กระทู้รวบรวม การปลูกผักกินเอง (ที่บ้าน)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย whitenaga, 25 มีนาคม 2009.

  1. whitenaga

    whitenaga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    797
    ค่าพลัง:
    +2,752
    [​IMG] มีแปลงสาธิตผักสวนครัว หลายแปลง

    [​IMG]

    [​IMG] ยี่หร่าในกระถาง สำหรับคนชอบรสร้อนแรง [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG] ถ้าหากมีพื้นที่พอ และปลูกผัก/หรือมีสวนหย่อม
    แนะนำให้ติดตั้งเครื่องออกกำลังกายแบบนี้ด้วย ได้ประโยชน์หลายต่อ [​IMG]



    [​IMG]
     
  2. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    717
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้อมูลดีมากๆเลยครับ ผักเบสิคที่สุดที่น่าเริ่มต้นปลูกเป็นอะไรดีครับ
     
  3. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    ต่อไปคงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่เเต่ละบ้าน ควระมีไว้ การช่วยเหลือตัวเองในขึ้นพื้นฐาน คงเป็นสิ่งพื้นฐานที่ทุกคนต้องรู้..
     
  4. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เพิ่งเดินทางไปที่ จังหวัดเลย คนทั้ง ตำบล ห้าหมู่บ้าน ซื้อ ผัก ซื้อข้าวสารซื้อของใช้ ทั้งหมด จากรถสองแถวที่วิ่งเข้ามาใน เขตภูเขานั้น วันละครั้ง หากซื้อไม่ทันก็อด พึ่งตนเองไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

    น่ากลัว แทนมากๆเลยครับ หากรถเสีย หรือทางขาดจะทำอย่างไร

    ซื้อของทุกอย่างแม้แต่ผักสวนครัว ซึ่งปลูกเองได้ในเขตต่างจังหวัด หากนับรวมๆทำบัญชีครัวเรือนดูแล้ว เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมากเลยครับ

    ในเมืองเองเราก็สามารถปลูกผักเอง ผลิตปุ๋ยเองได้ครับ
     
  6. whitenaga

    whitenaga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    797
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ตอนนี้มีความคิดว่าจะลองปลูกผักกินเองที่บ้านพักอยู่ค่ะ อยู่ในระหว่างเตรียมพันธ์ผัก กระถางต้นไม้ เป็นสวนผักเล็กๆ เพราะที่พักเป็นแฟลต คืบหน้ายังไงจะเขียนมาเล่าให้ฟัง (เพราะเป็นครั้งแรก ที่ปลูกผักค่ะ) ชวนคนอื่นปลูกผัก พึ่งพาตัวเอง ก็ต้องลองทดลองเองก่อน^^
     
  7. อาหลี_99

    อาหลี_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +2,992
    สวยๆทั้งนั้นเลยครับ;aa1

    เอาเห็ดปลูกที่บ้านมาฝาก กินไม่ไหวเยอะมาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06566.jpg
      DSC06566.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.6 KB
      เปิดดู:
      122
    • DSC06577.jpg
      DSC06577.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.8 KB
      เปิดดู:
      108
    • DSC06579.jpg
      DSC06579.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.8 KB
      เปิดดู:
      82
  8. mook_me

    mook_me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +241
    อาหลีเก่งจัง*-*
     
  9. ตุ๊กตาแก้ว

    ตุ๊กตาแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    557
    ค่าพลัง:
    +3,265
    คุณ อาหลี สอนเพาะเห็ดเลยค่ะ ^^
     
  10. mook_me

    mook_me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +241
    สวยๆ น่ากิน อาหลีสอนมั่ง *-*
     
  11. mook_me

    mook_me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +241
    สูตรการเพาะเห็ดยานางิ จากฟางข้าว
    [ข้าวเป็นพืชมหัศจรรย์ที่ทนต่อทุกสภาพในเมืองไทย มีประโยชน์นานัปการแทบทุกส่วนก็ว่าได้ นอกจากนั้นยังสมารถนำมาพัฒนาเป็นวัสดุในการเพาะเห็ดได้เป็นอย่างดี]
    เมื่อเช้าได้รับคำถามเรื่องการเพาะเห็ดจากอาจารย์มงคลสวัสดิ์ วงค์เขียว จากโรงเรียนบ้านชาดฮี(ธรรมทินโนปถัมภ์) อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอาจารย์อยากจะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ฟางข้าวเป็นวัสดุในการเพาะเห็ด โดยเฉพาะเห็ดยานางิ หรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่าเห็ดโคนญี่ปุ่นนั่นไงครับ ดังนั้นผมจึงใคร่ขอ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลปรร) ในวันนี้ก็แล้วกันนะครับ
    [SIZE=+0] [/SIZE][SIZE=+0] [/SIZE]
    [​IMG]

    ดอกเห็ดยานางิที่เพาะจากฟางข้าว
    เห็ดยานางิหรือเห็ดโคนญี่ปุ่น Pholiota cylindracea เดิมเป็นเห็ดที่เกิดในท่อนไม้ผุตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันได้มีการศึกษา และพัฒนาการเพาะเลี้ยงในเมล็ดธัญพืช แล้วเปลี่ยนมาเป็นขี้เลื่อยที่เพิ่มอาหารเสริมในอัตราที่เหมาะสมทำให้กับเห็ดชนิดนี้เจริญได้ดีในเวลาต่อมา เห็ดยานางิ เป็นเห็ดที่มีรสชาติดี โดยมีลักษณะเนื้อดอก ก้านดอก มีความกรอบแน่น เนื้อคล้ายเห็ดโคน กลิ่นหอมนิยมใช้ประกอบอาหารหลายชนิด นอกจากนี้ยังสามารถเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นได้ นานกว่า 1 สัปดาห์ โดยยังมี ความสด รูปร่าง ขนาดน้ำหนัก และสีสรร ไม่เปลี่ยนแปลง การเพาะเลี้ยงสามารถกระทำได้ ง่ายเหมือนการเพาะเห็ดถุงทั่วไป และยังเพาะเลี้ยงได้ตลอดปี จึงมีแนวโน้มว่าจะเป็นเห็ดเศรษฐกิจที่มีอนาคต
    สัณฐานวิทยา หมวกเห็ดมีลักษณะค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 4-10 ซม. ดอกเห็ดที่ออกใหม่ จะมีลักษณะกลม ขนาดเล็ก ตรงกลางหมวกจะนูนสูงขึ้นมา ดอกสีน้ำตาลเข้ม มีเยื่อหุ้มสีขาวอยู่บริเวณใต้หมวก เมื่อดอกเห็ดแก่สีของหมวกจะซีดลงเป็นสีน้ำตาลอ่อน ตรงกลางหมวกที่ เคยนูนจะยุบและแบนราบ ขนาดดอกจะขยายใหญ่ขึ้นจนเยื่อหุ้มส่วนล่างใต้ดอกเห็ดจะฉีกขาด แล้วเปลี่ยนแปลงเป็นวงแหวนสีน้ำตาลเข้มติดอยู่ที่ก้านดอกเห็ด เมื่อดอกเห็ดแก่เต็มที่วงแหวนนี้จะเห็นไม่ชัดเจน สปอร์ ที่ครีบเห็ดมีลักษณะกลมรีเป็นรูปไข่ สีน้ำตาลเข้ม ส่วนของก้านดอกจะกลมและค่อนข้างยาวประมาณ 5-11 ซม. มีสีขาว แต่จะมีเส้นสีน้ำตาลแทรกอยู่ ดอกอาจเกิดเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มก็ได้ การเก็บเกี่ยวจะทำได้ง่าย เนื่องจากส่วนรากยึดติดกับวัสดุเพาะเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและไม่ติดแน่น
    สูตรการทำก้อน
    <TABLE class=MsoTableGrid style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=1><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: windowtext 1pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 239.25pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>
    สูตรที่ 1
    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: windowtext 1pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 239.25pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>สูตรที่ 2</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>1. ขี้เลื่อยไม้ยางพารา 100 กิโลกรัม</TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>1. ฟางข้าวสับ 100 กิโลกรัม</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>2. รำละเอียด 7 กิโลกรัม</TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>2. รำละเอียด 7 กิโลกรัม</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>3. ภูไมท์ซัลเฟต 3 กิโลกรัม</TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>3. ภูไมท์ซัลเฟต 3 โลกรัม</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>4. ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม</TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>4. ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>5. ยิปซัม 1 กิโลกรัม</TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>5. ยิปซัม 1 กิโลกรัม</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>6. ปูนขาว 1 กิโลกรัม</TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>6. ปูนขาว 1 กิโลกรัม</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>7. ความชื้น 65-70 %</TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>7. ความชื้น 65-70 %</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>8. ความเป็นกรด-ด่าง 5.5 -7 </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 239.25pt; BORDER-TOP-COLOR: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=319>8. ความเป็นกรด-ด่าง 5.5 -7 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สูตรนี้ต้องหมักวัสดุกับส่วนผสมต่างๆ คลุกเคล้าให้เข้ากันยกเว้นรำละเอียดทิ้งไว้นาน 7 วัน โดยกลับกองฟางหมักทุก 3 วัน จนกระทั้งไม่มีกลิ่นแอมโมเนีย ปรับความชื้น 65-70 % บรรจุวัสดุตามสูตรทั้ง 2 ลงในถุงพลาสติกทนร้อนขนาด 7 x 12 นิ้ว หนักถุงละ 1 กิโลกรัม สำหรับขี้เลื่อย และ 500-800 กรัม สำหรับฟางข้าวสับ ใส่คอขวด จุกสำลีใช้ฝาครอบพลาสติกปิดจุกสำลีกันเปียกน้ำ นำไปนึ่งฆ่าเชื้อด้วยหม้อนึ่งแบบลูกทุ่งใช้เวลา 2-4 ชม.ที่อุณหภูมิ 90-100 ํC ทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นใส่หัวเชื้อเห็ด โดยเทเมล็ดข้าวฟ่างซึ่งมีเส้นใยเห็ดเจริญคลุมอยู่ ลงถุง อาหารผสม ถุงละประมาณ 15-20 เมล็ด ในห้องที่ไม่มีลมโกรก และสะอาด นำไปบ่มไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิประมาณ 25-30 ํC เส้นใยเห็ดจะเจริญเต็มถุงวัสดุเพาะประมาณ 30-45 วัน
    การทำให้เกิดดอกเห็ดและเก็บเกี่ยว เมื่อเส้นใยเห็ดเดินเต็มถุง ย้ายก้อนเชื้อไปยังโรงเรือนเปิดดอก ซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 25-30 ํC และความชื้นประมาณ 80-90 % การเปิดดอกโดยถอดจุกสำลีออกนำถุงก้อนเชื้อมาวางเรียงไว้บนชั้นเพาะในโรงเรือนที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี ในช่วงเช้าและบ่ายจะให้น้ำก้อนเชื้อและบริเวณภายในโรงเรือน วันละประมาณ 2 ครั้ง เพื่อให้มีความชื้นสม่ำเสมอ หลังเปิดดอกประมาณ 5-7 วันจะเกิดดอกเห็ด และสามารถนำไปบริโภคได้
    สรุปแนวทางการผลิต
    จากแนวทางการผลิตเห็ดยานางิ หรือเห็ดโคนญี่ปุ่น ในจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อเดือน มกราคม 2548 -49 ที่ผ่านมา พบว่าสามารถให้ผลผลิตได้ดี ทั้งในวัสดุเพาะที่มาจากขี้เลื่อย และฟางข้าว แต่วัสดุเพาะที่เป็นปลายฟางข้าวนวดนั้น มีแนวโน้มที่เชื้อเห็ดเดินเต็มก้อนเชื้อได้เร็วกว่า อีกทั้งการเกิดดอกในแต่ละรุ่นที่เร็วกว่าการใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพาราเป็นวัสดุเพาะ นั่นแสดงให้เห็นว่าฟางข้าวที่มีเหลือใช้ในเขตภาคอีสานจำนวนมากนั้นมีโอกาสในการพัฒนาเป็นวัสดุทดแทนการการใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพาราที่มีราคาสูงมากในปัจุบัน สำหรับการเพาะเห็ดยานางิ หรือเห็ดโคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเห็ดที่มีความต้องการของตลาดและมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 150 บาท

    ขอบคุณมากครับ
    อุทัย อันพิมพ์

    THX U
     
  12. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    อนุโมทนาค่ะ ขอบคุณมากค่ะที่ได้นำความรู้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาอธิบายให้เข้าใจมากขึ้นค่ะ
     
  13. mook_me

    mook_me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +241
    เมื่อเช้าเดินไปหน้าบ้านสังเกตุเห็น แปลงผักเล็กๆที่ข้างบ้าน2แปลง อาแปะเอามาปลูก เป็นผักปลอดสารพิษ คงมีโอกาสได้ศึกษาใกล้ๆตัว เดี๋ยวว่างๆจะถ่ายรูปมาให้ดูค่ะ
    ที่บ้านมุกเป็นสวนปลูกหลายอย่างเช่น มะพร้าว สวนยางพารา เงาะ ทุเรียน มังคุด กล้วยน้ำว้า สับปะรด ทำให้ที่นี่ร่มรื่น อากาศบริสุทธิ์ 100% ^-^ สดชื๊นนนนนสดชื่น
    แต่.. สัญญาณไม่ดี อิอิ
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เห็นคอนเซ็ปป์ของ กสิกรรมธรรมชาติ เขาบอกว่า

    "ปลูกทุกอย่างที่กิน(ได้และเราชอบกิน) และ กินทุกอย่างที่(เรา)ปลูก(ไม่ต้องไปซื้อเขา)"

    ซึ่งหากเราปลูกอะไรที่เราไม่กินหรือไม่ชอบกินแล้ว แรงบันดาลใจในการดูแลต้นไม้ที่เราปลูกก็จะน้อยลงครับ


    และหากเราชอบกินพืชอะไร ก็ตาม แถมเป็นฝีมือเราปลูกเอง ก็จะอร่อยกว่าปกติครับ

    เพราะเราใส่ใจ ใส่ความรักลงไปด้วยครับ
     
  15. mook_me

    mook_me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +241
    เป็นโซนเล็กๆ ที่บ้านปลูกไว้กินเอง แต่เพิ่งจะลองปลูกค่ะ ปลอดสารพิษ100% ^-^

    ภาพ002.jpg

    ภาพ001.jpg

    ภาพ003.jpg

    ภาพ004.jpg

    ภาพ005.jpg


    อันนี้แถม บรรยากาศที่บ้าน ^-^

    home.jpg

    home2.jpg

    home3.jpg

    home4.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    บรรยากาศที่บ้านดีจังเลยน้องมุก สดใส สดชื่น
    มองไปทางไหนก็มีต้นไม้เขียวขจีเต็มไปหมด ชอบจริงๆ เลย
    แบบนี้ถ้าได้ไปอยู่สักวันสองวัน...คงสูดออกซิเจนให้เต็มปอดแน่ๆ :)
     
  17. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,348
    ค่าพลัง:
    +3,864
    โมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ ...เป็นกระทู้ที่มีประโยชน์มากจริงๆ

    ปีนี้พืชผักแพงมาก มะนาวยิ่งแพงสุดๆ
    ที่บ้านซันก็ได้พึ่งพาพืชสวนครัวที่ปลูกกันไว้ แม้ว่าจะไม่มากนัก
    แต่ที่เวลาพืชผักไหนขาดแคลนหาซื้อไม่ได้ เราก็วิ่งเข้าไปเด็ดกันในสวนค่ะ

    การปลูกผักไว้กินเอง นอกจากได้ผักไว้กิน ..ประหยัด และเป็นการใช้พื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์แล้ว
    เรายังได้รับความสุข ความเพลิดเพลินจากการกิจกรรมนี้ด้วย

    เริ่มตั้งแต่ร่วมกันคิดว่า เราจะปลูกอะไรกันดี เราชอบกินอะไร ในบ้านมีอะไรเอามาปลูกได้มั้ย
    อย่างเช่น รากผักชีที่เหลือจากซื้อมาแกงจืด ตัดรากที่แข็งแรงเก็บไว้ปลูกเป็นต้นใหม่ได้

    ความสุข ที่ได้คอยเฝ้าดูว่า ผักเอย ต้นไม้ต่างๆที่เราปลูก นั้นค่อยๆโตกันแล้ว

    ความสุขยามเช้าๆ ตื่นเช้าอากาศสดชื่น ได้รดน้ำต้นไม้ของเรา ผักของเรา

    พอแต่ละต้นเริ่มโตกันเต็มที่ ออกดอก ออกผล
    อยากให้เห็นภาพมะเขือเทศสีแดงสด ลูกตำลึงสีแดง ตัดกับดอกสีขาว รายล้อมด้วยใบเขียวสดจังค่ะ
    (พอดีว่ารูปที่เคยถ่ายไว้ไม่ได้อยู่เครื่องนี้นะคะ ไม่งั้นจะได้นำมาลงไว้ให้ชมด้วยเลย)

    และแล้วสวนของเราก็เริ่มมีสมาชิกใหม่ค่ะ
    นอกจาก หมา แมว แมวบ้านอื่น และนกแล้ว ก็เริ่มมี ผีเสื้อ และ ผึ้ง ค่ะ

    ที่บ้าน มีผึ้งครอบครัวใหญ่ มาอยู่ด้วย เค้าขออาศัยอยู่ที่ต้นมะนาว รังเ้ค้าใหญ่ขึ้นทุกวันค่ะ

    เล่าเรื่องนี้แล้วเพลินดีจัง ...เอาไว้ไปถ่ายรูปเซตใหม่มาอีก
    จะขอนำภาพมาลงไว้ร่วมกิจกรรมด้วยนะคะ

    ^-^
     
  18. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    สุดยอดอาหารล้างพิษ 20 ชนิด
    ที่มา : Forward E-Mail ครับ

    คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่าอาหารเป็นยาที่วิเศษสุด หากได้ทราบว่าอาหารประเภทใดสามารถช่วยล้างพิษได้ คุณอาจจะต้องประหลาดใจ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจเป็นอาหารโปรดที่เรากินกันเป็นปกติอยู่แล้ว บางอย่างก็หาได้ง่าย แถมราคาไม่แพงด้วย อาหารเหล่านี้ช่วยล้างพิษให้ แก่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง

    1. กล้วย
    มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรง แก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

    2. อัลมอนด์
    เป็น ถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึง ควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia ) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

    3. แอปเปิล

    ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

    4. ตำลึง
    ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

    5. อะโวคาโด
    อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน( Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

    6. บีตรูต
    ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผัก มหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล ( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง ในเลือดให้สมดุลด้วย

    7. กะหล่ำ
    เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูล อิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

    8. บลูเบอร์รี่
    เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์ สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ


    9. กระเทียม
    จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึง คุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย


    10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต
    เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับ ความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อ ร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

    11. มะเขือพวงคนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าง แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

    12. แครอต
    เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษใน สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น

    13. ขึ้นฉ่าย
    ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความ สะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควัน บุหรี่ด้วย

    14. พืชตระกูลถั่ว
    (เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย


    15. ทับทิม
    ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด ช่วยล้าง พิษลด การติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

    16. กระเจี๊ยบ
    น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความ สะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

    17. เมล็ดแฟลกซ์
    ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น

    18. มะนาว
    เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษ และทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

    19. หัวหอม
    ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

    20. สาหร่าย
    เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม คุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

     
  19. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    มีข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินหรือเปล่าครับ?
     
  20. mook_me

    mook_me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +241
    การปลูกผักไร้ดิน

    [urli=http://www.vwander.com/save/?save=Hydroponics][THX U][/urli]

    การปลูกผักไร้ดิน ไฮโดรโปนิกส์ Hydroponics

    ผักไร้ดิน ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics)

    การปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน หรือการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน (พืชผักไร้ดิน) นี้เป็นเทคโนโลยีที่เคยมีมาก่อนแล้ว เพราะปัจจุบันกระแสการหันมาใสใจในสุขภาพของคนไทยมีมากขึ้นเป็นลำดับ ผักปลอดสารพิษ ผักกางมุ้ง และผักไฮโดรโปนิกส์ จึงเป็นทางเลือกใหม่ของผู้บริโภคที่กำลังได้รับความนิยมขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งนอกจากจะปลอดภัยจากสารพิษตกค้างแล้ว สีสันยังดูน่ารับประทาน และรสชาติดีอีกด้วย ณ วันนี้ ผักไฮโดรโปนิกส์ นอกจากจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของสุขภาพคนไทยแล้ว การปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน ยังจะเป็นหนึ่งในโครงการอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนในชุมชนใกล้เคียงของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส) ที่อาจารย์อารักษ์ ธีระอำพน อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร ได้วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ลงไปสู่โรงเรียน ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการศึกษาของชุมชน และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เทคโนโลยีและการจัดการที่ใช้ปลูกยังจะช่วยบ่มเพาะให้เยาวชนเกิดการเรียนรู้ รวมถึงกระตุ้นความสนใจในวิทยาศาสตร์อีกด้วย

    ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) คือการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน โดยหลักการแล้ว มี 2 แบบ คือ
    1. การปลูกในน้ำ ซึ่งบริเวณรอบๆ รากของพืชเป็นของเหลว รากจะแตกในออกมาที่ของเหลวนั่นเอง และ
    2. การปลูกในวัสดุแข็ง เช่น แกลบ ทราย ขุยมะพร้าว หินภูเขาไฟ ซึ่งเป็นวัสดุปลูกที่ไม่ได้ให้ธาตุอาหารกับพืชแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นวัสดุที่ช่วยค้ำและพยุงรากนั่นเอง
    ในอดีต กระแสความนิยมของการปลูกพืชแบบนี้เป็นไปเนื่องเพราะความพยายามของบริษัทนำเข้าอุปกรณ์การปลูกมากกว่าจะเป็นกระแสบริโภคนิยมอย่างแท้จริง ทำให้ผักไฮโดรโปนิกส์ Hydroponics ซบเซาไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะกลับมาได้รับความนิยมขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ด้วยคนไทยหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น กระแสการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์จึงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งจากผู้บริโภค เกิดตลาดรองรับ และแม้แต่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ก็เล็งเห็นความสำคัญของการขยายตัว จึงให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการลงทุนด้านนี้ ทำให้มีผู้สนใจเข้ามาทำมากขึ้น ก่อให้เกิดรูปแบบ เทคนิค และเทคโนโลยีในการผลิตที่หลากหลายขึ้น กลายเป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคตามมา
    พืชที่นิยมปลูกแบบ Hydroponics กว่า 90 % เป็นประเภทพืชผักที่ใช้รับประทานในชีวิตประจำวัน อาทิ ผักสลัดหรือผักกาดหอมต่างประเทศ ในอดีตที่ต้องนำเข้ากิโลกรัมละหลายร้อยบาท แต่ปัจจุบันสามารถลดการนำเข้าได้เกือบ 100 % นอกจากนี้ยังเป็นพืชผักประเภทกลุ่มผักตะวันออก เช่น คะน้า กว้างตุ้ง คะน้าฮ่องกง ผักกาดขาว เป็นต้น ซึ่งปรากฏว่ามีคนสนใจเริ่มมาทำตรงนี้มากขึ้น และมีผลตอบรับค่อนข้างดี พืชผักกลุ่มนี้ก็ตอบสนองต่อระบบนี้ได้ดี ตลาดกว้างขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ผักต่างประเทศกลุ่มเดียวเท่านั้น การปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน พืชผักที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง เช่น แตงเทศหรือแตงแคนตาลูป ที่ฟาร์มมหาวิทยาลัยกำลังผลิตอยู่ ซึ่งหากปลูกในสภาพแวดล้อมปกติจะต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก มีสารพิษตกค้าง ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค แต่หากปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ หรือการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ รวมทั้งสามารถควบคุมคุณภาพได้ด้วย และแม้แต่พืชผักและพืชสมุนไพร เช่น สะระแหน่ วอเตอร์เครส หญ้าปักกิ่งหรือหญ้าเทวดา ก็สามารถตอบสนองต่อระบบไฮโดรโปนิกส์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหญ้าเทวดา พบว่าให้ผลผลิตสูงมากเมื่อเทียบต่อตารางพื้นที่ [งานวิจัยเกี่ยวกับ Hydroponics]

    ส่วนวิธีการจัดการการดูแลผักไฮโดรโปนิกส์ Hydroponics หรือ การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน ต้นทุนส่วนใหญ่จะตกอยู่ที่ค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงเรือนและวัสดุปลุกซึ่งค่อนข้างสูง นอกจากนี้สภาพแวดล้อมของเมืองไทยยังไม่เหมาะสม และงานวิจัยทางด้านนี้ยังมีน้อย การจะปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ Hydroponics พืชบางชนิดจำเป็นต้องปลูกในโรงเรือน เช่น แคนตาลูป ซึ่งมีแมลงศัตรูมาก การปลูกในโรงเรือนช่วยกันแมลง กันฝน กันสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม รวมถึงสามารถลดการใช้สารเคมีได้เกือบ 100% ขณะเดียวกันการปลูกสลัดก็ไม่จำเป็นต้องใช้โรงเรือน เพราะเป็นพืชที่แทบจะไม่มีแมลงศัตรู เป็นต้น ดังนั้น จะใช้โรงเรือนหรือไม่ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชมากกว่า เพราะการจัดการโรงเรือนและวัสดุปลูกเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูง โดยฝ่ายวิเคราะห์ต้นทุนของธนาคารกสิกรไทย พบว่า การปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน การจัดการโรงเรือนเป็นค่าใช้จ่ายมากกว่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณที่ลงไป แต่ถือว่าเป็นงบลงทุนซึ่งมีผลในระยะยาว การจัดการควรเป็นเทคโนโลยีแบบง่ายๆ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้ได้มากที่สุด และพัฒนาระบบและเทคโนโลยีขึ้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ประเพณีหรือวัฒนธรรม พยายามลดต้นทุนในด้านต่างๆ เช่น หาวัสดุปลูกในประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าจุดคุ้มทุนเป็นอย่างไรในการลงทุน การลงทุนในครั้งแรกอาจจะแพงกว่าการปลูกในดินแต่ในระยะยาวหรือภายใน 1 ปี ก็สามารถคืนทุนได้ ฉะนั้นจึงไม่เป็นปัญหาว่าจะเกิดการล้มเหลว แต่อการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน มีข้อแนะนำคือหากจะเริ่มก็ไม่ควรเริ่มต้นจากโครงการใหญ่ๆ ต้องลองจากขนาดเล็กๆ ก่อน เพื่อให้รู้จักวิธีการจัดการ เทคโนโลยี รวมถึงมีความเชี่ยวชาญก่อน เมื่อมั่นใจแล้วจึงขยายออกไป
    ท่ามกลางกระแสบริโภคนิยม สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงได้ยากก็คือกระแสของการคัดค้าน ซึ่งเหมือนสองด้านของเหรียญอันเดียวกันที่มองต่างมุม มีข้อมูลเชิงลึกที่ถกเถียงกันในระดับนานาชาติ ก็คือ เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าไฮโดรโปนิกส์ Hydroponics ใช้ปุ๋ยเคมี ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ออกมาบอกว่าน่าจะมีสารตกค้างในพืช โดยเฉพาะสิ่งที่กลัวกันที่สุดคือปุ๋ยเคมีที่เป็นพวกไนโตรเจนไนเตรท ว่าเกี่ยวข้องกับสุขภาพคนโดยตรง แต่ทางไฮโดรโปนิกส์ Hydroponics ก็แย้งว่าถ้าคุณมีความรู้ทางด้านวิชาการ จะรู้ว่าการตกค้างของสารไนโตรเจนไนเตรทแทบจะไม่มีเลย หรือมีก็ไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เราใช้ปุ๋ยเคมีจริง แต่คนที่กินผักไม่ได้กินสารเคมีโดยตรง เพราะว่ามันต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน เปลี่ยนสภาพมาเป็นเนื้อเยื่อเป็นอะไรต่างๆ จึงค่อนข้างมั่นใจว่าเราสามารถตอบคำถามตรงนี้ได้ และในฐานะนักวิชาการที่คลุกคลีอยู่ ก็ยืนยันได้ว่าปลอดภัยแน่นอน ไม่ต้องกลัวเรื่องสารพิษตกค้าง ไม่มีแน่นอน เพราะฉะนั้นคนที่ทำไฮโดรโปนิกส์ Hydroponics จึงไม่กังวลกันมากนักถ้าต้องสู้กันด้วยหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าเป็นเรื่องของกระแสการบลั๊พกันก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามสภาพความเป็นจริง ก็ต้องให้ผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสินว่าจะเชื่อฝ่ายไหน
    การปรับแปลง ถ่ายทอด และพัฒนาเทคโนโลยีไปสู่ชุมมชนถือเป็นอีกภารกิจหนึ่งที่สำคัญของมหาวิทยาลัย โดยอาจารย์อารักษ์ได้เริ่มเข้าไปมีบทบาทในการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาการวิจัยไปสู่ชมชนโดยรอบ ด้วยการเข้าไปส่งเสริมให้โรงเรียนได้ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์เพื่อเป็นโครงการอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียน
    โครงการนี้เกิดจากการที่เราทำวิจัยได้ระดับหนึ่ง โดยเริ่มจากการทำวิจัยที่เน้นเป็นเชิงธุรกิจขนาดเล็กที่สุด เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับผู้ที่ต้องการทำธุรกิจขนาดเล็กและเกษตรกรผู้สนใจ เป็นการหาคำตอบในทุกๆ ด้าน เช่น ต้นทุน เทคโนโลยี ซึ่งมีผู้สนใจมาศึกษาดูงานการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้โรงเรียนต่างๆ ก็สนใจจะทำผักไฮโดรโปนิกส์ แต่ยังขาดความรู้และเทคโนโลยี จึงมีการประสานงานและศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้น ปรากฏว่า โรงเรียนต่างๆ ให้ความสนใจ เบื้องต้นในภาคการศึกษาที่ 1/2544 เราเข้าไปส่งเสริมจำนวน 20 โรงเรียนในเขตอำเภอด่านขุนทดก่อน โดยการสำรวจ รับทราบปัญหาและอุปสรรค อบรมครูและผู้บริหารเพื่อถ่ายทอดต่อให้นักเรียน ผลิตวีดีทัศน์เพื่อให้สามารถศึกษาด้วยตัวเองได้ ผลิตชุดปลูกเริ่มต้นแจกฟรี หลังจากนั้นจะติดตามประเมินผลเป็นระยะๆ ว่าสิ่งที่ได้อบรมถ่ายทอดไป เมื่อโรงเรียนไปทำเองผลเป็นอย่างไร คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน โดยได้รับการสนับสนุนจาก สวทช.
    การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน Hydroponics โครงการนี้ นอกจากจะเป็นการส่งเสริมโครงการอาหารกลางวันแล้ว ยังเป็นการให้เด็กได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ไปด้วยอีกทางหนึ่ง ที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้จริง ได้เรียนรู้ ทดลองทำ ได้ประสบการณ์ สนุกที่จะเรียนรู้ และเกิดความสนใจในวิทยาศาสตร์ในที่สุด นอกจากนี้ ยังจะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างมหาวิทยาลัยและชุมชน มีการเชื่อมโยงกับชุมชน นอกจากนี้ผลพลอยของโครงการนี้ ต่อไปหากโรงเรียนอื่นๆ สนใจก็อาจไปศึกษาจากโรงเรียนในโครงการได้ รวมถึงโรงเรียนเองอาจทำหน้าที่เป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่ชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร โดยที่มหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเท่านั้น ก็จะเป็นประโยชน์หลายต่อ สำหรับหน่วยงานหรือผู้สนใจข้อมูลทางด้านไฮโดรโปนิกส์เรายินดีให้คำปรึกษาเต็มที่
    ในยุคของการพึ่งพาเทคโนโลยี เราคงปฏิเสธไม่ได้ที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน ไฮโดรโปนิกส์ ก็เช่นเดียวกัน อาจดูใหม่และไกลเกินเอื้อมสำหรับบางคน แต่ ณ วันนี้ เทคโนโลยีนี้จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะมันกำลังเข้ามามีบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมในการบ่มเพาะและพัฒนาเยาวชนของชาติให้เข้าสู่ขั้นตอนของการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์จริง รวมถึงการเชื่อมโยงชุมชนและโรงเรียนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
    ท่านสามารถชมวิธีการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน Hydroponics ได้ที่นี่ http://www.bangsaiagro.com

    Reference : http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=5761

    [URLI="http://www.youtube.com/watch?v=MhO9JmSA3wA"]วีดิโอการปลูกพืชไม่ใช้ดินศูนย์เกษตรกรรมบางไทร[/URLI]</EMBED></EMBED>
     

แชร์หน้านี้

Loading...