ไฟล้างโลกและพระศรีอาริย์ตรัส

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 6 มิถุนายน 2009.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ไฟล้างโลกและพระศรีอาริย์ตรัส


    [​IMG]


    เรื่องรู้เลยตาย : ไฟล้างโลก และพระศรีอาริย์ตรัส (บันทึก เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒) ธรรมปฏิบัติเล่ม 12

    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร)


    ความจริงเรื่องรู้เลยตาย หรือรู้ก่อนเกิดนี้ ฉันเองไม่ใคร่อยากจะพูด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไปไม่น้อยเลย แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียนๆ เรื่องรู้เลยตาย และรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่น รู้ว่า เมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบันลัยกัลป์จะไหม้ถึงภวคพรหม ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยไม่หายว่า ไฟอะไรจะดันไปไหม้แม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดี เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ความจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนของวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ นนทากับ ประสบสุข มาฝึกกรรมฐาน ฉันนั่งคุมกรรมฐาน ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็น สัพพัญญูวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้

    หลังสิ้นพระพุทธศาสนา : หลังจากกึงพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี (เลยพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปีไปอีก ๑,๕๐๐ ปี) จะมีไฟล้างล้างโลก ล้างแต่มนุษย์เท่านั้น ไม่ลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่า ความชั่วที่จะเป็นเหตุให้ไฟล้างนั้น เป็นผลของสัตว์ที่สร้างอกุศลกรรมมาก มารวมกันอยู่ เป็นสมัยสัตว์นรกครองโลก มีแต่ความเร่าร้อน หาความสงบสุขไม่ได้ ความจริงแล้วมันเริ่มมีความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปีแล้ว จากนั้นไป พวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรมเป็นพวกเห็นแก่ตัว มากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม

    หลังจากไฟล้างโลกแล้ว : โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ ๑,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษย์โลก แม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื้น ต้นหญ้า ต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้

    หลังจากที่โลกเขียวชอุ่ม ไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้น : ทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิด สัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้น ไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบ อุปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวคนขึ้น จะยังไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ส่องแสง มีแสงเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละคน คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ เรื่องอาหารนั้นนระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปิติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอจากกฏธรรมดา คือ ความเสื่อมของสังขาร เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด ผิวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป

    พระศรีอาริย์มาตรัส : เมื่อโลกมีมนุษย์ และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์แล้ว ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลกเกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี คนสมัยนั้นีอายุครองตนได้ ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้นพระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เขตที่ท่านลงมาตรัสสมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า

    คณะคอยพระศรีอาริย์ : คนกลุมหนึ่ง ที่บำเพ็ญบารมีคอยพระศรีอาริย์ ตามปฎิญญาที่ให้ไว้หลายพุทธสมัยนั้น ท่านหัวหน้าทรงนามว่า "โกสีห์" จะสร้างเมืองแถวด้านเหนือของเมืองพม่า เรียกว่า เชียงตุง ปัจจุบัน ให้ชื่อเมืองว่า สีหนคร รวบรวมลูกหลานทั้งหมดมาร่วมบำเพ็ญกุศล และเป็น อุปฐากใหญ่ ของพระศาสนา ในที่สุดก็นิพพานทั้งตระกูล

    ในศาสนาพระศรีอาริย์ : เรื่องพระศรีอาริย์นี้ เวลานี้ชักยุ่งมากทีเดียว เพราะไม่ว่าไปทางไหน ก็พบพระศรีอาริย์เกลื่อนไปหมด ที่โน่นก็พระศรีอาริย์ ที่นี่ก็พระศรีอาริย์ เล่นเอาชาวบ้านอานกันเป็นแถว เพราะอยากเป็นบริวารพระศรีอาริย์ ส่วนพวกร้านค้าก็บอกว่า ระหว่างนี้เข้ายุคภาษีอาน ฟังแล้วคล้ายๆ กัน....ฯลฯ

    มาพูดกันเรื่อง พระศรีอาริย์กันดีกว่า เรื่องภาษีอานนั้นพูดไม่ออกแล้ว พอใจหรือไม่พอใจก็ต้องเสีย เป็นเรื่องของยุคทมิฬ ห้ามพูด เมื่อบ้านเมืองยุ่ง ทางกลุ่มศาสนาก็พลอยกลุ้ม เพราะเมื่อมีความเดือดร้อน ชาวบ้านก็อยากพบพระศรีอาริย์ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข คราวนี้เองเป็นเหตุให้พระศรีอาริย์อวตาร หรือโงนเงนเหมือนต้นตาลลงมาไม่ทราบ เกิดมีพระศรีอาริย์โผล่หน้ามาพร้อมกันหลายองค์ อยู่ตามถ้ำ ตามเขาบ้าง ตามกลุ่มชนในชนบทบ้าง ไม่รู้ว่าอวตารลงมาอย่างไรพร้อมกัน ในยุคเดียวกันตั้งหลายอาน บางรายก็สวดด่อน เขาว่าอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสวด เขาสวดกันอย่างไร

    บางรายเฉพาะที่เขาตะพาบ เมืองอุทัย เห็นสวดดะไม่ใช่สวดด่อน ที่เมืองลพบุรีก็มี รายนั้นทำงานมงคล นิมนต์พระผีมาสวดเป็นแถว เห็นตั้งอาสนะไว้ แต่ไม่เห็นมีพระ มีคนเขาบอกว่าท่านนิมนต์หลวงพ่อศุข หลวงพ่อปาน หลวงพ่อแช่ม ฯลฯ และอีกหลายท่าน ให้มาสวดมนต์ ในงานยกธงธรรมจักร นิมนต์พระผีมานี่ ลดค่าครองชีพดีมาก ท่านสวดมนต์ก็เสียงไม่ดัง นั่งก็ไม่เปลืองที่ เลี้ยงอาหารก็ไม่เปลือง สบายใจดีแล เรื่องอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะโกหกเพื่อหวังลาภผลเท่านั้นเอง เอาอะไรเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ ขึ้นไปบนสวรรค์ทีไร พบพระสรีอาริย์ทุกคราว แถมท่านบอกมาด้วยว่า "ที่เข้าทรง และว่าฉันไปนั้น ฉันไม่เคยไปเลย" เรื่องก็จบเพียงแค่นี้

    ต่อไป มาพูดกันถึงศาสนาพระศรีอาริย์กันดีกว่า ท่านว่า ศาสนาของท่านนั้น มีผลดังนี้

    ๑. คนสวยทุกคน มีผิวเหลือง เนื้อละเอียด คนแก่ที่สุด มีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณ ๒๐ ปีเศษสมัยนี้เท่านั้นเอง อายุคนสมัยนั้นท่านว่ามีอายุถึง ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัย

    ๒. สมัยของท่าน ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย มีต้นไม้สารพัดนึกอยู่ในที่ทุกสถาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มีจิตใจชั่วร้าย ยังไม่มีโอกาสเกิดในสมัยของพระองค์ ท่านที่จะไปเกิดที่นั้น ต้องเป็นเทวดา หรือพรหมเท่านั้น โลกจึงมีแต่ความสุข ไม่มีตำรวจทหาร มีแต่พ่อบ้านแม่เรือน

    ๓. การสัญจรไปมาสะดวกสบาย ไปไหนก็พายเรือตามน้ำ

    ๔. คนเข้าถึงธรรมทุกคน ท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณ หรือมีวิปัสสนาญาณบ้างพอสมควรจะเข้าถึงธรรมพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือเป็นพระอริยเจ้า คนที่ได้อริยะต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน

    คนที่ทำบุญไว้น้อย คือฟังคาถาพัน และปฏิบัติตามแต่ไม่สมบูรณ์ อย่างต่ำก็เข้าถึงสรณคมน์ อย่างสูงก็ได้อริยะ ที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะท่านบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป ท่านบำเพ็ญบารมีมาก คนเลวจึงเข้าแทรกแซงในศาสนาของพระองค์ไม่ได้ น่าเกิดจริงๆ

    เรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างนี้อย่างนี้ เขียนไว้ให้อ่านเล่น จริงหรือไม่จริง ไม่มีผลที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตำรา ต้องอาศัยฌานและญาณช่วยจึงจะทราบผลแน่นอน ถ้าวิริยะอุตสาหะแล้ว ไม่ช้าก็พากันมีความรู้สึกที่จะพิสูจน์ได้ ฟังไว้แต่อย่าเชื่อ และอย่าเพิ่งปฏิเสธ จนกว่าเราจะมีฌานและญาณพอจะพิสูจน์ได้ สำหรับเรื่องนี้ขอยุติเท่านี้ วันหน้าถ้ามีเวลาพอ จะเอาเรื่องโลกเกิดมาเขียนให้อ่านเล่น

    ที่มา http://forum.02dual.com/index.php?topic=160.0<!-- google_ad_section_end -->​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=556 align=center border=0><TBODY><TR><TD colSpan=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="HEIGHT: 2556px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=717 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#eef6df height=2556>
    <TABLE style="HEIGHT: 38px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=510 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center bgColor=#e7f2d0 height=38>กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย คือ การกำหนดเวลาที่จะนับจะประมาณไม่ได้ ซึ่งมีอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="58%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#e7f2d0><TD vAlign=top height=13>ถ้านับเม็ดฝนที่ตกลงมาทั้งวันทั้งคืนตลอดทั้ง 3 ปี ไม่ได้ขาดเลย
    จนกระทั่งเต็มท่วมขอบจักรวาล
    มีระดับความสูง 84,000 โยชน์ อย่างต่อเนื่องได้ 1 อสงไขย ก็คือจำนวนเม็ดฝนที่นับได้เป็น 1 อสงไขย
    </TD><TD vAlign=top>ส่วนกาลเวลาที่เรียกว่า มหากัป คือ ระยะเวลาที่โลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป
    </TD><TD vAlign=top>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เรามาศึกษากาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย ที่เราได้ยินว่า ๒๐ อสงไขย ๔๐ อสงไขย ๘๐ อสงไขย อสงไขยคืออะไร

    กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย คือการกำหนดเวลาที่นับประมาณมิได้ ซึ่งมีอุปมาเปรียบเทียบเอาไว้ว่า ฝนตกใหญ่อย่างมโหฬารทั้งวันทั้งคืน เป็นเวลานานถึง ๓ ปี ไม่ได้ขาดสายเลย จนกระทั่งน้ำฝนท่วมเต็มขอบจักรวาล ซึ่งมีระดับความสูง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หากว่ามีใครสามารถนับเม็ดฝนที่ตกลงมาตลอดทั้ง ๓ ปีได้ นับได้เท่าไร นั่นคือระยะเวลา ๑ อสงไขย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="26%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#e7f2d0><TD vAlign=top height=52>เมื่อครบร้อยปีจะมีเทวดาเอาผ้าทิพย์ที่บางเบามาลูบภูเขานี้ ๑ ครั้ง เมื่อใดที่เทวดานั้นเอาผ้าทิพย์บางเบามาลูบ จนภูเขาสึกกร่อนเรียบเสมอพื้นดิน จึงเรียกว่า มหากัป</TD><TD vAlign=top>หรือ มีกำแพงสี่เหลี่ยมใหญ่มหึมา มีความกว้าง ยาว ลึก อย่างละ 1 โยชน์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ส่วนกาลเวลาที่เรียกว่า มหากัป คือ ระยะเวลาที่โลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป ซึ่งมีอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า มีภูเขาศิลาแท่งทึบ กว้าง ยาว สูง อย่างละ ๑ โยชน์ เมื่อครบ ๑๐๐ ปีทิพย์ จะมีเทวดานำผ้าทิพย์ที่บางเบาเหมือนควันมาลูบ ๑ ครั้ง เมื่อใดที่เทวดาได้นำผ้าทิพย์บางเบาเหมือนควันมาลูบ จนภูเขาสึกกร่อนเรียบเสมอพื้นดิน เมื่อนั้นจึงจะเรียกว่า ๑ มหากัป
    หรืออีกอุปมาหนึ่งว่า มีกำแพงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มหึมา มีความกว้าง ยาว ลึกอย่างละ ๑ โยชน์ เมื่อครบ ๑๐๐ ปีทิพย์จะมีเทวดาองค์หนึ่ง นำเมล็ดพันธุ์ผักกาดซึ่งเมล็ดนิดเดียว มาหยอดใส่ในกำแพงสี่เหลี่ยมนั้น ๑ เมล็ด เมื่อใดที่เทวดานั้นนำเมล็ดผักกาดมาหยอดใส่จนเต็มเสมอขอบปากกำแพงนั้น เมื่อนั้นจึงจะเรียกว่า ๑ มหากัป
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="26%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#e7f2d0><TD vAlign=top height=52>พอถึงร้อยปีจะมีเทวดาองค์หนึ่ง เอาเมล็ดผักกาดมาหยอดใส่ในกำแพงสี่เหลี่ยมนี้ 1 เมล็ด เมื่อใดที่เทวดานั้นเอาเม็ดผักกาดมาหยอดใส่จนเต็ม เสมอขอบปากกำแพงนั้นแล้ว เมื่อนั้นจึงเรียกว่า มหากัป</TD><TD vAlign=top>ในมหากัปยังแบ่งออกเป็น 4 อสงไขยกัป หากจะอธิบายให้ง่ายขึ้น ก็คือสมมุติว่าเรามีเค็กอยู่ 1 ก้อนในแต่ละชิ้นมีระยะเวลาเท่ากับ 64 อันตรกัป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    มหากัปนั้นจะแบ่งเป็น ๔ ช่วง โดยสมมุติว่า เรามีเค้กอยู่ก้อนหนึ่ง เราแบ่งเค้กนั้นออกเป็น ๔ ชิ้นเท่ากัน ในแต่ละชิ้นมีระยะเวลาเท่ากับ ๖๔ อันตรกัป

    ชิ้นที่ ๑ มีชื่อเรียกว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกกำลังถูกทำลาย หรือกัป กำลังพินาศอยู่ เป็นช่วงที่เกิดบรรลัยกัลป์ อาจจะ เป็นไฟบรรลัยกัลป์ เกิดไฟไหม้ หรือน้ำบรรลัยกัลป์ เกิดน้ำท่วม หรือลมบรรลัยกัลป์ เกิดลมพายุ อย่างใดอย่างหนึ่ง สมมุติว่า เกิดไฟบรรลัยกัลป์ ใช้เวลาถึง ๖๔ อันตรกัป

    ชิ้นที่ ๒ มีชื่อเรียกว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขย-กัป หมายถึง ช่วงที่โลกถูกทำลาย เรียบร้อยไปแล้ว จนเหลือแต่อวกาศว่างเปล่า สมมุติว่า ไฟบรรลัย-กัลป์ไหม้ไปแล้ว ช่วงนี้ไฟเริ่มมอด แต่ยังระอุอยู่เป็นเวลาถึง ๖๔ อันตรกัป

    ชิ้นที่ ๓ มีชื่อเรียกว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกกำลังพัฒนาสู่ภาวะปกติ หรือกัปที่เจริญขึ้น เป็นช่วงที่แผ่นดินเริ่มก่อตัวใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาถึง ๖๔ อันตรกัป

    ชิ้นที่ ๔ มีชื่อเรียกว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกเจริญขึ้น พัฒนาเรียบร้อย เป็นปกติตามเดิม คือ มีสิ่งมีชีวิตปรากฏเกิดขึ้น มีต้นไม้ ภูเขา คน สัตว์ สิ่งของ ซึ่งเป็นช่วงที่เรากำลังอยู่ โดยเริ่มจากอาภัสราพรหม ลงมากินง้วนดิน ใช้เวลาถึง ๖๔ อันตรกัป
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="26%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#e7f2d0><TD vAlign=top height=52>ชิ้นที่ 1 เรียกว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกถูกทำลาย หรือกัปกำลังพินาศอยู่
    ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป

    </TD><TD vAlign=top>ชิ้นที่ 2 เรียกว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกถูกทำลายเรียบร้อยเเล้ว จนเหลือแต่อวกาศว่างเปล่า ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="26%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#e7f2d0><TD vAlign=top height=52>ชิ้นที่ 3 เรียกว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกกำลังเริ่มพัฒนาเข้าสู่ภาวะปกติ หรือกัปที่เจริญขึ้น ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป</TD><TD vAlign=top>ชิ้นที่ 4 เรียกว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป หมายถึง เป็นช่วงที่โลกเจริญขึ้น พัฒนาเรียบร้อยเป็นปกติตามเดิม หรือ กัปที่เจริญขึ้นพร้อมเเล้วทุกอย่างตั้งอยู่ตามปกติ ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ต่อจากนี้เรามาศึกษาว่า ๑ อันตรกัป มีระยะเวลานานขนาดไหน

    ๑ อันตรกัป คือ ช่วงที่มนุษย์มีอายุสูงสุดถึง ๑ อสงไขยปี คือ อายุมนุษย์ที่นับประมาณมิได้ และค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ คือ ๑๐๐ ปี ลด ๑ ปี จนกระทั่งอายุมนุษย์เหลือเพียงแค่ ๑๐ ปี ที่อายุมนุษย์เสื่อมลง เพราะสั่งสมอกุศลธรรมมากขึ้น เรียกว่า ไขลง จากนั้นมนุษย์ก็สั่งสมกุศลธรรมมากขึ้น เรียกว่า ไขขึ้น อายุมนุษย์จึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จาก ๑๐ ปี คือ ๑๐๐ ปี เพิ่ม ๑ ปี ไปจนกระทั่งอายุมนุษย์สูงสุดคือ ๑ อสงไขยปี
    [​IMG]
    <TABLE style="HEIGHT: 38px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=268 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#e7f2d0 height=38>ใน 1 อันตรกัป คือช่วงที่มนุษย์มีอายุสูงสุด ถึง 1 อสงไขยปี และค่อยๆ ลดลงมาเหลือ เพียงแค่ 10 ปี จากนั้นมนุษย์ก็เริ่มมีอายุเพิ่มขึ้นอีกจนกระทั่ง 1 อสงไขยปี เรียกว่า 1 อันตรกัป</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ดังนั้นสรุปว่า ช่วงอายุมนุษย์ตั้งแต่ ๑ อสงไขยปีลดลงเหลือ ๑๐ ปี และจาก ๑๐ ปี เพิ่มขึ้นจนถึงอสงไขยปี อย่างนี้จึงเรียกว่า ๑ อันตรกัป

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=565 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="HEIGHT: 38px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=565 align=right border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center bgColor=#e7f2d0 height=38>
    ทั้ง 4 ช่วงรวมเป็น 256 อันตรกัป หรือเรียกว่า มหากัป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    เพราะฉะนั้น ระยะเวลา ๔ ช่วงรวมกันแล้วเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ มหากัป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://dhammavoice.wordpress.com<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ความหมายที่แท้จริงของคำว่า"โลกแตก"

    [​IMG]

    "โลกแตก"ในความหมายที่แท้จริงแล้ว หมายถึงระยะเวลาที่โลกแตกสลายเป็นจุลมหาจุลไป ซึ่งก็คือการสิ้นสุดของระยะเวลา 1 มหากัปป์ แต่ชาวพุทธเรานิยมเรียกกันว่า 1 กัป ซึ่งก็มีความหมายเดียวกันกับคำว่า 1 มหากัปป์ นี้นั่นเอง

    เมื่อทุกอณูของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ กลับมารวมตัวกันเป็นโลกธาตุอีกครั้ง จึงจะถือว่าเป็นการเริ่มต้นกัปป์ใหม่ หมุนเวียนกันไปเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับสลายไป

    ไฟล้างโลก จึงหมายถึง ไฟที่มากวาดล้างทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ เป็นยุคๆ เป็นคราวๆไป แต่ยังไม่ได้ทำให้โลกต้องแตกสลายไป เหมือนไฟประลัยกัลป์ ที่จะมาทำลายโลกให้ต้องแตกสลายไปเมื่อตอนสิ้นกัปป์ เช่นเมื่อสิ้นสุดอายุพระศาสนานี้ครบ 5,000 ปีไปแล้ว ก็จะเกิดไฟล้างโลกขึ้นมาตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสบอกเอาไว้

    ดังนั้น"โลกแตก" จึงยังไม่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อหลังจากสิ้นสุดศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้าไปแล้วเท่านั้น ตามหลักฐานที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกดังนี้

    ระยะเวลาที่โลกกำลังวินาศ(โลกแตก) คือ วินาศด้วยไฟ ด้วยน้ำ หรือด้วยลม ตามคติเก่าแก่กล่าวว่า วินาศด้วยไฟนั้น จะเกิด “มหาเมฆกัปวินาศ” คือฝนตกใหญ่ทั่วโลกก่อน ครั้นฝนหยุดแล้วจะไม่มีฝนอีก โลกจะแห้งแล้งไปโดยลำดับ แล้วเกิดดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ ปรากฏขึ้น และ ดวงมี่ ๓ ดวงที่ ๔ จนถึงดวงที่ ๗ ซึ่งทำให้โลกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

    จนก่อตัวเป็นไฟประลัยกัลป์ เผาไหม้โลกจนกลายเป็นจุลมหาจุล ส่วนโลกวินาศด้วยน้ำนั้น จะเกิด “มหาเมฆกัปวินาศ” ก่อน แล้วเกิดฝนด่างตกลงมาท่วมโลกไปทั่ว กลายเป็นน้ำประลัยกัลป์ ย่อยโลกให้สลายไปเป็นจุลมหาจุล ส่วนโลกพินาศด้วยลมนั้น จะเกิด “มหาเมฆกัปวินาศ” ก่อนแล้วจะเกิดลมวินาศเป็นลมประลัยกัลป์ พัดทำลายโลกให้แหลกเป็นจุลมหาจุล

    เกณฑ์โลกวินาศตามคตินี้กล่าวไว้ว่า โลกวินาศด้วยไฟ ๗ ครั้ง แล้วจึงวินาศด้วยน้ำในครั้งที่ ๘ หนึ่งครั้ง ครั้นวินาศด้วยไฟและน้ำดั่งนี้ครบ ๘ ครั้ง ๘ หนแล้ว จึงวินาศด้วยลมครั้งหนึ่ง ระยะเวลาตั้งแต่เกิดมหาเมฆกัปวินาศ จนถึงไฟประลัยกัลป์ไหม้โลกจนหมดสิ้นสลายไป ใช้เวลายาวนานหนึ่งกัปย่อย กัปย่อยที่โลกกำลังวินาศนี้เรียก สังวัฏฏกัป

    เมื่อโลกวินาศเป็นจุลเหลือแต่ความว่างเปล่า ก็จะว่างเปล่าปราศจากโลกนี้ต่อไปอีกยาวนานหนึ่งกัปย่อย เรียกกัปย่อยนี้ว่า สังวัฏฏฐายีกัป

    หลังจากผ่านพ้นความว่างเปล่าที่ยาวนานหนึ่งกัป ดวงอาทิตย์จะเริ่มลดลงจนเหลือดวงเดียวอีกครั้งหนึ่ง “มหาเมฆกัปสมบัติ” เริ่มตั้งขึ้น เกิดฝนตกทั่วทุกที่ในจักรวาล ลมจะประคองน้ำฝนรวมเป็นก้อนกลม แล้วก็แห้งไป ปรากฏเป็นโลกขึ้นใหม่ เกิดวิวัฒนาการของเปลือกโลกเป็นแผ่นดิน ภูเขา และมหาสมุทร และเกิดชั้นบรรยากาศหุ้มห่อโลก ซึงใช้ระยะเวลายาวนานหนึ่งกัปย่อย เรียกกัปย่อยนี้ว่า วิวัฏฏกัป

    เมื่อโลกก่อกำเนิดขึ้นแล้ว มีแผ่นดิน ท้องฟ้าและมหาสมุทร รวมทั้งบรรยากาศ เกิดกลางวัน กลางคืน และฤดูกาลหมุนเวียนต่อเนื่องขึ้น ดังนี้นสิ่งมีชีวิตก็เริ่มเกิดขึ้น เริ่มจากสัตว์เซลล์เดียวก่อน และวิวัฒนาการเป็นหลายเซลล์ แล้วเกิดพืชและสัตว์พันธุ์ต่างๆมากขึ้น จนปรากฏมนุษย์บุรุษและสตรีขึ้น สืบเผ่าพันธุ์ต่อกันมาแล้วตั้งบ้านเรือนและประเทศต่างๆขึ้น เรียกกัปนี้ว่า วิวัฏฏกัป และจะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติขึ้นในกัปย่อยนี้

    ที่มา http://larndham.net/index.php?showtopic=26514&st=2


    **************************************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. บุพเพ

    บุพเพ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +21
    <TABLE class=tborder style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead colSpan=2>วันนี้ 12:21 AM</TD></TR><TR title="Post 2161949" vAlign=top><TD class=alt2 align=middle width=125>เกษม</TD><TD class=alt1>
    ๔. คนเข้าถึงธรรมทุกคน ท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณ หรือมีวิปัสสนาญาณบ้างพอสมควรจะเข้าถึงธรรมพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือเป็นพระอริยเจ้า คนที่ได้อริยะต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    แล้วถ้าบอกว่าพุทธเจ้าเป็นแค่คนธรรมดา

    ก็คงไม่มีใครสนใจ จนต้องใส่วิเศษเข้าไปมากๆ

    เพื่อให้เป็นคนที่พิเศษกว่าใคร
     
  6. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    หากไม่รู้อะไรจริงอะไรไม่จริงอย่าไปเดาเลยครับเพราะจิตของเรามันยังมีกิเลสกันอยู่เยอะ
    ผมก็ไม่รู้หรอกว่าสมัยพุทธกาลมีเรื่องราวปาฏิหารย์อะไรบ้างผมจึงไม่กล้าที่จะไปพูดบอกว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มิถุนายน 2009
  7. mook_me

    mook_me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +241
    อนุโมทนา สาธุ ขอผู้ที่ยังอยู่ในวัฏสงสารนี้ ได้เข้าถึงธรรมได้ แม้เพียงน้อยนิดด้วยเถิด สาธุ
     
  8. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    พระพุทธเจ้า ท่านเป็นอัจฉริยบุคคล ที่สามารถจะสร้างศรัทธา ความเชื่อ

    ความคิดใหม่ สาระ และ นิกาย ลัทธิ ให้คนเลื่อมใสศรัทธาได้ จะต้องเป็นนักคิด จิตต้องว่าง ไม่เป็นบุคคลที่ฟุ้งซ่าน เป็นนักปรัชญาที่ไม่งมงายในพิธีกรรมที่

    ชาวโลกีย์สร้างขึ้นมา ทุกสิ่งที่ท่านคิดจะต้องหาเหตุผล และ แนวทางแก้ไขได้

    ด้วยสันติวิธีควบคู่ไปกับสันติสุขที่รุ่งเรืองภายในใจที่

    ว่าง ท่านมีความคิดสามารถผลักดันหาสาระแก่นแท้

    ของความจริงในชีวิตของตน และ บุคคลอื่นได้

    ถ้าพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเป็นมนุษย์ 2 ประเภทนี้

    คือ รวยก็ต้องรวยที่สุด และ จนก็ต้องเป็นคนจนที่สุด
     
  9. ปัทมินทร์

    ปัทมินทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +1,393
    เอาล่ะ! มาเร่งรีบขวนขวายให้ทาน รักษาศีล หมั่นภาวนากันเถอะชาวพุทธ เพื่อมรรคผลนิพพาน
     
  10. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คิดอย่างวิทยาศาสตร์

    ถ้ารู้ความจริงว่า ท่านพ้นวิเศษแล้ว

    ก็คงจะให้ใครมายัดเยียดความคิดให้

    แบบคนไม่ศึกษาก็ไม่ได้
     
  11. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,662
    ค่าพลัง:
    +9,236
    "หลังจากที่โลกเขียวชอุ่ม ไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้น : ทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิด สัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้น ไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบ อุปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวคนขึ้น จะยังไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ส่องแสง มีแสงเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละคน คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ เรื่องอาหารนั้นนระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปิติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอจากกฏธรรมดา คือ ความเสื่อมของสังขาร เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด ผิวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป"

    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  12. LittleBuddha

    LittleBuddha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +158
    ขอบคุณครับ กำลังรออยู่เเหมือนกันหวังว่าคงจะได้มีโอกาสโผล่มาเกิดกับคนอื่นเขาบ้างจะได้มาสร้างบารมีต่อ สาธุ สาธุ
     
  13. นักรบเเห่งสยาม

    นักรบเเห่งสยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +607
    ยุคนั้นไม่มี สงคราม เเน่ๆเลย
     
  14. นักรบเเห่งสยาม

    นักรบเเห่งสยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +607
    ยุคนั้นไม่มี สงคราม เเน่ๆเลย
     
  15. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    คำว่าเดาไม่มีสำหรับเรา

    ยืนยันคำเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

    ถ้าไม่ปราถนาพุทธภูมิไม่มีทางรู้ได้

    เพราะนี้มันเป็นชั้นภูมิของพระพุทธเจ้าเขา

    สาวกภูมิ ก็เดาไปทั่วทั้งทีไม่ใช่วิสัยของตน
     
  16. ส.เชียงใหม่

    ส.เชียงใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +145
    ขออนุโมทนาบุญครับ...ขอให้ทุกท่านมีความสุข
    ---------------------------------------------
    ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนใครจะเตือนให้ป่วยการ
     
  17. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม พวกเราทุกๆ คนก็ควรที่จะรีบบำเพ็ญ หมั่นฝึกปฏิบัติตนใ
    ห้อยู่ในศีล หมั่นเจริญภาวนาให้ทาน และทำแต่ความดีให้มากที่สุด
    ละเว้นความชั่ว เพื่อที่จะได้สะสมผลบุญในตรงนี้ ตั้งจิตอฐิษฐาน
    ให้เเน่วแน่มั่นคงเพื่อเป็นปัจจัยให้ได้ไปเกิดทันในศาสนาพุทธ
    ยุคของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตร ในอนาคตกาลเทอญ...
     
  18. kosabunyo

    kosabunyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,045
    อจินตัย
     
  19. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ปราถนาพุทธภูมิก็ยังมีกิเลสอยู่นะครับ แล้วจะรู้จริงไม่จริงได้อย่างไร ส่วนความคิดแบบวิทยาศาสตร์มั่นใจหรือครับว่ามันเป็นจริง
     
  20. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    วิทยาศาสตร์ทางใจ


    1 การตั้งคำถาม : ทำไม่ถึงกลัวตกนรก
    2 การตั้งสมมติฐาน: เพราะเราต้องตกนรกมาก่อน
    3 การหา<WBR>ข้อมูล: ค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย
    4 การวิเคราะห์ข้อมูล:สาเหตุที่พากันไปตกนรก ก็เพราะคิดว่าตนดีแล้ว ก็เลยทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
    5 การสรุปผล ยังไม่ได้ตรัสรู้ความจริง ก็อย่าพึ่งไปตัดสินในสิ่ง
    ที่ตนยังไม่รู้
     

แชร์หน้านี้

Loading...