มนุษย์ต่างดาวมีการตกนรกมั๊ย ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย beverzone, 22 ตุลาคม 2009.

  1. beverzone

    beverzone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    589
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +2,174
    มนุษย์ต่างดาวหรือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ห่างออกไปจากโลกหรือระบบสุริยะ เค้าอยู่ในระบบของการเวียนว่ายตายเกิด ขึ้นสววรค์ ลงนรก รึเปล่าครับ ? สงสัยมานาน
     
  2. comkung

    comkung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +3,075
    ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ตาม ต่างอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม กล่าวคือมีสวรรค์และนรกเหมือนกัน จะพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ก็มีเพียงนิพพานเท่านั้น
     
  3. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    เห็นด้วยกับคุณ comkung ครับ ไม่มีใครสามารถพ้นเกฏเเห่งกรรมไปได้ครับ เจริญในธรรมครับ
     
  4. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    บางที่ก็มี บางที่ก็ไม่มี

    ในทางพระพุทธศาสนา จักรวาลหนึ่งๆจะมีทวีปใหญ่ 4 ทวีป(ทวีป คือดาว ในความหมายปัจจุบัน) คือ ปุพพวิเทหทวีป อปรโคยานทวีป ชมพูทวีป และ อุตตรกุรุทวีป นอกจากนี้ยังมีทวีปน้อยๆอีกหลายพัน เฉพาะทวีปใหญ่ที่มีมนุษย์เกิดขึ้น ดังนั้นในทางช้างเผือกจึงมีดาวที่มีมนุษย์คล้ายๆพวกเราอยู่แค่ 4 ดวง และยังมีจักรวาลอีกแสนโกฏิจักรวาล จึงมีดาวที่มีมนุษย์นับไม่ถ้วน
    ชาวชมพูทวีปมีทั้งคนดี คนชั่ว จึงทำบาปและบุญได้มากกว่าชาวทวีปอื่น จึงมีนรกและสวรรค์ สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ซึ่งดีกว่าชาวทวีป เรียกว่าถ้าดีก็ดีได้สุดขั้วเช่นพระพุทธเจ้า แต่ถ้าทำชั่วก็ทำชั่วได้สุดขีดเหมือนกันเช่นสามารถทำอนันตริยกรรมได้ ซึ่งพระพุทธองค์แสดงไว้ถึงชาวอุตรกุรุทวีป
    -----------------------------------------------------------------
    [๒๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการ เป็นไฉน คือไม่มีทุกข์ ๑ ไม่มีความหวงแหน ๑ มีอายุแน่นอน ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปประเสริฐกว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ อายุทิพย์ ๑ วรรณะทิพย์ ๑ สุขทิพย์ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือเป็นผู้กล้า ๑ เป็นผู้มีสติ ๑ เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ
    -------------------------------------------------------------------------
    อุตรกุรุทวีปมีความกว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ พื้นแผ่นดินราบเรียบไม่มีหลุมบ่อ มีต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขาเป็นค่าคบไม้ราวกับจะให้เป็นที่อยู่อาศัยของคนในทวีปนี้ ชาวอุตรกุรุทวีปมีรูปร่างงดงามยิ่ง ไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่สูง ไม่ต่ำ มีพละกำลังแข็งแรง และมีความสุขเป็นเนืองนิตย์ เพราะปราศจากความทุกข์ใจ ปราศจากภัยธรรมชาติหรือสัตว์ร้าย และไม่ต้องทำมาหากิน เพราะมีข้าวสารเกิดขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องเสียเวลาปลูก ตำ หรือฝัด เมื่อนำข้าวสารใส่หม้อ และไปตั้งบนศิลาโชติปราสาท ศิลานั้นก็จะลุกเป็นไฟ และดับเองเมื่อข้าวสุก นอกจากนี้ หากปรารถนาอาหารอื่นใด อาหารนั้นก็จะเกิดได้เองและหากปรารถนาสิ่งอื่นใด เช่น แก้เวแหวนเงินทอง เครื่องประดับสิ่งนั้นก็จะปรากฏที่ต้นกัลปพฤกษ์
    ผู้หญิงในอุตรกุรุทวีปมีเส้นผมละเอียดอ่อนมีขนาด ๑ ใน ๘ ของเส้นผมชาวชมพูทวีป มีน้ำเสียงไพเราะ ส่วนผู้ชายมีรูปร่างงดงาม ทั้งหญิงและชายไม่มีความชราภาพ มีอายุถึง ๑,๐๐๐ ปี
    ชาวทวีปนี้จะเที่ยวเล่นไปในที่ต่างๆ ซึ่งสวยงาม ด้วยความเพลิดเพลินใจ บางคนก็เล่นดนตรี ขับร้องฟ้อนรำ บางคนก็เล่นน้ำ เมื่อผู้ใดขึ้นจากน้ำก็จะหยิบเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับที่วางไว้บนฝั่งมาสวมใส่ได้ โดยไม่กังวลต้องเป็นของใคร ทั้งหญิงและชายเมื่อรักใคร่ชอบพอกันก็จะอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยาเป็นเวลา ๗ วัน หลังจากนั้นก็มิได้มีความสัมพันธ์ทางเพศเกี่ยวข้องกันอีก
    เมื่อผู้หญิงจะคลอดลูก ก็ไม่มีอาการเจ็บท้องหรือทุกข์ทรมานแต่ประการใด เมื่อคลอดลูกแล้วก็ไม่ต้องเลี้ยงดู แต่จะนำทารกไปวางไว้ริมทางที่มีผู้สัญจรผ่านไปมา ผู้ที่พบทารกก็จะเอานิ้วมือป้อนเข้าไปในปาก และมีน้ำนมหรืออาหารต่างๆ ออกจากนิ้วมือมาเลี้ยงเด็ก แม่กับลูกจึงไม่รู้จักกัน เมื่อทารกเติบโตขึ้นก็จะเข้าไปไปอยู่รวมกับกลุ่มเพศของตน และไม่มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับบิดามารดาเพราะเป็นผู้มีบุญ เมื่อสิ้นชีวิตลง ศพจะถูกนำไปไว้ในที่กลางแจ้งมีนกมาคาบศพไปทิ้งนอกทวีปแล้วก็จะไปจุติในสรวงสวรรค์ จึงไม่มีความเศร้าโศกเกิดขึ้น

    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระพุทธเจ้าตรัสถึงมนุษย์ต่างดาว

    [​IMG]

    โดยคุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->VANCO<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2242414", true); </SCRIPT> ทีมงานเว็บพลังจิต (เต้)

    จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร) ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดความหนาของลมรองน้ำ ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

    ขนาดภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่

    ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง) ก็ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป

    ก็แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูร ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า (ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้

    ขนาดภูเขาจักรวาล

    ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่

    ขนาดของภพและทวีป

    ในโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็ เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐ สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)

    ๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑

    ๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑ ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น) มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล

    ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด" กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไป เกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว นรกขุมต่างๆ เทวโลกและพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

    กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"

    ๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
    -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
    -แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
    -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
    -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป" เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"
    -ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น

    ๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
    -มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
    -มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"

    ๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
    -มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์ มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
    -มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"

    ๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
    -มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)"
    ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
    -ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"

    ขอขอบคุณพระไตรปิฏกฉบับประชาชน

    สําหรับเรื่องรูปร่างหน้าตาของมนุษย์ต่างดาวในแต่ละทวีปนั้น ตามในพระไตรปิฏกและอรรถกถาต่างๆ ยืนยันว่ารูปร่างเหมือนมนุษย์เราเนี่ยแหละครับ เพราะพื้นฐานการเกิดบนดาวเขาก็อาศัยธาตุทั้ง 4 เหมือนชมพูทวีป (ดาวโลกเรา)
    ผมได้อ่านเจอในพระสูตรหนึ่ง กล่าวถึงโชติกะเศรษฐี ใครสนใจลองไปค้นอ่านได้ในพระไตรปิฏกครับ ท่านว่าโชติกะเศรษฐีนี้ มีบุญมาก เกิดมาเพื่อบํารุงพุทธศาสนาด้วย พอถึงเวลาที่ท่านจะมีภรรยา ปรากฏว่าหาคู่บารมีไม่ได้ เพราะกําลังบุญท่านสูงมาก ไม่มีหญิงคนไหนในโลกเทียบได้ที่จะมาเป็นภรรยาท่าน พระอินทร์ทราบดังนั้น ได้ไปนําหญิงสาวจากอุตกรุทวีปมาให้ เป็นภรรยา


    ขอขอบพระคุณข้อความด้านบนจากคุณ Wellrider ครับ<!-- google_ad_section_end -->__________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --><!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>


    ที่มา http://palungjit.org/threads/พระพุทธเจ้าพูดถึงต่างดาว.195844/
     
  6. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    สงสัยมานานแล้ว...มันเป็นเช่นนี้ นั้นเอง
     
  7. murano

    murano Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +57
    ตามที่คุณเกษมยกมาน่ะ...
    จริงๆ คำอุปมาเหล่านี้ มันขึ้นอยู่กับยุคสมัย ว่าจะถอดเป็นคำอย่างไร อย่างในสมัยที่ยังไม่มีเรือดำน้ำ ก็อาจบอกว่าเป็นอสูรจากพื้นน้ำ ฯลฯ

    ถ้าว่าในภาษาปัจจุบันก็ได้ว่า ในเอกภพนี้ เป็นเอกภพที่มีหลายมิติซ้อนเหลื่อมกันอยู่ เข้าใจว่า แต่ละมิติแยกออกจากกันโดย "ช่วงพลังงาน (ความถี่)" ของอนุภาคต่างๆ

    คำว่าภูเขาสิเนรุ ย่อมไม่ได้หมายถึง "ภูเขา" จริงๆ แต่น่าจะหมายถึงการรวมกลุ่มของอะไรบางอย่างที่โดดเด่นออกมา ถ้าบวกกับว่า มีสัญฐานแบบกงรถ ภูเขาสิเนรุอาจหมายถึงใจกลางกาแล็กซี่ก็ได้

    แต่การถอดคำหลายๆ ครั้ง (ยิ่งถอดจากต่างภาษาด้วยแล้ว) โอกาสผิดเพี้ยนมีสูงมาก จึงไม่ควรจริงจังมาก...


    เพิ่มเติม... ทางวิทย์เขาเชื่อว่า ใจกลางกาแลกซี่คือหลุมดำขนาดยักษ์ (คือมีพลังงานมหาศาล) ก็เป็นไปได้ว่า คำว่าภูเขาคือบริเวณที่มีกลุ่มพลังงานอย่างหนาแน่น และมองเห็นได้โดยทิพยจักษุ
    รอบภูเขาสิเนรุ (ใจกลางกาแลกซี่) มีภูเขาที่เล็กกว่าอีก 7 แห่ง ให้บังเอิญว่า ทางวิทย์เขาก็พบว่า กาแลคซี่ทางช้างเผือกมีการควบรวมกับกาแลคซี่ขนาดเล็กอื่นๆ ซึ่งก็อยู่ที่ว่า นักดาราศาสตร์เขาจะค้นพบใจกลางกาแลคซี่ขนาดเล็กที่ว่า ถึง 7 แห่งหรือไม่ (แน่นอนว่า ย่อมหมายถึง มีหลุมดำขนาดเล็กกว่าอยู่อีก 7 อัน)

    ให้บังเอิญว่า หลุมดำนั้น เป็นที่ที่สิ้นสุดของกฎทางฟิสิกส์ต่างๆ พลังงานตรงนั้นอาจเป็นเขตแดนของมิติแห่งสสารที่เราอยู่กัน


    มันมีบางอย่างที่น่าสนใจ เช่นบอกว่า เกิดน้ำขึ้นก่อน (ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่น้ำจริงๆ) แล้วจึงเกิดง้วนดิน พัฒนาเป็นกระบิดิน เครือดิน แล้วจึงเกิดชีวิต...
    ในทางวิทย์ เขาก็บรรยายการเกิดดวงดาวต่างๆ ว่าเกิดจากการรวมกลุ่มของธาตุขนาดเล็ก รวมกันเป็นธาตุที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

    และที่น่าสนใจกว่าคือ ที่บอกว่า ดวงดาวต่างๆ โคจรไปด้วยกัน ซึ่งในทางวิทย์เขาก็รู้กันอยู่แล้วว่า ระบบสุริยะนั้นก็โคจรไปรอบๆ กาแลคซี่

    ต้นไม้ประจำทวีป ก็อาจหมายถึง ดาวฤกษ์หลักของแต่ละระบบสุริยะ ถ้ามองว่า ลำต้นสูง 15 กิ่ง 50 แผ่ไปโดยรอบ 50 สูงขึ้นไปเท่ากัน นี่มันอาจบ่งบอกถึงสัณฐานแบบทรงกลม ลำต้นก็คือแกนกลางของดาว
    เรื่องมาตรวัดเป็น โยชน์ นั้น เข้าใจว่าเป็นเพียงคำอุปมาเพื่อให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ เราไม่สามารถวัดระยะทางในทิพยจักษุได้หรอก

    พอจะหาต้นฉบับได้ที่ไหน...

    เพิ่มเติม 2... นั่นหมายถึงว่า หลุมดำอาจเป็นประตูมิติ เพื่อเข้าสู่โลกแห่งพลังงานที่สูงมากๆ แต่ที่เขียนนี้ ถึงมันจะเป็นจริง มันก็อธิบายไม่ได้ว่า พลังจิตมีผลต่อสสารในโลกนี้ได้อย่างไร ยกเว้นแต่ว่า...
    มิติต่างๆ ไม่ได้แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง มิติที่สูงกว่า สามารถรับรู้ถึงมิติที่ต่ำกว่าได้ ส่วนจะรับรู้ในแบบใด ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ซึ่งหากจริง การฝึกจิต ซึ่งก็คือการก้าวไปสู่พลังงานที่สูงกว่า ก็ย่อมส่งผลต่อชีวิตต่างๆ ในโลกนี้ได้

    รอบๆ ภูเขาสิเนรุ เป็นที่อยู่ของเทพเทวาต่างๆ และในช่องรอยต่อของจักรวาล 3 แห่ง จะมีนรกโลกันต์อยู่ 1 แห่ง
    นี่อาจเป็นคำบอกถึง การจัดชั้นพลังงาน สิ่งที่มีพลังงานสูงกว่า ย่อมผลักพลังที่ต่ำกว่า ออกไปโดยรอบ นั่นหมายความว่า ดวงดาวที่มีสิ่งมีชีวิตที่เป็นสสาร จะอยู่ตามขอบของกาแลคซี่เท่านั้น (ซึ่งระบบสุริยะที่เราอยู่ ก็อยู่ที่ขอบกาแลคซี่เช่นกัน)

    ทำนองเดียวกัน พลังงานในระดับของสสาร ก็ผลักพลังงานที่ต่ำกว่า (คือนรก) ไปอยู่ในจุดที่ต่อกันของกาแลคซี่ 3 ระบบ ลองนึกภาพโลโก้ช่อง 7 ตรงกลางจะมีช่องเล็กๆ อยู่ (นรกจึงแออัดมาก)

    มิติทั้งหลายที่เป็นกามภพ คือ อบายภูมิ มนุษย์ภูมิ และสวรรค์ภูมิ จึงไม่ได้แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง แต่พลังงานของแต่ละภูมิ ยังส่งผลต่อกันอยู่ (ส่งผลในระดับพลังงาน)
    และถ้าอย่างนั้น หลุมดำจะเป็นประตูมิติไปสู่สิ่งใด อาจเป็นชั้นพรหมก็ได้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2009
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เอกภพที่มีหลายมิติซ้อนเหลื่อมกันอยู่

    ถ้าว่าในภาษาปัจจุบันก็ได้ว่า ในเอกภพนี้ เป็นเอกภพที่มีหลายมิติซ้อนเหลื่อมกันอยู่ เข้าใจว่า แต่ละมิติแยกออกจากกันโดย "ช่วงพลังงาน (ความถี่)" ของอนุภาคต่างๆ

    ภูเขาสิเนรุ เป็นภูเขาจริงๆครับ แต่อยู่ในอีกมิติหนึ่ง เช่นเดียวกันกับโลกมนุษย์กับโลกของวิญญาณ อยู่กันคนละมิติแต่ซ้อนเหลื่อมกันอยู่ในที่เดียวกันครับ ดูการซ้อนเหลื่อมกันของภพหยาบกับภพละเอียด ได้ที่รูปข้างล่างนี้นะครับ (คลิ๊กที่ภาพเล็กข้างล่าง ภาพจะขยายใหญ่ขึ้น)

    [​IMG]

    ปรโลก และ ชีวิตหลังความตาย คือ อะไร
    มก. อรรถกถาสุปปวาสสูตร เล่ม 44 หน้า 233

    ขอเชิญเข้ามาศึกษาเนื้อหาโดยละเอียดได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. อีโต้

    อีโต้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +256

    ประทับใจกับแนวความคิด

    แต่อย่าไปยึดติดซะเกินไปนะ

    เพราะหนังมันก็คือหนัง

    ยังไงมันก็เกิดจากการปรุงแต่งอยู่ดี
     
  10. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  11. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,946
    ค่าพลัง:
    +3,301
    ผมเห็นว่ามีอดีตนายกฯอังกฤษท่านนึงที่หนีพ้นกฏแห่งกรรมได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...