกว่าปัญหาคือมันกลับกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าสิ่งแวดล้อมในทะเลกำลังย่ำแย่ลงทุกขณะ ระบบนิเวศน์กำลังเข้าสู่ภาวะเสียสมดุล

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">แมงกะพรุนตัวอ้วนที่อยู่ใกล้กับชายฝั่งทะเลประเทศอิสราเอลถูกบันทึกภาพไว้ได้เมื่อเดือน เม.ย. 2550 (ภาพจาก AFP PHOTO/HO/B. GALIL)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> สาเหตุที่ทำให้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอย่างแมงกระพรุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเอเอฟพีรายงานว่าเป็นเพราะการลดจำนวนลงของปลาและสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆ จากการถูกล่าและการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลโดยมนุษย์เรานั่นเอง โดยเฉพาะพวกทูนา, ฉลาม และ เต่าอีกหลายชนิด ซึ่งหากสัตว์เหล่านี้ลดน้อยลง นั่นหมายถึงศัตรูที่จะมาคอยแย่งอาหารกับแมงกะพรุนก็ลดลงด้วย ทำให้แมงกะพรุนมีแหล่งอาหารอันโอชะมากมาย ทั้งแพลงก์ตอนและปลาขนาดเล็ก

    แอนดรูว์ ไบรเออร์เลย์ (Andrew Brierley) นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ส (University of St Andrews) ในสกอตแลนด์ อธิบายว่า เมื่อ แมงกะพรุนเพิ่มมากขึ้นก็จะไปแย่งอาหารกับปลาอื่นๆ อีก และมันก็เป็นยังเป็นศัตรูผู้ล่าปลาเหล่านั้นไปด้วย ขณะเดียวกันสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำทะเล สูงขึ้น ก็ปัจจัยส่งเสริมให้แมงกะพรุนขยายพันธุ์ได้ดียิ่งขึ้นด้วย ก็ยิ่งทำให้แมงกะพรุนครองอาณาเขตในมหาสมุทรได้ไม่ยาก

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" width="600" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">ภาพเมื่อเดือน ก.พ. 2550 ขณะที่นักท่องเที่ยวกำลังชมแมงกะพรุนแหวกว่ายไปมาอยู่ในอควาเรียมแห่งหนึ่ง ของฮ่องกง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าญาติของเจ้าแมงกะพรุนเหล่านี้กำลังขยายอาณาเขตครอบ ครองน่านน้ำในมหาสมุทรทั่วโลก (ภาพจาก AFP PHOTO/Antony DICKSON)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> </td></tr></tbody></table>
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <table width="661" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="middle" height="40">25 มิถุนายน 2551 10:57:35

    http://www.innnews.co.th/Qualityoflife.php?nid=118134

    </td> </tr> <tr> <td bgcolor="#999999" height="1">
    </td> </tr> <tr> <td height="25"> </td> </tr> <tr> <td class="textHeadBlue">MIT เผย คนจนกว่าครึ่งใน 17 เมืองทั่วโลก เดือดร้อนหนักจากภาวะโลกร้อน </td> </tr> <tr> <td height="25"> </td> </tr> <tr> <td><table width="664" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="300"> <tbody><tr> <td width="1">
    </td> <td valign="top" width="660">
    <!-- [​IMG] -->
    <!-- Show Detail -->
    สถาบัน MIT เผย คนจนกว่าครึ่งใน 17 เมืองทั่วโลก ได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน


    <!-- Show Image -->
    [​IMG]


    <!-- End Show Image -->

    <table width="100%" align="center" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td height="5">
    </td> </tr> </tbody></table>



    นาย วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาเมือง ประชุมเชิงปฏิบัติการอนาคตและคุณภาพชีวิตคนเมือง โดยระบุว่าการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเมืองเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาสภาวะ โลกร้อนอย่างจริงจัง เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างกรุงเทพฯ สถาบัน MIT และเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก ในการแลกเปลี่ยนความรู้

    ด้าน ผู้เชี่ยวชาญสถาบัน MIT กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้คือ ภาวะน้ำทะเลหนุนสูง จากภาวะปัญหาโลกร้อน ส่งผลให้ 17 เมืองทั่วโลก ได้รับผลกระทบแล้ว ซึ่งครึ่งหนึ่งของประชากรในเมืองดังกล่าวเป็นคนจน ดังนั้นการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน จึงต้องมีการบริหารจัดการที่ดี เพื่อลดผลกระทบให้น้อยที่สุด

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    “UNEP” เผยโลกร้อนจะเกิดพิบัติสารพัดโรคร้าย แนะพัฒนาขสมก.-รีไซเคิลน้ำใช้ <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" valign="baseline" align="left">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="baseline" align="left">26 มิถุนายน 2551 15:21 น.</td> </tr> </tbody></table> <table width="100%" border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="middle" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table width="330" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" width="330" align="center"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> <td width="5">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ผู้แทนจาก UNEP ชี้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และสารพัดโรคร้าย ชี้ควรเร่งเพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งมวลชน ดึงภาคเอกชนผลิตสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ ขณะที่อาจารย์จากสิงคโปร์ ระบุควรนำสาหร่ายมาผลิตเป็นพลังงานทางเลือก แนะ กทม.ทำระบบท่อน้ำทิ้ง 2 ท่อเพื่อนำน้ำอาบมารีไซเคิลใช้อีกรอบ ส่วนผู้นำเมืองจากญี่ปุ่นใช้การให้รางวัลสร้างแรงจูงใจลดก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ในครัวเรือน

    วันนี้ (26 มิ.ย.) นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานเปิดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนและสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง “ASEAN+6 City Forum on Climate Change Bangkok 2008” ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี โดยมีผู้นำเมือง ประกอบด้วย ในภูมิภาคเอเซียน อาทิ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ จีน ลาว กัมพูชา มาเลเซีย ญี่ปุ่น (ฟูกูโอกะ) อินโดนีเซีย อินเดีย พร้อมด้วยองค์การ UNEP, UNDP, UNESCAP , Holcim Foundation รวมถึงผู้แทนที่รับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เข้าร่วมฟังการประชุม

    นายอภิรักษ์ กล่าวว่า การประชุมสุดยอดผู้นำเมืองด้านสิ่งแวดล้อมในครั้งนี้จะเป็นการสร้างเครือ ข่ายความร่วมมือและหาแนวทางในการลดภาวะโลกร้อนระดับภูมิภาค เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการดำเนินงาน ซึ่งจะผลักดันให้เกิดความร่วมมืออย่างจริงจังและยั่งยืนในการจัดการกับผล กระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศในระดับอาเซียน อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความร่วมมือของประเทศในกลุ่มอาเซียนถึงความ ตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนร่วมกัน และเป็นแนวทางในการนำกรุงเทพมหานครไปสู่เมืองหลวงด้านสิ่งแวดล้อมในระดับ สากลต่อไป

    นายอภิรักษ์ กล่าวว่า กทม.ได้ทำงานหนักเพื่อหาแนวร่วมในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนมาเป็นเวลา 14 เดือน โดยจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อดึงความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน องค์กรต่างๆ เพื่อช่วยกันลดปัญหาภาวะโลกร้อน ถึงวันนี้เป็นที่น่าพอใจที่ได้เห็นชาวกรุงเทพฯ มีความตื่นตัวกันมากขึ้น หลายคนหันมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก หลายคนเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประหยัดไฟฟ้า และแยกขยะ อย่างไรก็ดี สิ่งที่กรุงเทพมหานครกำลังทำต่อไป คือ การส่งเสริมให้ประชาชนลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล หันมาใช้รถสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์ด่วนพิเศษ หรือใช้รถจักรยาน ลดการเดินทางโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร รวมทั้งใช้พลังงานทดแทนอื่นๆ เช่นเดียวกับประเทศอื่นที่ประสบความสำเร็จมีพลังงานทางเลือกที่ราคาถูก เนื่องจากมีคนใช้จำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยจะต้องมีการผลักดันต่อไปในระดับรัฐบาล ส่วนที่กทม.กำลังเร่งดำเนินการ คือ โครงการจักรยานชุมชน โดยจะร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ในการกำหนดเส้นทางจักรยานเมืองนำร่องในย่านธุรกิจ สีลม-สาทร ให้เป็นเส้นทางที่ปลอดภัย มีจุดจอดให้สามารถต่อรถไฟฟ้า หรือรถเมล์ด่วนบีอาร์ทีได้สะดวก และสำรวจพื้นที่ทั้ง 50 เขตเพื่อศึกษาย่านที่เหมาะสมทำโครงการจักรยานชุมชน

    นอกจากนี้ กทม.กำลังส่งเสริมให้เกิดการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม หรือ Green Generation เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสร้างอนาคตของประเทศ โดยมีสถาบันพัฒนาเมืองกรุงเทพมหานคร (Bangkok Urban Development) เป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อทั้งในระดับเมือง ภูมิภาค และระดับนานาประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการสัมมนาให้ถ่ายทอดด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและขยาย เครือข่ายความร่วมมือสร้างโลกเย็นกันผู้นำเทศบาลนครทั่วประเทศ

    นายฮิโรชิ นิชิมิยะ (Hiroshi Nishimiya) รองผู้อำนวยการส่วนภูมิภาค UNEP กล่าวว่า ประชากรกว่าครึ่งของโลกอาศัยอยู่ในเขตเมืองใหญ่ซึ่งคาดว่ามีประมาณ 5,000 ล้านคนและส่วนใหญ่จะมีฐานะยากจน และคนยากจนเหล่านี้จะประสบกับปัญหาเรื่องการไม่มีที่อยู่อาศัย ขาดแคลนน้ำสะอาดในการอุปโภคบริโภค และยิ่งเกิดวิกฤติการณ์พลังงานน้ำมันที่ราคาทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่ง หลายประเทศกำลังประสบปัญหานี้จึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ให้ดี และที่จะหลีกพ้นไปไม่ได้ผู้ที่จะเผชิญกับปัญหาเหล่านี้มากที่สุดก็คือคนยาก จนที่อาศัยอยู่ในเมือง และจากการที่มีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองอย่างหนาแน่นจึงเป็นสาเหตุการปเลี่ยน แปลงของสภาพภูมิอากาศจึงจำเป็นที่เราต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยตัวการสำคัญมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนครต่างๆ ซึ่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นถึง 70% ในปี 1970-2004 โดยมาจากตัวอาคารที่มีการใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก และระบบการขนส่ง

    นายฮิโรชิ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ นครหรือเมืองเป็นตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยช่วงนี้กว่า 80% มาจากการใช้พลังงานภายในอาคาร อย่างไรก็ตาม มีการทำนายว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจะทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมาชาติ สูญเสียความหลายหลายทางชีวภาค การเกิดโรคร้ายต่างๆ และเมืองที่อยู่ใกล้ทะเลจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเนื่องจากระดับน้ำทะเล เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น ในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนจุดสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการคือการเพิ่มระบบการ ขนส่งมวลชนใหเป็นเครือข่ายมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการดึงระบบการตลาดเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดการผลิตสินค้าที่เป็น มิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ควรมีการปรับเปลี่ยนภาคการก่อสร้างเพราะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก ส่วนภาคการขนส่งเอานำเทคโนโลยีที่สะอาดเข้ามาใช้ในรถ ยานพาหนะต่างๆ ตลอดจนมีการใช้พลังงานหมุนเวียน การใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นชื้อเพลิงทางเลือก รวมถึงควรมีการออกแบบอาคารโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

    รองผู้อำนวยการส่วนภูมิภาค UNEP กล่าวด้วยว่า ใน ส่วนของ กทม.ซึ่งประสบปัญหามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่วนใหญ่มาจากการใช้พลังงาน ไฟฟ้า ซึ่งทาง กทม.ได้มีการจัดทำแผนปฎิบัติการขึ้นมา รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ UNEP ได้ทำงานร่วมกับ กทม.ในการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งบ้านเรือน อาคารต่างๆเพื่อช่วยกันลดภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม เมืองเป็นส่วนสำคัญในการลดปัญหาภาวะโลกร้อนจึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้มี มาตรการ ให้มีการแข่งขันกัน รวมถึงดึงการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว

    ด้าน นายเทย์ เค็ง ซุน (Mr. Tay Kheng Soon) ผู้แทนจาก Holcim Foundation อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า ต้องมองว่าการพัฒนาเมืองกับชนบทเป็นพื้นที่เดียวกันไม่ได้แยกเป็น 2 ส่วน ในสิงคโปร์ระบบจราจรไม่ติดขัด และมีบ้านราคาถูกกว่าร้อยละ 90 แต่ที่แปลก คือ เราก็ไม่ได้มีการสำรวจการใช้พื้นที่ไปกับส่วนใดบ้าง ทำให้วางผังเมืองได้จากตัวเลขที่เราคาดการณ์เอาไว้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่มีทางเลือกมากนักเนื่องจากไม่มีการสำรวจข้อมูล การใช้พื้นที่

    สำหรับการใช้พลังงานนั้น พลังงานจากเครื่องปรับอากาศที่ประเทศสิงคโปร์ก็เป็นปัญหาอย่างมาก ซึ่งเป็นจำนวนกว่าร้อยละ 50 ของการใช้พลังงานทั้งหมด ดังนั้น ต้องออกแบบผังเมืองให้ดี ให้ลดการใช้พลังงานจากครื่องปรับอากาศให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้สิ่งที่แปลกใจมาก คือ ที่ผู้ว่าฯ กทม.บอกว่าประเทศไทยอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 2 องศาเซลเซียลเท่านั้น ขณะที่สิงคโปร์ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆและเราก็ใส่ใจกับเรื่องมลพิษมาก กลับมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียลซึ่งรวมถึงอุณหภูมิรอบๆ เมืองด้วยไม่ในตัวเมืองเพียงอย่างเดียว

    นอกจากนี้ เรื่องการใช้พลังงานทางเลือกนั้น เห็นด้วยกับนายบัน คีมุน อย่างยิ่งที่ไม่ควรเอาพืชอาหารมาผลิตพลังงานทางเลือก แต่ควรเอาพืชอย่างเช่น สาหร่ายมาผลิตเอลทานอล ไบโอดีเซล และเอากากไปผลิตอาหารสัตว์ได้ นอกจากนี้ในแต่ละชุมชนซึ่งเป็นชุมชนเล็กควรจะมีผลิตพลังงานของตัวเองด้วย

    ผู้ แทนจาก Holcim Foundation กล่าวด้วยว่า สิ่งที่อยากแนะนำกรุงเทพมหานครและเมืองในอาเซียนทุกๆ เมือง ก็คือ จะต้องมีการเปลี่ยนไปใช้ระบบท่อน้ำทิ้ง 2 ท่อ เพราะปัจจุบันท่อระบายน้ำจากครัวเรือนและสถานที่ราชการและร้านอาหารเป็นที่ เดียวรวมกัน ซึ่งจะทำให้เราไม่สามารถนำน้ำซึ่งเกิดจาการอาบน้ำเพียงอย่างเดียวกลับมาใช้ ได้อีก ดังนั้นต่อจากนี้ไปการออบแบบผังเมืองควรให้ความสำคัญกับการออกแบบระบบ 2 ท่อด้วย ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด จะต้องทุกอย่างที่ทำจะต้องควบคู่ไปกับการมีจริยธรรม เพราะความสุขเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่งเท่านั้นและจะคงที่ เพราะท้ายสุดแล้วการพัฒนาที่มากขึ้นทำให้ผู้คนหันเข้ามาในเมืองมากเท่าไหร่ สุดท้ายก็จะหันกลับไปหาความเป็นธรรมชาติมากเท่านั้น

    ขณะที่นายทาเคชิ ทาเคอิ รองผู้ว่าการจังหวัดฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึงนโยบายการลดปัญหาภาวะโลกร้อน ว่า จ.ฟูโอกะ มีประชากร 5 ล้านคน เป็นศูนย์กลางทางสังคม เศรษฐกิจของประเทศ ที่ผ่านมาเมื่องนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหมอก 7 สี มีปัญหามลพิษ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองที่มีอากาศดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น โดยในปี 2005เมืองฟูโอกะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง 60 ล้านตัน ซึ่งทางจังหวัดมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกลง 6% โดยในเดือนมีนาคม 2006 ได้ประกาศแผนป้องกันปัญหาโลกร้อน มีโครงการหลายโครงการ เช่น ภาคครัวเรือนได้จัดทำปฎิทินซึ่งมีข้อมูลเรื่องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า แต่ละชนิดมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ และหากลดการใช้ลงจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปริมาณเท่าใด หากครอบครัวใดลดได้มากจะได้รับการยกย่องจากรัฐบาล

    รองผู้ว่าฯ จังหวัดฟูกูโอกะ กล่าวต่อว่า ส่วนการกำจัดขยะ มีโครงการย่อยสลายขยะด้วยจุลชีพขนาดเล็ก ลดการปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่อันตรายกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 20 เท่า โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากมีหลายเมืองใหญ่ทั่วโลกเดินทางมาดูงาน ขณะที่การอนุรักษ์ป่า ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 ได้ทำการจัดเก็บภาษีรักษาป่า นำรายได้ไปปลูกป่า ตั้งเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่า 2,900 เฮกเตอร์ ในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า ส่วนโครงการการใช้พลังงานไฮโดรเจน มีมหาวิทยาลัยคิวชิว ศึกษาการนำไฮโดรเจนจากโรงงานเหล็กมาใช้ มีโครงการนำร่องติดตั้งเครื่องผลิตพลังงานในครัวเรือน 150 หลังคาเรือน โครงการใช้ไฮโดรเจนเป็นพลังงานสำหรับรถยนต์ โดยตั้งสถานนีเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ที่เมืองคิตะคิวชิว ห่างจากฟูโอกะ 70 กิโลเมตร นอกจากนี้มีการจัดเก็บภาษีขยะอุตสาหกรรม มุ่งส่งเสริมให้นำขยะกลับมาใช้ใหม่ได้ และนำภาษีที่ได้ไปจัดการประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศใน ทุกๆปี
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td colspan="3">
    • ขั้วโลกเหนืออาจไม่มีน้ำแข็งฤดูร้อนนี้[​IMG]
    </td> </tr> <tr> <td colspan="3"><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="8%"> </td> <td width="92%">โดย สำนักข่าวไทย [ 28-06-2551 | 11:12:54 น. ]</td> </tr> <tr> <td> </td> <td> </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td valign="top"> </td> <td colspan="2" valign="top"><table width="100%" border="0" bordercolor="#666666" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="2%"><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="93%"><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="7%"> </td> <td width="93%"> วอชิงตัน 28 มิ.ย.– นักวิทยาศาสตร์สหรัฐ ระบุวานนี้ว่า ขั้วโลกเหนืออาจจะไม่มีน้ำแข็งฤดูร้อนนี้ ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ในการละลายของชั้นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือเนื่องจากภาวะโลกร้อน
    นาย มาร์ก เซอร์รีซ นักวิทยาศาสตร์ ร่วมด้วยศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็ง ในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด ของสหรัฐ กล่าวว่า ขั้วโลกเหนือจะไม่มีน้ำแข็ง ช่วงปลายฤดูร้อนนี้ เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่บริเวณดังกล่าว มีน้ำแข็งปกคลุมอยู่เพียงบางๆ เท่านั้น ชั้นน้ำแข็งเหล่านี้เรียกว่า น้ำแข็งปีแรก คือน้ำแข็งที่มีแนวโน้ม จะละลายภายในฤดูร้อนนี้ ซึ่งหากน้ำแข็งละลาย และแตกออกจากกันทั้งหมด ในฤดูร้อนนี้ ก็จะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
    ทั้งนี้ นายเซอร์รีซ คาดว่าโอกาสที่จะเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้นนั้น มีถึงร้อยละ 50 และหากเป็นจริงตามคาดในเดือนกันยายนนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่ว่าเรือ อาจสามารถแล่นจากอะแลสกาไปถึงขั้วโลกเหนือได้ เช่นเดียวกับปรากฏการณ์น้ำแข็งละลาย เมื่อปีก่อนที่ทำให้สามารถแล่นเรือผ่านเส้นทางนอร์ทเทิร์น พาสเสจ ที่เชื่อมต่อมหาสมุทรแอตแลนติก กับมหาสมุทรแปซิฟิกได้ไกลกว่าที่เคยมีมา เพราะชั้นน้ำแข็งละลายมากถึงร้อยละ 23 มากที่สุดนับแต่ปี 2548
    อย่าง ไรก็ตามนายเซอร์รีซ ระบุว่า แม้จะไม่มีน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือ แต่ก็อาจมีน้ำแข็งในส่วนอื่น ของมหาสมุทรอาร์กติกฤดูร้อนปีนี้ แต่หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ในระยะยาวอาจไม่มีน้ำแข็งเหลือในมหาสมุทรอาร์กติก ช่วงฤดูร้อนภายในปี 2573 ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลง ของสิ่งแวดล้อมจากภาวะโลกร้อน ดังนั้น การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดภาวะโลกร้อน จะช่วยให้น้ำแข็งละลายช้าลง ในทางกลับกันผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า การละลายของชั้นน้ำแข็ง อาจช่วยให้นักเดินเรือ มีทางเลือกในการใช้เส้นทางเดินเรือสู่คลองปานามา และอาจทำให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติได้
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center bgColor=#e2e2e2 border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>อุณหภูมิโลกปีนี้กลับลดลง เนื่องมาแต่อิทธิพลของ 'ลา นินา' 'เอล นิโน' </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>สำนักข่าวบีบีซี ออนไลน์ส รายงานว่า ข้อมูลของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งอังกฤษ แสดงว่าอุณหภูมิในช่วงครึ่งแรกของศกนี้ ลดต่ำลง

    อากาศที่เย็นลงที่เริ่มเป็นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 เกินกว่า 0.1 องศาเซลเซียส เนื่องมาจากอิทธิพลของกระแสน้ำลา นินา อันเนื่องมาจากวัฏจักรของธรรมชาติ สมทบ ด้วยอิทธิพลของเอล นิโน ซึ่งกดให้ อากาศของโลกเย็นลง
    อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ของสำนัก กล่าวว่า อุณหภูมิก็ไม่ได้ลดลงมาก ยิ่งกว่านั้น อุณหภูมิของปีนี้ ดูจะเป็นปีที่ อากาศอบอุ่นมากที่สุดอันดับ 10 นับแต่ปี พ.ศ.2543 ด้วยซ้ำไป และอุณหภูมิจะกลับ สูงขึ้น เมื่ออิทธิพลของลา นินาค่อยลดต่ำลง

    เจ้าหน้าที่ขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ก็เคยบอกไว้เช่นเดียวกันว่า อุณหภูมิโลกของปี พ.ศ.2551 จะเย็นลงกว่าเมื่อสองสามปีที่แล้ว.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ๑. จับลมสบาย...


    ๒. จับภาพพระให้ใสสว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้... ทรงอารมณ์ใจนี้ไว้สักระยะ... พร้อมกับน้อมจิตยอมรับนับถือองค์พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว... นึกน้อมยอมรับขอให้ข้าพเจ้าเป็นสัมมาทิฐิไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน...

    เสร็จแล้วนึกให้เห็นภาพตัวเองก้มลงกราบที่พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และครูบาอาจารย์ทั้งหลายพร้อมๆ กัน...


    ๓. กราบขอขมากรรมต่อองค์พระรัตนตรัย โดยการอธิษฐานว่า...

    "- ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
    ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึง
    การณ์ก็ดี...

    - ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่
    บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
    "

    ก้มลงกราบพระบาททุกๆ พระองค์อีกครั้ง


    ๔. น้อมนึกถึงศีลที่ถือปฏิบัติอยู่... ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ก็ตาม... โดยน้อมนึกว่า...

    "ณ ขณะนี้ ศีล ๕ (๘) ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีทุกประการ... ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักขโมยผู้ใด ไม่ได้ผิดลูกผัว - เมียใคร ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆ ไม่ได้เสพสุราของมึนเมา หรือเล่นการพนันแต่อย่างใด... (ไม่ได้ทานอาหารหลังเที่ยง, ไม่ได้ใช้เครื่องไล้ของหอม เว้นจากการฟ้อนรำ ดูสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ไม่ได้ใช้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ, ไม่ได้นอนบนที่นอนสูงใหญ่)"


    ๕. หลังจากนั้นให้น้อมนึก อโหสิกรรมให้แก่ผู้ที่เคยล่วงเกินเรามา

    "- ข้าพเจ้าอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่ พรหม-เทพเทวา สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี ในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...

    - ข้าพเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้พวกท่านทั้งหลายมีความสุขกาย สุขใจ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวล มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม และมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"


    ๖. เมื่ออโหสิกรรมให้ผู้อื่นเสร็จแล้ว... ให้น้อมนึกถึงกุศลผลบุญ อีกทั้งความดีงามทั้งหลายที่เราเคยสร้างมาดีแล้วให้มารวมตัวกันที่ดวงจิตของตัวเรา (นึกให้เห็นดวงจิตของเราเองสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐาน ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร ดังนี้...

    "- ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์ จนมาถึงปัจจุบันนี้ และที่จะทำต่อไปในอนาคต... ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย... ขอให้ทุกๆ ท่านมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านี้นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน...

    (ตอนนี้ให้นึกเห็นรัศมีความสว่างของกุศลผลบุญ ความดีงามทั้งหลายจากดวงจิตของเราแผ่ออกไปคลุมร่างของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา)

    - และข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพวกท่านไปด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...

    - ขอให้พวกท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ"


    ๗. ท้ายที่สุดให้น้อมนึกถึงความสุข สดชื่น ความอิ่มเอม เปรมปรีด์ ความดีงามทั้งหลายที่เราเคยสร้างมาดีแล้วอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งกุศลผลบุญทั้งหลาย พรหมวิหารสี่ และอภัยทานที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในดวงจิตของเราให้มารวมตัวกัน (นึกให้เห็นดวงจิตของตัวเองสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐานแผ่เมตตาอัปปมาณฌานว่า...


    "- ข้าพเจ้าขอน้อมถวายส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมาโดยมี... องค์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง เป็นที่สุด

    อีกทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย บูรพกษัตริย์ไทย บรรพชนไทย นักรบไทยทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีท่านท้าวจตุมหาราช และท่านพญายมราชเป็นที่สุด...

    - ขอทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน ได้โปรดมาร่วมกัน รับและอนุโมทนาในส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ และขอได้โปรดมาเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลผลบุญในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ...

    (น้อมนึกให้เห็นว่าในมือเรามีดอกบัวแก้วสว่างไสวแพรวพราว ซึ่งเกิดจากกุศลผลบุญของเราเองมารวมตัวกันเป็นดอกบัวนั้น... แล้วน้อมถวายแด่ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน)

    - และข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน ให้แก่เหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ ... คนไทยและต่างชาติที่กำลังชุมนุมประท้วง ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ ทั่วประเทศไทย และทั่วโลก... อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้... ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี... ขอให้ทุกๆ ท่านจงมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน... ขอให้ทุกๆ ท่านมีดวงจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอภัยทาน เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา... มีความรัก ความปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมชาติ... ขอให้ทุกๆ ท่านมีดวงตาเห็นธรรม และเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลันเทอญ"


    ๘. เสร็จแล้ว อธิษฐานว่า...

    "ด้วยอานิสงค์ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้จากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้แล้ว... ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีองค์พระศรีรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมาทิฐิ ...

    ขอได้โปรดช่วยคุ้มครองคนไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ ณ สถานที่ใดก็ตาม... คนทุกชาติ ทุกศาสนา ที่อยู่ในประเทศไทย... องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเชื้อพระวงศ์ทุกๆพระองค์... จากสิ่งไม่ดี มิจฉาทิฐิ และดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ภัยธรรมชาติ ภัยพิบัตินานาประการ... ตลอดทุกลมหายใจเข้า - ออก ทั้งยามหลับและตื่น ทั้งยามที่รู้สึก และไม่รู้สึกตัวก็ตาม นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"


    ..........................

    ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่บังเกิดขึ้นนี้... ขอได้โปรดมารวมตัวกันและส่งผลให้ทุกๆ ท่านมีดวงจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อภัยทาน มีความสุขทั้งทางโลก ทางธรรม เป็นสัมมาทิฐิ... มีดวงตาเห็นธรรม... เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป... เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน... และมีพระนิพพานเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ
     
  17. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    717
    ค่าพลัง:
    +3,151
    www.khaosod.co.th<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=1000 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%" align=center bgColor=#dadada border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=10>[​IMG]</TD><TD background=images/corner_dg_top_line.gif></TD><TD width=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD background=images/corner_line_left.gif> </TD><TD vAlign=top align=left width="100%" bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left><!--เนื้อหา--><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--Middle--><TD vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>จำนวนคนอ่านล่าสุด 734 คน <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TD vAlign=top align=left>[FONT=Tahoma,]วันที่ 06 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6491 ข่าวสดรายวัน


    ตะลึง"เคนยา"หนาวหิมะ-ลูกเห็บตก




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>บีบีซีรายงานว่า เมื่อ 5 ก.ย. สภาพอากาศที่แปรปรวนในทวีปแอฟริกา ทำให้ชาวเคนยาได้ตื่นตะลึงกับหิมะและพายุลูกเห็บรุนแรงที่พัดกระหน่ำเมืองบูซารา ห่างจากกรุงไนโรบี เมืองหลวงเคนยาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 255 กิโลเมตร ทำให้หลายพื้นที่ขาวโพลนและทำให้ประชาชนหนาวสั่นเพราะไม่เคยมีประสบการณ์พบหิมะและพายุลูกเห็บมาก่อนในชีวิต

    ชาวเคนยาจำนวนมากตื่นเต้นกับหิมะ ต่างออกมานอกบ้านปั้นหิมะ ขว้างหิมะเล่น และบางส่วนลองกัดกินหิมะที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเนินเขารอบหมู่บ้านเพื่อชิมรสชาติ ชาวบ้านคนหนึ่ง เล่าว่า พวกตนคิดว่าหิมะสีขาวคงปกคลุมไปทั่ว จึงพากันออกมาดูให้เห็นกับตา และเชื่อว่าหิมะคือสัญญาณการกลับมาจุติของพระเยซู

    "นี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก พวกเราไม่เคยได้พบอะไรแบบนี้ เราชอบน้ำแข็งมากเพราะว่าพระอาทิตย์ที่นี่ร้อนแรงมาก ทุกคนชอบหิมะและต่างก็พอใจ" ไซมอน คีมานี ชาวบ้านอีกคนกล่าว

    ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยาเคนยา แถลงว่า พายุที่เกิดขึ้นสัปดาห์นี้เกิดจากกระแสลมหนาวจากมหาสมุทรอินเดียพัดมาบรรจบกับกระแสลมร้อนจากประเทศคองโก โดยพายุลูกเห็บครั้งนี้พัดกระหน่ำนานกว่า 12 ชั่วโมง ลูกเห็บและหิมะตกลงไปทั่วทุกพื้นที่ทำให้แผ่นน้ำแข็งและเกล็ดหิมะแผ่ขยายออกไปกินอาณาบริเวณกว้างราว 120,000 ตารางเมตร ขาวโพลนไปทั่วหุบเขาแม้ว่าพระอาทิตย์ยังคงส่องแสงตามปกติหลังจากนั้น

    ทั้งนี้ พายุลูกเห็บและหิมะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในเคนยา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร โดยในเคนยาปกติจะมีหิมะเฉพาะในบริเวณยอดของเทือกเขาเคนยา ซึ่งเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในประเทศ มีความสูง 5,199 เมตร เท่านั้น
    [/FONT]

    [FONT=Tahoma,]หน้า 7[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE borderColor=#98deff cellPadding=0 width=725 align=center bgColor=#e2e2e2 border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ภูเขาน้ำแข็งละลาย ที่อาร์เจนตินา </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#98deff cellPadding=0 width=725 align=center border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ผลกระทบจากโลกร้อน
    โลกเรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์โลกร้อนที่ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลกไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้น ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง เกิดพายุรุนแรงและบ่อยครั้ง ผลกระทบจากโลกร้อนไม่ได้เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
    โดย วิรุฬหกกลับ


    ฮือฮากันมาได้พักใหญ่ๆสำหรับกระแสวิกฤตการณ์โลกร้อนที่เรากำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ ก่อนจะซาๆ ลงด้วยพิษทางด้านพลังงาน ที่นับวันจะพุ่งแรงจนกลัวว่าโลกเราอาจจะไม่มีแหล่งพลังงานตามธรรมชาติใช้ก่อนจะถึงกาลวินาศตามโทษภัยของวิกฤตการณ์โลกร้อน

    จะว่าไปวิกฤตการณ์โลกร้อนที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ ส่งผลกระทบให้กับทุกภาคส่วนของสังคม ทั่วหัวระแหงของโลกเรา หลายๆสถานที่ต่างได้ลิ้มรสกับพิษภัยของวิกฤตการณ์ในครั้งนี้แล้ว และเชื่อแน่ว่าวิกฤตโลกร้อนยังคงส่งผลกระทบกับโลกของเราต่อไปมากบ้างน้อยบ้างตามวิถีทางของมัน ผลกระทบของมันส่งผลในวงกว้างกระทบไปกับทุกองคาพยพของสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้และเป็นอันตรายที่ส่งผลต่อมนุษย์เราโดยตรง



    [​IMG]
    โลก-บ้านหลังงามของมนุษยชาติ
    ภาพจาก http:// viewmix.zenith-sp.net




    ผลกระทบจากโลกร้อนโดยตรงที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคงหนีไปพ้นอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นพ้องกับชื่อภาวะวิกฤตโลกร้อนนั้นเอง แน่นอนว่าอากาศยิ่งร้อนอบอ้าวเท่าไหร่ มันก็ทำให้เราหงุดหงิดงุ่นง่านพาลทำให้อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาได้ง่ายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นรูปธรรมและถูกนำมากล่าวอ้างทุกครั้งเมื่อพูดถึงสภาวะโลกร้อนคือ การละลายของธารน้ำแข็งที่มีอยู่ทั่วโลก


    นักวิทยาศาสตร์พบว่าทุกวันนี้ธารน้ำแข็งในพื้นที่ต่างๆได้หลอมละลายลงเป็นจำนวนมากหรืออย่างในบริเวณหลังคาโลกอย่างเทือกเขาหิมาลัยก็ยังโดนผลกระทบตามมาด้วย ปัจจุบันพบว่าธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งน้ำจืดที่สำคัญของผู้คนกว่าสองพันล้านชีวิตกำลังละลายลงอย่างรวดเร็ว และคาดการณ์กันว่า หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ธารนำแข็งแห่งนี้จะละลายหมดไปภายในระยะเวลา 50 ปี ซึ่งผลที่ตามมาคือ ประชากรโลกเกือบครึ่งหนึ่งต้องประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำจืด


    ผลกระทบจากคลื่นความร้อนก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น แม้นักวิทยศาสตร์บ้างกลุ่มจะตั้งข้อสังเกตว่า คลื่นความร้อนไม่ได้มีผลมาจากภาวะโลกร้อนโดยตรง เพราะคลื่นความร้อนคือ สภาวะของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยจะมีสภาพอากาศที่สูงกว่าปรกติ หรือพูดอีกอย่างได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดในรอบปี และมักจะเกิดขึ้นเสมอๆในฤดูร้อน โดยอุณหภูมิอาจจะสูงขึ้นกว่าปรกติถึง 30 องศาเซลเซียสได้เลยที่เดียว และแม้ความคิดเห็นกับประเด็นดังกล่าวของนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แจ้งชัดนักว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นผลโดยตรงจากสภาวะโลกร้อนหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นเหมือนกัน ก็คือว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกอันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อนแล้วมนุษย์เราคงต้องประสบชะตากรรมเดียวกันกับการเกิดคลื่นความร้อน หากยังจำกันได้ในปีพ.ศ. 2546 เกิดคลื่นความร้อนที่ถือว่าสูงทีที่สุดในรอบ 150 ปี ในแถบประเทศยุโรปและในคราวนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 40,000 ราย เลยทีเดียว


    [​IMG]
    ธารน้ำในอลาสก้า ปี 1980
    ภาพจาก www.nasa.gov


    เมื่อธารนำแข็งเกือบทุกแห่งทั่วโลกพร้อมใจกันละลายเพราะอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ในบ้างพื้นที่เช่นแถบขั้วโลกเหนือเราก็จะเห็นต้นไม้ที่เคยทรงตัวตรงตะหง่านกลับโงนเงนคล้ายมึนเมาเสียเต็มประดา เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะการหยั่งรากของมันลงไปในชั้นดินซึ่งมีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบ เมื่อเกิดการละลายของน้ำแข็งในชั้นดินจึงทำให้มันมีสภาพโงนเงนดังกล่าวแถมบ้านพักอาศัยในแถบนั้นก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน


    ในปี พ.ศ.2545 เกิดเหตุการณ์สำคัญเช่นการ ที่แผ่นน้ำแข็ง
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    มาย้ำเตือนเรื่องปรากฏการณ์โลกร้อนกันอีกครั้งครับ

    ปรากฏการณ์โลกร้อน

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    http://th.wikipedia.org/



    <!-- start content -->
    [​IMG]


    [​IMG]
    ค่าผิดปรกติของอุณหภูมิเฉลี่ยที่ผิวโลกที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2403
     

แชร์หน้านี้

Loading...