วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จากเวบเด็ดีดอทคอมครับ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=806 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD align=middle>1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 15 นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้) <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    อานิสงส์ - เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า <o:p></o:p>
    เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย <o:p></o:p>
    จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ <o:p></o:p>
    ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส <o:p></o:p>
    สุขภาพกายและจิตแข็งแรง <o:p></o:p>
    เจ้ากรรมนายเวร และญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน <o:p></o:p>
    อานิสงส์ - เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง <o:p></o:p>
    ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า <o:p></o:p>
    เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาด จากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว <o:p></o:p>
    แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบัญชร, พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น <o:p></o:p>
    เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    3. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์ <o:p></o:p>
    อานิสงส์ - ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา <o:p></o:p>
    สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้ และภพหน้า <o:p></o:p>
    ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า <o:p></o:p>
    อานิสงส์ - ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร <o:p></o:p>
    ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน <o:p></o:p>
    อานิสงส์ - เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง <o:p></o:p>
    ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภยศสรรเสริญ <o:p></o:p>
    ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ <o:p></o:p>
    ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    6. สร้างพระถวายวัด อานิสงส์ - ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา <o:p></o:p>
    ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง <o:p></o:p>
    ครอบครัวเป็นสุข ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพราหมณ์หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป <o:p></o:p>
    อานิสงส์ - ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ <o:p></o:p>
    ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร <o:p></o:p>
    สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆ ไป <o:p></o:p>
    ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย อานิสงส์ - ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง <o:p></o:p>
    ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก <o:p></o:p>
    เทพยดาปกปักรักษา ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า <o:p></o:p>
    ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่าง ๆ <o:p></o:p>
    อานิสงส์ - ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต <o:p></o:p>
    ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น <o:p></o:p>
    หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด <o:p></o:p>
    ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพที่สดใสเป็นอิสระ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    10. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ <o:p></o:p>
    อานิสงส์ - ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆ ไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา <o:p></o:p>
    ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    11.ให้เงินขอทาน, ให้เงินคนที่เดือดร้อน (ไม่ใช่การให้ยืม) <o:p></o:p>
    อานิสงส์ - ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก <o:p></o:p>
    เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มี หนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง <o:p></o:p>
    จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    12.รักษาศีล 5 หรือศีล 8 <o:p></o:p>
    อานิสงส์ - ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก <o:p></o:p>
    ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง <o:p></o:p>
    กรรมเวรจะไม่ถาโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    * อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์ <o:p></o:p>
    1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย <o:p></o:p>
    2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น <o:p></o:p>
    3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้ <o:p></o:p>
    4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย <o:p></o:p>
    5. มีอายุมั่นขวัญยืน <o:p></o:p>
    6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง <o:p></o:p>
    7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล <o:p></o:p>
    8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน <o:p></o:p>
    9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ <o:p></o:p>
    10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    * อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้ <o:p></o:p>
    1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ <o:p></o:p>
    2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มี คนคิดร้ายไม่สำเร็จ <o:p></o:p>
    3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม <o:p></o:p>
    4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย <o:p></o:p>
    5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ <o:p></o:p>
    6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน <o:p></o:p>
    7. คำกล่าวเป็นสัตย์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป <o:p></o:p>
    8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช <o:p></o:p>
    9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง <o:p></o:p>
    10.สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของ <o:p></o:p>
    ผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    * อานิสงส์การบวชพระบวชชีพราหมณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ,อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร) <o:p></o:p>
    1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา <o:p></o:p>
    2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย <o:p></o:p>
    3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย <o:p></o:p>
    4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆ ไป <o:p></o:p>
    5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา <o:p></o:p>
    6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต <o:p></o:p>
    7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา <o:p></o:p>
    8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ <o:p></o:p>
    9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย <o:p></o:p>
    10.ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่ สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภารกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการให้คนได้บวช <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ <o:p></o:p>
    เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด <o:p></o:p>
    หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไป สู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรก <o:p></o:p>
    ที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ <o:p></o:p>
    ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ <o:p></o:p>
    ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ<o:p></o:p>
    </TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=830 border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=806 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width=13></TD><TD vAlign=center align=middle width=782><TABLE border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD><TABLE height=53 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=282 border=0><TBODY><TR><TD width=18 height=53>[​IMG]</TD><TD width=218 background=http://www.dek-d.com/content/contentpic/content-n-03.gif height=53>ส่งเรื่องนี้ให้เพื่อนคุณอ่าน!! </TD><TD vAlign=top align=middle width=46 background=http://www.dek-d.com/content/contentpic/content-n-04.gif height=53><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=40 border=0><TBODY><TR><TD width=40 height=49>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ขออนุญาติพี่เล็ก นำมาขยายให้ตัวอักษรใหญ่ อ่านง่าย น่ะค่ะ :)


    1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 15 นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้)
    อานิสงส์ - เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า <O:p
    เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย <O:p</O:p
    จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ<O:p
    ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส <O:p</O:p
    สุขภาพกายและจิตแข็งแรง <O:p</O:p
    เจ้ากรรมนายเวร และญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน <O:p</O:p
    อานิสงส์ - เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง <O:p</O:p
    ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า <O:p</O:p
    เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาด จากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว <O:p</O:p
    แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบัญชร, พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น <O:p</O:p
    เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    3. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์ <O:p
    อานิสงส์ - ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา <O:p</O:p
    สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้ และภพหน้า <O:p</O:p
    ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า<O:p
    อานิสงส์ - ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร <O:p</O:p
    ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน <O:p</O:p
    อานิสงส์ - เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง <O:p</O:p
    ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภยศสรรเสริญ <O:p</O:p
    ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ <O:p</O:p
    ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    6. สร้างพระถวายวัด อานิสงส์ - ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา <O:p</O:p
    ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง <O:p</O:p
    ครอบครัวเป็นสุข ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพราหมณ์ หรือ บวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป<O:p
    อานิสงส์ - ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ <O:p</O:p
    ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร <O:p</O:p
    สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆ ไป <O:p</O:p
    ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล<O:p
    <O:p</O:p

    8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย อานิสงส์ - ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง <O:p</O:p
    ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก <O:p
    เทพยดาปกปักรักษา ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า <O:p
    ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่าง ๆ <O:p
    อานิสงส์ - ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต <O:p</O:p
    ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น <O:p</O:p
    หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด <O:p
    ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพที่สดใสเป็นอิสระ<O:p
    <O:p</O:p

    10. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ <O:p</O:p
    อานิสงส์ - ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆ ไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา <O:p</O:p
    ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    11.ให้เงินขอทาน, ให้เงินคนที่เดือดร้อน (ไม่ใช่การให้ยืม) <O:p</O:p
    อานิสงส์ - ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก <O:p</O:p
    เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มี หนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง <O:p</O:p
    จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    12.รักษาศีล 5 หรือศีล 8 <O:p</O:p
    อานิสงส์ - ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก <O:p</O:p
    ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง <O:p</O:p
    กรรมเวรจะไม่ถาโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    * อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์ <O:p</O:p
    1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย <O:p</O:p
    2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น <O:p</O:p
    3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้ <O:p</O:p
    4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย <O:p</O:p
    5. มีอายุมั่นขวัญยืน <O:p</O:p
    6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง <O:p</O:p
    7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล <O:p</O:p
    8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน <O:p</O:p
    9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ <O:p</O:p
    10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ <O:p
    <O:p</O:p
    * อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้ <O:p</O:p
    1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ <O:p</O:p
    2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มี คนคิดร้ายไม่สำเร็จ <O:p</O:p
    3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม <O:p</O:p
    4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย <O:p</O:p
    5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ <O:p</O:p
    6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน<O:p
    7. คำกล่าวเป็นสัตย์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป <O:p</O:p
    8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช <O:p</O:p
    9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง <O:p</O:p
    10.สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของ <O:p</O:p
    ผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ <O:p</O:p
    <O:p
    * อานิสงส์การบวชพระบวชชีพราหมณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ,อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร) <O:p</O:p
    1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา <O:p</O:p
    2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย <O:p</O:p
    3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย <O:p</O:p
    4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆ ไป <O:p</O:p
    5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา <O:p</O:p
    6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต<O:p</O:p
    7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา <O:p</O:p
    8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ <O:p</O:p
    9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย <O:p
    10.ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่ สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภารกิจต่างๆ ก็สามารถ
    ได้รับอานิสงส์เหล่านี้ ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการให้คนได้บวช <O:p</O:p
    <O:p

    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึง
    อานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ <O:p</O:p
    เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด <O:p
    หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไป สู่ภพเดรัจฉาน
    ภพเปรต ภพสัตว์นรก ที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ <O:p</O:p
    ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ <O:p</O:p

    ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สิน
    ที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ<O:p</O:p
     
  3. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    จิตคือพุทธะ
    คำสอนที่ลึกซึ้งของหลวงบู่ดุลย์ อตุโล

    พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งแล้วมิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย

    จิตหนึ่ง นี้เท่านั้นเป็นพุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธะจากภาวะภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเองทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ และการทำเช่นนั้น เท่ากับ เป็นการใช้สิ่งที่เป็นพุทธะ ให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขา ก็จะไม่สามารถลุถึงภาวะพุทธภาวะได้เลย

    เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเอง เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวาย เพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง และ พุทธะ คือ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง นั่นเอง สิ่งๆนี้ เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์ จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฏอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่

    ถ้าเราให้จิตของเราให้ปรุงแต่งความคิดผันต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรมซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่พุทธะของความยึดมั่นถือมั่น

    การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ด้วยเจตนาที่จะบรรลุเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น มันเป็นเพียงการแค่ตื่นและลืมตา ต่อจิตหนี่งนั้นเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือพุทธะที่แท้จริง

    จิตเป็นเหมือนความว่าง แม้แสงอาทิตย์ส่องสว่างลงมาทั่วพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้ดับลง ธรรมชาติของความว่างนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น

    ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นคือ ความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่ง สงบเงียบ และมีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง

    ธรรมชาติเดิมแท้ของเรา นั้นเป็นสิ่งๆหนึ่ง ซึ่งไม่มีการตั้งต้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตาย แต่เป็นของสิ่งเดียวกันรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด

    สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้หายไปจากเรา แม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมา ในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตัตถนา ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิธิ มันเต็มอยู่ในความว่าง

    จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนามของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลงจากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ นามว่าที่ปราศจากรูป นี้ เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม

    ลำดับความโดยย่อมาจาก
    http://www.fungdham.com/download/book/article/dul/001.pdf
    “จิต คือ พุทธะ” ธรรมเทศนาของหลวงปู่ดูลย์ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2535

    จิ จิตเป็นเหมือนความว่าง แม้แสงอาทิตย์ส่องสว่างลงมาทั่วพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้ดับลง ธรรมชาติของความว่างนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น
     
  4. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    คาถาบูชาดวงประจำวันเกิด(ย่อ)


    1. คาถาคนเกิดวันอาทิตย์ อะ วิชสุ นุส สา นุต ติ ชื่อคาถาพระนารายณ์แปลงรูป ใช้ทางเมตตามหานิยมก็ได้ สวดวันละ 6 จบ
    2. คาถาคนเกิดวันจันทร์ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา ชื่อคาถากระทู้เจ็ดแบกใช้ทางคงกระพัน สวดวันละ ๑๕ จบ
    3. คาถาคนเกิดวันอังคาร ติ หัง จะ โต โร ถินัง ชื่อคาถาฝนแสงห่าใช้ทางเมตตามหานิยม สวดวันละ ๘ จบ
    4. คาถาคนเกิดวันพุทธกลางวัน ปิ สัม ระ โล ปุสัต พุท ชื่อคาถาพระนารายณ์เคลื่อนสมุทร
    5. คาถาคนเกิดวันพุทธกลางคืน คะ พุท ปัน ทูธัม วะ คะ ชื่อคาถาพระนารายณ์พลิกแผ่น ดินใช้แก้ความผิดต่างๆ สวดวันละ ๑๒จบ
    6. คาถาคนเกิดวันพฤหัส ภะสัม สัม วิ สะ เท กะ ชื่อคาถาพระนารายณ์ตรึงไตรภพใช้ทาง เมตตามหานิยม สวดวันละ ๑๙ จบ
    7. คาถาคนเกิดวันศุกร์ วา โธ โน อะ มะ มะ วา ชื่อคาถาพระพุทธเจ้าตวาดหิมพานต์ใช้ ทางมหานิยม สวดวันละ ๑๙ จบ
    8. คาถาคนเกิดวันเสาร์ โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ ชื่อคาถาพระนารายณ์ถอดจักรใช้ทางถอดคุณไสยศาสตร์ สวดวันละ 10 จบ


    เป็นคาถาบูชาดวงประจำวันเกิด ทั้ง ๗ วัน<O:p</O:p
    บทความจาก http://www.mahamodo.com/modo/dhama_bud/kata_main.aspx


    [​IMG] อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    การหยุดคิดตามคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ ก็คือการทำฌาณให้เกิด
    ตั้งแต่ฌาณ1ถึงฌาณ8
    แต่ว่าจิตของเรายังไม่หยุดคิด เราจะหยุดคิดได้จริงๆก็ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์
    ดังนั้นหลวงปู่ท่านก็แนะนำให้ทำฌาณให้เกิดโดยชี้อารมณ์ว่าต้องหยุดจิต หยุดคิดให้ได้ถึงจะเป็นฌาณเบื้องต้น
    แล้วให้พิจารณาต่อไปว่าร่างกายเราไม่มีแก่นสาร วัตถุธาตุต่างๆไม่มีแก่นสาร
    กิจของเราคือการถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายออกให้หมด
    แล้วตอนจบก็ลงท้ายว่ารูปฌาณ อรูปฌาณยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์
    การยึดว่าอรูปฌาณเป็นพระนิพพาน ก็ยังมีความยึดมั่นอยู่
    จำเป็นที่จะต้องถอนออกไปด้วย

    จิตมีลักษณะเป็นเหมือนความว่าง ไม่อาจจะแตกสลายพังทลายได้
    แต่อย่าไปหลงว่าจิตคือความว่างนะครับ
    ถ้าไปหลงว่าจิตคือความว่าง พระนิพพานเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่านี่
    จบกันเลยนะครับ
    เท่ากับว่าเราไปคิดว่าอรูปฌาณเป็นพระนิพพาน
    จะทำให้ติดอยู่แค่นั้นนะครับ
    เราต้องก้าวดีต่อไป ไม่พอใจแค่ในอรูปฌาณ
    ต้องใช้ฌาณเป็นกำลังเพื่อก้าวเข้าหาความดีที่สูงกว่านะครับ
    ขอให้ทุกๆคนเข้าถึงซึ่งความดีอันมีพระนิพพานเป็นที่สุดได้โดยเร็วนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2008
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วิปัสนาญาณ เรื่องความทุกข์ การพิจารณาให้เห็นทุกข์ และการน้อมเข้ามาสู่ การพ้นทุกข์

    <TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ดอกขจร<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 04:38 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2007
    ข้อความ: 440
    ได้ให้อนุโมทนา: 5,652
    ได้รับอนุโมทนา 6,881 ครั้ง ใน 435 โพส
    พลังการให้คะแนน: 178 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->^-^
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ขอบคุณนะคะสำหรับความเอื้ออาทรในน้ำใจของพี่ที่มีให้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เมื่อวานตอนทุ่มกว่าได้โทรคุยกับพี่ท่านหนึ่งถึงเรื่องความทุกข์

    คือปูพิจารณาความทุกข์ของคนเรา ไม่ว่าจะจากตัวปูเอง หรือคนอื่น และนึกถึงทุกข์ของคำข้าวที่ในหนังสือของท่านผู้เฒ่า ก็ทำให้ปูได้มองความทุกข์ของคนที่ทำนานั้นไม่ใช่ทุกข์ของคนอย่างเดียว

    แม้แต่ควายก็ทุกข์ด้วย เพราะเวลาไถนามันต้องใช้แรงงานอย่างมาก ถ้าไม่ทำก็โดนเฆี่ยนตี พอปูพูดตรงนี้เขาเสริมให้ว่าโดนถูกฆ่าตายเอาเนื้อมากินด้วย พอได้ยินตรงจุดนี้ทำให้ปูอึ้งไป เพราะไม่เคยคิดถึงตรงนั้น เพราะไม่เคยคิดว่าการที่เราใช้งานเขาแล้วจะมาฆ่าเขา เอามากิน

    ทีนี้ตัดมาที่ตัวปูแล้วก็มานั่งคิดว่าถึงแม้ว่าจะทุกข์มากเพียงใด ก็จะขอว่ายให้ถึงฝั่งเพื่อที่จะมาดึงผู้อื่นที่ยังว่ายกันอยู่นั้นให้ถึงฝั่งด้วยเหมือนกัน ถึงแม้จะว่ายอยู่เพียงคนเดียวในสังสารวัฏจะใช้เวลานานขนาดไหนก็ตาม ก็จะไม่ขอยอมแพ้ จะพาตัวเองให้ถึงฝั่งให้ได้


    พอนั่งคิดก็ร้องไห้แต่ที่ร้องไม่ใช่เสียใจที่ตัวเองคิดอย่างนั้น แต่ร้องที่มองเห็นความทุกข์ที่ทั้งคนและสัตว์ในโลกนี้ได้ว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่จบไม่สิ้น การพิจารณาคราวนี้แตกต่างกับคราวที่แล้วในด้านของความรู้สึก ยิ่งตรงที่คิดถึงควายด้วยนั้นทำให้ยิ่งร้องไห้ เพราะไปจับอารมณ์ของเขาที่เขาโดนถูกเฆี่ยน

    เขาบอกว่าพระท่านมาย้ำปักหมุดในการเป็นพุทธภูมิของปูให้หนักแน่นขึ้น และวันนี้ปูไปตลาด ตอนขาไปไม่เท่าไหร่

    แต่

    ตอนขากลับนั่งรถเมล์เจอพ่อแขนขาดแล้วมีลูกชายขึ้นมาบนรถเมล์ ก็ทำให้ปูได้พิจารณาเห็นความทุกข์ของคนเรามากขึ้น แค่คนเรามีสองแขนก็ทำมาหากินใช้ชีวิตก็เหนื่อยแล้ว แต่คนที่อวัยวะไม่ครบถ้วนเขาจะทุกข์ทรมานมากเพียงใด ตอนที่เขาโดนตัดแขน ใจเขาทุกข์ขนาดไหน กว่าที่จะยอมรับสภาพแบบนี้ได้ และคนรอบข้างของเขาล่ะจะยอมรับได้ไหม แล้วมานั่งคิดว่าทุกข์ของเรานั้นยังน้อยนิดด้วยซ้ำ

    ในโลกใบนี้ยังมีคนที่มีความทุกข์อีกมาก ที่เรายังไม่เคยเจอ แล้วเราจะมานั่งทุกข์กับเรื่องที่เป็นเพียงเศษเสี้ยวนี้ทำไม คนอื่นเขายังทุกข์มากกว่าเราอีกหลายร้อยเท่าด้วยซ้ำ ตอนที่นั่งคิดพิจารณาความทุกข์ของคนอื่นที่ได้มองเห็นนั้นน้ำตาก็เริ่มคลอนิดหน่อย ช่วงนี้บ่อน้ำตาตื้นค่ะ แล้วก็ถามตัวเองว่าจะทำอย่างไร ก็ได้คำตอบค่ะว่าถึงแม้มันทุกข์ขนาดไหน มันก็คือธรรมดาของโลก ดังนั้นเราต้องอยู่กับความทุกข์นี้ให้ได้ ถ้าใจเรายอมรับแล้ว ทุกสิ่งก็คือธรรมดาค่ะ

    ที่คิดได้นั้นเพราะผู้ชายคนแขนขาดนั้นค่ะ ถึงแม้เขาไม่มีแขนข้างหนึ่ง แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตได้ตามปรกติ ถึงแม้ในสายตาของคนอื่นเขาจะมองด้วยความสงสารก็ตาม
    <!-- / message --></TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] </TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right><!-- controls --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีเรื่องราวมาให้พิจารณาให้เห็นทุกข์อีกครับ

    เป็นเรื่องจริง ของญาติผมท่านหนึ่ง

    เป็นคุณอา ผู้หญิง ซึ่งได้เดินทางไปอาศัยที่อเมริกา เป็นเวลายาวนาน หลายสิบปี จนกระทั่งเพิ่งเดินทางกลับมาอยู่ประเทศไทยอีกครั้ง

    จากการไปทำงาน ที่นั่น ท่านก็ได้เก็บหอมรอมริบเงินทุนกลับมาได้พอสมควร หวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบยามชราภาพ

    แต่


    วันหนึ่งท่านเกิดหกล้ม จนเป็นอัมพาต หลังจากนั้นปลายประสาทที่แขนก็มีปัญหา เลือดไม่ไปเลี้ยงและเกิดแผลกดทับจากการที่ขยับตัวไม่ได้

    ท้ายที่สุดต้องตัดแขนขวาออกไป และต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อดูแลตลอด

    ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมากมาย


    แต่


    ที่น่าพิจารณาก็คือ ท่านก็มีเงินในธนาคารมากพอสมควร แต่ด้วยการที่ท่านถูกตัดแขนขวา ไม่อาจเซ็นชื่อเบิกเงินออกมาจากธนาคารได้

    ดังนั้นท่านไม่อาจใช้เงินทั้งหมดที่หามาได้เลย แม้แต่บาทเดียว

    เงินทองทรัพย์สมบัติท่านจะปรากฏก็ต่อเมื่อ ท่านสิ้นชีวิต มีใบมรณะบัตรออกมาเท่านั้น

    กรรม

    ความทุกข์

    ชีวิต

    บางครั้งก็เล่นตลกกับ เรา กระแสแห่งความทุกข์ในสงสารวัฏฏ์นั้น น่ากลัวกว่าที่เราคิดเอาไว้ ในยามที่เราประมาทเราก็เพลิดเพลินไปกับความสุข

    ในยามที่ทุกข์ท่วมท้น ไหลบ่ามา หากเราไม่มีธรรมมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ประคับประคองดวงจิตของเรา โอกาสที่เราจะถูกกระแสโลกกลืนกินไปตามกิเลส ตัณหา อุปทาน ก็เป็นไปได้มาก

    แต่หากเราไม่ประมาทในกุศล ไม่ประมาท ในการเจริญธรรม กรรมฐานเข้าแล้วนั้น บุญกุศลก็ยิ่งหนุนนำชีวิตเราให้ดีขึ้นไปตามลำดับ

    ลองพิจารณาใน กรรม ผลของกรรม และกรรมที่จะปรากฏต่อไป ต่อเนื่องไป ........ ไม่สิ้นสุด ............ตราบที่เราไม่ตัดใจออกจากกองทุกข์ทั้งปวง

    มุ่งให้ถึงซึ่งพระนิพพาน เป็นที่สุด
     
  8. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขออนุญาตคุณเจนัยนำพระคาถามาลงในกระทู้วิชชานี้ด้วยนะคะ... กราบโมทนา และขอบพระคุณด้วยค่ะ...

     
  9. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    วันนี้ได้พิจารณาถึงเรื่องความทุกข์และความพลัดพราก ได้คิดพิจารณาถึงเมื่อสมัยคนที่อยู่ในยุคโบราณ ที่มีการล่าสัตว์เป็นอาหาร ว่ากว่าจะหาอาหารมาประทังชีวิตทั้งของตนเองและคนอื่นนั้น มันลำบากขนาดไหน บางครั้งการที่ล่าสัตว์นั้น ตัวเราเป็นคนล่าพอเห็นมีอาหารอยู่ตรงหน้าก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา แต่สัตว์ที่โดนถูกล่ากลับต้องหลบหลีกไม่ให้ถูกฆ่า ใจนั้นก็กลัวสุดชีวิตพยายามรักษาชีวิตของตัวเองให้อยู่ได้ มากลับกันบ้างทีนี้ตัวเราโดนสัตว์ที่ดุร้ายจะมาทำร้ายบ้าง ก็ต้องพยายามหาทางหลบหลีกเอาตัวรอดให้ได้ ไม่งั้นก็ได้กลายเป็นอาหารของมัน

    การที่เราทำร้ายเขาเพื่อให้ได้อาหาร เราได้เคยคิดถึงความรู้สึกของเขาไหมว่าเขาจะเจ็บปวด และจะหวาดกลัวเพียงใด สัตว์ที่เราล่าเขานั้นก็มีครอบครัวเหมือนกันไม่ต่างกันกับคนเรา

    คราวนี้พอมาพิจารณาถึงตรงนี้ก็ทำให้นึกย้อนไปถึงสมัยสงครามที่มีผู้คนล้มตายพ่อแม่ลูกเมียพลัดพรากจากกัน บางคนลูกตายต่อหน้าต่อตา บางคนหาลูกที่พลัดหายไปก็มี บางคนพ่อแม่ตายก็มี บางคนสามีหรือภรรยาที่รักยิ่งตายก็มี ความรู้สึกที่พิจารณาถึงความรับรู้ของอารมณ์ของคนที่พลัดพรากนั้นไม่ว่าใครถ้าได้เจอก็ต้องเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัสแน่นอน เพราะภาพที่เห็นตอนนั้น ตอนที่แม่เห็นลูกตายต่อหน้านั้น คนเป็นแม่ถึงกับแทบจะตายตามลูกไป

    พอของตัวเราเองบ้างเห็นเป็นภาพคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง และคนที่เรารักและเคารพโดนกระแสน้ำพัดหายไปต่อหน้า เหลือเพียงแต่ตัวเองรอดอยู่คนเดียว ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนโดนถูกทุบตรงใจเลยทีเดียว เพราะเห็นคนที่เรารักอยู่ตรงหน้า แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ความรู้สึกตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นใครแน่นอนย่อมเหมือนคนมืดแปดด้านทำอะไรไม่ถูก แทบจะเป็นบ้าเพราะไม่เหลือใครเลยให้เราได้ยึดเหนี่ยว มองไปทางไหนก็ไม่รู้จักใครเลย สมมุติถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้
     
  10. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ก่อนที่วันนี้จะมาคิดได้นั้นได้โทรคุยกับพี่ท่านหนึ่งแล้วเล่าให้ฟังถึงภาพที่เห็นค่ะ พี่เขาก็แนะนำการวางอารมณ์มาค่ะ ขอต่อจากเมื่อวานนะคะ พอได้เห็นภาพที่ตัวเราเองได้รับจากการสูญเสียคนที่เรารักไปนั้น อารมณ์ใจตอนนั้นยังไม่คลายค่ะ คือมีสองอารมณ์ตีกันอยู่ อารมณ์หนึ่งคือเฉยยอมรับได้ อีกอารมณ์หนึ่งคือความทุกข์โศกที่ได้รับเข้ามากระทันหันแบบไม่ได้ตั้งตัว จึงทำให้มีความคิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรดี เราจะไปไหน ในเมื่อตรงนั้นไม่มีใครให้คำปรึกษาเราได้ มีแต่ความโกลาหลจับต้นชนปลายไม่ถูก อีกสักพักมีความคิดผุดขึ้นมาว่า คนที่ตายไปแล้วนั้นเขาสามารถแบกร่างเขาไปได้ไหม แล้วที่เขาไปนั้นคืออะไรที่ไป แล้วร่างนั้นจะคงสภาพเดิมไหม แล้วคนที่ตายไปแล้วมาอาลัยอาวรณ์กับร่างของเขา จะสามารถทำให้ฟื้นขึ้นได้ไหม ในเมื่อคนที่ตายแล้วไม่สามารถจะฟื้นคืนได้ แล้วเราคนที่รอดล่ะจะทำอย่างไร จะมาเศร้าโศกเสียใจก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ ควรที่จะคิดว่ายังดีที่มีเรารอดอยู่เพื่อที่จะได้ทำแผ่บุญส่วนกุศลไปให้ แล้วจงวางกำลังใจว่า เรายังมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำต่อไป ก็ควรจะทำสานต่อเจตนารมณ์ที่ได้ตั้งใจไว้ ถึงแม้หนทางข้างหน้าจะลำบาก เจออุปสรรคขนาดไหน ก็ต้องทำ สิ่งที่ยังมีให้เรายึดเหนี่ยวอยู่ก็คือพระ แล้วจงคิดว่า ไม่มีใครหรอกในโลกนี้ที่จะไม่มีความทุกข์ และไม่มีใครในโลกนี้ที่จะไม่เจอความพลัดพรากสูญเสียจากคนที่เรารัก ดังนั้นจงมองว่าเราผ่านเจอแบบนี้มากี่ภพกี่ชาติมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ต่างต้องเจอกับความทุกข์และการพลัดพรากด้วยกันทั้งนั้น พอได้คิดแบบนี้แล้วความรู้สึกอารมณ์ค่อยคลายลงจากเมื่อวานเยอะค่ะ

    ตอนที่พิจารณานั้นอารมณ์ใจหนักมากไม่สามารถทำใจให้สบายได้ ก็เลยจะเปลี่ยนเรื่องพิจารณา อีกสักพักนึกถึงคำของพี่ที่โทรคุยกันว่า การที่เราจะมองถึงอารมณ์ใจนั้นเราต้องดูสาเหตุที่เราเป็นแบบนี้นั้นเพราะอะไร แล้วจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ เราต้องคิดและขุดดูว่าตอนนี้สิ่งที่เราเป็นนั้นใช่หรือไม่ ต้องกล้าที่จะยอมรับกับตัวเอง อย่าพยายามคิดว่าไม่สำคัญไม่สนใจช่างมัน เพราะการที่เรามองว่าไม่สำคัญช่างมันเถอะ มันเหมือนกับกดอารมณ์ใจของเราอยู่ พอถึงเวลาที่เจอปัญหาก็ยากที่จะจัดการกับอารมณ์นั้นๆ ดังนั้นจึงต้องพยายามแก้ไขขัดเกลากับอารมณ์และกิเลสของเราให้เบาบางลง อย่าปล่อยผ่านเลยไปโดยไม่สนใจ
     
  11. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    อีกด้านหนึ่งของการดูอารมณ์ค่ะ
    เมื่อซึมซับอารรมณ์ทุกข์แล้วไม่ต้องพยายามวางอารมณ์ค่ะ แต่ให้รู้และแยกธาตุสังเกตให้เป็น พิจารณาให้ได้ "ทุกข์ให้รู้ เหตุแห่งทุกข์ให้ละ" ยังใช้ได้เสมอค่ะ

    สังเกตข้อที่ 1 เมื่อเกิดอารมณ์หนัก สิ่งที่เราสัมผัส คือก้อนลมอัดที่ตำแหน่งใจ เป็นก้อนๆ ลมหายใจสั้นลงอัดไม่ถึงท้อง นั่นคือ ปฏิริยาทางกาย(สังเกตไหมอารมณ์เปลี่ยนลมหายใจของเราเปลี่ยนความหนักเบาไปด้วย!!!)

    พอเห็นก้อนนั้นเราจะแยกพิจารณาเป็นสองกรณี คือ กายจริงๆ คือก้อนเนื้อ สังเกตชัดๆ "ศพ" ศพเป็นกายที่ปราศจากจิตวิญญาณ มันก็เป็นแค่ก้อนๆหนึ่งใครหยิกใครแตะเอามีดไปบาดมันมีปฏิกริยาอย่างเดียว คือการเปลี่ยนแปลงธาตุ 4 เช่น น้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองไหลหยาดเย้ม สวยงาม???(ล้อเล่นอ่ะ) แต่ ศพ จะไม่มีอาการเจ็บปวด โอดครวญ ใครด่า ใครว่า ก็ไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง ศพ คิดไม่เป็น!!!!!!

    ฉะนั้น ปฏิกริยาทางอารมณ์ ความจำความคิด การรับรู้ทั้งหมด เกิดที่ จิต ติดขัณฑ์!!!!

    อย่างไรที่เรียกว่า "จิตติดขัณฑ์" ตานี้เรามาแยกส่วนกัน

    อารมณ์ความคิดความจำ การับรู้( เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ) จริงๆแล้วมันเป็นอารมณ์จิตชนิดหนึ่ง คำว่า อารมณ์ จิต ก็คือ อาการที่เกิดขึ้นจากการที่จิตเข้าไปรับรู้การสั่นสะเทือนของธาตุ 4
    กระบวนการในการเกิดความคิด คือ จิตวิ่งไปจับ อนุสัย หรือสัญญาขัณฑ์ที่มันกระเทือนเพราะมีมูลเหตุคือกรรม(การตั้งเจตนา)หรืออาหาร( คือตัวป้อนเช่นเห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่นได้รส หรือมันผุดเองจากใจ) เมื่อสัญญาถูกเขย่าบวกกับอาหาร(คือตัวกระตุ้น)มันก็ปั่นละซิทีนี้ ปั่นปรุงเป็นความคิดเป็นเรื่องๆๆเลย ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ไอ้ตัวความคิดจริงๆมันหาตัวตนได้เมื่อไหร มันก็แค่เป็นคลื่นพลังงานที่กระทบกับกระแสประสาททำให้ประสาทสั่นสะเทือนในความถี่ต่างกันเป็นระลอกๆๆๆแค่นั้นเอง แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นก็เพราะเรามี จิต!!!
    จิตมันเข้าไปรู้การสั่นสะเทือนของธาตุขัณฑ์ทุ้กทุกขณะออกจะละเอียดยิบ แปลออกมาให้เรียบร้อย มันเข้าไปรู้มันก็เข้าไปซึมซับรับอาการแเปลี่ยนแปลงธาตุ 4 หลังการเกิดปฏิกริยาแล้วด้วย มันจึงแปลงมาเป็นอารมณ์ที่เราเรียกกันว่าเวทนา
    อารมณ์มันก็แค่การกระเทือนของธาตุขัณฑ์อีกนั่นแหละ คือ ทุกอย่างที่เรารับรู้ คิด จำ มีอารมณ์เพราะเรามีจิต

    ถ้าไม่มีจิตเราก็เหมือนต้นไม้คือ ต้นไม้มันมีวิญญาณ มีการหายใจ มีการแลกเปลี่ยนพลังงาน แต่มันไม่มีจิต! มันก็เลยไม่รู้จักเจ็บปวด

    นั่นคืออาการที่จิตติดขัณฑ์ นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์,เทพเทวา, พรหม ก็จิตติดขัณฑ์ด้วยกันทั้งนั้นเพียงแต่ท่านเทพเทวา พรหม หรือสัตว์ภพภูมิอื่นๆที่ไม่ใช่โลกมนุษย์ท่านเป็น รูปในนาม คือ เป็นรูปที่เสวยผลวิบาก ในอีกลักษณะหนึ่ง ในขณะที่เรา เป็นนามในรูป ฉะนั้น ไม่ว่าคนหรือสัตว์ เทพหรือพรหมม สัตว์นรก,ผีหรืออะไรก็หนักเพราะแบกขัณฑ์ทั้งนั้น เลิกแบกเมื่อไหร่ตามพระท่านไปก็สบายเมื่อนั้น

    นั่นคือ อารมณ์ความจำความคิด การรับรู้มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นตราบใดที่จิตไม่เป็นอิสระจากธาตุขัณฑ์ คือ ขัณฑ์ส่วนขัณฑ์ จิตส่วนจิต ตราบนั้นเราก็ ไม่พ้นการกระเพื่อมตามแรงการกระเทือนของธาตุขัณฑ์ ค่ะ
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,672
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** นั่งสมาธิ ****

    การนั่งสมาธิ... มีข้อเสีย มักทำให้เห็นว่าตนเองดีแล้ว เหนือผู้อื่น
    จนลืม เรื่องการใช้สมาธิพิจารณา เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้ง
    ลืมที่จะพิจารณาตนเอง พิจารณานิสัย การกระทำของตนเอง
    ลืมเรื่องความพยายามตัดกิเลสนิสัย เพื่อให้หลุดพ้นอย่างที่ใจปรารถนาอยู่ตลอดเวลา
    ลืมที่จะคิดต่อว่า พระพุทธเจ้าใช้สิ่งใดเป็นตัวหยุดยั้งกิเลสนิสัย กามอารมณ์

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    อนุโมทนาค่ะ ขอบคุณมากค่ะที่ได้ให้ข้อคิดในการพิจารณา ขอยอมรับค่ะยังติดในเรื่องขันธ์จริงๆค่ะ
     
  14. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    <TABLE border=10><TBODY><TR><TD>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
    [​IMG]
    ภาพเหมือนสีปาสเตล ฝีมือ อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD class=head>แลกทุกข์กันไหม?</TD></TR></TBODY></TABLE>
    วันหนึ่ง ขณะที่ธุดงค์ไปพักที่วัดถ้ำแสงเพชร ซึ่งอยู่ไกลจากอำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ พอสมควร ปรากฏว่า มีโยมอุปัฏฐากที่เป็นผู้มีหน้า มีตา ของอำเภอ และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ นักปฏิบัติ มานั่งร้องไห้ต่อหน้าหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ยังคงนั่งเฉยอยู่ จนเมื่อโยมได้สร่างโศกลงบ้าง ท่านก็ถามว่า "เป็นอะไรล่ะ จึงนั่งร้องไห้" โยมผู้นั้นเล่าว่า รถที่เพิ่งซื้อมาใหม่ถูกขโมยไปแล้ว แต่ หลวงพ่อก็นั่งเงียบ เผอิญก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมกับญาติ พอกราบหลวงพ่อเสร็จก็ร้องไห้ เป็นวรรคเป็นเวรเช่นกัน หลวงพ่อนั่งคอยจนเขาพอพูดได้ ก็ถามด้วยคำถามเดิมว่า "เป็นอะไรไปล่ะ"
    เขาก็ตอบว่า "เมียตายสองคน ลูกตายสองคน" (เผอิญชายคนนี้มีภรรยาสองคนอยู่ในบ้าน เดียวกัน) หลวงพ่อก็ถามต่อว่า "เป็นอะไรตายล่ะ" โยมผู้ชายก็ตอบว่า "กินเห็ดเบื่อตาย"
    หลวงพ่อหันไปถามโยมผู้หญิงที่ยังน้ำตาซึม แต่ก็นั่งเงียบฟังโยมผู้ชายเล่าอยู่ด้วยและพูดว่า "แลกกันไหมล่ะ ดูซิ ของเขาลูกเมียตายตั้งสี่คน ของโยมรถหายคันเดียว โลกนี้เป็นอย่างนี้ แหละ มีความปรารถนาอะไรแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ไม่อยากให้รถหาย มันก็หาย ไม่ อยากให้ลูกเมียตาย ก็ตาย ใครจะห้ามได้ ชีวิตทุกชีวิตเป็นอย่างนี้แหละ ใครอยากล่ะ โยม อยากให้รถหายไหม โยมอยากให้ลูกเมียตายไหม"
    ทั้งคู่ก็ตอบรับหลวงพ่อว่า "ไม่อยากค่ะ (ครับ)"
    หลวงพ่อกล่าวต่อไปว่า "เป็นอย่างนี้แหละ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ให้เราพิจารณาดู ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา คนก็เหมือนกัน เราไม่จากเขา เขาก็จากเรา มันอยู่ที่ ใครไปก่อนใครเท่านั้นเอง บางทีวัตถุก็ไปก่อนเรา บางทีเราก็ไปก่อนวัตถุ บางทีคนใกล้ชิดเราเขา ก็ไปก่อน บางทีเราไปก่อนเขา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของกรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราย่อมมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นผู้ติดตาม ให้ผล ไม่ว่าบุญหรือบาป ดีหรือชั่วก็ตาม เราจะต้องรับกรรมนั้นโดยแน่นอน
    สำหรับโยมผู้ชายนั้นโยมผู้หญิงกับลูกเขาทำกรรมกับเรามาแค่นี้ เขาตายไปเขาก็ไม่ขอ อนุญาตเรา ไม่บอกเรา ไม่ได้เขียนใบลา เขาก็ตายไป โยมผู้หญิงก็เช่นกัน รถคันนี้มันทำกรรมกับ โยมมาแค่นี้ รถมันก็ไม่บอกเราก่อนว่ามันจะถูกขโมยแล้วนะ อยู่ ๆ มันก็หายไป ดังนั้นให้เราเห็นว่า เป็นธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา เราเกิดมาเป็นอะไร เกิดที่ไหน เกิดมากี่ ครั้ง ๆ โลกก็เป็นเช่นนี้ เราเองต่างหากที่ไปอุปาทานว่า นี่รถของเรา นี่ลูกนี่เมียของเรา รถมันไม่เคย บอกนะว่ามันเป็นของเรา เราไปซื้อมันมาตกแต่ง มารักมันเอง ที่จริงรถมันไม่ได้เป็นของใคร
    มันเป็น ของธรรมชาติที่ไหลไปตามเหตุปัจจัย มนุษย์ไปสมมุติขึ้นมา แล้วยึดว่าเราเป็นเจ้าของ เมื่อมันหาย ไปให้เราคิดว่า นั่นเป็นการคืนกลับสู่ธรรมชาติ โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ลูกเมียก็เสียไปแล้ว พิจารณา มองให้เห็นว่าเป็นทุกข์ ไม่ใช่พอสร่างโศกก็ไปหามาใหม่ เป็นการเพิ่มทุกข์ขึ้นมาอีก เราควรทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ทำภาวนา แผ่ให้ผู้ตายบ้าง เราเองก็ต้องตาย ไม่แน่ว่าเมื่อไร ขอให้เข้าใจสัจธรรม ของธรรมชาติ"
    หลวงพ่อกล่าวเป็นสังเขปพอให้โยมสร่างทุกข์ หน้าที่ของพระก็คือ แก้ไขทุกข์ โดยคิดว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น เมื่อกล่าวไปแล้วก็ไม่ได้คิดปรุงว่า จะแก้ ได้หรือไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีคำตอบอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว ผู้มีปัญญาก็จะค้นหาคำตอบ ของปัญหาของเขาเองได้ในที่สุด

     
  15. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    เมื่อวานที่ได้พิจารณาจนอารมณ์ได้คลายไปนั้น แต่ยังไม่หมดไปทีเดียว เป็นแค่คลายจากการที่พิจารณาตอนแรกนั้น เหมือนคล้ายคนที่หลงอยู่ในป่าหาทางออกไม่เจอ แต่พอมาเจอหนทางที่จะพาตัวเองออกจากหลงทางแล้ว ก็มีความรู้สึกโล่งอก คลายความกังวลลงไปบ้าง แต่พอมาพิจารณาถึงหลักความจริงของคนที่สูญเสียพลัดพรากจากคนที่เรารักนั้น อารมณ์ของคนที่ได้กระทบกับเหตุการณ์ตรงนั้น ไม่ใช่มีแค่ความเศร้าโศกเสียใจเพียงอย่างเดียว มีความรู้สึกถึงความรัก การผูกพัน ความอาลัยอาวรณ์ ความร่วมทุกข์ร่วมสุขที่ได้ใช้ชีวิตกันมา เพราะคนที่เกิดการสูญเสียนั้นเขาจะรวมอารมณ์ทั้งหมดของเขาแสดงออกมาจากใจให้เราสัมผัสได้ ตอนที่คิดถึงตรงนี้จึงทำให้เข้าใจของจิตคน ว่าจิตของคนเรานั้นมีความลุ่มลึกละเอียดอ่อนมากเพียงไหน ไม่ใช่คิดแต่เพียงว่าการที่คนเรานั้นตายแล้วก็แล้วกัน แต่สำคัญอยู่ตรงที่ว่าคนเป็นที่เหลืออยู่ เมื่อเขาเจอสถานการณ์แบบนี้ เราจะไปปลอบโยนจิตใจของเขาอย่างไร ให้เขาคลายจากความทุกข์โศก และสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ด้วยตัวของเขาเอง

    พอมาคิดถึงตรงจุดนี้อยู่ๆก็ทำให้นึกถึงเรื่องที่เคยอ่าน ในสมัยพุทธกาลที่มีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่หนีไปใช้ชีวิตกับผู้ชาย ทั้งที่ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของเศรษฐี
    (ขออภัยถ้าจำผิดพลาด) อยู่มาวันหนึ่งลูกสาวเศรษฐีชวนสามีกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ของฝ่ายผู้หญิง ระหว่างที่เดินทางรอนแรมไปนั้น สามีของผู้หญิงได้ถูกงูกัดตาย ทีนี้ก็เหลือแต่ลูกทั้งสองและลูกสาวเศรษฐี พอเดินทางมาถึงมีแม่น้ำขวางทางอยู่ น้ำนั้นมีความลึกและเชี่ยวมาก จึงต้องข้ามพาลูกไปทีละคน ก่อนที่จะพาลูกไปนั้น ก็ได้หันมาบอกลูกคนโต บอกว่า "แม่จะพาน้องข้ามไปก่อน แล้วค่อยมารับลูกข้ามไป รอแม่อยู่ตรงนี้ " ฝ่ายลูกคนโตก็รับฟัง พอแม่พาลูกคนเล็กข้ามน้ำแล้วไปวางอยู่บนฝั่ง แล้วจะหันกลับไปรับลูกอีกคน ระหว่างกำลังข้ามไปนั้น พอดีหันมามองลูกคนเล็กเห็นนกมาคาบลูกไป ก็ส่งเสียงไล่ ทางลูกชายคนโตได้ยินเสียงแม่ คิดว่าแม่เรียก ก็เดินข้ามน้ำมา กลับถูกกระแสน้ำพัดพาหายไป พอแม่ได้เห็นลูกของตนเองโดนกระแสน้ำพัดพาไป และยังมีลูกคนเล็กที่โดนนกคาบไปอีก ความรู้สึกตรงนั้นของคนเป็นแม่จะเป็นอย่างไร เท่านั้นยังไม่พอ พอเดินมาถึงเมืองของเศรษฐีผู้เป็นพ่ออยู่ ก็ได้รับรู้ว่า ทั้งพ่อแม่ พี่น้องของตนเองได้เสียชีวิต จากพายุที่ได้พัดบ้านเรือนพังเสียหายอีก จากคนที่มี พ่อแม่ พี่น้อง สามีและลูก กลับกลายต้องสูญเสียคนอันเป็นที่รัก จึงทำให้ตัวเองกลายเป็นคนเสียสติ เดินกระเซอะกระเซิง ผ้าผ่อนหลุดลุ่ยรำพึงรำพันถึงคนที่จากไป ผู้คนก็มีแต่ความรังเกียจ จนมาวันหนึ่งเธอเดินมาถึงพระพุทธเจ้าท่านกำลังแสดงธรรมอยู่ พอมีคนเห็นก็จะไล่เธอไป แต่พระพุทธเจ้าท่านมีพระมหากรุณา ท่านทรงห้ามแล้วพร้อมตรัสว่า "น้องหญิง จงมีสติกลับมาเถิด" (ระหว่างที่พิมพ์นี้ไม่ได้ดูเนื้อหาอาศัยความจำที่เคยอ่านนานแล้วถ้าผิดพลาดต้องขออภัย) หลังพอพระพุทธองค์ท่านทรงตรัสแล้ว ลูกสาวเศรษฐีก็มีสติ พอรู้ตัวว่าตัวเองไม่มีเสื้อผ้าก็เกิดความอาย พอดีมีคนหาผ้ามาให้เธอนุ่ง เธอก็ได้คร่ำครวญถึงคนอันเป็นที่รักยิ่งด้วยน้ำตานองหน้า พระพุทธองค์ท่านก็ทรงตรัสว่า ความพลัดพรากนั้นเป็นทุกข์ ไม่มีใครหรอกในโลกนี้จะไม่พลัดพรากจากกัน แล้วท่านก็สอนธรรมต่างๆให้ลูกสาวเศรษฐี จนในที่สุดเธอก็สามารถคลายจากความทุกข์โศกทั้งปวง พอมาคิดพิจารณาถึงตรงนี้อารมณ์ที่ไม่คลายทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้งค่ะ
     
  16. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +17,625
    พระพุทธเจ้าทรงนั่งสมาธิตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ เกิดปัญญารู้แจ้งด้วยพระองค์เองละครับ จะว่ายังไง ?

    สิ่งที่พระองค์นั่งสมาธิใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั้นก็เป็นเพราะสัจจะของท่านนะครับ

     
  17. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ดั่งนกแขกเต้าในแคว้นกุรุ เจริญกรรมฐานเพียงบทเดียวว่า
    อํฏฺฺฐิ อํฏฐิ

    อุปมาดังนั้น เราทุกคนก็คือกระดูกเดินได้ เล่นละครตามบทของกรรม

    "เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา
    โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานา"

    ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางสายเอก เป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิืหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความเศร้าโศกปริเวทนาการ เพื่อดับทุกข์โทมนัส เพื่อบรรลุมรรค เพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน ทางสายเอกนั้นคือ สติปัฏฐาน 4 ดังนี้

    เอกายโน แปลได้ว่า
    1) เป็นทางเส้นเดียว
    2) พึงถึงได้คนเดียว
    3) แยกได้เป็นสองคำ คือ เอก แปลว่าคนเดียว อายโน แปลว่า เป็นเครื่องไปจากสงสารสู่นิพพาน
    4) แปลว่า เป็นที่ไปของท่านผู้ประเสริฐสุดคนเดียว (ทรงค้นพบด้วยพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว)
    5) แปลว่า เป็นไปในที่แห่งเดียว
    6) แปลว่า เป็นที่ไปสู่ที่แห่งเดียว

    อริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันเป็นของจริงแห่งพระอริยเจ้า ยังความเป็นพระอริยเจ้าให้สำเร็จ สามารถค้นพบได้ในรูป กับ นาม คือ สกลกายอันยาววาหนาคืบนี้ด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาปัญญา

    (จากวิปัสสนากรรมฐาน ภาค 2 พระธรรมธีรราชมหามุนี)
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,672
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** ผู้ทำได้คงต้องมา ****

    สมัยก่อน...ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้ความพยายามค้นหาธรรม ค้นหาสัจจะธรรม ค้นหาคำสอนเอง
    โลกุตตระธรรม....ปรากฏเป็นอะไรก็ได้ เป็นคนแก่ ซากศพ เป็นเสียงนกร้อง หรือจะเป็นอะไรก็ได้
    เพื่อนำพาให้ผู้นั้นบรรลุ...สัจจะธรรม แก่นสารความจริง
    แต่ทุกวันนี้....สัจจะธรรม สัจจะคำสอนพระพุทธเจ้าได้หมดไป
    พระธรรม ... ต้องมาปรากฏเป็นมนุษย์ เพื่อตามหาผู้ทำได้ ให้มาทำต่อ
    จึงส่งมอบหลักสัจจะธรรม... ปักเป็นหลักโลกุตตระ ทิ้งไว้ให้
    สัจจะ คำสอนพระพุทธเจ้า...หมดไปหลังพระพุทธเจ้านิพพานไปสี่ร้อยปี
    เป็นเพราะ รักความสบาย...ทำให้ไม่พยายาม ลด ตัดกิเลสนิสัย
    จากที่พระพุทธเจ้า....เคยเสด็จหนีจากวังไปอยู่ป่า
    เพื่อให้หลุดพ้น...จากความคิดอารมณ์ที่ติดหลงในวัตถุที่ให้ความสบายทางกาย
    โบสถ์...สมัยพระพุทธเจ้าไม่มี เพราะมุ่งหลุดพ้น จึงต้องตัดทุกอย่าง หันมาพึ่งตนเอง
    แต่พอสี่ร้อยปี หลังพระพุทธเจ้านิพพาน....พราหมณ์นำโบสถ์จากพราหมณ์มาสร้างในศาสนาพุทธ
    พระสงฆ์ หลังจากนั้น...เริ่มอยู่สบายในโบสถ์ในวัด ไม่หวนกลับไปป่าเช่นพระพุทธเจ้า
    สุดท้าย...สัจจะปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนมาก็หมดไปในที่สุด
    แล้ว....ศีลของพราหมณ์จึงเข้ามา

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,672
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** เยี่ยงอย่าง ***

    เมื่อปรารถนา หลุดพ้นทุกข์ จึงต้องพึ่งตนเอง
    มีผ้าพันกาย ฉันข้าวที่เขาให้ในอ่าง อยู่ข้างถนน
    ประชาชนผ่านไปมา ก็พูดวิจารณ์ต่างๆนาๆ กินข้าวในอ่างเหมือนสุนัข
    คำพูดเสียดแทงใจเหลือเกิน ก็ต้องข้ามความรู้สึกนั้นให้ได้
    หยุดความรู้สึกไม่พอใจ โกรธ โมโห ได้ ก็ข้ามได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,672
    ค่าพลัง:
    +51,946
    มีอะไรบ้าง อยู่รอบๆ พระพุทธเจ้า !!!
    มีอะไรบ้าง ที่สื่อถึงพระพุทธเจ้า

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     

แชร์หน้านี้

Loading...