องค์พระศรีอาริยะเมตไตยต้องบุรพกรรม

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 8 ธันวาคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    สมัยหนึ่ง ที่องค์พระศรีอาริยะเมตไตยต้องบุรพกรรม มาเกิดเป็นนางยักษ์ รูปร่างร้ายอยู่ในป่า องค์พระ โคตมะกำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเอราวดี ด้วยสัพพัญญุตญาณทราบว่า นางยักษ์นี้ได้ก่อสร้างบารมี 30 ทัศมามากมาย แต่เพราะผลกรรมที่กระทำกาเมสุมิจฉาจารกับภรรยาผู้อื่น จึงมาเกิดเป็นนางยักษ์ชาตินี้ พระองค์จึงเสด็จมาโปรด นางยักษ์แลเห็นลักษณะอันประเสริฐ จิตเลื่อมใสก้มลงกราบ เมื่อองค์พระโคตมะตรัสเทศนาพระธรรม นางยักษ์ปลงใจเด็ดขาด ตัดเอาเต้านมทั้งสองถวายเป็นพุทธบูชา อานิสงส์นางยักษ์ตัดเต้านมทั้งสองมากระทำสักการบูชาพระตถาคตครั้งนั้น ส่งผลให้นางยักษ์พ้นจากอิตถีเพศ คือ ท่านจะเกิดเป็นหญิงแต่เพียงชาติเดียวเท่านั้น นางยักษ์นี้ได้สร้างพุทธวิริยบารมีมาถึง 80 อสงไขยกัป คือ ปรารถนาอยู่ในใจถึง 36 อสงไขยกัป ลั่นวาจาว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าอีก 28 กัป​

    และ ในกาลก่อน พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า "มหุตชินสีห์" ได้ทรงพยากรณ์ว่า" ท่านจะเวียนว่ายตายเกิดสืบต่อไปอีก 16 อสงไขยกัป ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระศรีอาริยะเมตไตย ในอนาคตกาล" และในท่ามกลางพระพุทธศาสนาของพระพุทธโคดม ท่านจะมาช่วยสืบอายุพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองไปจนตลอด 5,000 ปี​

    กาลต่อมา ในชาติหนึ่งที่พระศรีอาริยะเมตไต ยมาเกิดเป็นมนุษย์ชาวไร่ กระทำไร่เลี้ยงชีวิตอยู่ริมภูเขา ตักกะคีรี ซึ่งเป็นภูเขาเดียวกับที่ฝูงลิงถ่ายอุจจาระใส่ผ้าอาบของพระพุทธเจ้านั้นเอง ขณะที่พระศรีอาริยะเมตไตยเป็นกระทา ชายวิ่งไล่ขับฝูงลิงที่ลงมากินแตงโมในไร่นั้น ก็เลยวิ่งเลยถลำไปเหยียบเอาพระฉาย คือ เงาของพระพุทธเจ้าโดยไม่ทันสังเกต เมื่อเหลียวมาพบพระโคตมะ จิตเลื่อมใสศรัทธา จึงนำเอาแตงโมมาถวาย 7 ลูก แต่มีลูกหนึ่งที่รอยหนูกัดเป็นโพรง กุศลผลทานครั้งนั้นส่งผลให้ท่านเกิดเป็นพระยาจักรพรรดิรชาธิราชอันประเสริฐ ในท่ามกลางศาสนาของพระตถาคต และจะช่วยสังคายนา ชำระสะสางพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป ศาสนาของพระพุทธโคดมจะปกแผ่ไปทั่วทั้งเมืองคนขาว เมืองคนเทา ปกแผ่ไปทั่วโลก ส่วนวิบากกรรมที่ท่านได้เหยียบเงาพระตถาคตนั้น เมื่อท่านได้มาเกิดเป็นมนุษย์จะมีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ บนศรีษะก็จะมีรอยแผลเป็น ดุจดังรอยหนูเจาะแตงโม แต่ในภายหลังท่านจะมีผิวพรรณวรรณะ สวยสดงดงามดั่งเทพบนสวรรค์ เพราะได้บริโภคของทิพย์ของพระอิศวรเทพเจ้า​

    ตามบุรพกรรม สัญญาที่ มาระหว่างองค์พุทธที่ 4 และองค์พุทธที่ 5 ทำให้องค์พระศรีอาริยะเมตไตย โพธิสัตว์ จะต้องมาช่วยสืบอายุพุทธศาสนาของพระพุทธโคดม จวบจนครบพุทธกาลดั่งนี้แล และในระหว่างกาลแห่งการรักษาศาสนจักร อาณาจักรแห่งองค์พุทธที่ 4 จะอยู่ในนามว่า "ภายใต้รังสีพระศรีอาริยะเมตไตรย" เพราะอำนาจสิทธิแห่งวงศ์ศาสนจักรยังเป็นขององค์พุทธที่ 4 แต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น​


    อดีตกรรม

    เอ กัง สะมะยัง ในสมัยหนึ่งพระพุทธโคดมได้เสด็จเลียบมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง ในแคว้นสุวัณณภูมิ ซึ่งไหลผ่าน ภูเขาตักกคีรี พระองค์ลงสรงน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็เอาผ้าอาบตากไว้บนฝั่งแม่น้ำ จึงเสด็จขึ้นประทับอยู่บนภูเขาลูกนั้น มีลิงแม่ลูกอ่อนฝูงหนึ่งอุ้มลูกออกจากชายป่า พลันก็ถ่ายอุจจาระของมันลงบนผ้าอาบของพระองค์ ซ้ำเอาหว่านเล่นเสียเลอะเทอะ คงเหลืออยู่ชายเดียว ณ บัดนั้นก็ได้มีนกยางปอน (นกยางขาว) ตัวหนึ่งบินมาจับลงที่ศรีษะของแม่ลิงตัวหนึ่ง แล้วก็เหลียวหน้ามองไปโดยรอบทั่วทุกทิศ ในทันใดรัศมี ซึ่งเป็นสีต่าง ๆ ได้พุ่งปราดออกจากพระเขี้ยวทั้งสี่ของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ผู้อุปัฏฐาก จึงทูลถามเหตุการณ์อันประหลาดนั้น พระองค์ทรงตรัสพยากรณ์ว่า:-​

    " ดูก่อนอานนท์ ผ้าอาบของตถาคต ได้แก่ ศาสนาที่ตถาคตวางไว้ ลิงแม่ลูกอ่อนที่มาถ่ายมูลเลอะเทอะหมดถึง 3 ชายนั้น ได้แก่ กองทัพ ซึ่งจะมารบราฆ่าฟันกันตาย เหลือที่จะคณานับ ศาสนาของตถาคตจะเสื่อมทรุดไปถึง 3 ใน 4 ส่วน คงค้างอยู่แต่เพียงส่วนเดียว และนกยางขาวที่บินมาจับหัวแม่ลิงนั้น คือ พระศรีอาริยะเมตไตรยโพธิสัตว์ จะมาปราบอธรรม และช่วยสืบอายุศาสนาของตถาคต เริ่มตั้งแต่ 2,500 ปีขึ้นไป จนครบ 5,000 ปี"​

    "พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์กับตถาคต ได้สร้างกรรมไว้ในอดีตชาติ" พระองค์ทรงเล่าให้พระอานนท์ฟังต่อไปว่า​

    "อันชาติหนึ่ง สองเราสหายสนิท ช่วยกันคิดเอาบัวมาอธิษฐาน
    เพื่อเสี่ยงทายบารมี พุทธกาล ให้บัวบานบอกแจ้งเป็นผู้ใด"​

    ในชาตินั้นเรา ทั้งสองจึงเอาดอกบัวมาคนละดอก เข้าไปอธิษฐานในพระวิหารว่า ถ้าใครจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อน ก็ขอให้ดอกบัวของผู้นั้นบานก่อน​

    ครั้น วันรุ่งขึ้นพระตถาคตได้เข้าไปดูดอกบัวนั้น แต่ยังไม่ทันสว่างแจ้ง เห็นดอกบัวของพระศรีบานก่อน ด้วยความที่อยากเป็นพระพุทธเจ้าก่อนพระศรี จึงลักเปลี่ยนดอกบัวของพระศรีมาไว้ที่พระตถาคต สับเปลี่ยนกันเสีย​

    "บัวของน้องบาน แล้วนะพี่จ๋า สัมพุทธาน้องย่อมได้ไปก่อนแน่
    แต่ไฉนบัวในมือ เดี๋ยวหุบเดี๋ยวก็แบ พุทธยังไม่เที่ยงพุทธยังไม่แท้น่าอายจริง"​

    ฝ่าย พระศรีนั้นเขาฌานแก่ รู้ว่ามีการสับเปลี่ยนบัว จึงทำนายว่า "โอ! สหายท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนเราจริง แต่ทว่าฝูงมนุษย์ยุุคนั้นจะเป็นคนขี้ลักขี้ล่าย และใช้เงินดำ เงินแดง เงินกระดาษกัน อย่างพร่ำเพรื่อ มนุษย์จะไม่ซื่อสัตว์ต่อกัน จะทุจริต คิดมิชอบนานาประการ พระสงฆ์องค์เณรพุทธบริษัทในศาสนานั้น จะหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ เดี๋ยวบวช เดี๋ยวสึก เดี๋ยวหุบ เดี๋ยวแบดังบัวดอกนี้"​


    เพราะกรรมที่พระพุทธโคดม ได้สับเปลี่ยนบัว ถึงแม้ว่าพระองค์และเหล่าพระอรหันตสาวกจะเข้าพระนิพพานไปแล้วก็ตาม แต่กรรมนั้นยังติดอยู่ในศาสนาของพระองค์ ตราบเท่าทุกวันนี้ ที่เหลือไว้แต่สมมติสงฆ์ในศาสนาของพระองค์ จึงรู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ศาสนาสามส่วนก็ถูกพราหมณ์ ยักษ์ และมารเอาไปครอง เหลือจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ข้อวัตรปฏิบัติจึงถูกปนเป็น จนแยกแยะไม่ออก ผู้คนเกิดมาสมัยหลัง จึงไม่เข้าใจทางปฏิบัติที่ถูกมรรค ถูกผล ถูกนิพพานในฝ่ายสัมมาทิฏฐิแต่ส่วนเดียว นั้นคืออะไร

    พระพุทธโคดมทรงเล่าอดีตกรรมจบลง พร้อมพยากรณ์เหตุการณ์สืบไปอีกว่า

    " เมื่อพระศรีอาริยะเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาช่วยสืบอายุพุทธศาสนาในพุทธกาลของพระ ตถาคตนั้น จะมีสรรพวัตถุทั้งหลายบังเกิดขึ้นแก่โลก อย่างแปลกประหลาดเหลือจะคณานับ ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์นานาชนิด ก็จะไม่ได้ปั่นและทอด้วยมือ เหมือนในศาสนาของตถาคตจะมีแต่ผ้าเนื้อบริสุทธิ์ ฝูงมนุษย์จะไม่ติเตียนว่า เป็นขี้หูขี้ตาเขาเท่าจะวัดวา (วัดหลาและเมตร) ก็จะมีในยามนั้น แม่หญิงจะนุ่งซิ่นเสื้อลายเหมือนหนังแย้ จะนุ่งเสื้อผ้าแขนกุดขาก้อม หญิงชายจะนุ่งผ้าเป็นอย่างเดียวกัน จะว่าชายก็บ่จริง จะว่าหญิงก็บ่แม่น แม่หญิงจะหวีผมปกหน้า จะใส่ต่างหูยาวง้ำหน้า พ่อชายจะใส่หมวกหุ้มหน้า สิ่งที่ไม่รู้จะได้รู้ สิ่งที่ไม่พบเห็นก็จะได้เห็น พร้อมด้วยบุรพนิมิตอันชั่วร้ายต่าง ๆ ก็จะบังเกิดขึ้นแก่โลกมากมายยิ่งนักดังนี้

    1. ราชภัย ท้าวพระยาจะบังคับเบียดเบียนพลเมือง
    2. โจรภัย จะบังเกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมทั่วไป
    3. อัคคีภัย ไฟจะไหม้บ้านเมืองไม่ขาดสาย
    4. อสุนีบาต ฟ้าจะผ่าสัตว์และคนล้มตายบ่อย ๆ
    5. เมทนีภัย แผ่นดินจะไหวสะท้านและแยกออกจากกัน
    6. วาตภัย จะเกิดลมพายุพัดพาบ้านเมืองพินาศ
    7. อุทกภัย น้ำท่วมบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา
    8. ทุพภิกขภัย จะเกิดข้าวยากหมากแพงและอดอาหาร
    9. พยาธิภัย จะเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ล้มตาย
    10. สัตถภัย จะรบราฆ่าฟันกันล้มตายร้ายแรง

    ใน ขั้นสุดท้าย แผ่นดินจะไหวเดือนละหลายครั้ง จะมีสุริยคราสและจันทรคราสบ่อยครั้ง จะเห็นผีพุ่งไต้บ่อยๆ ดาวหางและแสงประหลาดจะบังเกิดให้เห็นไม่ขาดระยะ จะได้ยินเสียงดังในอากาศคล้ายระเบิดและปืนใหญ่ แร้งกาจะบินลงเกาะบ้านเมืองอย่างผิดธรรมดา ฝูงมนุษย์จะเดือดร้อนและขวักไขว่กันไปมา จะบังเกิดสงครามฆ่าฟันกันตายเหมือนใบไม้ร่วงไปทุกหนทุกแห่ง ครั้นแล้วก็ถึงกาลที่องค์พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกตาม บุรพกรรมสัญญา

    ที่มา http://www.navagaprom.com/book.php?id=11



     
  2. xsarun

    xsarun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +137
    อนุโมทนา สาธุ ครับ ทุกอย่าง เกิดจากบุญและกรรม หมั่นสร้างความดีแล้วไปนิพพาน กันคับ
     
  3. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    ตอนแรกผมคิดว่าจะเข้ามาอ่าน แล้วผ่านๆไปเฉยๆครับ เพราะเป็นข้อความและบทความเดิมๆ ที่นำเอามาตั้งกระทู้ใหม่

    แต่ไหนไหนก็ไหนๆแล้ว เอาซะหน่อย เหอๆ

    อันที่จริง เป็นที่ทราบกันดีและรอคอยกับพระศรีอาริย์กันทุกๆคนอยู่แล้ว หลังพุทธกาล

    บางคนบางสำนักก็ตีความว่าเป็นสภาวะธรรมของเหล่าพระโพธิสัตว์ที่ลงมาช่วยต่ออายุกาลพระศาสนาช่วงหักกลาง ที่เขาเหล่ามนุษย์นั้นเรียกกันว่า"พระเจ้าธรรมมิกราชโพธิญาณ"(ระบบหมู่)

    บางคน บางสำนัก ก็ตีความว่า เป็นพระศรีอาริย์องค์จริงคือองค์ที่เป็นตัวตนของพระศรีอาริย์ที่จะได้ตรัสรู้ต่อจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ จะมาเป็นพระเจ้าธรรมิกราชหรือพระเจ้าจักรพรรดิ์แต่เพียงผู้เดียว(ระบบฮีโร)

    อันนี้ก็แล้วแต่จะคิดกันไปครับ เพราะโลกทั้งโลก ก็เเบ่งแยกกันอยู่ชัดๆ ทั้ง2ความเห็น ทั้ง2ระบบอยู่แล้ว จะมองแบบไหนก็ถูกทุกอย่าง ผมขอเอาฐานะส่วนเล็กๆในสังคมเวปพลังจิตอันไม่มีบท...บาท...ไร้ค่า...ไร้ความสำคัญเป็นเครื่องยืนยันครับ(กล้ายืนยันอีกนะคนเรา 555)

    ระบบหมู่ คือตอนนี้พวกเหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลาย ได้พากันลงมาจุติกันเกือบจะหมดแล้ว รวมถึงองค์มหาโพธิสัตว์ใหญ่ๆด้วย 1.เพื่อช่วยงาน 2.เพื่อทำบารมีส่วนตัว 3.เพื่อมาศึกษากับโพธิสัตว์องค์ใหญ่ 4.เพื่อมาลาพุทธภูมิ เหตุผลทั้ง4ประการนั้น เมื่อโพธิสัตว์เหล่านั้นรู้ตัวแล้ว ทำกิจตามสมควรแก่กิจของตนเสร็จ ก็จะทำงานช่วยกันเผยแพร่พระศาสนาต่อไป

    ระบบฮีโร คือ พระศรีอาริย์ทำคนเดียว เพราะเป็นหน้าที่ของท่านโดยตรง คือพระศรีอาริยะท่านจะแบ่งภาคออกมาเทียบๆอาศัยอยู่กับคนที่มีศีลมีธรรม แล้วช่วยกันเผยแพร่พระธรรมคำสอน
    แต่เมื่อถึงกาลอันเหมาะสมแล้ว ท่านก็จะรวมองค์มาแบบเต็มๆองค์เลยที่เดียว เพราะ 1ต้องจัดระบบใหม่ 2.ต้องมาสอนพุทธภูมิทั้งหลาย(ร่อนแล้วเหลือไม่ถึง1ใน3ส่วนของเหล่าพุทธภูมิ ที่ลงมา) 3.ต้องมาตามบุพกรรมเก่า

    ผมยังไม่ได้รวมกับระบบกล่าวอ้างตนอีก ข้อนี้ป่วยการที่จะกล่าว ที่จะสอน จึงขอยกออกไว้ก่อน เหอๆ

    ทั้ง2ระบบจะทำงานร่วมกันไปตลอด บางคนรู้ บางคนไม่รู้ เท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2009
  4. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    ผมเคยถามพระเถระหนุ่มองค์1ว่า ประวัติของคำทำนายหรือสูตรเหล่านี้(กระทู้)จริงหรือไม่ แต่ท่านตอบมาว่า "ถูกเขียนขึ้นมาภายหลัง ด้วยเหตุพิสดารวิสัยบางอย่าง แต่ให้สังเกตุดูในระบบโคจรนิสัยโลกทั้งหมดให้ดีดี สูตรเหล่านี้มีประโยชน์อยู่นะ อย่าประมาทว่าเป็นแค่ของที่ทำขึ้นมาทีหลัง มันแฝงๆอะไรอยู่" ท่านไม่ได้ตอบว่า"จริงหรือไม่จริง"

    ผมเคยเอาพบเจอบทความทำนองนี้อีก(เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าจักรพรรดิ์หรือพยาธรรมมิกราชโพธิญาณ) แต่เป็นปริศนาที่มีไว้สำหรับให้คนที่จะมาเป็นพระศรีอาริยะแก้ ดังนี้

    สักกะปัญหา ปริศนานกยาง

    หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานผ่านมาได้ ๒,๐๐๐ ปีแล้ว ท้าวสักกะองค์อินทร์ระลึกถึงกิจที่พระศาสดาสั่งไว้ได้ จึงเนรมิตตนเป็นชีผ้าขาวลงมาสู่กรุงศรีอยุธยา. ชีผ้าขาวนั้นท่องเที่ยวถามปัญหาแก่สมณะ ชี พราหมณ์ทั้งหลาย โดยบอกว่า ถ้าใครแก้ปริศนาเหล่านี้ได้ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ.

    คนโดยมากได้พบเห็นชีผ้าขาวเข้าไปถามปัญหาก็พากันคิดว่า พราหมณ์เฒ่านี้ท่าจะบ้า จึงไม่มีใครใส่ใจพิจารณาปัญหานัก ท้ายที่สุด ชีผ้าขาวก็กลับร่างเป็นพระอินทร์ นั่งอยู่บนอากาศแสดง

    ปริศนานกยางไว้ดังนี้


    ๑. นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องขอก นกยางว่าปลามันไม่ออก
    ๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก
    ๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน
    ๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย
    ๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก
    ๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก
    ๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก
    ๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก
    ๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก
    ๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก
    ๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า
    ๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า


    พระอินทร์สั่งให้จารึกปริศนานี้ไว้ในใบ ลาน และย้ำว่า ถ้าใครแก้ปริศนานี้ได้ ก็ให้บอกแก่พระอินทร์ คนผู้นั้นจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แล้วพระอินทร์ก็กลับคืนสู่ดาวดึงส์เทวโลก

    ตั้งแต่นั้นมา ก็มีผู้พยายามจะแก้ปริศนานกยางนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะบอกพระอินทร์ให้รู้ได้อย่างไรดี จึงทำได้เพียงจารึกความคิดเห็นของตนลงในใบลานไว้ว่าปริศนานกยาง มีความหมายว่าอย่างไรกันบ้าง แม้อย่างนั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าคำตอบที่ถูกต้องของปริศนานกยางนั้นคืออะไรแน่ เพราะพระอินทร์ก็ยังไม่ได้มาเฉลยให้ใครได้รู้เลยว่า ปริศนานี้แก้ได้ว่าอย่างไร จึงควร







    ลักษณะของพระศรีอาริยะ

    เมื่อบวชอยู่เพื่อนนักบวชก็รุมชัง ฆราวาสรุมชัง สมณะชีพราหมณ์ตลอดจนฝูงท้าวพระยาที่มีใจหนาแน่นไปด้วยบาปต่างก็ไม่คบค้า สมาคมด้วย อยู่ที่ไหนไม่มั่นพลันหนีเพราะมีศีลธรรมและความประพฤติผิดกับคนทั้งหลาย จึงคบค้าสมาคมกับคนที่มีใจบาปหยาบช้าไม่ได้นาน
    เมื่อเป็นทารกนอนดั่งลิงลม เมื่อบวชเรียนอยู่นอนดั่งนกกาน้ำ เมื่อเป็นฆราวาสแล้วนอนดั่งพญาช้างสาร และเมื่อปรากฏแล้ว นอนดั่งพญาสีหะ
    ตำหนิรูปพรรณสัณฐานนั้น รูปร่างลักษณะท่าทางเหมือนดังครุฑ จมูกดังยักษ์ ใบหน้าดังครุฑ มีฟันเหมือนฟันม้า ตาลึก ท้องใหญ่เล็กน้อย ไหล่ขด นิ้วมือเบื้องซ้ายเป็นแผลเป็นหนึ่งแห่ง ที่แขนซ้ายมีขนยาวหนึ่งเส้น ฝ่าเท้าเบื้องขวามีแผลเป็น บนศีรษะมีแผลเป็นลักษณะ(บางที่บอกว่า มีรอยบุ๋มหรือบุบเป็นลักษณะ)ไม่สูงไม่ต่ำไม่ดำไม่ขาว สีผิวเนื้อเหลือง ยามเจรจามีเสียงแลบออกจากไรฟัน พูดจามั่นเที่ยงไม่กลับกลอก

    เมื่อบวชอยู่ในเพศบรรพชิตนั้นมักมีรัศมีพุ่งออกจากศีรษะเสมอ และมักมีดวงแสงสว่างขนาดลูกมะพร้าวบ้าง ส้มบ้าง เป็นท่อเป็นลำยาวบ้าง ปรากฏแก่สายตาประชาชนอยู่ไม่ขาด นอกจากนั้นก็มักมีเสียงดนตรีและฆ้องกลองประหลาดที่ไม่เห็นผู้บรรเลงปรากฏ อยู่ครึ้มเครือ

    มีปัญญาดุจมโหสถ มีความเพียรดุจมหาชนก มีสัจจะดั่งวิธุรบัณฑิต มีขันติดุจขันติวาทีดาบส มีความกล้าหาญดุจสุรยักษ์ มีใจเบาและรวดเร็วดังลิงลม มีไมตรี รักคนใจบุญและสัตย์ซื่อ เมตตากรุณาต่อคนทุกข์ไร้อนาถา ไม่ถือตัวไม่ถือชั้นวรรณะ แก่กล้าด้วยศีลและทานจนตกทุกข์ได้ยาก เมื่อเริ่มจะปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกนั้นจึงได้นามสมัญญาอีกอย่างว่า “ทลิททกธรรมิกราชา” คือ พระราชาผู้เข็ญใจไร้ทรัพย์

    วิษณุกรรมเทพบุตรจะไปนำมะม่วงกาซอจากดอยสิโนโรมาถวายพระศรี อาริย์ให้เสวยแล้วรูป

    ร่างก็เปลี่ยนไปงดงามดุจท้าวสักกะองค์อินทร์ จากนั้นพระศรีอาริย์ก็จะนำเม็ดมะม่วงปลูกลงริมปราสาท มะม่วงก็เติบโต ออกดอกและผลโดยพลัน พระศรีอาริย์จะน้อมมะม่วงนั้นเข้าถวายพระผู้เฒ่า๒๔รูปที่จาริกมาจากทิศต่างๆ เมื่อพากันฉันแลัวพระผู้เฒ่าก็กลับกลายเป็นหนุ่มทั่วกัน
    พระศรีอาริย์จะทำการชำระภิกษุสงฆ์ ให้สงฆ์ที่ไม่บริสุทธิ์สึกทั้งหมดแล้วนำผ้าเหลืองที่ได้จากการสึกภิกษุเหล่า นั้นไปเผา นำขี้เถ้าใส่ในตะลุ่มทองคำ นำไปฝังแล้วสร้างพระธาตุทับไว้พระองค์จะนำแก้วมณีโชติไปประดับไว้บนยอดธาตุ แสงสว่างจากแก้วมณีจะส่องสว่างไปทั่วทั้งนคร ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน

    ว่ากันว่า พระศรีอาริย์จะพาพุทธบริษัทไปสักการะศพของพระมหากัสสปะที่แคว้นมคธ มีการห้ามสงครามเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกองทัพเทวดาเดินทางไปในอากาศ ๒ครั้ง คือ
    สงครามแย่งภูเขาทอง๑ และสงครามเอเชียตะวันออกเฉียงใต้๑ (หาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก โดยรหัสยญาณ สำนักพิมพ์ลานอโศกเพรสกรุ๊ป โรงพิมพ์สหธรรมิก)
     
  5. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    บางคนถึงขนาดลองแก้ปริศนาด้วย

    นกยางไม่ร้องขอก คือ พระศรีอาริย์ไม่บันลือสีหนาท
    ปลาไม่ออก คือ ขุมทรัพย์จักรพรรดิไม่ปรากฏ
    หญ้ารกมาก คือ คนอวดเก่ง(มานะจัด)มีมาก
    วัวไม่กินหญ้า คือ ศรัทธาไม่ออกมาข่มมานะ
    เจ้าของไม่ปล่อยวัว คือ ใจไม่ปล่อยศรัทธา
    เจ้าของเจ็บท้องมาก คือ ใจเป็นทุกข์ ลำบากอยู่มาก
    กินข้าวไม่สุก คือ เสพธรรมที่ไม่บริสุทธิ์
    ไฟไม่ลุก คือ ไม่มีปัญญา
    ฟืนเปียก คือ ทิฏฐิเศร้าหมอง(ชุ่มไปด้วยกิเลส)
    ฝนตกมาก คือ ตัณหาหนาจัด
    กบเขียดร้องนัก คือ ความคิดปรุงแต่งมีมากนัก(สังขาร)
    งูไล่กินกบเขียด คือ อวิชชาครอบงำความคิด
    กบเขียดเป็นอาหารของงู คือ สังขารเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงอวิชชา
     
  6. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    ที่นี้ลองมาดูแก้ปริศนาแบบอรรถาธิบายของคนๆนึงที่เคยเผยแพร่มานานแล้ว พร้อมกันนี้เขาก็คิดที่จะตีพิมพ์ที่เขาแก้ปัญหานี้ด้วย

    ไขความปริศนา โดยพิสดาร

    นกยางนี้มีปรากฏตามตำนานนกยางปอนกับฝูงลิงและชาวไร่แล้ว.
    โดยธรรมชาติของนกยางนั้น เมื่อยังไม่ทันได้กินปลาก็จะจับเจ่าเหงาหงอยรอคอยเงียบงันอยู่

    อย่างนั้น แต่เมื่อได้กินปลาแล้วจึงจะโบยบินร้องขอกๆ หรือโกกๆ กอกๆบอกพวกพ้องของตน

    นิสัยโดยมากของนกยางคือยินดีอยู่ในความเงียบสงบ ความมักน้อย ไม่สั่งสมไม่ละโมบต่าง

    จากลิงที่มีนิสัยลุกลี้ลุกลน ไม่สงบ มีความละโมบมีกระพุ้งแก้มไว้สั่งสม มักหวงแหนไม่แบ่งปัน.

    เปรียบนกยางได้กับหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายคือ ตราบใดที่ยังไม่ได้เสพผลแห่งธรรมที่ตนรอ

    คอย เขาก็จะเงียบงันอยู่ตราบนั้น ไม่ท่องเที่ยวไปเพื่อสอนสิ่งผิดแก่ผู้อื่น ต่อเมื่อได้เสพผลธรรม

    เป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระเจ้าจักรพรรดิตามปรารถนาแล้วจึงจะท่องเที่ยวไป ประกาศธรรมให้

    เพื่อนพ้องได้รู้ว่า จงไปสู่ทิศนั้นแล้วท่านทั้งหลายจะได้ประสบผลอันพึงประสงค์.

    เมื่อเทพเด็กน้อยระลึกถึงตนว่า เหตุใดจึงไม่ท่องเที่ยวสั่งสอนผู้คน? เทพก็ได้เห็นว่าเพราะตน

    เป็นคนจนทรัพย์ ไร้ยศ ไร้ชื่อเสียง ถ้อยคำของเด็ก ของคนยากจน ของคนรูปร้าย ของคนไร้ยศ

    ไร้ชื่อเสียงอย่างเขาย่อมไม่อาจทำหมู่ชนให้ยินดี ให้เชื่อตาม ให้ประพฤติตามเขาได้ เทพจึง

    ขวนขวายหาสมบัติจักรพรรดิเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสอนโลก ตราบใดที่สมบัติไม่

    ปรากฏ ตราบนั้นเขาจะไม่สั่งสอนหมู่ชน ไม่เป็นผู้นำหมู่ชนเด็ดขาด.

    เมื่อเทพกำหนดตนว่าเป็นเหมือนนกยางแล้ว เทพก็ได้เห็นว่าปลาอันเป็นอาหารของนกยางก็

    ย่อมเปรียบได้กับสมบัติพระเจ้า จักรพรรดิ(ขุมทรัพย์ทั้ง๔)ที่ตนรอคอยอยู่โดยไม่รู้ว่าจะปรากฏ

    ในเมื่อใดกัน แน่ เมื่อเทพเด็กน้อยพิจารณาว่า ทุกสิ่งมีเหตุปัจจัยของมัน แม้การที่ขุมทรัพย์ไม่

    ปรากฏก็ต้องมีเหตุปัจจัย.

    เทพพิจารณาว่าอะไรหนอคือปัจจัยที่ขาดหายไปทำให้ขุมทรัพย์ซึ่งมีอยู่แล้วนั้น ไม่มาปรากฏ

    ทั้งๆที่เราก็ตั้งใจประพฤติธรรมแล้ว เทพก็ได้เห็นว่ายังขาดบริวาร เทพลองคำนวณว่า บริวารสัก

    เท่าใดที่เพียงพอจะให้ขุมทรัพย์ปรากฏก็ได้รู้ว่า ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คนก็พอแล้ว แต่อะไรคือ

    เหตุปัจจัยที่ทำให้เทพยังไม่ได้บริวารมา.

    เมื่อเทพเฟ้นหาอยู่ก็ได้เห็นว่า ก็เพราะผู้คนในยามนี้พากันอวดดื้อถือดีว่าตนเก่ง ไม่ต้องพึ่งพิง

    พระศรีอาริย์ก็ได้เพราะความเป็นอยู่ในยามนี้ก็ไม่ได้ทุกข์ยาก ลำบากนัก ความอวดเก่งนี้ย่อม

    ปรากฏเหมือนกอหญ้าหนาหยาบใหญ่ขวางทางปลาไว้ไม่ให้ออกมา ทำให้ขุมทรัพย์ไม่ปรากฏ

    จึงทำให้คนทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้โอกาสที่จะได้รู้ว่า สมบัติจักรพรรดินั้นประเสริฐกว่าสภาพ

    ความเป็นอยู่ที่พวกเขาพากันพึงพอใจอยู่ ในบัดนี้มากมายนัก หาความลำบากอันใดในสภาพ

    ภายนอกมิได้เลย. กอหญ้าจึงเปรียบได้กับความอวดดื้อถือเก่งของผู้คน.

    เทพถามซ้ำเข้าไปอีกว่า อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้คนอวดเก่ง ไม่ขอพึ่งบุญพระศรีอาริย์ เทพก็ได้

    เห็นว่า ก็เพราะผู้คนไม่พากันเชื่อ ไม่ศรัทธาว่าตำนานพระศรีอาริย์นั้นเป็นเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้น

    เมื่อเขาไม่ศรัทธา เขาจึงอวดเก่งเพราะคิดว่าการหวังพึ่งพระศรีอาริย์จะไม่มีผลสำเร็จ จึงกลับ

    กลายเป็นดูหมิ่น พยายามจะพึ่งลำแข้งของตนต่อไป. อาการที่ศรัทธาในการพึ่งพระศรีอาริย์ไม่

    ปรากฏนั้นเองที่เป็นเหมือนกับวัวไม่ กินหญ้า.

    เมื่อเทพพิจารณาลงไปอีกว่า อะไรเป็นปัจจัยให้ศรัทธานั้นไม่ปรากฏแก่ผู้คนในบัดนี้ เทพก็ได้

    เห็นว่าก็เพราะใจของพวกเขาไม่ยอมปล่อยมันออกมา ทั้งๆที่ตำนานนี้ถูกเล่าขานมาอย่างหนาหู

    ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่๒แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่นำมันมากล่าวซ้ำอีกในยามนี้ ไม่ยอม

    ปล่อยความเชื่อเดิมของตนออกมา เปรียบได้กับอาการที่ เจ้าของวัวไม่ยอมปล่อยวัวออกมานั่น

    เอง. ใจเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง ใจจึงได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของธรรมทั้งปวง.

    เทพเด็กน้อยพิจารณาซ้ำเข้าไปอีกว่า ก็เมื่อชาวพุทธเองก็มีสัญญาเรื่องพระศรีอาริย์นี้เป็นเชื้อ

    อยู่แล้ว หากเขาข่มใจลงพิจารณาอีก๑ปี ๒ปี ๓ปี เขาก็ย่อมจะเห็นได้ว่า โลกพระศรีอาริย์นี้

    สามารถสร้างขึ้นได้ตามตำนานว่าไว้จริงๆ แต่เหตุใดเขาจึงไม่พากันพิจารณา เทพก็ได้เห็นว่าก็

    เพราะเขามัวพากันสาละวนอยู่กับการทำมาหากิน เป็นทุกข์เดือดร้อนอยู่ในใจ เปรียบเหมือนเจ้า

    ของวัวที่มัวแต่เจ็บท้องจึงไม่มีเวลาพิจารณา ไม่มีเวลาไปปล่อยวัว.

    เทพเด็กน้อยพิจารณาขึ้นไปอีกว่า อะไรหนอเป็นเหตุปัจจัยให้ผู้คนเดือดร้อนอยู่ไม่แล้วไม่เลิก

    ไม่หยุดไม่หย่อนอยู่ในเวลานี้ เทพก็ได้เห็นว่า ก็เพราะคนเหล่านี้พากันถือธรรมไม่บริสุทธิ์

    ประพฤติในธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ พากันเสพความละโมบ ความโอ้อวด ความเห็นแก่ตัวความไม่

    แบ่งปัน ไม่เห็นใจกัน เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงกัน เปรียบได้กับการกินข้าวไม่สุกเป็นเหตุให้

    เจ้าของวัวปวดท้อง ฉะนั้น.



    เทพเด็กน้อยพิจารณาขึ้นไปอีกว่า อะไรเล่าหนอที่เป็นเหตุปัจจัยให้ผู้คนไม่อาจได้ธรรมที่

    บริสุทธิ์มาเสพกัน เทพก็ได้เห็นว่า ก็เพราะคนเหล่านี้ไม่มีปัญญา หรือหากมีอยู่บ้างก็ไม่พอ

    เพียงที่จะรู้จะเห็นได้ว่า อาการที่พวกเขาพากันประพฤติอยู่นั้นไม่อาจจะนำพาตนให้พ้นไปจาก

    ความทุกข์ยาก ลำบากกายใจได้ เปรียบอาการนี้ได้เหมือนกับไฟไม่ลุกจึงทำให้ข้าวไม่สุก ฉะนั้น.

    เทพเด็กน้อยพิจารณาต่อไปอีกว่า อะไรเล่าหนอเป็นเหตุปัจจัยให้ปัญญาของบุคคลเหล่านี้ไม่

    เจริญ ไม่ถึงความบริบูรณ์ แล้วเทพก็ได้เห็นว่าปัญญานั้นมีทิฏฐิเป็นเหตุปัจจัย เปรียบเหมือนไฟ

    มีฟืนเป็นเชื้อ หากฟืนเปียกไฟก็ไม่ติดไม่ลุก หากฟืนแห้งไฟก็ติดไฟก็ลุก ฟืนเปียกก็เพราะชุ่ม

    ไปด้วยน้ำ น้ำนี้ย่อมเปรียบได้กับกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เหตุที่ผู้คนยามนี้ไม่มีปัญญาก็เพราะมี

    ทิฏฐิว่าพระศรีอาริย์ตามตำนานนั้นไม่ ใช่สิ่งที่เป็นไปได้ เพราะพากันถือมั่นว่าพระศรีอาริย์จะไม่

    ลงมาปรากฏในกึ่งศาสนานี้แน่ หากแต่จะมาปรากฏในเมื่อขัยอายุของมนุษย์ตั้งอยู่แปดหมื่นปี

    ในทางเสื่อมเท่า นั้นบ้าง หรือหลังจากสิ้นศาสนาไป ๔,๐๐๐ ปีเท่านั้นหรือ ๖,๐๐๐ ปีเท่านั้นบ้าง

    ทิฏฐิเหล่านี้เองที่เปรียบได้กับฟืนเปียก ทำผู้คนให้ละความเพียรที่จะสร้างโลกที่ดีงามให้เป็นที่

    อาศัยแก่ตนและเพื่อน พ้อง.

    เทพเด็กน้อยพิจารณายิ่งขึ้นไปอีกว่าเมื่อฟืนคือทิฏฐิแล้ว น้ำคือกิเลสแล้ว ฝนจะคืออะไรหนอ

    เทพก็รู้ว่ากิเลสทั้งสามคือ ราคะ โทสะ โมหะ มีตัณหา๓อย่างเป็นปัจจัยคือ กามตัณหาความ

    อยากอยู่ในสภาวะที่ยังไม่ได้อยู่๑ ภวตัณหาความอยากอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่๑ วิภวตัณหาความ

    อยากไม่อยู่ในสภาพที่เป็นอยู่นั้น๑ ตัณหาเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดกิเลส เปรียบเหมือนฝนเป็นเหตุ

    ให้เกิดน้ำฉะนั้น.

    เทพเด็กน้อยพิจารณาให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า เมื่อฝนคือตัณหาแล้ว อะไรคือเสียงกบเสียงเขียดหนอ?

    เทพก็ตรึกธรรมขึ้นมาว่า ตัณหามีเวทนาเป็นปัจจัย เวทนามีผัสสะเป็นปัจจัย ผัสสะมีอายตนะ

    เป็นปัจจัย อายตนะมีนามรูปเป็นปัจจัย นามรูปมีวิญญาณเป็นปัจจัย วิญญาณมีสังขารเป็นปัจจัย

    สังขารมีอวิชชาเป็นปัจจัย อวิชชามีสังขารเป็นปัจจัย เทพตรองดูสภาวธรรมแต่ละอย่างแล้วก็

    เห็นว่า สังขารนั้นร้องยั้วเยี้ยอยู่ในใจคล้ายเสียงกบเขียด พร้อมกันนั้นเขาก็ได้เห็นอาการว่า

    อวิชชาไล่ครอบงำสังขารทั้งปวงอยู่ดุจงูไล่กินกบเขียด เทพจึงแก้ว่างูหมายถึงอวิชชา และเห็น

    ว่าสังขารนั่นเองที่เป็นปัจจัยให้อวิชชาตั้งอยู่ เปรียบได้กับกบเขียดเป็นอาหารของงู ปริศนานก

    ยางก็เป็นอันถูกคลี่คลายโดยเทพเด็กน้อย ด้วยอาการอย่างนี้ เหมือนอย่างที่นอสตราดามุสเคย

    กล่าวไว้ในโคลงบทหนึ่งของเขา ความว่า “ ไม่มีผู้ตั้งข้อสังเกตเขามากว่าห้าร้อยปี กับผู้ชายที่

    สวมเครื่องประดับตลอดชีวิต และเแล้ว การไขความครั้งยิ่งใหญ่นั้นจะทำให้ผู้คนที่อยู่ในยุค

    เดียวกันรู้สึกพอใจ”.

    เทพพิจารณาว่า ปริศนานี้ถูกเล่าขานต่อกันมาว่าพระอินทร์เป็นผู้มาผูกไว้ เทพก็กำหนดรู้ได้ว่า

    ปริศนานกยางนี้เองที่จะทำท้าวสักกเทวราชให้เคลื่อนลงมาสู่โลกมนุษย์เพื่อให้ ความช่วย

    เหลือกิจของเทพเด็กน้อยได้ ชะรอยพระศาสดาจะสั่งท้าวเทวราชไว้ เพราะปัญหานกยางนี้เป็น

    ปัญหาสำหรับพระพุทธเจ้าทั้งหลายและเจาะจงพระศรีอาริ ย์ด้วย เพราะคนทั่วไปถึงได้เห็น

    ปัญหานี้แล้วก็จะไม่เกิดฉันทะที่จะตามพิจารณาแก้ไข ปัญหา หรือถึงจะเกิดฉันทะที่จะตามแก้ไข

    แต่ก็ไม่มีบุพกรรมเรื่องการถวายแตงโม การไล่ฝูงลิงอันเกี่ยวเนื่องกับนกยางปอนเหมือนอย่าง

    บุพพกรรมของพระศรีอาริย์ จึงไม่อาจจะแก้เรื่องราวในตำนานทั้งหมดนี้ได้.
     
  7. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    ผมเคยได้กราบนมัสการถามพระเถระองค์1ดู ก็ได้คำตอบว่า"เป็นปริศนาแต่งขึ้นมาภายหลังอีกเหมือนกัน แต่ปรามาสไม่ได้ เพราะนี้เป็นปัญหาของโพธิสัตว์เท่านั้นที่จะแก้ได้"

    ถามต่อว่า "แล้วพอจะแก้ได้มั้ย"

    ท่านตอบว่า "ได้สิ เพราะถึงตอบไป ถูกหรือไม่ถูก ก็มีค่าเท่าเดิมคือไม่ใช่กาลที่จะแก้ ถึงมีคนจำคำแก้ปัญหาปริศนาเหล่านี้ได้ เขาเหล่านั้นก็อยู่ไม่ถึงกาลที่จะต้องแก้อยู่ดี และในเวลานั้นพลโลกที่มีจิตภูมิสูงเหลือน้อย"

    ถามต่อว่า "พอจะบอกได้มั้ยขอรับ ว่าปัญหามันเกี่ยวกับธรรมอะไร"

    ท่านตอบว่า "ปฏิจจสมุปบาทธรรม โพธิสัตว์รุ่นกลางขึ้นไปก็เดาออก ไม่เห็นยาก เป็นสาธารณะความรู้ระดับนี้อยู่แล้ว"

    ถามต่อว่า "แล้วอย่างที่เขาแก้ไว้นี้มันถูกมั้ยขอรับ"

    ท่านตอบว่า "ถูก แต่ถูกแค่ 10%นะ(อมยิ้ม)

    ถามต่อว่า "อ้าว...เขาก็แก้ไว้เหมาะสมและค่อนข้างสมบูรณ์นี้ขอรับ"

    ท่านตอบว่า "ปัญหานี้เป็นการบ่งบอกให้รู้ถึงเหตุการณ์ความเป็นไปของโลกทั้งหมดคือเป็นทั้งระบบ หมายความว่า เป็นความรู้เเบบสาธาระชน ที่มองเห็นและแก้ปริศนาได้อย่าง1(อย่างที่เขาคนนั้นได้แก้ไว้แล้วโดยอรรถาธิบาย)
    เป็นปัญหา เพื่อถามหาเหตุ มีไว้สำหรับคนๆนั้น คนเดียวเท่านั้นที่จะตอบได้อย่าง1
    เป็นปัญหา เพื่อถามหาผล มีไว้สำหรับคนๆนั้น คนเดียวเท่านั้นที่จะตอบได้อย่าง1
    เป็นปัญหาเพื่อตักเตือนสติ ของคนๆนั้นคนเดียวอย่่าง1
    เป็นปัญหา ปริศนาเพื่อสอนเขาคนๆคนนั้นโดยตรง ไม่ใช่เป็นคำสอนในระบบสาธารณะคือไม่ทั่วไปอย่าง1


    ถามต่อว่า "แล้วมันจะเเก้อย่างไร พอที่จะลองไขให้กระผมฟังได้มั้ยขอรับ ขอฟังให้เป็นวิทยาทานธรรมนะขอรับ"

    ท่านตอบว่า "ปริศนาทั้งหมดนี้ กำลังจะบอกว่า"พระศรีอาริย์เอ๋ย...เจ้าถูกวิสัยกระแสโลกครอบอยู่หรือ...ถึงได้ทำตนให้เนิ่นช้า ข้อนี้เป็นการถามหาเหตุ....
    พระศรีอาริย์เอ๋ย...เจ้ามีธรรมพิศมัยกาล ประมาณเท่าไร ข้อนี้เป็นถามหาผล...
    พระศรีอาริย์เอ๋ย...เจ้าจะทอดภาระ...ธุระ...อยู่แต่ลำพังผู้เดียว ไม่เหลียวแลตนและผู้อื่นอีกทั้งศาสนาเราและศาสนาของท่าน ถูกหรือหนอ...ข้อนี้เป็นการตักเตือน
    พระศรีอาริย์เอ๋ย...โพธิญาณที่ท่านสะสม...สั่งสมมาเนิ่นนาน อีกไม่นานก็จะได้บรรจุเป็นพุทธวงศ์ทั้งปวงแล้ว ปัจจัยยการ อันเราได้แสดงไว้ดีแล้ว หมั่นพิจารณาตามพุทธประเพณีเทิด...ข้อนี้เป็นการกล่าวสอน
    อันนี้เป็นแค่ย่อๆเท่านั้น ไม่ได้พิสดารใดๆเลย เพราะไม่ใช่เวลาที่จะต้องแก้ ยังไม่ถูกทั้งหมด มีประดับอีก 108 นัยยะ อย่าทำเล่น โพธิสัตว์ทั่วไป จะไม่อุตสาหะที่จะแก้ หรือถ้าคิดจะแก้พร้อมทั้่้งพากเพียรแก้จริงๆ ก็จะเป็นผลดีมาก ปริศนานี้ให้คุณประโยชน์อย่างเดียว ไม่เสียหายเลย พอนะอย่าถามต่อ เสียของดี ฮึฮึฮึ..."


    ผมได้ถามมาจากท่านพระเถระองค์นึงครับ เลยมาเล่าให้ฟัง แต่อย่าหมายว่าท่านจะเป็นพระศรีนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2009
  8. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
  9. Deetom

    Deetom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +825
    พระศรีอาริย์ ยังประทับที่ ดุสิตเทวโลก ครับ สั้นๆ ได้ใจความ
     
  10. tutpon

    tutpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +120
    กาลามาสูตร 10ประการ
    ไม่เจตนาไม่บาป หัวใจพุทธอยู่ที่เจตนามิใช่หรือ

    ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
     
  11. sagandrolibra

    sagandrolibra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +243
    สนใจที่ท่าน vera_p เขียนอ่ะ .. สาธุ

    ปล.ลิ้งที่ท่าน vanco ให้มาอ้างอิงกดไปไม่เจอครับ
     
  12. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    สิ่งที่เห็นบนดุสิตนั้น แค่บางส่วนเท่านั้น เป็นรูปนิรมิตรของท่าน อีกบางส่วนท่านลงมาสัญจรบนโลกมนุษย์แล้ว เพื่อไม่ให้เหล่ามนุษย์ เทพ พรหม ผู้ปราถนาทัสสนาท่านเหล่านั้นต้องสับสน
     
  13. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    สาธุ...ครับ
     
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    "ปริศนาทั้งหมดนี้ กำลังจะบอกว่า"พระศรีอาริย์เอ๋ย...เจ้าถูกวิสัยกระแสโลกครอบอยู่หรือ...ถึงได้ทำตนให้เนิ่นช้า ข้อนี้เป็นการถามหาเหตุ....
    พระศรีอาริย์เอ๋ย...เจ้ามีธรรมพิศมัยกาล ประมาณเท่าไร ข้อนี้เป็นถามหาผล...
    พระศรีอาริย์เอ๋ย...เจ้าจะทอดภาระ...ธุระ...อยู่แต่ลำพังผู้เดียว ไม่เหลียวแลตนและผู้อื่นอีกทั้งศาสนาเราและศาสนาของท่าน ถูกหรือหนอ...ข้อนี้เป็นการตักเตือน
    พระศรีอาริย์เอ๋ย...โพธิญาณที่ท่านสะสม...สั่งสมมาเนิ่นนาน อีกไม่นานก็จะได้บรรจุเป็นพุทธวงศ์ทั้งปวงแล้ว ปัจจัยยการ อันเราได้แสดงไว้ดีแล้ว หมั่นพิจารณาตามพุทธประเพณีเทิด...ข้อนี้เป็นการกล่าวสอน
    อันนี้เป็นแค่ย่อๆเท่านั้น ไม่ได้พิสดารใดๆเลย เพราะไม่ใช่เวลาที่จะต้องแก้ ยังไม่ถูกทั้งหมด มีประดับอีก 108 นัยยะ อย่าทำเล่น โพธิสัตว์ทั่วไป จะไม่อุตสาหะที่จะแก้ หรือถ้าคิดจะแก้พร้อมทั้่้งพากเพียรแก้จริงๆ ก็จะเป็นผลดีมาก ปริศนานี้ให้คุณประโยชน์อย่างเดียว ไม่เสียหายเลย พอนะอย่าถามต่อ เสียของดี ฮึฮึฮึ..."


    อ่านแล้วก็รู้สึกกระเทือนใจเล็กน้อยถึงปานกลาง ก็เลยไม่รู้ว่าพระศรีอารย์ท่านติดสิ่งใดหนอ หรือติดรอให้สัตว์ผู้หยาบ พ้นโลกวิสัย หรือติดรอให้ตนพ้นบ่วงกรรม แม้ไม่เห็นไม่พบพระองค์เจ้า ก็ขอเพียรกระทำตนให้พ้นอาสวะ ในกาลนี้ให้เต็มที่อย่ารั้งรอ เพราะ อนิจลักษณธรรมนั้น ยั้งยืน
    กราบบูชาคุณพระศาสดา พระธรรมแห่งพระศาสดา พระสงฆ์สาวกทั้งหลาย ด้วยจิตนอบน้อมบูชาอย่างสูงสุด
     
  15. toomdoi

    toomdoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +839
    อยากพบศาสนาพระศรีอาริย์ ต้องมั่นทำความดี ละความชั่ว สั่งสมบุญบารมี ถือศิล 5 เป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ก็จะสมปราถนา เทอญ
     
  16. silverraion

    silverraion Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +49
    สิ่งที่เห็นบนดุสิตนั้น แค่บางส่วนเท่านั้น เป็นรูปนิรมิตรของท่าน อีกบางส่วนท่านลงมาสัญจรบนโลกมนุษย์แล้ว เพื่อไม่ให้เหล่ามนุษย์ เทพ พรหม ผู้ปราถนาทัสสนาท่านเหล่านั้นต้องสับสน
    ถ้าคนที่มีญาณลองดูก้อได้ครับว่าใช่ไหม แล้วก้อลองดูว่าพุทธวงศ์จะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยหรือไม่ลองหาคำตอบได้เลยครับ พระศรีย์อาจไม่ใช่องค์ถัดไปแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงและอาจเป็นการเริ่มต้นของพุทธวงศ์ใหม่ ผิดถูกยังไงบอกกันมั่งนะครับ
     
  17. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    สาธุๆท่านเข้าใจๆๆ

    pm ส่งข้อความส่วนตัว มาเป็นธรรมทานให้ผมด้วยนะครับ
     
  18. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    น่าชื่นชมกับทัสสนะนี้ดีแท้หนอ...

    วันคืนหมุนผ่านไปไร้วันหยุด
    ภูผาทรุดน้ำเซาะ เกาะจมหาย
    ชีวิตเพิ่มเวลาหดใกล้วันตาย
    ไม่เสียดายเมื่อจิตดีมีศรัทธา
    ตื่นก็พุทธหลับก็พุทธสถิตมั่น
    หลับยังฝันได้กราบบาทศาสดา
    ไม่หลงเหยื่อหลงมนต์มัสยา
    มอบชีวาเกาะบาทองค์ภควันต์




    ปล.อาจจะตรงกับโคลงนี้ก็ได้นะครับ


    [FONT=&quot]"They see the truth with eye closed,
    Speak the fact with closed mount…
    Then at the time of need the awaited one will come late…"
    <o></o>
    [/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พวกเขาเห็นข้อเท็จจริงด้วยการหลับตา [/FONT]
    [FONT=&quot]พูดความจริงร่วมกับนำออกแสดงเฉพาะกลุ่ม[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]หลังจากนั้น ณ เวลาแห่งความต้องการ การรอคอยสิ่งหนึ่งจะมาล่าช้า<o></o>[/FONT]
     
  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ปริศนานกยางไว้ดังนี้

    ๑. นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องขอก นกยางว่าปลามันไม่ออก
    ๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก
    ๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน
    ๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย
    ๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก
    ๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก
    ๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก
    ๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก
    ๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก
    ๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก
    ๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า
    ๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า

    พระอินทร์สั่งให้จารึกปริศนานี้ไว้ในใบ ลาน และย้ำว่า ถ้าใครแก้ปริศนานี้ได้ ก็ให้บอกแก่พระอินทร์ คนผู้นั้นจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แล้วพระอินทร์ก็กลับคืนสู่ดาวดึงส์เทวโลก

    ถ้ายังอยากอยู่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ไกล


    ฉันไม่อยากเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
    ฉันไม่อยากเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
    ถ้าหมดอยากก็ขึ้นชื่อว่าได้ทุกสิ่ง

    แล้วเพราะอะไรเล่า อานนท์ เมื่อตถาคตทำนิมิตโอภาสอันชัดซึ่งพอจะรู้ได้ อานนท์ก็กลับไม่รู้ไม่อาราธนา ไม่วิงวอนตถาคตในกาลอันควรจะอาราธนา เป็นความผิดของอานนท์ผู้เดียว

    อานนท์ ถ้าในคราวนั้นหากเธอจะรู้ทันและอาราธนาตถาคตแล้ว ตถาคตก็จะพึงห้ามสัก ๒ ครั้ง แล้วในครั้งที่ ๓ ตถาคตก็จะรับคำวิงวอนอาราธนานั้น
     
  20. vera_p

    vera_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +588
    ขอให้พี่ศรี หมดอยากทุกสิ่งนะครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...