ใครรับผิดชอบการตายของคนแต่ละศาสนา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย bhipattpon, 20 เมษายน 2009.

  1. bhipattpon

    bhipattpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2009
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +1,516
    สงสัยครับว่า
    1. คนที่นับถือศาสนาไม่เหมือนกัน เวลาตายไปแล้ว ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบให้ไปสวรรค์หรือนรก
    2. คนทึ่นับถือศาสนานั้นๆอยู่ในประเทศอื่นเช่น เป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธแต่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา หรือคนฝรั่งนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคทอลิก ฯลฯ ผู้รับผิดชอบจะไปตามวิญญาณได้ด้วยหรือไม่
    3. คนๆนั้นไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย จะถูกใครควบคุมวิญญาณเมื่อตายแล้ว
    หากใครทราบช่วยกรุณาเฉลยให้ด้วยครับ ขอบคุณมาก
     
  2. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,193
    ค่าพลัง:
    +7,815
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2009
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    ทาง ๔ แพร่งสู่โลกันตนรก และสำนักพระยายม



    จาก หนังสือ ไตรภูมิ


    ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อนได้บอกบารมีให้แก่พระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทว่า การที่จะบำเพ็ญบารมีไปนรกเขาบำเพ็ญกันยังไง หวังว่าพระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็คงยังจะจำได้ แล้วก็คงตั้งใจบำเพ็ญบารมีกันครบถ้วนแล้ว เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ เข้าใจว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทบำเพ็ญบารมีกันครบถ้วนแล้ว ถ้าอยากจะอยู่นรกเลยนะ ถ้าหากว่าบรรดาท่านทั้งหลายไม่มีความประสงค์จะอยู่นรก ไม่ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างนั้น ทำตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าสอนคือทรงอธิศีลสิกขา รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทรงอธิจิตสิกขา พยายามเจริญสมถกรรมฐานให้มีจิตเป็นฌาน และทรงอธิปัญญาสิกขา พยายามเจริญวิปัสสนาให้จิตหมดจากกิเลสอย่างนี้ไม่ต้องอยู่ในนรก แต่เที่ยวนรกได้สบาย เป็นอันว่าพระคุณเจ้าที่เคารพและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่รักก็คงจะบำเพ็ญบารมีกันอย่างใดอย่างหนึ่งครบถ้วนแล้ว
    วันนี้เตรียมตัวเดินทางต่อไป แต่ว่าจะเดินทางถึงไหนก็สุดแล้วแต่เวลา แต่ว่าสถานี ๐๔ ตาคลี มีนาวาอากาศตรี มนูญ ชมภูทีป เป็นหัวหน้าหน่วยสื่อสาร แล้วก็มีพันจ่าอากาศเอก กฤษณ์ บำรุงพงศ์ เป็นหัวหน้าสถานี อนุญาตอาตมภาพใช้สถานีท่องเที่ยวได้วันพุธละ ๓๐ นาที ความจริงเที่ยวจริงๆ ไม่ถึง ๓๐ นาที เพราะอะไร เพราะมัวเกะกะตามทาง อันนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทคงจะสงสัยว่าทำไมถึงเกะกะ นี่ก็ตอบไม่ยาก ท่านทราบภาษิตโบราณดีอยู่แล้วว่าหัวล้านนอกครู อาตมาก็มีสภาพเผ่าพันธุ์หัวล้านเหมือนกันก็เลยนอกครู ถ้าจะไม่นอกครูประเดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นคนหัวล้านไม่ปฏิบัติตามครู ครูหัวล้านก็เลยต้องเกะกะ เมื่อเกะกะก็เลยไปช้า ความจริงการไปช้าดีกว่าการไปเร็ว เพราะการไปเร็วไม่เห็นข้างทาง ประเดี๋ยวบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะหาว่า หมอนี่พาเที่ยวดูไม่ครบ

    เอาละ ต่อจากนี้ไปขอออกเดินทางกัน การเดินทางไปเมืองนรกไปยากเหมือนกัน หมายความว่าถ้าคนที่ได้ฌานก็ต้องทรงฌานสมาบัติถึงฌาน ๔ แล้วก็ทรงมโนมยิทธิ นี่พูดกันถึงว่าไม่ได้อภิญญา ๖ นะ ถ้าหากว่าท่านได้อภิญญา ๖ แล้วไม่ยาก สำหรับพวกที่ได้วิชชาสามแก่ขึ้นไปนิดหนึ่ง วิชชาสามอย่างแก่ได้มโนมยิทธิด้วย เรียกว่ามีอภิญญาติดหาง ติดหางเข้ามาหน่อยก็เข้ามโนมยิทธิถอดร่างกายใน ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ากายซ้อนกาย หรือกายในกายที่เคยพูดมาแล้วในมหาสติปัฏฐานสูตร ถอดร่างอันนั้นแหละออกจากกายเนื้อแล้วก็ออกเดิน เดินไปทางไหน บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพตามกระผมมา ความจริงเวลานี้ผมไม่ได้เดินไป ไม่เอากายในไป ไม่ได้เอากายนอกไป เอาปากไป ไปได้ยังไง? ไปตามตำรา เขาเรียกว่าไปตามพระไตรปิฎก หรือว่าไปตามแบบท่านอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ท่านพูดไว้ ไปตามนี้ไม่ยากจน จะหาหนังสืออ่านบ้างก็ได้ หาพบก็พบ ไม่พบก็แล้วไป ถ้าไม่พบก็จะเล่าไห้ฟัง ฟังต่อไป เมื่อตั้งท่ากันเรียบร้อยแล้วเตรียมรถเตรียมราเสร็จแล้วก็ออกเดินทางออกจากโลกนี้มุ่งหน้าออกทางทิศตะวันออก คอยฟังให้ดีนะ มุ่งหน้าออกทางทิศตะวันออก มีทางถนนใหญ่ขาวโพลน แลดูสะอาดจะว่าเหมือนสีขาวทาก็ไม่ใช่ ใสกว่า เรียบร้อยกว่า ดีกว่าถนนชั้น ๑ ในเมืองมนุษย์ เป็นทางใหญ่เดินไปสักครู่หนึ่ง ความจริงพวกที่เขาได้ฌานเขาเดินไม่นานหรอกเพียงแต่หายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็ถึง นี่เรามาค่อยๆ ย่องกันไปนี้ เราไปกันช้าๆ ประเดี๋ยวจะไม่เห็นอะไร เดินไปสักครู่หนึ่งจะถึงทาง ๔ แพร่ง มองไปข้างหน้าเห็นทางใหญ่ขาวลาดลงแล้วมองไปทางซ้ายเห็นเป็นเนินขึ้นน้อยๆ เป็นเนินขึ้น ทางขาวใหญ่เหมือนกัน มองไปทางขวาเป็นทางชันขาวใหญ่เหมือนกัน แล้วมองมาทางหลังก็เป็นทางเดินที่เราไป ที่ตรงนั้นมีเทวดาอยู่ ๑ องค์ยืนยามอยู่ พระที่ท่านนิพพานท่านชอบเรียกว่า "เทวดาอิน" ที่เรียกว่าเทวดาอินนี่น่ะไม่ใช่ว่าคนนั้นเป็นพระอินทร์ ไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ท่านเป็นพระชื่อว่าหลวงตาอิน เมื่อสมัยเป็นพระท่านได้ฌานสมาบัติแต่ว่าเวลาตายลืมเข้าฌาน เรียกกันว่าตายนอกฌาน ไม่ใช่นอกชานกุฏินะ เรียกว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายก็แล้วกัน ประเดี๋ยวจะเฝือ เมื่อเวลาจะตายไม่ได้เข้าฌาน ตายก็ไม่ได้ไปเป็นพรหม ตายนอกฌานแบบนี้เขาก็จับไปเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช มีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง อันนี้พระที่ได้ฌานสมาบัติท่านหนึ่ง ชื่อว่าอาจารย์ฉัตร องค์นี้เก่งมากเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานวัดบางนมโคเหมือนกัน แต่เป็นรุ่นพี่ ท่านบอกว่าเวลาจะไปละก็ไปพบกับเทวดาองค์นี้ แกจะถามว่าไปเลยหรือว่ากลับ คำว่าไปเลยก็หมายความถึงว่าตายไปแล้ว ถ้าหากบอกว่ากลับก็หมายความถึงว่าพระที่ได้ฌานหรือท่านที่ได้ฌานไปแล้วต้องกลับก็รายงานบอกว่ากลับ จะไปทางไหน เขาถาม จะไปนรก หรือว่าจะไปสวรรค์ หรือจะไปพรหมโลก ก็บอกเขา เขาจำเอาไว้ เวลาใกล้สว่างถ้ายังไม่กลับเขาจะไปตามบอกว่าเวลานี้ใกล้สว่างแล้วครับ นิมนต์กลับได้ นี่หน้าที่ของเทวดาอินเป็นอย่างนี้
    ตานี้เทวดาอินแกยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าพวกเราผ่านไป ถ้าไปแบบช้าๆ นะ แกก็จะถาม ถ้าไปเร็วปรื๊ดปร๊าดแกก็จะถามไม่ทัน แกบอกว่าพวกนี้เสียมรรยาท มรรยาทเลวไม่เคารพต่อพระภูมิเจ้าที่เทวดายาม ก็ว่ายังงั้น แกว่าพวกมนุษย์นี่น่ะ โดยมากมรรยาทไม่ค่อยดี แม้จะเป็นพระเป็นเจ้าก็ตาม บางทีไม่มีมรรยาท ผ่านมาตรงนี้น่าจะคุยกันก่อน แต่ไม่ใคร่จะมีใครคุยหรอก ปรื๊ดปร๊าดๆ แล้วก็ไปเลย นี่พูดไปยังงั้นเองนะ รู้จักแกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบล่ะ ก็ว่ามันส่งไปยังงั้นแหละ เป็นธรรมดา นี่จำได้แล้วใช่ไหมว่าเทวดาองค์ที่ยืนข้างหน้านั่น ทางสี่แพร่ง ถ้าไม่เห็นก็นึกเอาเองก็แล้วกัน นึกว่าเห็น เป็นเทวดาที่มีเครื่องทรงสีแดง ผ้าที่นุ่งก็มีพื้นสีแดง เสื้อที่ใส่ก็มีพื้นสีแดง บนหัวบางทีก็โพกผ้าสีแดง บางทีก็สวมมงกุฎ ผ้าที่นุ่ง เสื้อที่ใส่ ประดับไปด้วยเพชรนิลจินดา ขาวแพรวพราวไปหมด รูปร่างสง่าผ่าเผยสวยสดงดงามบอกไม่ถูก คนที่ว่าสวยนี่มนุษย์ทาบไม่ติด เทวดาไม่มีแก่มีแต่หนุ่ม ยืนยิ้มด้วยความใจดี ถ้าเวลาเห็นพระผ่านไปมักจะยกมือไหว้แสดงความเคารพ ถ้าเป็นฆราวาสก็จะกล่าววาจาเป็นสัมโมทนียกถา คือวาจาที่ไพเราะ น่าฟัง นี่เป็นจริยาของเทวดาอิน หรือเทวดาหลวงตาอิน หลวงตาอินนี่แกเป็นเทวดาแล้วแกชื่อว่ายังไง เป็นเรื่องของแก ไม่มีใครเคยถาม ถ้าถามแกก็บอกว่าสมัยก่อนแกเป็นพระชื่อว่าหลวงตาอิน แกบอกเท่านั้น นี่เป็นอันว่ารู้แล้วนะ ว่าทางสี่แพร่ง เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หันไปทางซ้ายเป็นทางขึ้นจุฬามณีเจดีย์สถาน เป็นทางใหญ่ขาวโพลน หันไปมองดูทางขวาเป็นทางชันไปพรหมโลก มองลงไปข้างหน้าเป็นทางใหญ่ลาดลงนิดๆ ค่อยๆ ลาดลงเป็นทางลงนรก

    ทีนี้ วันนี้เราจะไปทัศนาจรเมืองนรกกัน เริ่มต้นนะ เริ่มต้นไปเมืองนรก ต่อจากนี้ไปก็พากันลาเทวดาอินเสียก่อน ลาแล้วหรือยัง? ลาหรือไม่ลาก็ช่าง เดินทางต่อไป คราวนี้เราค่อยๆ เดินกันมาถึงที่สุดของโลก เรียกว่า อันตะหรือโลกันตะ มองไปทางซ้ายมือนั่นเป็นแดนของสวรรค์ ที่เรายืนอยู่นี้เป็นแดนของมนุษย์ มองไปข้างหน้าเป็นแดนของเมืองนรก ระหว่างนั้น มองไปทางซ้ายมือจะเห็นภูเขาลูกใหญ่ ใหญ่มหาศาลประมาณมิได้ ภายในภูเขาเป็นถ้ำใหญ่มาก ในนั้นมีความเย็นบอกไม่ถูก ทรมานสัตว์ด้วยอำนาจของความเย็น แล้วก็ภายในถ้ำมีน้ำแปลก เป็นน้ำกรด มีน้ำกรดที่มีความแรงมากเย็นเฉียบเหมือนกัน สัตว์ที่อยู่ในนั้นมีแต่ความมืด หาแสงสว่างไม่ได้ ไต่อยู่ในข้างๆถ้ำ หินก็คมเป็นกรดบาดตัวจนเลือดโชกโชน สัตว์ในนั้นไม่มีแสงสว่างจะมองกัน ต่างคนต่างก็คิดว่าอยู่คนเดียว เวลาไต่ไปพบเข้าก็คิดว่าเป็นอาหารกัดกินกัน ปล้ำกันไปปล้ำกันมาในที่สุดก็หล่นลงไปในน้ำ น้ำกรดก็ทำลายเนื้อหนังหมด เหลือแต่กระดูก แสบก็แสบ เจ็บก็เจ็บ หนาวก็หนาวเย็นเฉียบ ในที่สุดเมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกก็ประกอบกันเป็นร่างขึ้นมาใหม่ทันที ต้องทุกข์ทรมานอย่างนี้ ไต่ขึ้นมาใหม่ แล้วมาเกาะอยู่ข้างเขาหรือเรียกว่าข้างถ้ำจัดว่าเป็นกำแพงถ้ำก็ได้ นรกอันนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เรียกกันว่าโลกันตนรกไม่ทราบว่าบาปอะไร ในตำราท่านไม่ได้เขียนไว้ ท่านบอกว่าเป็นบาปพิเศษ พ้นจากที่นี้แล้วจึงไปอเวจีมหานรก ไปขึ้นต้นจากอเวจีมาก่อน แสดงว่าหนักกว่าอเวจี โลกันตนรกนี้ไม่มีอายุ เรียกว่าหาอายุไม่ได้ ทรมานไปจนกว่าจะถึงที่สุด เมื่อถึงที่สุดของกรรมแล้วจึงจะไปอเวจี จัดว่าเป็นนรกสำคัญที่สุดนะ นรก ๘ ขุม แต่ทว่าถือว่าเป็นนรกขึ้นต้น คือมันแย่เหมือนกัน


    เอ้า เดินทางกันต่อไป คราวนี้ออกจากโลกมนุษย์แล้ว บรรดาท่านผู้ฟังโปรดทราบนรกที่เขาบอกว่าเจาะในดินลงไปกี่แสนๆ โยชน์น่ะ ไม่จริง เป็นเรื่องปรัมปราของคนที่ไม่เคยเห็น อาตมาเองก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นนรกนา ว่ากันไปตามที่เห็น อย่างพระพุทธเจ้าท่านว่า ก็เรียกว่า โลกนรกไม่ใช่อยู่ใต้ดิน ไม่ใช่ว่าคุดอยู่ใต้ดิน คนจะลงนรกต้องดำดินไปลงละก็ไม่มีใครลงหรอก พูดเพ้อกันส่งเดชไป เคยฟังพระเทศน์เหมือนกัน เทศน์ไม่ถูก หลวงพี่ถ้าเทศน์แบบนี้ละก็เทศน์ไม่ถูกนะจะบอกให้ นรกไม่ใช่อยู่ใต้ดินนา มันมีโลกอีกโลกหนึ่งต่างหาก เรียกว่ามีภูมิอีกภูมิหนึ่ง คือว่ามีแดนต่างหากกว้างใหญ่ไพศาลมาก แล้วก็มีคนถามว่าเวลาคนตายไปแล้ว พวกเทวดาหรือพวกสัตว์นรกนี่น่ะ แยกกันหรือเปล่า พวกเจ๊ก พวกฝรั่ง พวกมอญ พวกลาว พวกแขก มีนรกพิเศษหรือเปล่า ก็ขอตอบว่าไม่มีนรกพิเศษ พระพุทธเจ้าไม่เคยบอก เป็นนรกอันเดียวกัน เรามาแยกชาติ แยกประเทศกันเฉพาะในเมืองมนุษย์ ยามที่รับผลของความชั่วหรือความดีไม่มีการแยกกันรวมกันหมด ไม่มีแขก ไม่มีฝรั่ง ไม่มีลาว ไม่มีมอญ เป็นสัตว์นรกธรรมดาๆ เหมือนกัน เป็นเทวดาเป็นพรหมประเภทเดียวกัน ภาษาที่พูดที่ใช้ก็เหมือนกัน รวมความว่าไม่ได้แยกประเภทเข้าไว้ เอาละ จำไว้เท่านี้
    ตานี้ เดินออกจากดินแดนของมนุษย์สุดทางขาว เราก็มองไปข้างหน้า ถ้าหากว่าเราจะเลี้ยวซ้ายสักนิด จะเข้าสู่แดนเปรต ๑๑ จำพวก คือว่าเปรตที่มีกรรมหนัก เลี้ยวซ้ายนิดหนึ่ง เฉียงๆ ไปหน่อยทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าเดินตรงเลยไม่เลี้ยวเราก็ไปสู่ยมโลกียนรก เป็น ๑๐ ขุมตามที่กล่าวไว้ คราวนี้เราเลี้ยวเฉียงๆ ไปทางขวาหน่อยเรียกว่าทางตะวันออกเฉียงใต้ อันนี้เป็นดินแดนของพระยายม จำให้ดีนะ อันนี้เป็นดินแดนของพระยายม พระยายมตั้งสำนักงานอยู่ทางนั้น สำหรับวันนี้ จะพาพระคุณเจ้าท่านและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทแวะที่สำนักของพระยายมเสียก่อน ถ้าเราไม่แวะที่ตรงนั้นและก็เขาจะหาว่าพวกเราไม่มีมรรยาท เพราะว่าเป็นดินแดนของผู้ครองเมืองนรก คือว่าพระยายมนี่นะครองเมืองนรก ความจริงเขาเข้าใจกันว่าอย่างนั้น ที่แท้จริงแล้วพระยายมไม่ได้ครองเมืองเป็นแต่เพียงว่าไปนั่งเป็นผู้พิพากษาคอยตัดสิน พากันเดินไปก็ย่องๆ ไปให้ดีนะ ข้างๆ ทางน่ะมีของดีอยู่ มองไปทางซ้ายนิดซิ เวลานี้เรามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เดินเลาะและมีทางขาวเส้นเล็ก ไม่ใหญ่เท่าทางเดิม ตรงดิ่งไปเหลียวดูทางซ้ายนิดซิ เราจะเห็นต้นไม้ยืนเป็นตับ ที่ตรงนั้นเขาเรียกกันว่าอะไร ต้นไม้ต้นนี้แหละเขาเรียกว่าต้นงิ้ว หรือสิมพลีนรก สิมพลีนะ เป็นนรกต้นงิ้ว สำหรับต้นงิ้วนี่เขาบอกว่าขึ้นตามสภาพกฎของกรรม ถ้ามีสัตว์นรกมากต้นงิ้วก็มาก มีสัตว์นรกน้อยต้นงิ้วก็น้อย ที่ใครบอกว่าต้นงิ้วไม่มี เขาเอาไปทำฟืนหมดแล้วนะ ระวังเขาจะคุณด้วยสอง เขาว่ายังงั้น
    เอาละเดินไป อย่าพึ่งแวะเลย นรกขุมนี้ค่อยแวะกันทีหลัง คงได้เที่ยวกันแน่เดินไปก็มีอะไรผ่านตาอีกแยะ ยังไม่พูด เพราะจะมีเรื่องพูดตอนหลัง เราจะชมกันมาตามลำดับ พอเข้าไปถึงตรงนั้นจะพบบริเวณกว้าง เป็นผืนแผ่นดินที่ราบเรียบ มองไปข้างหน้าบริเวณกว้างนั้น มองดูให้ดีๆ นะ บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเห็นไหม ข้างหน้าที่มองไป ก่อนที่จะถึงอาคาร ๓ หลัง มีคนยืนกันอยู่สะพรั่งนับหมื่นหรือนับแสนก็ได้ แต่ว่าไม่เคยนับ ถ้าถามว่าเท่าไรแน่ก็ตอบไม่ถูก เยอะเหลือเกิน คนธรรมดาๆ หน้าตาซีดเซียว แสดงถึงความเป็นทุกข์ยืนอยู่สะพรั่งคล้ายกับกองทัพใหญ่ แต่ในจำนวนนั้นก็มีคนรูปร่างใหญ่ๆ สูงกว่าคนพวกนั้น พวกที่ยืนอยู่ก่อนอย่างสูงสุดก็เลยเอวนิดหนึ่ง คนตัวใหญ่ๆ ถือหอก ถือง้าว ถืออาวุธเดินอยู่เกลื่อนกลาดเยอะแยะ ควบคุมคนพวกนั้น พวกที่ถือสรรพาวุธพวกนี้ เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชคือเป็นผู้ควบคุมกรรม ตอนนี้ยังไม่ถึงแดนนรก อย่าลืมว่าแดนที่พระยายมอยู่นั้นไม่ใช่แดนนรกจริงๆ คือว่าอยู่ใกล้กับแดนนรก เป็นเขตของเทวดา เรียกว่าเป็นเขตของชั้นจาตุมหาราช ทีนี้มองไปอีกทีหนึ่งอยู่ในกลุ่มคนทั่วไป เห็นอาคารใหญ่สามหลัง หลังกลางใหญ่มาก ในที่นั้นเป็นบัลลังก์คือเป็นสถานที่ชำระความ ที่ตัดสินของพระยายม แล้วก็มองเลยนั่นออกไป ออกไปทางด้านทิศตะวันออกก็ดี ตะวันออกเฉียงเหนือก็ดี จะเห็นทะเลเพลิง มีเปลวไฟ มีกระแสไฟพวยพุ่งขึ้นจับท้องฟ้า กว้างใหญ่ไพศาลมาก หาที่สุดมิได้นั่นคือแดนนรกขุมใหญ่ นรกแต่ละขุมเราจะไม่พูดกันถึงไฟก็จงรู้ว่ามีไฟเป็นปกติ นรกขุมใหญ่ที่ไม่มีไฟไม่มี นี่เป็นตัวยืนนะ หรือเรียกว่าเป็นไก่รองบ่อน นรกแต่ละขุมน่ะมีไฟเป็นไก่รองบ่อน พอเข้าไปแล้วก็ถูกไฟไหม้ ไฟนี้มีความร้อนแรงมาก แรงกว่าไฟในเมืองมนุษย์หลายแสนเท่า เรียกว่าไฟนี้แรงกว่าในเมืองมนุษย์หลายแสน นับเป็นแสนๆ เท่า มีความร้อนมาก เห็นแล้วหรือยัง นี่เราพากันทัศนาจรนะ เที่ยวดูกัน เห็นแล้วละก็ย่องๆ เข้าไปดูซิว่าเวลานี้พระยายมท่านทำอะไร แล้วท่านทั้งหลายจะได้รู้จริยาของพระยายม ว่าความจริงพระยายมราชที่เรากล่าวว่าท่านดุร้ายนัก จับคนลงนรก จริงหรือไม่จริงเวลานี้ยังไม่พูด ไปดูกันก่อน เอ้า ค่อยๆ เดินมา ตามอาตมามา มีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ไปทางด้านทิศใต้ เดินตามขอบเฉียดชายเขา เขายาวเหยียดไม่รู้ว่ายาวถึงไหน เดินมานอกบริเวณแล้วเข้าไปในลาน ประเดี๋ยวเขาจะรู้ว่าคนนี้กินเหล้า คนนี้ฆ่าสัตว์ คนนี้ลักทรัพย์ คนนี้ประพฤติผิดในกาม คนนี้เคยโกหกมดเท็จในเขารู้ ดีไม่ดีเขาจะจับให้อยู่เสียเลยนะ ระวังเถอะ อ้าวเวลาที่มาเที่ยวเมืองนรกนี่ โยมจ่าพัว ชระเอมมาด้วยหรือเปล่า ถ้ามาละก็มองดูให้ดีนะ เจ้าของตำรา มองดูให้ดี เดินหลีกเขา ประเดี๋ยวเขาจะจำเรื่องเก่าๆ ได้ เขาจะเอาไว้เสียเลยจะลำบาก เอ้า มาด้วยกัน เดินหลีกเขามาแล้ว เป็นเวลาพอสมควร ตรงนี้เป็นที่ว่างมีกลุ่มคนมาก ทางตรงด้านขวามือเป็นเขา ด้านซ้ายมือเป็นที่โล่ง มีทางใหญ่มีอาคาร ๓ หลัง เอ้า ทุกคนซ้ายหัน หันหน้าไปทางซ้ายมือ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วก็เดินตามทาง ตามอาตมามา พอเดินเข้ามาแล้วนะค่อยๆ ย่องนะ อย่าเดินดังนักประเดี๋ยวผีจะตกใจ เดินเข้ามาๆ นี่ใกล้จะถึงแล้ว อาคาร ๒ หลังทางซ้าย ทางขวาเป็นอาคารขนาดย่อม เป็นที่พักของพระยายมหลังหนึ่ง ทางด้านซ้ายมือมีความสวยสดงดงามมาก แพรวพราววิจิตรตระการตา เป็นวิมานทองคำ มีเครื่องเพชรประดับแพรวพราวแล้วมีดงหญ้าเป็นที่ราบรื่น แล้วมีต้นไม้ดอก มีดงหญ้าเป็นแก้วประกายแพรวพราวสวยงามจริงๆ ดูคนในขอบเขตของวิมานของพระยายม ไม่เห็นแต่งตัวเป็นสัตว์นรก แต่งตัวเป็นเทวดาเป็นพรหมกันทั้งนั้น ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็สวย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มองไปด้านทางขวามือก็เป็นวิมานสวย ลดหย่อนลงไปหน่อยหนึ่งเป็นที่อยู่ของ เรียกว่าเจ้านายชั้นผู้ใหญ่รองพระยายมลงไป ที่เราเรียกว่านายบัญชีนี่เขาก็มีวิมานสวยเหมือนกัน ตรงไปข้างหน้าที่เราเดินมานี้ เป็นสำนักของพระยายม เป็นอาคารที่มีความสวยสดงดงามมากใหญ่ตระการตา แต่ทว่าคนที่มีบาป ลงมามองไม่เห็นความสวยสดงดงาม เพราะกรรมชั่วมันปิดตา คนดีเท่านั้น คนที่มีบุญเท่านั้นที่จะมองเห็นสวย เอาละ เดินเข้าไปอีกนิดใกล้จะถึงแล้วมีบันไดข้างหน้าระวังให้ดี ขึ้นให้ดีประเดี๋ยวจะหล่นบันไดพลัดตกหกคะเมนไปนายนิริยบาลจะเชิญลงนรกไปเสียเลย ลำบาก พวกเราทุกคนที่มานี่น่ะมีทุนอยู่แล้วนะ บารมีสำหรับที่จะลงนรกมีอยู่ด้วยกันทุกคน ระวังๆ ตัวไว้ จะเผลอ ขึ้นบันไดมาแล้วเป็นชานใหญ่ มองเข้าไปมีม่าน ข้างนอกเป็นม่านสีดำ ผ่านม่านสีดำเข้าไป มีเจ้าหน้าที่รูดม่านให้ เขายืนอยู่ทางด้านซ้ายมือ แล้วก็ขวามือ ๒ คน ผ่านม่านสีดำเข้าไป คราวนี้พบม่านสีแดงแล้วมีประกายเป็นทองและเงินแน่ะ เส้นด้ายเป็นทองและเงินแต่พื้นแดง พอเจ้าหน้าที่สองคนทางซ้ายและขวารูดม่านให้ ผ่านม่านเข้าไปอีก อันนี้เป็นม่านทองคำล้วนๆ เข้าไปม่านที่ ๓ แล้ว ผ่านม่านเข้าไปอีก อันนี้เป็นม่านแก้วมณี ผ่านเข้าไปอีกอีคราวนี้ไม่มีม่านแล้ว ตรงนี้ไม่มีม่าน เป็นเก้าอี้แก้วมณีแพรวพราวไปหมด ตั้งเข้าไว้ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ เห็นไหม นี่เป็นที่สำหรับนั่งคุยกัน นั่งชมพระยายมตัดสินความ แต่พวกสัตว์นรกหรือคนที่เชิญมายืนเกลื่อนๆ น่ะ เขาเข้าไปอีกทางหนึ่งเป็นทางต่ำราบ ไม่ผ่านม่านสีสวยๆ ไม่ผ่านพื้น มีแต่ม่านสีดำ เวลาเข้าไปก็มีคนคุมเข้าไป ประเดี๋ยวก่อนพวกเราทุกคนตามอาตมามา ไปนั่งเก้าอี้กัน ไม่ต้องเกรงใจ ในนั้นมีเทวดาสำหรับรับแขกอยู่ห้องหนึ่ง (ความจริงหลายห้อง) แต่งตัวสวยมาก มีเครื่องประดับมีพื้นสีทอง และมีเครื่องประดับเป็นสีขาว ยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือไหว้พระและคนทุกคน ถือว่าคนที่จะไปนั่นมีความดี เอ ที่เล่าให้ฟังนี้ไปจริงๆ หรือเปล่า? เปล่าหรอกนะไม่ได้ไปเอง ดูหนังสือมาเล่าให้ฟัง แล้วก็เอามาจากไหนเล่า มีเทวดา เทวดาน่ะ ก็บอกว่าอ่านหนังสือซิ หนังสือเขาเขียนไว้ยังงั้นนี่ ถ้าถามว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็บอกแล้วบอกว่าเวลาฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อแล้วก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เมื่อฟังแล้วเชื่อเลยก็ไม่ดี เราไม่ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา หรือว่ายังไม่เห็น ยังไม่ถึง เราปฏิเสธเลยมันก็ไม่ดีเหมือนกัน เป็นอันว่าไม่ดีทั้งสองอย่าง ในตอนนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายรับฟังไว้ก่อน แล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งปฏิเสธ เป็นอันว่าวันนี้เรามาเห็นเทวดาสวยกัน วันนี้เราได้นั่งเก้าอี้แก้วมณี หันหลังไปทางด้านทิศตะวันออก หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันตก มองไปอีกทีทางขวามือ โต๊ะกลางคือ พระยายมราช โต๊ะด้านหน้าของเรา พระยายมนี่หันหน้าไปทางทิศไต้ ซ้ายมือของพระยายมราชเป็นนายบัญชีใหญ่ โต๊ะขวามือของพระยายมราชเป็นหัวหน้าเทวดาที่มารับคน


    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชน จะมองดูอะไรต่อไป จะฟังพระยายมท่านพูดอะไรก็ฟังไม่ได้เสียแล้ว เดี๋ยวพันจ่าอากาศเอกกฤษณ์ บำรุงพงศ์ แกจะนั่งค้อนเอา เพราะเขาว่าแกเป็นหัวหน้าสถานี เวลานี้ก็หมดเวลาเสียแล้วนี่ ไว้วันพุธหน้าฟังกันใหม่ สำหรับวันนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี.

    โดย...หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ที่มา...http://www.luangporruesi.com/book/10.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2009
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    ทาง ๔ แพร่งสู่โลกันตนรก และสำนักพระยายม



    จาก หนังสือ ไตรภูมิ


    ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อนได้บอกบารมีให้แก่พระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทว่า การที่จะบำเพ็ญบารมีไปนรกเขาบำเพ็ญกันยังไง หวังว่าพระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็คงยังจะจำได้ แล้วก็คงตั้งใจบำเพ็ญบารมีกันครบถ้วนแล้ว เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ เข้าใจว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทบำเพ็ญบารมีกันครบถ้วนแล้ว ถ้าอยากจะอยู่นรกเลยนะ ถ้าหากว่าบรรดาท่านทั้งหลายไม่มีความประสงค์จะอยู่นรก ไม่ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างนั้น ทำตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าสอนคือทรงอธิศีลสิกขา รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทรงอธิจิตสิกขา พยายามเจริญสมถกรรมฐานให้มีจิตเป็นฌาน และทรงอธิปัญญาสิกขา พยายามเจริญวิปัสสนาให้จิตหมดจากกิเลสอย่างนี้ไม่ต้องอยู่ในนรก แต่เที่ยวนรกได้สบาย เป็นอันว่าพระคุณเจ้าที่เคารพและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่รักก็คงจะบำเพ็ญบารมีกันอย่างใดอย่างหนึ่งครบถ้วนแล้ว


    วันนี้เตรียมตัวเดินทางต่อไป แต่ว่าจะเดินทางถึงไหนก็สุดแล้วแต่เวลา แต่ว่าสถานี ๐๔ ตาคลี มีนาวาอากาศตรี มนูญ ชมภูทีป เป็นหัวหน้าหน่วยสื่อสาร แล้วก็มีพันจ่าอากาศเอก กฤษณ์ บำรุงพงศ์ เป็นหัวหน้าสถานี อนุญาตอาตมภาพใช้สถานีท่องเที่ยวได้วันพุธละ ๓๐ นาที ความจริงเที่ยวจริงๆ ไม่ถึง ๓๐ นาที เพราะอะไร เพราะมัวเกะกะตามทาง อันนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทคงจะสงสัยว่าทำไมถึงเกะกะ นี่ก็ตอบไม่ยาก ท่านทราบภาษิตโบราณดีอยู่แล้วว่าหัวล้านนอกครู อาตมาก็มีสภาพเผ่าพันธุ์หัวล้านเหมือนกันก็เลยนอกครู ถ้าจะไม่นอกครูประเดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นคนหัวล้านไม่ปฏิบัติตามครู ครูหัวล้านก็เลยต้องเกะกะ เมื่อเกะกะก็เลยไปช้า ความจริงการไปช้าดีกว่าการไปเร็ว เพราะการไปเร็วไม่เห็นข้างทาง ประเดี๋ยวบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะหาว่า หมอนี่พาเที่ยวดูไม่ครบ


    เอาละ ต่อจากนี้ไปขอออกเดินทางกัน การเดินทางไปเมืองนรกไปยากเหมือนกัน หมายความว่าถ้าคนที่ได้ฌานก็ต้องทรงฌานสมาบัติถึงฌาน ๔ แล้วก็ทรงมโนมยิทธิ นี่พูดกันถึงว่าไม่ได้อภิญญา ๖ นะ ถ้าหากว่าท่านได้อภิญญา ๖ แล้วไม่ยาก สำหรับพวกที่ได้วิชชาสามแก่ขึ้นไปนิดหนึ่ง วิชชาสามอย่างแก่ได้มโนมยิทธิด้วย เรียกว่ามีอภิญญาติดหาง ติดหางเข้ามาหน่อยก็เข้ามโนมยิทธิถอดร่างกายใน ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ากายซ้อนกาย หรือกายในกายที่เคยพูดมาแล้วในมหาสติปัฏฐานสูตร ถอดร่างอันนั้นแหละออกจากกายเนื้อแล้วก็ออกเดิน เดินไปทางไหน บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพตามกระผมมา ความจริงเวลานี้ผมไม่ได้เดินไป ไม่เอากายในไป ไม่ได้เอากายนอกไป เอาปากไป ไปได้ยังไง? ไปตามตำรา เขาเรียกว่าไปตามพระไตรปิฎก หรือว่าไปตามแบบท่านอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ท่านพูดไว้ ไปตามนี้ไม่ยากจน จะหาหนังสืออ่านบ้างก็ได้ หาพบก็พบ ไม่พบก็แล้วไป ถ้าไม่พบก็จะเล่าไห้ฟัง ฟังต่อไป เมื่อตั้งท่ากันเรียบร้อยแล้วเตรียมรถเตรียมราเสร็จแล้วก็ออกเดินทางออกจากโลกนี้มุ่งหน้าออกทางทิศตะวันออก คอยฟังให้ดีนะ มุ่งหน้าออกทางทิศตะวันออก มีทางถนนใหญ่ขาวโพลน แลดูสะอาดจะว่าเหมือนสีขาวทาก็ไม่ใช่ ใสกว่า เรียบร้อยกว่า ดีกว่าถนนชั้น ๑ ในเมืองมนุษย์ เป็นทางใหญ่เดินไปสักครู่หนึ่ง ความจริงพวกที่เขาได้ฌานเขาเดินไม่นานหรอกเพียงแต่หายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็ถึง นี่เรามาค่อยๆ ย่องกันไปนี้ เราไปกันช้าๆ ประเดี๋ยวจะไม่เห็นอะไร เดินไปสักครู่หนึ่งจะถึงทาง ๔ แพร่ง มองไปข้างหน้าเห็นทางใหญ่ขาวลาดลงแล้วมองไปทางซ้ายเห็นเป็นเนินขึ้นน้อยๆ เป็นเนินขึ้น ทางขาวใหญ่เหมือนกัน มองไปทางขวาเป็นทางชันขาวใหญ่เหมือนกัน แล้วมองมาทางหลังก็เป็นทางเดินที่เราไป ที่ตรงนั้นมีเทวดาอยู่ ๑ องค์ยืนยามอยู่ พระที่ท่านนิพพานท่านชอบเรียกว่า "เทวดาอิน" ที่เรียกว่าเทวดาอินนี่น่ะไม่ใช่ว่าคนนั้นเป็นพระอินทร์ ไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ท่านเป็นพระชื่อว่าหลวงตาอิน เมื่อสมัยเป็นพระท่านได้ฌานสมาบัติแต่ว่าเวลาตายลืมเข้าฌาน เรียกกันว่าตายนอกฌาน ไม่ใช่นอกชานกุฏินะ เรียกว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายก็แล้วกัน ประเดี๋ยวจะเฝือ เมื่อเวลาจะตายไม่ได้เข้าฌาน ตายก็ไม่ได้ไปเป็นพรหม ตายนอกฌานแบบนี้เขาก็จับไปเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช มีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง อันนี้พระที่ได้ฌานสมาบัติท่านหนึ่ง ชื่อว่าอาจารย์ฉัตร องค์นี้เก่งมากเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานวัดบางนมโคเหมือนกัน แต่เป็นรุ่นพี่ ท่านบอกว่าเวลาจะไปละก็ไปพบกับเทวดาองค์นี้ แกจะถามว่าไปเลยหรือว่ากลับ คำว่าไปเลยก็หมายความถึงว่าตายไปแล้ว ถ้าหากบอกว่ากลับก็หมายความถึงว่าพระที่ได้ฌานหรือท่านที่ได้ฌานไปแล้วต้องกลับก็รายงานบอกว่ากลับ จะไปทางไหน เขาถาม จะไปนรก หรือว่าจะไปสวรรค์ หรือจะไปพรหมโลก ก็บอกเขา เขาจำเอาไว้ เวลาใกล้สว่างถ้ายังไม่กลับเขาจะไปตามบอกว่าเวลานี้ใกล้สว่างแล้วครับ นิมนต์กลับได้ นี่หน้าที่ของเทวดาอินเป็นอย่างนี้
    ตานี้เทวดาอินแกยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าพวกเราผ่านไป ถ้าไปแบบช้าๆ นะ แกก็จะถาม ถ้าไปเร็วปรื๊ดปร๊าดแกก็จะถามไม่ทัน แกบอกว่าพวกนี้เสียมรรยาท มรรยาทเลวไม่เคารพต่อพระภูมิเจ้าที่เทวดายาม ก็ว่ายังงั้น แกว่าพวกมนุษย์นี่น่ะ โดยมากมรรยาทไม่ค่อยดี แม้จะเป็นพระเป็นเจ้าก็ตาม บางทีไม่มีมรรยาท ผ่านมาตรงนี้น่าจะคุยกันก่อน แต่ไม่ใคร่จะมีใครคุยหรอก ปรื๊ดปร๊าดๆ แล้วก็ไปเลย นี่พูดไปยังงั้นเองนะ รู้จักแกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบล่ะ ก็ว่ามันส่งไปยังงั้นแหละ เป็นธรรมดา นี่จำได้แล้วใช่ไหมว่าเทวดาองค์ที่ยืนข้างหน้านั่น ทางสี่แพร่ง ถ้าไม่เห็นก็นึกเอาเองก็แล้วกัน นึกว่าเห็น เป็นเทวดาที่มีเครื่องทรงสีแดง ผ้าที่นุ่งก็มีพื้นสีแดง เสื้อที่ใส่ก็มีพื้นสีแดง บนหัวบางทีก็โพกผ้าสีแดง บางทีก็สวมมงกุฎ ผ้าที่นุ่ง เสื้อที่ใส่ ประดับไปด้วยเพชรนิลจินดา ขาวแพรวพราวไปหมด รูปร่างสง่าผ่าเผยสวยสดงดงามบอกไม่ถูก คนที่ว่าสวยนี่มนุษย์ทาบไม่ติด เทวดาไม่มีแก่มีแต่หนุ่ม ยืนยิ้มด้วยความใจดี ถ้าเวลาเห็นพระผ่านไปมักจะยกมือไหว้แสดงความเคารพ ถ้าเป็นฆราวาสก็จะกล่าววาจาเป็นสัมโมทนียกถา คือวาจาที่ไพเราะ น่าฟัง นี่เป็นจริยาของเทวดาอิน หรือเทวดาหลวงตาอิน หลวงตาอินนี่แกเป็นเทวดาแล้วแกชื่อว่ายังไง เป็นเรื่องของแก ไม่มีใครเคยถาม ถ้าถามแกก็บอกว่าสมัยก่อนแกเป็นพระชื่อว่าหลวงตาอิน แกบอกเท่านั้น นี่เป็นอันว่ารู้แล้วนะ ว่าทางสี่แพร่ง เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หันไปทางซ้ายเป็นทางขึ้นจุฬามณีเจดีย์สถาน เป็นทางใหญ่ขาวโพลน หันไปมองดูทางขวาเป็นทางชันไปพรหมโลก มองลงไปข้างหน้าเป็นทางใหญ่ลาดลงนิดๆ ค่อยๆ ลาดลงเป็นทางลงนรก


    ทีนี้ วันนี้เราจะไปทัศนาจรเมืองนรกกัน เริ่มต้นนะ เริ่มต้นไปเมืองนรก ต่อจากนี้ไปก็พากันลาเทวดาอินเสียก่อน ลาแล้วหรือยัง? ลาหรือไม่ลาก็ช่าง เดินทางต่อไป คราวนี้เราค่อยๆ เดินกันมาถึงที่สุดของโลก เรียกว่า อันตะหรือโลกันตะ มองไปทางซ้ายมือนั่นเป็นแดนของสวรรค์ ที่เรายืนอยู่นี้เป็นแดนของมนุษย์ มองไปข้างหน้าเป็นแดนของเมืองนรก ระหว่างนั้น มองไปทางซ้ายมือจะเห็นภูเขาลูกใหญ่ ใหญ่มหาศาลประมาณมิได้ ภายในภูเขาเป็นถ้ำใหญ่มาก ในนั้นมีความเย็นบอกไม่ถูก ทรมานสัตว์ด้วยอำนาจของความเย็น แล้วก็ภายในถ้ำมีน้ำแปลก เป็นน้ำกรด มีน้ำกรดที่มีความแรงมากเย็นเฉียบเหมือนกัน สัตว์ที่อยู่ในนั้นมีแต่ความมืด หาแสงสว่างไม่ได้ ไต่อยู่ในข้างๆถ้ำ หินก็คมเป็นกรดบาดตัวจนเลือดโชกโชน สัตว์ในนั้นไม่มีแสงสว่างจะมองกัน ต่างคนต่างก็คิดว่าอยู่คนเดียว เวลาไต่ไปพบเข้าก็คิดว่าเป็นอาหารกัดกินกัน ปล้ำกันไปปล้ำกันมาในที่สุดก็หล่นลงไปในน้ำ น้ำกรดก็ทำลายเนื้อหนังหมด เหลือแต่กระดูก แสบก็แสบ เจ็บก็เจ็บ หนาวก็หนาวเย็นเฉียบ ในที่สุดเมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกก็ประกอบกันเป็นร่างขึ้นมาใหม่ทันที ต้องทุกข์ทรมานอย่างนี้ ไต่ขึ้นมาใหม่ แล้วมาเกาะอยู่ข้างเขาหรือเรียกว่าข้างถ้ำจัดว่าเป็นกำแพงถ้ำก็ได้ นรกอันนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เรียกกันว่าโลกันตนรกไม่ทราบว่าบาปอะไร ในตำราท่านไม่ได้เขียนไว้ ท่านบอกว่าเป็นบาปพิเศษ พ้นจากที่นี้แล้วจึงไปอเวจีมหานรก ไปขึ้นต้นจากอเวจีมาก่อน แสดงว่าหนักกว่าอเวจี โลกันตนรกนี้ไม่มีอายุ เรียกว่าหาอายุไม่ได้ ทรมานไปจนกว่าจะถึงที่สุด เมื่อถึงที่สุดของกรรมแล้วจึงจะไปอเวจี จัดว่าเป็นนรกสำคัญที่สุดนะ นรก ๘ ขุม แต่ทว่าถือว่าเป็นนรกขึ้นต้น คือมันแย่เหมือนกัน



    เอ้า เดินทางกันต่อไป คราวนี้ออกจากโลกมนุษย์แล้ว บรรดาท่านผู้ฟังโปรดทราบนรกที่เขาบอกว่าเจาะในดินลงไปกี่แสนๆ โยชน์น่ะ ไม่จริง เป็นเรื่องปรัมปราของคนที่ไม่เคยเห็น อาตมาเองก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นนรกนา ว่ากันไปตามที่เห็น อย่างพระพุทธเจ้าท่านว่า ก็เรียกว่า โลกนรกไม่ใช่อยู่ใต้ดิน ไม่ใช่ว่าคุดอยู่ใต้ดิน คนจะลงนรกต้องดำดินไปลงละก็ไม่มีใครลงหรอก พูดเพ้อกันส่งเดชไป เคยฟังพระเทศน์เหมือนกัน เทศน์ไม่ถูก หลวงพี่ถ้าเทศน์แบบนี้ละก็เทศน์ไม่ถูกนะจะบอกให้ นรกไม่ใช่อยู่ใต้ดินนา มันมีโลกอีกโลกหนึ่งต่างหาก เรียกว่ามีภูมิอีกภูมิหนึ่ง คือว่ามีแดนต่างหากกว้างใหญ่ไพศาลมาก แล้วก็มีคนถามว่าเวลาคนตายไปแล้ว พวกเทวดาหรือพวกสัตว์นรกนี่น่ะ แยกกันหรือเปล่า พวกเจ๊ก พวกฝรั่ง พวกมอญ พวกลาว พวกแขก มีนรกพิเศษหรือเปล่า ก็ขอตอบว่าไม่มีนรกพิเศษ พระพุทธเจ้าไม่เคยบอก เป็นนรกอันเดียวกัน เรามาแยกชาติ แยกประเทศกันเฉพาะในเมืองมนุษย์ ยามที่รับผลของความชั่วหรือความดีไม่มีการแยกกันรวมกันหมด ไม่มีแขก ไม่มีฝรั่ง ไม่มีลาว ไม่มีมอญ เป็นสัตว์นรกธรรมดาๆ เหมือนกัน เป็นเทวดาเป็นพรหมประเภทเดียวกัน ภาษาที่พูดที่ใช้ก็เหมือนกัน รวมความว่าไม่ได้แยกประเภทเข้าไว้ เอาละ จำไว้เท่านี้


    ตานี้ เดินออกจากดินแดนของมนุษย์สุดทางขาว เราก็มองไปข้างหน้า ถ้าหากว่าเราจะเลี้ยวซ้ายสักนิด จะเข้าสู่แดนเปรต ๑๑ จำพวก คือว่าเปรตที่มีกรรมหนัก เลี้ยวซ้ายนิดหนึ่ง เฉียงๆ ไปหน่อยทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าเดินตรงเลยไม่เลี้ยวเราก็ไปสู่ยมโลกียนรก เป็น ๑๐ ขุมตามที่กล่าวไว้ คราวนี้เราเลี้ยวเฉียงๆ ไปทางขวาหน่อยเรียกว่าทางตะวันออกเฉียงใต้ อันนี้เป็นดินแดนของพระยายม จำให้ดีนะ อันนี้เป็นดินแดนของพระยายม พระยายมตั้งสำนักงานอยู่ทางนั้น สำหรับวันนี้ จะพาพระคุณเจ้าท่านและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทแวะที่สำนักของพระยายมเสียก่อน ถ้าเราไม่แวะที่ตรงนั้นและก็เขาจะหาว่าพวกเราไม่มีมรรยาท เพราะว่าเป็นดินแดนของผู้ครองเมืองนรก คือว่าพระยายมนี่นะครองเมืองนรก ความจริงเขาเข้าใจกันว่าอย่างนั้น ที่แท้จริงแล้วพระยายมไม่ได้ครองเมืองเป็นแต่เพียงว่าไปนั่งเป็นผู้พิพากษาคอยตัดสิน พากันเดินไปก็ย่องๆ ไปให้ดีนะ ข้างๆ ทางน่ะมีของดีอยู่ มองไปทางซ้ายนิดซิ เวลานี้เรามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เดินเลาะและมีทางขาวเส้นเล็ก ไม่ใหญ่เท่าทางเดิม ตรงดิ่งไปเหลียวดูทางซ้ายนิดซิ เราจะเห็นต้นไม้ยืนเป็นตับ ที่ตรงนั้นเขาเรียกกันว่าอะไร ต้นไม้ต้นนี้แหละเขาเรียกว่าต้นงิ้ว หรือสิมพลีนรก สิมพลีนะ เป็นนรกต้นงิ้ว สำหรับต้นงิ้วนี่เขาบอกว่าขึ้นตามสภาพกฎของกรรม ถ้ามีสัตว์นรกมากต้นงิ้วก็มาก มีสัตว์นรกน้อยต้นงิ้วก็น้อย ที่ใครบอกว่าต้นงิ้วไม่มี เขาเอาไปทำฟืนหมดแล้วนะ ระวังเขาจะคุณด้วยสอง เขาว่ายังงั้น


    เอาละเดินไป อย่าพึ่งแวะเลย นรกขุมนี้ค่อยแวะกันทีหลัง คงได้เที่ยวกันแน่เดินไปก็มีอะไรผ่านตาอีกแยะ ยังไม่พูด เพราะจะมีเรื่องพูดตอนหลัง เราจะชมกันมาตามลำดับ พอเข้าไปถึงตรงนั้นจะพบบริเวณกว้าง เป็นผืนแผ่นดินที่ราบเรียบ มองไปข้างหน้าบริเวณกว้างนั้น มองดูให้ดีๆ นะ บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเห็นไหม ข้างหน้าที่มองไป ก่อนที่จะถึงอาคาร ๓ หลัง มีคนยืนกันอยู่สะพรั่งนับหมื่นหรือนับแสนก็ได้ แต่ว่าไม่เคยนับ ถ้าถามว่าเท่าไรแน่ก็ตอบไม่ถูก เยอะเหลือเกิน คนธรรมดาๆ หน้าตาซีดเซียว แสดงถึงความเป็นทุกข์ยืนอยู่สะพรั่งคล้ายกับกองทัพใหญ่ แต่ในจำนวนนั้นก็มีคนรูปร่างใหญ่ๆ สูงกว่าคนพวกนั้น พวกที่ยืนอยู่ก่อนอย่างสูงสุดก็เลยเอวนิดหนึ่ง คนตัวใหญ่ๆ ถือหอก ถือง้าว ถืออาวุธเดินอยู่เกลื่อนกลาดเยอะแยะ ควบคุมคนพวกนั้น พวกที่ถือสรรพาวุธพวกนี้ เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชคือเป็นผู้ควบคุมกรรม ตอนนี้ยังไม่ถึงแดนนรก อย่าลืมว่าแดนที่พระยายมอยู่นั้นไม่ใช่แดนนรกจริงๆ คือว่าอยู่ใกล้กับแดนนรก เป็นเขตของเทวดา เรียกว่าเป็นเขตของชั้นจาตุมหาราช ทีนี้มองไปอีกทีหนึ่งอยู่ในกลุ่มคนทั่วไป เห็นอาคารใหญ่สามหลัง หลังกลางใหญ่มาก ในที่นั้นเป็นบัลลังก์คือเป็นสถานที่ชำระความ ที่ตัดสินของพระยายม แล้วก็มองเลยนั่นออกไป ออกไปทางด้านทิศตะวันออกก็ดี ตะวันออกเฉียงเหนือก็ดี จะเห็นทะเลเพลิง มีเปลวไฟ มีกระแสไฟพวยพุ่งขึ้นจับท้องฟ้า กว้างใหญ่ไพศาลมาก หาที่สุดมิได้นั่นคือแดนนรกขุมใหญ่ นรกแต่ละขุมเราจะไม่พูดกันถึงไฟก็จงรู้ว่ามีไฟเป็นปกติ นรกขุมใหญ่ที่ไม่มีไฟไม่มี นี่เป็นตัวยืนนะ หรือเรียกว่าเป็นไก่รองบ่อน นรกแต่ละขุมน่ะมีไฟเป็นไก่รองบ่อน พอเข้าไปแล้วก็ถูกไฟไหม้ ไฟนี้มีความร้อนแรงมาก แรงกว่าไฟในเมืองมนุษย์หลายแสนเท่า เรียกว่าไฟนี้แรงกว่าในเมืองมนุษย์หลายแสน นับเป็นแสนๆ เท่า มีความร้อนมาก เห็นแล้วหรือยัง นี่เราพากันทัศนาจรนะ เที่ยวดูกัน เห็นแล้วละก็ย่องๆ เข้าไปดูซิว่าเวลานี้พระยายมท่านทำอะไร แล้วท่านทั้งหลายจะได้รู้จริยาของพระยายม ว่าความจริงพระยายมราชที่เรากล่าวว่าท่านดุร้ายนัก จับคนลงนรก จริงหรือไม่จริงเวลานี้ยังไม่พูด ไปดูกันก่อน เอ้า ค่อยๆ เดินมา ตามอาตมามา มีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ไปทางด้านทิศใต้ เดินตามขอบเฉียดชายเขา เขายาวเหยียดไม่รู้ว่ายาวถึงไหน เดินมานอกบริเวณแล้วเข้าไปในลาน ประเดี๋ยวเขาจะรู้ว่าคนนี้กินเหล้า คนนี้ฆ่าสัตว์ คนนี้ลักทรัพย์ คนนี้ประพฤติผิดในกาม คนนี้เคยโกหกมดเท็จในเขารู้ ดีไม่ดีเขาจะจับให้อยู่เสียเลยนะ ระวังเถอะ อ้าวเวลาที่มาเที่ยวเมืองนรกนี่ โยมจ่าพัว ชระเอมมาด้วยหรือเปล่า ถ้ามาละก็มองดูให้ดีนะ เจ้าของตำรา มองดูให้ดี เดินหลีกเขา ประเดี๋ยวเขาจะจำเรื่องเก่าๆ ได้ เขาจะเอาไว้เสียเลยจะลำบาก เอ้า มาด้วยกัน เดินหลีกเขามาแล้ว เป็นเวลาพอสมควร ตรงนี้เป็นที่ว่างมีกลุ่มคนมาก ทางตรงด้านขวามือเป็นเขา ด้านซ้ายมือเป็นที่โล่ง มีทางใหญ่มีอาคาร ๓ หลัง เอ้า ทุกคนซ้ายหัน หันหน้าไปทางซ้ายมือ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วก็เดินตามทาง ตามอาตมามา พอเดินเข้ามาแล้วนะค่อยๆ ย่องนะ อย่าเดินดังนักประเดี๋ยวผีจะตกใจ เดินเข้ามาๆ นี่ใกล้จะถึงแล้ว อาคาร ๒ หลังทางซ้าย ทางขวาเป็นอาคารขนาดย่อม เป็นที่พักของพระยายมหลังหนึ่ง ทางด้านซ้ายมือมีความสวยสดงดงามมาก แพรวพราววิจิตรตระการตา เป็นวิมานทองคำ มีเครื่องเพชรประดับแพรวพราวแล้วมีดงหญ้าเป็นที่ราบรื่น แล้วมีต้นไม้ดอก มีดงหญ้าเป็นแก้วประกายแพรวพราวสวยงามจริงๆ ดูคนในขอบเขตของวิมานของพระยายม ไม่เห็นแต่งตัวเป็นสัตว์นรก แต่งตัวเป็นเทวดาเป็นพรหมกันทั้งนั้น ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็สวย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มองไปด้านทางขวามือก็เป็นวิมานสวย ลดหย่อนลงไปหน่อยหนึ่งเป็นที่อยู่ของ เรียกว่าเจ้านายชั้นผู้ใหญ่รองพระยายมลงไป ที่เราเรียกว่านายบัญชีนี่เขาก็มีวิมานสวยเหมือนกัน ตรงไปข้างหน้าที่เราเดินมานี้ เป็นสำนักของพระยายม เป็นอาคารที่มีความสวยสดงดงามมากใหญ่ตระการตา แต่ทว่าคนที่มีบาป ลงมามองไม่เห็นความสวยสดงดงาม เพราะกรรมชั่วมันปิดตา คนดีเท่านั้น คนที่มีบุญเท่านั้นที่จะมองเห็นสวย เอาละ เดินเข้าไปอีกนิดใกล้จะถึงแล้วมีบันไดข้างหน้าระวังให้ดี ขึ้นให้ดีประเดี๋ยวจะหล่นบันไดพลัดตกหกคะเมนไปนายนิริยบาลจะเชิญลงนรกไปเสียเลย ลำบาก พวกเราทุกคนที่มานี่น่ะมีทุนอยู่แล้วนะ บารมีสำหรับที่จะลงนรกมีอยู่ด้วยกันทุกคน ระวังๆ ตัวไว้ จะเผลอ ขึ้นบันไดมาแล้วเป็นชานใหญ่ มองเข้าไปมีม่าน ข้างนอกเป็นม่านสีดำ ผ่านม่านสีดำเข้าไป มีเจ้าหน้าที่รูดม่านให้ เขายืนอยู่ทางด้านซ้ายมือ แล้วก็ขวามือ ๒ คน ผ่านม่านสีดำเข้าไป คราวนี้พบม่านสีแดงแล้วมีประกายเป็นทองและเงินแน่ะ เส้นด้ายเป็นทองและเงินแต่พื้นแดง พอเจ้าหน้าที่สองคนทางซ้ายและขวารูดม่านให้ ผ่านม่านเข้าไปอีก อันนี้เป็นม่านทองคำล้วนๆ เข้าไปม่านที่ ๓ แล้ว ผ่านม่านเข้าไปอีก อันนี้เป็นม่านแก้วมณี ผ่านเข้าไปอีกอีคราวนี้ไม่มีม่านแล้ว ตรงนี้ไม่มีม่าน เป็นเก้าอี้แก้วมณีแพรวพราวไปหมด ตั้งเข้าไว้ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ เห็นไหม นี่เป็นที่สำหรับนั่งคุยกัน นั่งชมพระยายมตัดสินความ แต่พวกสัตว์นรกหรือคนที่เชิญมายืนเกลื่อนๆ น่ะ เขาเข้าไปอีกทางหนึ่งเป็นทางต่ำราบ ไม่ผ่านม่านสีสวยๆ ไม่ผ่านพื้น มีแต่ม่านสีดำ เวลาเข้าไปก็มีคนคุมเข้าไป ประเดี๋ยวก่อนพวกเราทุกคนตามอาตมามา ไปนั่งเก้าอี้กัน ไม่ต้องเกรงใจ ในนั้นมีเทวดาสำหรับรับแขกอยู่ห้องหนึ่ง (ความจริงหลายห้อง) แต่งตัวสวยมาก มีเครื่องประดับมีพื้นสีทอง และมีเครื่องประดับเป็นสีขาว ยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือไหว้พระและคนทุกคน ถือว่าคนที่จะไปนั่นมีความดี เอ ที่เล่าให้ฟังนี้ไปจริงๆ หรือเปล่า? เปล่าหรอกนะไม่ได้ไปเอง ดูหนังสือมาเล่าให้ฟัง แล้วก็เอามาจากไหนเล่า มีเทวดา เทวดาน่ะ ก็บอกว่าอ่านหนังสือซิ หนังสือเขาเขียนไว้ยังงั้นนี่ ถ้าถามว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็บอกแล้วบอกว่าเวลาฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อแล้วก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เมื่อฟังแล้วเชื่อเลยก็ไม่ดี เราไม่ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา หรือว่ายังไม่เห็น ยังไม่ถึง เราปฏิเสธเลยมันก็ไม่ดีเหมือนกัน เป็นอันว่าไม่ดีทั้งสองอย่าง ในตอนนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายรับฟังไว้ก่อน แล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งปฏิเสธ เป็นอันว่าวันนี้เรามาเห็นเทวดาสวยกัน วันนี้เราได้นั่งเก้าอี้แก้วมณี หันหลังไปทางด้านทิศตะวันออก หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันตก มองไปอีกทีทางขวามือ โต๊ะกลางคือ พระยายมราช โต๊ะด้านหน้าของเรา พระยายมนี่หันหน้าไปทางทิศไต้ ซ้ายมือของพระยายมราชเป็นนายบัญชีใหญ่ โต๊ะขวามือของพระยายมราชเป็นหัวหน้าเทวดาที่มารับคน


    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชน จะมองดูอะไรต่อไป จะฟังพระยายมท่านพูดอะไรก็ฟังไม่ได้เสียแล้ว เดี๋ยวพันจ่าอากาศเอกกฤษณ์ บำรุงพงศ์ แกจะนั่งค้อนเอา เพราะเขาว่าแกเป็นหัวหน้าสถานี เวลานี้ก็หมดเวลาเสียแล้วนี่ ไว้วันพุธหน้าฟังกันใหม่ สำหรับวันนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี.

    โดย...หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ที่มา http://www.luangporruesi.com/264.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2009
  5. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ......กฎ แห่ง กรรม....ไม่แบ่ง สัญชาติ เชื้อชาติ ภาษา ศาสนา หรือศาสดา....

    .....กิน เกลือ ภาษาไทย ว่าเค็ม ภาษาอื่น เรียกอีกอย่าง....แต่ก็รสชาติเดียวกัน..

    ......สถานที่เดียวกัน เรียกต่างกัน....รู้สึกเดียวกัน.....

    .....สัตว์โลก เป็นไป ตาม กรรม......
     
  6. หมอพล

    หมอพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +4,175
    ทุกประเทศ ก็มี คุก และ หมู่บ้านจัดสรร.....ฯลฯ.....ด้วยกันทั้งนั้น.....จะ สุข หรือ ทุกข์.....ก็เกิดขึ้น ตามการกระทำของตน นั้นแล.......บ้าน ก็มี กฎบ้าน.....เมือง ก็มี กฎเมือง......ประเทศ ก็มี กฎหมายของประเทศ นั้นๆ.....มีผู้ดูแลควบคุมด้วย....เป็นไปตามหน้าที่.........


    ในแต่ละภพภูมิ......ก็เช่นเดียวกัน.......จะนับถือ หรือ ไม่นับถือ......ในกฎหมาย หรือ ศาสนา.......หากกระทำความผิด ย่อมโดนลงโทษ ไปตามเหตุ ทั้งนั้น.....หากทำความดี ย่อมได้รับผลดี ทั้งนั้น......ไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนาเลย.....


    แต่ พระพุทธศาสนา ย่อมสอนให้มุ่งสู่ ความหลุดพ้นจาก การเวียนว่ายตายเกิด......สิ้นภพชาติทั้งปวง นั้นแล....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2009
  7. bhipattpon

    bhipattpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2009
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +1,516
    อนุโมทนาสาธุ และขอขอบคุณทุกท่านครับ กระจ่างแจ้งแล้วครับ
     
  8. ดอกไม้บูรพา

    ดอกไม้บูรพา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +6
    ^^
     
  9. toompom

    toompom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +64
    ขยันพิมพ์จัง
     
  10. พงศ์กฤต

    พงศ์กฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5,699
    ค่าพลัง:
    +33,737
    อนุโมทนาสาธุ แล้วพระเยซุของคริสต์ พระอัลเลาะห์ของอิสลามมีจริงป่าว ถ้ามีอยู่สวรรค์ชั้นไหนครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...