จิตในอดีต เป็นจิตจริงไหม ปฏิบัติวิปัสสนา ต้องปัจจุบันเท่านั้นหรือ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dhammashare, 17 สิงหาคม 2009.

  1. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ลามไปถึงสงฆ์แล้วเหรอ คุณเที่ยวไปเก็บอะไรต่อมีอะไรเท่าที่เห็นมาปรุงไปเอง

    เอาเถอะ ...คุณก็ไปคุยกับคุณ ธรรมภูติ ต่อละกัน ดูสิว่า ออกแนวไหนอีก
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    http://palungjit.org/threads/เมื่อจ...ป็นไปตามความเป็นจริงได้อย่างไร.200304/page-15

    ผมตอบที่คำถามให้แล้วครับ ตามลิ้งครับ ถ้าพอมีเวลาผมจะมาตอบที่นี่ให้ครับ

    ;aa24 ถ้าเคยเข้าสู่สภาวะตายก่อนตายมาแล้ว ความสงสัยที่ท่านถามจะลดน้อยลงครับ
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    <TABLE class=tborder id=post2050659 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("2050659")</SCRIPT></TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD background=images/gradients/bg_p.gif>สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "ไม่เห็นด้วย" กับข้อความของ คุณ นิวรณ์ ที่เขียนไว้ทางด้านบน</TD></TR><TR><TD class=alt2 height=29>iofeast (21-04-2009), visutto (22-04-2009), ขันธ์ (21-04-2009)</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG] [​IMG] ... นิวอน...กากี่นั้ง... น้อ...
     
  5. นิยายธรรม

    นิยายธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +20
    กรรม...มีกรรมฐานกองใหม่กำหนดลมทางรูทวารด้วย
    อย่านอกครูสิจ๊ะ ท่านสอนทางจมูก ก็ตามรู้ก็พอ วาโยธาตุน่ะมันเป็นกรรมฐานกองจตุฐานวัฏฐาน 4 เป็นอารมณ์คิด แน่อานาปานุสติเป็น อารมณ์หยุดคิดนะจ๊ะ ถ้าท่านจะทำเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา นั้นก็ได้ แต่สมาธิท่านทรงตัวหรือเปล่าล่ะ ท่านคิดพิจารณาอาหารได้ตลอดลอดฝั่งหรือเปล่าล่ะ
     
  6. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    คราวนี้หนักจริง ๆ ด้วย ...หากภาวนาได้ถูกต้องคงไม่ทวนไปครวญหาจิตอดีต
     
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    อดีต ก็เมา

    ปัจจุบัน ก็เมา

    อนาคตก็เมา

    รวมแล้วกล่าว ว่าธรรมเมา
     
  8. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG] [​IMG]
    พุทธะ

    ;aa15
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
  10. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    rep #30
    [​IMG]
     
  12. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    อดีต ก็เคยเป็นปัจจุบัน มาก่อน
    ปัจจุบัน อีกขณะหนึ่ง ก็จะกลายเป็นอดึตไป
    อะไรคือจริง และ อะไรคือไม่จริง ครับ
    ถ้ารับรู้/เห็น/ดู สภาวะปัจจุบันได้ อย่างไม่ปรุงแต่ง จะไปสนใจเรื่องของอดีต ไม่ทำไมครับ เรียนณ. จุดที่มันเกิด และ ดับไป เดียวนั้น และ ขณะนั้น ให้ถ่องแท้ และปล่อยมันดับไป
    อนาคต ยังมาไม่ถึง ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ควรไปคิดนำ

    ผมว่าสนใจปัจจุบันเถอะครับ อนุโมทนาบุญน่ะครับ
     
  13. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    อดีต ก็เคยเป็นปัจจุบัน มาก่อน
    ปัจจุบัน อีกขณะหนึ่ง ก็จะกลายเป็นอดึตไป
    อะไรคือจริง และ อะไรคือไม่จริง ครับ
    ถ้ารับรู้/เห็น/ดู สภาวะปัจจุบันได้ อย่างไม่ปรุงแต่ง จะไปสนใจเรื่องของอดีต ไม่ทำไมครับ เรียนณ. จุดที่มันเกิด และ ดับไป เดียวนั้น และ ขณะนั้น ให้ถ่องแท้ และปล่อยมันดับไป
    อนาคต ยังมาไม่ถึง ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ควรไปคิดนำ

    ผมว่าสนใจปัจจุบันเถอะครับ อนุโมทนาบุญน่ะครับ
     
  14. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    พุทธองค์ตรัสไว้ดังนี้ ถ้าไม่รู้จริงว่าบรมครูท่านสอนเอาไว้
    ก็อย่าทึกทักเอาเองนะครับ
    V
    V
    V

    [๑๓๘] ดูกรราหุล วาโยธาตุเป็นไฉน? วาโยธาตุเป็นภายในก็มี เป็นภายนอกก็มี.
    ก็วาโยธาตุเป็นภายในเป็นไฉน สิ่งใดเป็นภายใน อาศัยตน เป็นวาโย มีลักษณะพัดไปมา
    อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้
    ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลมหายใจ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่น เป็นภายใน อาศัยตน
    เป็นวาโย พัดไปมา อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น นี้เราเรียกว่าวาโยธาตุเป็นภายใน. ก็
    วาโยธาตุเป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี อันใด วาโยธาตุนั้นเป็นวาโยธาตุเหมือนกัน. วาโยธาตุ
    นั้นเธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่
    ใช่ตนของเรา ดังนี้. เพราะบุคคลเห็นวาโยธาตุนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว
    ย่อมเบื่อหน่ายในวาโยธาตุ จิตย่อมคลายกำหนัดในวาโยธาตุ.


    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ บรรทัดที่ ๒๕๔๑ - ๒๖๘๑. หน้าที่ ๑๑๑ - ๑๑๖.
    http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=13&A=2541&Z=2681&pagebreak=0

    </pre>
     
  15. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอตอบเจ้าของกระทู้ดังนี้

    ถาม : จิตในอดีต เป็นจิตจริงไหม ปฏิบัติวิปัสสนา ต้องปัจจุบันเท่านั้นหรือ?

    ตอบ : จิตในอดีต หากกล่าวโดยสมมุติก็ต้องบอกว่า เป็นจิตจริง เปรียบเหมือนกับกายในอดีต กับกายในปัจจุบัน กายในอดีตก็จัดว่าเป็นกายจริงเหมือนกัน

    ส่วนท่อนที่ถามเรื่องวิปัสสนา จะยกไปตอบพร้อมกันในข้อต่อไป

    ถาม : การเจริญวิปัสสนาต้องเอาแต่ของจริงในปัจจุบันเท่านั้นระบุในพระไตรปิฏกหรือไม่?

    ตอบ : การเจริญวิปัสสนาไม่จำเป็นต้องเอาแต่ของจริงในปัจจุบันเท่านั้น การสอนเช่นนั้นไม่มีในพระไตรปิฏก การสอนในพระไตรปิฏกพระพุทธเจ้าจะทรงสอนให้หมั่นรู้เห็นตามเป็นจริงของสิ่งต่างๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เพราะยิ่งเราหมั่นรู้เห็นความเป็นจริงมากแค่ไหน ก็ยิ่งจะเกิดปัญญาเร็ว เกิดปัญญาไว ปัญญามากเท่านั้น

    การให้อยู่ในปัจจุบันด้านวิปัสสนา มีคนเข้าใจผิดกันอยู่มาก ส่งผลไปถึงการปฏิบัติ และการสอนที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน และเนิ่นช้า การดำรงอยู่ในปัจจุบันนั้น ตามจริงแล้ว จะเป็นด้าน "จิตใจ" จิตใจควรดำรงอยู่กับปัจจุบัน ไม่ปรุงแต่งเป็นกิเลสให้ได้ แต่ไม่ใช่ด้าน "ปัญญา" ปัญญาที่ฉลาดจะเอาทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต มาช่วยให้เข้าถึงธรรม คือ ความจริง ช่วยให้จิตดำรงอยู่กับปัจจุบัน ไม่ปรุงแต่งเป็นกิเลสได้

    ลองดูพระสูตรนี้เพิ่มเติม

    **************************

    ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ

    [๒๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูปอย่างใด
    อย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือ
    ประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูป เธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบ
    ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

    เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก
    หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา เธอทั้งหลาย
    พึงเห็นเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
    นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

    สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบ
    หรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา เธอทั้งหลายพึง
    เห็นสัญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่น
    ไม่ใช่ตนของเรา.

    สังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก
    หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าสังขาร เธอทั้งหลาย
    พึงเห็นสังขารนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
    นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

    วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก
    หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าวิญญาณ เธอทั้งหลาย
    พึงเห็นวิญญาณนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
    นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

    [๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้
    ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขาร
    ทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น
    เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    [๒๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์มีใจยินดี เพลิดเพลิน
    ภาษิตของผู้มีพระภาค. ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของพระปัญจวัคคีย์
    พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

    อนัตตลักขณสูตร จบ

    ***********************

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  16. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    พระสูตรเขียนอย่างนี้ ช่วยตีความให้มีรายละเอียดเพิ่มได้ไหมครับ

    เช่น เราจะรุ้สังขารในอนาคต ได้อย่างไร

    อนาคต อีกสักขณะ ก็จะเป็นปัจจุบัน ปัจจุบัน อีกลักขณะหนึ่ง ก็จะกลายเป็นอดีต

    ช่วยแนะนำสักหน่อยครับ

    อนุโมทนาครับ
     
  17. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189
    แล้วอดีตเกิดดับไหม ต้องปล่อยมันไหม?
    แล้วอนาคตเกิดดับไหม ต้องปล่อยมันไหม?
     
  18. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ถ้าดูกันจริง ๆ มันมีแต่ปัจจุบันสืบเนื่องกันไปนะ อดีตกับอนาคตมันมาทีหลัง มาเมื่อคิดถึงขึ้นมา จริง ๆ ไม่ควรคิดถึงนะ แต่ถ้าจะอาศัยนิ่งอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียวมันก็อาจจะไม่เกิดปัญญาจริง ๆ ก็ได้ เพราะบางคนพอนิ่งก็นิ่งจริง ๆ นิ่งแบบไม่ไหวติง ดับดิ่งนิ่งทึบไปเลยก็มี จริง ๆ มันต้องอาศัยการสังเกตตอนมันกำลังจะเผลอจะหลงด้วย ทำความเข้าใจกับมันว่า เรานิ่ง ๆ อยู่นี้ อะไรมันมาหลอกมาพาให้เราหลงไป ต้องเห็นให้ทันด้วยสติ ดังนั้นสติจึงต้องไว ต้องต่อเนื่อง หรือต้องมีกำลังพอต่อการเห็นให้ทันตั้งแต่เริ่มหลงคิดหลงอินสุขทุกข์ไปในอดีต ฝันหวาน กังวล ปรุงแต่งไปในอนาคต จิตถ้าแกว่งไปในอดีตกับอนาคตมาก จมแช่มาก ๆ ก็ไม่เห็นอีก จึงต้องมีการฝึกจิตให้ตั้งมั่น ฝึกยังไงก็ตามแต่จริตของแต่ละคน แต่เอาให้มันได้ ให้มันตั้งมั่นพอ ตรงนี้ต้องอาศัยการสั่งสมเอา ทำทั้งข้างนอกคือสมมุติ ทำทั้งข้างในคือวิมุติ ต้องสอดคล้องต้องกันไปหมด อย่างคนไม่รู้จักการให้ การเสียสละไม่มี จะมานั่งปฏิบัติบางทีมันก็ยาก เพราะใจมันคับแคบเกินไป โดยนิสัยนั้นแหละมันก็เลยบีบกรอบในใจไว้แคบ ๆ มองอะไรก็ไม่กว้างพอ ติดทิฏฐิ ติดความตระหนี่ในใจ ไม่เปิดใจบางมันก็มองไม่เห็น อย่างนี้เป็นต้นครับ สรุปว่า การให้มีสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบันนั้นจะว่าไปแล้วเป็นการพูดอย่างกว้าง ๆ แต่ที่จริงมันมีนัยยะที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่มากครับ จะรู้ว่ามันลึกซึ้งขนาดไหนก็ต้องอาศัยการเอากายเอาใจของตนเข้าไปทำนั่นเอง ถึงจะรู้ได้อย่างแท้จริงครับ

    ขอให้โชคดีนะ...
     
  19. dhammashare

    dhammashare เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    432
    ค่าพลัง:
    +189

    ตอนคุณไปโรงเรียนวันแรก เป็นอดีตไหม?

    ตอนคุณใกล้จะตาย เป็นอนาคตไหม?


    อุจจาระเมื่อวาน ที่ลงไปในถังส้วม กดลงไปแล้ว เหม็นไหม?

    อุจจาระที่จะถ่ายวันพรุ่งนี้ เหม็นไหม?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2009
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เรื่อง อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต

    นักปฏิบัติธรรมจะต้องเห็นทุกสิ่ง งวดลงมาเป็นเห็นปัจจุบันธรรม เท่านั้น ถึงจะเห็นธรรม

    นักปฏิบัติธรรมที่ทำถูกต้อง จะสามารถละกาลเวลาออกจากทัศนะได้ เมื่อปฏิบัติไปแล้ว
    จะต้องเห็นว่า แท้จริงการเวลาไม่มี

    เมื่อเห็นว่า เวลาไม่มี พุทธพจน์ที่กล่าวว่า "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี" จึงจะแจ้งขึ้น

    และพุทธพจน์ที่กล่าวว่า "ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ" ก็จะประจักษ์ และเมื่อต่อ
    ด้วยคำว่า "การดับไปของเหตุนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ด้วย" ก็จะแจ้ง

    * * * *

    คราวนี้ก็จะมี ธรรมบทมากมาย ที่พูดขึ้นเพื่อให้ผู้ปฏิบัติ ค่อยๆน้อมไปเห็นจริง
    ตามนั้นว่า เวลาไม่มี

    เมื่อเวลาไม่มี แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจะอธิบายอย่างไร ก็อธิบายว่า ก็คือวิบาก
    ที่ปราฏกเป็นปัจจุบัน แค่นี้ก็ทำให้เห็นลงในปัจจุบันได้ ไม่ใช่เห็นแบบติดกาลเวลา
    เห็นเป็นอดีตติดในใจ เมื่อเห็นลงปัจจุบันว่านี่วิบาก ก็จะทำให้ได้มุมมองเห็นการดับไป
    ของเหตุที่พระพุทธองค์ตรัสถึง

    และหากเล็งเห็นอนาคตเข้า จะอธิบายอย่างไร ก็ให้อธิบายว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น
    เพราะการกระทำในปัจจุบันนี้นี่แหละ เมื่อเห็นจริงว่า มันคือกรรมในปัจจุบันนี้จริงๆ
    ก็จะทำให้เข้าใจมุมมอง..เห็นการดับไปของเหตุที่พระพุทธองค์ตรัสถึงอีกเช่นกัน

    การเห็น อธิปัจจัยตาก็ดี เห็นปฏิจสมปุบาทก็ดี ล้วนแต่ต้องเล็งเห็นลงในปัจจุบันนี้
    หากเห็นลงเป็นอดีต หรือ อนาคต แปลว่า ยังใช้คิดอยู่ ไม่ใช่การเห็นธรรม เมื่อไม่
    เห็นอธิปัจจัยยตาตามจริง เห็นปฏจสมุปบาทตามจริง ก็ไม่มีทางเห็นช่องลอดเข้า
    สู่อมฤตธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...