นักฟิสิกส์วิพากษ์โยง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 18 พฤษภาคม 2006.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>(กลาง) ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>การประชุมวงในระหว่างนักปฏิบัติธรรมและอาจารย์ฟิสิกส์ ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬา</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ขณะที่ภาพยนตร์ซึ่งสร้างจากนิยายเรื่องดังอย่าง “ดาวินชี โคด” กำลังเข้าฉายแล้วได้สร้างความขัดแย้งในประเด็นศาสนาอยู่นั้น ใครจะคาดคิดว่าอนาคตข้างหน้า “พุทธศาสนา” ก็อาจตกอยู่ในภาวะเดียวกันจากการ “จับแพะชนแกะ” ด้วยการโยงพุทธศาสนาเข้ากับวิทยาศาสตร์ อาจจะเพื่อให้ศาสนาดูทันสมัย แต่ความจริงแล้วทั้ง 2 อย่างต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือศาสนาเป็นเรื่องของจิตใจแต่วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของวัตถุ


    ทั้งนี้ในทัศนะของ ผศ.ดร.พรชัย พัชรินทร์ตนะกุล อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์พิเศษคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กับคณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยให้ความเห็นว่าการอิงพระพุทธศาสนาเข้ากับวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่อันตรายเพราะวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

    การเชื่อมโยงหลักคำสอนของศาสนาพุทธเข้ากับ วิทยาศาสตร์ อาจจะสร้างปัญหาให้พุทธศาสนาในอนาคตหากว่าทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่นำมาเชื่อมโยงด้วยนั้นเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากมีการค้นพบใหม่ๆ

    สิ่งที่พุทธศาสนาและฟิสิกส์เหมือนกันคือต้องการค้นความจริง โดยใช้เหตุและผลในการศึกษา แบบมีขั้นมีตอน มีกฎมีเกณฑ์ พุทธศาสนาจึงเป็นวิทยาศาสตร์ที่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะศึกษาสิ่งเดียวกับที่วิทยาศาสตร์ศึกษา เพราะวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยกตัวอย่างเล่นๆ ว่าตอนนี้พบว่าโลกกลม ต่อไปโลกอาจจะไม่กลม อาจเป็นรูปลูกแพร์หรือแอปเปิลก็ได้”


    พร้อมกันนี้ได้ชี้ถึงความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ว่ามีความแตกต่างกันต้องต้นจากขอบเขตในการศึกษา โดยวิทยาศาสตร์เน้นหนักไปทางวัตถุซึ่งศาสนาแยกวัตถุว่าคือ “รูป” ในขณะที่ศาสนาสนใจในเรื่องของจิต ดังนั้นวิธีการศึกษาจึงต่างกัน วิทยาศาสตร์สนใจวัตถุจึงต้องใช้วัตถุศึกษาวัตถุ ส่วนศาสนาก็ต้องใช้จิตศึกษาเรื่องจิต

    “แล้ว “ศาสดา” ท่านรู้ไหมเรื่องวัตถุ เรื่องนี้ไม่ได้เขียนไว้ในคัมภีร์ ก็อาจกล่าวได้ว่า “รู้” แต่รู้ในขอบเขตเฉพาะกฎเกณฑ์ในธรรมชาติ แต่คงไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถึงขั้นผลฟุตบอลโลกที่เยอรมันใครจะชนะ คงไม่รู้ในสิ่งที่เป็นกฎเกณฑ์ของมนุษย์ การตีความ “สัพพัญญู” หรือ “รู้ทุกอย่าง” ต้องระวัง หรือถ้าจะรู้ก็คงไม่จำเป็น”

    ทางด้าน ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเห็นในลักษณะเดียวกันว่า การเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาอาจเป็นเพราะต้องการทำให้ศาสนาดูทันสมัย แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นอันตรายได้ ถ้าเป็นการเชื่อมโยงกันแบบ “จับแพะชนแกะ” และคิดว่าควรจะเน้นที่หลักของศาสนาจริงๆ ซึ่งเป็นหลักการคิดที่สอนให้สังคมเป็นเหตุเป็นผลและไม่งมงาย มากกว่าที่จะสนใจโยงพระธรรมในพระพุทธศาสนากับความรู้วิทยาศาสตร์ซึ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

    “ปัจจุบันมีนักคิดทั้งทางพุทธและทางวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย ที่พยายามจับหลักบางอย่างที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎกมาเชื่อมโยงกับความรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเชื่อมโยงเรื่องจักรวาลในพระพุทธศาสนากับทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลในวิชาฟิสิกส์ หรือแม้แต่เรื่ององค์ประกอบของสสารก็ยังมีการเชื่อมโยงกับเรื่องปรมาณูที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก บางคนพยายามอ้างว่า สิ่งที่นักฟิสิกส์ศึกษาอยู่ในขณะนี้ องค์พระพุทธเจ้าทรงทราบตั้งแต่ตอนตรัสรู้แล้ว ซึ่งแนวคิดแบบนี้ไม่น่าจะเป็นประโยชน์แก่ทั้งพุทธศาสตร์และวิทยาศาสตร์

    ดร.อรรถกฤต ให้ความเพิ่มเติมว่า ศาสนาพุทธถือกำเนิดขึ้นในยุคโบราณของอินเดีย จึงเป็นไปได้ว่าเรื่องราวในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนา หลายเรื่องอาจเป็นสิ่งที่อ้างอิงได้กับวิทยาศาสตร์ที่แพร่หลายกันอยู่แล้วในหมู่นักปราชญ์ในสมัยพุทธกาล ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อวิทยาการของโลกเจริญก้าวหน้าขึ้น ความรู้ความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ย่อมเปลี่ยนไป แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา พระธรรมหลายๆอย่างซึ่งเป็นแก่นของพุทธศาสนา เช่น อริยสัจ 4 ก็ยังคงเป็นอริยสัจ 4 ยังเป็นความจริงอยู่เสมอไม่ขึ้นอยู่กับยุคสมัยซึ่งเป็นส่วนที่เราควรจะสนใจมากกว่าจะนำพระธรรมไปโยงกับวิทยาศาสตร์

    “ถ้าจะคิดตามพระสูตรในพุทธศาสนา ความรู้ฟิสิกส์คงเป็นเหมือนใบไม้ที่อยู่ในป่า ไม่ใช่ใบไม้ในพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า เพราะมันไม่ใช่ความรู้ที่จำเป็นในการการหลุดพ้นกิเลสและการเข้าสู่นิพพาน” ดร.อรรถกฤต กล่าว

    อย่างไรก็ดี รศ.ดร.โสรัจจ์ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์จากภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่าพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีบางอย่างที่คล้ายกัน และเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันจึงได้เชิญอาจารย์ฟิสิกส์ จุฬาฯ กับนักปฏิบัติธรรมมาเสวนาร่วมกันในหัวข้อ “พุทธศาสนากับฟิสิกส์ยุคใหม่” ในวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจจะได้ขยายไปยังสาขาอื่นๆ ต่อไป


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>ผู้จัดการออนไลน์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    ยุ่งจริงวิทยาสาสตร์ก็เรื่องวิทยาศาสตร์สิ มันก็ไม่ต่างจากการโฆษณาชวนเชื่อหรอก มนุษย์เลือกจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อนักวิทยาศาสตร์ก็เช่นเดียวกันแหละ(เอามาจากการ์ตูน)
    เดี๋ยวเอาparadoxมาอ้างความเป็นไปได้ซะเลย
    1ไม่เท่ากับ2แล้ว1+1จะเป็น2ได้ยังไง ฮะๆๆ แต่2เท่ากับ1+1 ฮะๆๆ(สร้างความรู้สึกปัญญาอ่อนกับตัวเอง...)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2006
  3. นืเฟร

    นืเฟร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +433
    น่าจะดูกันที่แนวคิดมากกว่านะ เพราะว่าแนวคิดแบบวิทยาศาตร์ เป็นสากลมาก อย่างเช่น 1+1 =2 นี่ก็เป็น ความจริงที่ยังไม่มีใครหน้าไหน มาลบล้างได้ ไม่ว่าจะผ่านมาหรือผ่านไป อีกเป็นอนันต์กาล หรือว่าจะเป็นทฤษฎีปิทากอรัส ที่พิสูจน์ถึงความเป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก ก็ยังใช้ได้เสมอ
     
  4. soodik1

    soodik1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +32
    ก็ต้องดูกันไปครับผมว่า ฟิสิกส์วิชาของธรรมชาติกับปรัชญาทางศาสนา
    น่าจะไปคู่กันได้ดี สมัยนี้ผู้คนมักเก่งแต่ขาดคุณธรรมบางอย่างไป
    ____________________________________________

    ก็ว่ากันไป Physics Theory
     
  5. soodik1

    soodik1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +32
    ก็ดีนะผมว่า ฟิสิกส์วิชาแห่งธรรมชาติและปรัชญาของศาสนา
    ไปคู่กัน ฟิสิกส์ฝึกแก้ปัญหา ปรัชญาชำระจิตใจ
    ผู้คนสมัยนี้บางคนเก่งแต่จิตใจแย่เหลือเกิน

    ________________________________________


    ก็ว่ากันไป The Physisc Theory
     
  6. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    โมทนาครับ ถ้าลองติดตามรายการตามรอยพระพุทธเจ้าจะทราบว่าเหตุใดมหาลัยนาลันทาจึงล่มสลาย เหตุเพราะมีการศึกษาตำรากันมากแต่ขาดการปฏิบัติ อหังกาในความรู้จึงเริ่มเพาะตัว ใช้สัญญาขบติดเกินไปจึงห่างไกลปัญญา ต่อมาก็มีการตีความคำสอนไปต่างๆ นานา แล้วก็ตั้งสำนักเองใหม่ สุดท้ายหาที่สรุปไม่ได้ หาแก่นแท้ไม่ได้ ศรัทธาของประชาชนจึงลดลง จนล่มสลายไปในที่สุด ไม่อยากเห็นศาสนาพุทธของไทย เป็นเช่นนั้นเลย อย่าเป็นคัมภีร์เปล่าเลยครับ เรียนพอรู้มาปฏิบัติให้แจ้งเถิด จริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ทาน ศีล และภาวนาครับ จับมั่นเพียงเท่านี้ก็ถึงฝั่ง....
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    นักฟิสิกส์วิพากษ์โยง “พุทธ” เกี่ยว “วิทย์” อันตรายต่อศาสนา

    เห็นด้วยบางส่วน และไม่เห็นด้วยบางส่วน
     
  8. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,161
    จริงๆ อยู่ที่คนมากกว่า พุทธศาสนาเป็นอมตะ ไม่ว่าจะที่ไหน ยุคไหน กาลเวลาไหนก็ใช้ได้ทุกเมื่อ แต่วิทยาศาสตร์เกิดขึ้นจากคนรู้เท่าคนใช้ได้เฉพาะเท่าที่รู้ที่ไม่รู้ใช้ไม่ได้ ความต่างตรงนี้ทำให้คนมันเขวจริงๆ เหมือนกับการเดินตามกัน เพราะที่สุดแล้วก็จุดหมายเดียวกันหมด ต่างกันที่ทางเดินเท่านั้น ดังนั้น "พุทธ" กับ "วิทย์" ความจริงไปด้วยกันได้เพราะทางเดียวกัน แต่"วิทย์"ยังตาม "พุทธ" อยู่ห่างไกลกันมากจนเกินกว่าปัญญามนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจถึงได้ก็เลยมาเป็นปัญหาให้รกสมองอยู่นี่ไง
     
  9. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถ้าเป็นวิทยศาสตร์แบบตะวันตกแบบสมัยก่อนๆ นะใช่แล้วว่าเขาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของวัตถุ เป็นการพัฒนาจากง่ายมายาก

    วิทยาศาสตร์จริงๆแล้ว จะศึกษาเรื่องของธรรมชาติ ศึกษาทั้งวัตถุและจิตใจ

    ธรรมชาติของเราก็มี 6 สัมผัส สัมผัสที่หกคือ เรื่องจิต วิทยาศาสตร์ทางจิต
    การศึกษาและทดลอง แบบวิทยาศาสตร์ สัมผัสที่หกทำได้ยาก
     
  10. herriken

    herriken Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2005
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +91
    น่าสนใจ อีก1ปีจะมีนวนิยายที่ดังที่สุดในประเทศไทย...โดยผมเป็นคนแต่ง
     
  11. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    โลกกลมจริงๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. QuaOs

    QuaOs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +480
    ขึ้นอยู่กับว่าโยงแบบไหน

    การนำเอาวิธีทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์เรื่องต่างๆ ที่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นประโยชน์คือทำให้คนหัวสมัยใหม่ที่มักไม่เชื่ออะไรง่ายๆ สามารถสัมผัสได้ถึงพระปัญญาของพระองค์และสัจจะในคำสอน จนเกิดศรัทธาที่จะมาศึกษาคำสอนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อไป และอีกทางหนึ่งเป็นการช่วยยืนยันคุณสมบัติ "ไม่ขึ้นกับกาล" และ "ทนทาน-ท้าทายต่อการพิสูจน์" ของพระธรรมได้อีกด้วย

    แต่ที่ต้องระวังคือ การพยายามตีความคำสอนต่างๆ ไปเพื่อสักแต่ว่าให้จับยัดลงไปในกรอบของวิทยาศาสตร์ได้แบบขาดความเข้าใจ ไม่คำนึงถึงหลักการโดยรวมของศาสนาและข้อจำกัดต่างๆ ของระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ ...อาจกลายเป็นการบิดเบือนพระธรรม ซึ่งจะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อทุกคนที่เกี่ยวข้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2006
  13. กิมท้ง

    กิมท้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +165
    (bb-flower
    * วิทยาศาสตร์ ใช้ความเห็นที่เจือไปด้วยกิเลส เป็นบทสรุป แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายจ้ะ
    * พุทธศาสนา ใช้ความเห็นในอริยสัจสี่ คือความจริง และเมื่อเห็นแจ้งแล้ว จึงได้ข้อสรุป อันเป็นคำตอบสุดท้ายจ้ะ
     
  14. khordsanth

    khordsanth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +98
    เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเท่านั้น
    วิทยาศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน มันคือ ความรู้จริงของคนยุคนั้น ซึ่งต่อไป ถ้าเกิดโลกาวินาศ จนไม่เหลืออารยธรรมสูง ๆ เป็นเวลานาน ๆ คนในยุคนั้นก็จะสมมติเอาตามที่ตัวเองเห็น ก็จะเหมือนกับยุคก่อนที่เชื่อกันว่าโลกมีสัญฐานแบน มันคือ เรื่องสมมติ
     
  15. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ผมเห็นด้วยกับคุณ WebSnow อย่างยิ่งครับว่าวิทยาศาสตร์ทางจิตมีอยู่เรียบร้อยแล้วในวิชาการของพระพุทธองค์ ผมนำข้อความที่ผมเคยโพสต์ให้คุณ AMU มาลงอีกครั้ง

    เรียนคุณ AMU ครับ

    ไอสไตน์ไม่ใช่ที่สุดของการไปข้างหน้าในโลกอนาคตเพราะไอสไตน์ยังได้กล่าวก่อนจะเสียชีวิตว่าตัวเขารู้สึกเสียดายที่ได้รู้จักพุทธศาสนาช้าเกินไปมากทำให้ตัวเขาเองไม่มีโอกาสที่จะเรียนวิทยาการที่สูงกว่าสิ่งที่เขาคิดค้นขึ้น

    คุณจะได้เห็นในอีกไม่ถึงยี่สิบปีนับจากนี้ไปว่าวิชาการของพระพุทธองค์จะเป็นการตั้งต้นของการพัฒนาการสร้างแรงโน้มถ่วงเทียมที่จะทำให้ยานทั้งลำลอยได้โดยการเปลี่ยนทิศของ Gravity Forcec เพราะใน Fields Thoery ของไอสไตน์มี Parameter อยู่ตัวหนึ่งที่ไอสไตน์ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่คนทางเอเซียโดยเฉพาะคนไทยจะรู้ดีกันอยู่แล้ว พารามิเตอร์ตัวนั้นก็คือพลังงานทางจิตนั่นเอง ผมถึงได้บอกว่าพวกการเคลื่อนย้ายวัตถุจากที่หนึ่งไปที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว หรือการเดินทางข้ามกาลเวลามันเป็นเรื่องเด็กๆไปเลยถ้าคุณได้เข้าไปเรียนวิชาการของพระพุทธองค์

    ถ้าคุณสามารถผสมพลัง 3 ชนิด 1 Magnetic Field Vibration, 2 Electric Field Vibration , 3 Mind Power from Subconcious คุณจะพบว่าทิศทางของ G-Force จะเปลี่ยนไป คุณจะต้องควบคุมทิทศทางแหละค่าของ G-Force ได้อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความสามารถทางพลังจิตล้วนๆของคุณเอง

    ทศพร

    <!-- / message -->
    เรียนคุณอามุ

    เรื่องการควบคุมทิศทางและค่าของ G-Force ต้องมาจากพลังของจิตที่รวมตัวกันจากจิต 4 ชนิด 1)จิตบริสุทธิ์หรืออย่างน้อยต้องเป็นกุศลจิตล้วนๆ 2)จิตกล้าหาญเป็นจิตที่ไม่กลัวแม้แต่ความตาย 3)จิตทีตื่นตัวตลอดเวลา(สติและสัมปชัญญะแห่งจิต) 4)จิตอ่อนโยนสุขุมและมั่นคง(เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) หากรวมจิตทั้ง 4 นี้ได้เมื่อไหร่คุณอามุก็จะควบคุม G-Force ได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนจะรวม การสร้างจิตทั้ง 4 ชนิดก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากครับแต่ถ้าคุณอามุมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ก็สามารถสร้างได้โดยการเข้าไปเรียนในห้องปฏิบัติการทางจิตของตัวคุณอามุเองซึ่งผมเคยกล่าวไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ว่าคุณจะรวมมันได้นะครับเพราะแค่สร้างได้เป็นแค่เพียงขั้นมัธยมเท่านั้นเอง ส่วนการรวมจิตจะต้องเรียนในระดับมหาวิทยาลัยซึ่งในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้าจะมีผู้มีบุญญาธิการมาสอนให้ ขอให้คุณอามุรักษาชีวิตตัวเองให้ดีเพื่อจะได้เรียนวิชาการของพระพุทธองค์ที่สุดยอดในอนาคตนี้ เพราะคาดว่าปี 2549 - 2550 จะเป็นปีที่ทั้งโลกจะต้องพบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน ขอให้คุณอามุโชคดีครับ

    ทศพร


    หากคุณ WebSnow จะมีสิ่งใดแก้ไขติติงก็บอกได้เลยครับผมยินดีครับ

    ขอบคุณล่วงหน้า
    ทศพร
    <!-- / message -->
     
  16. คนเหนือ ไทยใจจร

    คนเหนือ ไทยใจจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +265
    ---วิทยาศาสตร์ สอนให้มีความรู้ ในการใช้วัตถุ อย่างฉลาด อย่างที่คนเจริญแล้ว เขาใช้กัน
    ---พระพุทธศาสนา สอนคนให้มีจิตใจ(ละ) ได้อย่างบุคคล(พระอริยะ)ที่ท่านทำได้แล้ว
    สองอย่างนี้ มีการสอนเหมือนกัน แต่มีจุดประสงค์ ที่แตกต่างกันมาก ฉนั้นใครที่คิดจะเอามารวมกันนั้น ผมว่ามันเสียเวลาเปล่าครับ ขนาดคนที่มีศาสนาประจำใจ ต่างกันแค่คนละศาสนา ยังคุยกันแทบไม่รู้เรื่องเลยครับ
    ******เก่ง ฉลาด แต่ขาดคุณธรรม ผมว่าไม่จำเป็นครับ******
     
  17. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    เรียนคนเหนือ ไทยใจจร

    ผมเห็นด้วยกับที่คุณกล่าวไว้แต่ขอผมได้ชี้แจงสักนิดหนึ่ง
    1) การฝึกจิต 4 ชนิดถ้าไม่มีคุณธรรมในเบื้องต้นก็จบแล้วไม่มีทางฝึกได้แน่นอนครับ และ
    2) ผมก็ไม่ได้บอกว่าเป็นการรวมพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ แต่ผมบอกเลยว่าพุทธศาสนานำวิทยาศาสตร์ครับ
     
  18. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    อันตรายตรงไหนครับ โยง พุทธกับวิทย์ ศาสนาพุทธ สอนว่าไงครับอย่าเชื่ออะไรจนกว่าจะ......
    แล้วที่สำคัญพระพุทธเจ้า ทำนายเรื่องศาสนาพุทธไว้ว่ายังไงครับ เมื่อไหร่นะครับที่ว่าศาสนาพุทธจะเสื่อม อีกประมาณ2400 กว่าปีไช่ไหมครับ
    เพราะงั้น ผมว่า ใครอยากโยงก็ไห้โยงไปเถอะครับ ไม่อันตรายหรอกเพราะผมเชื่อพุทธทำนาย ^_^
     
  19. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    หุๆๆๆๆ.....ตาบอดคลำช้าง....ฮิๆๆๆ

    พระพุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญู ไม่มีอะไรในจักรวาลที่พระองค์อยากจะรู้แล้วไม่รู้ ทรงมี "สมันตาจักขุ" ซึ่งมีได้ในพระพุทธเจ้าเท่านั้น

    วิทยาศาสตร์เป็นวิชาทางโลก ต่อให้เก่งมหาเก่ง ก็ไม่พ้นทุกข์
    พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแห่งมรรค ๘ ให้เวไนยสัตว์ ได้พ้นทุกข์
    นอกเหนือจากนี้ พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญ เพราะปฏิบัติไป รู้ไปก็ไม่สิ้นทุกข์ ไม่สิ้นสังสารวัฏ วิทยาศาสตร์หลายสาขาพาไปอบายภูมิ

    พวกบัวสี่เหล่าทั้งหลายควรขวนขวายไปกันบุญบารมี

    จบเป็นด๊อกฯ ไม่ปฏิบัติธรรมก็ไม่มีทางเห็นธรรม อภิปรายไปก็เท่านั้น
    ไม่ต่างกับคลำก้นช้าง
     
  20. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    ลบล้างได้แล้วครับทั่น นักฟิสิกควอนตั๊ม พบว่า 1+1 = 1.9999....

    ครับไม่ใช่ 2 นะเง้อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...