พุทธประวัติ พระสมณโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พร้อมภาพประกอบ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย birdkub, 13 มกราคม 2010.

  1. birdkub

    birdkub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +401
    1 อุบัติแห่งพระศาสดา

    [​IMG]

    มี การอุปมาว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงแสดงธรรมอุปมาได้ 4 อย่าง เหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนเปิดของที่ปิด เหมือนชี้ทางกับผู้เดินทางไม่ให้หลงทาง เหมือนจุดประทีปเอาไว้ในที่มืด ประทีปที่จุดไว้ในที่มืดสามารถทำให้ผู้เดินทางได้เห็นอย่างแจ่มชัด ไม่สะดุดและไม่เดินชนสิ่งกีดขวาง ชีวิตจะได้ราบรื่น เมื่อพระศาสดาอุบัติเกิดขึ้น ฝูงชนเป็นอันมากพากันแซ่ซ้องสาธุ ตั้งแต่ราชามหากษัตริย์ ถึงยาจกยากจนแสนเข็ญ รวมถึงสัตว์โลกทั้งหลาย

    2. พระนางสิริมหามายาทรงพระสุบิน

    [​IMG]

    ก่อน ที่พระนางสิริมหามายาจะทรงครรภ์ราชโอรสผู้มีบุญญาธิการเป็นพระศาสดาเอกของ โลกนั้น ได้ทรงพระสุบินไปว่า ได้ประทับอยู่ในสวนป่าที่สวยงาม และมีช้างตัวหนึ่งเยื้องย่างนำดอกบัวมาให้ เมื่อพระนางรับดอกบัวไว้แล้วก็ตื่นขึ้น รู้สึกได้ว่าตั้งครรภ์

    3. ชวนพระสวามีรักษาอุโบสถศีล

    [​IMG]

    เมื่อ พระนางสิริมหามายาทรงครรภ์แล้ว ก็รู้ตัวว่าจะต้องทำความดีเพื่อลูกในท้อง จึงได้ชักชวนพระเจ้าสุทโธทนะว่า เสด็จพี่ ตอนนี้น้องมีท้องแล้ว อยากจะให้ลูกในท้องนี่มีศีลธรรมโดยสายเลือด ฉะนั้น เราควรจะต้องแวดล้อมด้วยการมีคุณธรรมกัน ช่วยกันถือศีล งดเว้นประเวณี ถืออุโบสถศีล เพื่อจะได้ลูกในท้องที่มีคุณธรรมมาเกิด ว่านอนสอนง่าย พระนางได้ชวนพระสวามี พระเจ้าสุทโธทนะก็ยินดีปรีดาจะร่วมรักษาศีลอุโบนถเพื่อแวดล้อมพระราชโอรสให้ มีคุณงามความดีมาเกิด ผู้หญิงสมัยก่อนนี้ส่วนใหญ่เมื่อตั้งครรภ์ มักจะชวนสามีทำความดี อาตมาจึงขอเตือนว่า พ่อแม่นี่ควรจะทำแต่สิ่งที่ดีงาม ให้ซึมซาบเข้าไปในสายเลือด จะได้ลูกดี ๆ มาเกิด

    <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_525" valign="bottom"> 4. คลอดพระราชโอรส

    [​IMG]

    พระ ราชโอรสได้คลอดแล้วที่สวนป่าลุมพินีวัน เพราะเดินทางผ่านมาเพื่อที่จะไปคลอดที่บ้านพ่อแม่ของตน เป็นไปตามประเพณี พระพุทธเจ้าตอนที่เป็นพระราชโอรสนั่นมาคลอดที่สวนป่าลุมพินีวัน ตรงนี้ก็น่าคิดที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์ แทนที่จะประสูติอยู่บนปราสาทบนราชวัง กลับมาประสูติอยู่ที่พื้นดิน และพระพุทธเจ้าก็ใช้ชีวิตอยู่ตามพื้นดิน ประสูติก็ที่พื้นดิน ตรัสรู้ก็ที่พื้นดิน สอนสาวกตามพื้นดิน นิพพานที่พื้นดิน
    <table style="table-layout: fixed; width: 420px; height: 641px;" border="0"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%"> 5. รับพระราชโอรสกลับพระนคร

    [​IMG]

    เมื่อ ได้ทราบข่าวพระราชโอรสคลอดยู่ในป่า พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดาก็จัดขบวนช้างขบวนม้ามารับพระราชโอรสกลับ พระนคร นี่คนดีมีบุญญาธิการมาเกิดจะเกิดในป่าในดง เขาก็เอาม้าเอารถมารับกลับพระนคร ส่วนคนที่มีเศษบาปเศษกรรมมาเกิดเขากลับเอาถังขยะเข้าไปรับ หรือรีดใส่โถส้วม ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด

    ฉะนั้น บุญญาธิการเราควรจะสรรค์สร้าง อย่าดูถูกเรื่อบาปเรื่องกรรม เรื่องเศษบุญเศษบาป เศษกรรมกันนัก ควรจะสร้างสมเอาไว้ ถ้าเราชื่อบาป เชื่อกรรม และตั้งใจทำแต่กรรมดี ชาตินี้เราก็ชื่นอกชื่นใจ เป็นคนสบายใจตลอดชีวิต


    </td><td style="vertical-align: top;">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_526" valign="bottom">
    </td> <td class="smalltext" align="right" valign="bottom">
    </td><td style="vertical-align: top;">
    </td></tr></tbody></table></td> <td class="smalltext" align="right" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table> 6. อสิตดาบสเยี่ยมพระราชโอรส

    [​IMG]

    เมื่อ พระราชโอรสกลับมายังพระราชวังแล้ว ปรากฏว่าอสิตดาบสก็ได้เข้าเยี่ยม เมื่อพบพระราชโอรสผู้มีลักษณะบุญญาธิการ อสิตดาบนถึงกับทรุดตัวลงกราบ ทำให้พระเจ้าสุทโธทนะถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด เพราะอสิตดาบสนั้นเป็นที่เคารพของพระเจ้าสุทโธทนะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นอสิตดาบสก้มลงกราบพระโอรสของตนก็แปลกพระทัยยิ่งนักจึงได้ตรัส ถามอสิตดาบส ท่านอสิตดาบสก็บอกว่า? อย่าได้แปลกใจเลย บุญญาธิการของพระราชโอรสผู้นี้น่ะมากมายกว่าอาตมานัก ทำไมจะไหว้ไม่ได้

    ได้ยินอสิตดาบสกล่าวเช่นนั้น พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดา จึงกราบพระราชโอรสตามท่านอสิตดาบส



    7. พราหมณ์ทำนายพระลักษณะ

    [​IMG]

    ต่อ มาปรากฏว่า มีพราหมณ์จำนวน 8 คนด้วยกัน เข้ามาทำนายพระลักษณะของพระราชโอรส พราหมณ์ทั้ง 7 คน ยกสองนิ้ว มีแต่เพียงพราหมณ์หนุ่มผมดำเท่านั้นที่ยกขึ้นนิ้วเดียว จึงมีนัยยะว่า พราหมณ์ที่ยกสองนิ้วทำนายเป็นสองนัยว่า? ถ้าออกบวชก็จะเป็นศาสดาเอกของโลก และถ้าไม่ได้ออกบวชอยู่เป็นกษัตริย์จะได้เป็นจักรพรรดิราช

    ส่วนพราหมณ์หนุ่มผมดำผู้นั้นซึ่งยกขึ้นนิ้วเดียว ทำนายเป็นนัยเดียวว่า?พระราชโอรสผู้นี้จะต้องออกบวชอย่างแน่นอน พราหมณ์หนุ่มผู้นี้ที่ทำนายเป็นนัยเดียวนี้มีชื่อว่าอัญญาโกณฑัญญะ หนึ่งในปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งต่อมาได้บรรลุดวงตาเห็นธรรมเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา



    8. พระมารดาสิ้นพระชนม์

    [​IMG]

    ต่อ มาพระมารดา พระนางสิริมหามายาก็ถึงแก่ทิวงคตสิ้นพระชนม์ไป พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดา จึงได้จัดการแสวงหานางนมมาเลี้ยงดูพระราชโอรสต่อไป ผู้เลี้ยงพระราชโอรสนี้ให้แก่พระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นน้าสาวของพระพุทธเจ้า และเป็นน้องสาวของพระมารดา

    ต่อมา พระนางปชาบดีได้เป็นมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะอีก แล้วก็ปรากฏว่าเป็นเหตุให้มีพระราชโอรสธิดาอีกสองคน เป็นหญิงหนึ่งคน ชายหนึ่งคน ชื่อ รูปนันทา และนันทะ แต่ปรากฎว่าพระราชโอรสสิทธัตถะได้สร้างความน่ารักน่าเลื่อมใส จึงทำให้ผู้เป็นแม่เลี้ยงนี่รักมากกว่าลูกตัวด้วยซ้ำ


    9. ความรักของพระบิดา

    [​IMG]

    ต่อ มา พระราชโอรสอายุได้สัก 2 ขวบ พระเจ้าสุทโธทนะก็พยายามที่จะให้พระราชโอรสมีความรื่นเริงบันเทิงใจ จึงพยายามหานางสนมที่มีหน้าตาแปลก ๆ จมูกโด่ง ๆ คางยื่น ๆ มาหยอกเล่นให้สบายพระทัย แทนที่พระราชโอรสจะสนุกสนานรื่นเริงเหมือนเด็กทั่วไป ได้พูดถามกับพวกเหล่านางสนมหญิงนั้นว่า พี่หญิง? ที่มาหยอกเล่นให้น้องมีความสนุกเหน็ดเหนื่อยกันบ้างไหม พี่หญิงก็บอกว่า เหนื่อยมากเพคะ เท่านั้นเอง พระราชโอรสจึงพูดกับพี่หญิงว่า ถ้าต้องเหน็ดเหนื่อยก็หยุดไปเถอะ เราน่ะไม่อยากแสวงหาความสนุกบนความทุกข์ของผู้อื่นหรอก นี่ พระราชโอรสมีน้ำพระทัยเมตตามาแต่เล็กแต่น้อย พวกพี่หญิงเหล่านั้นก็ปลื้มใจในคุณงามความมีน้ำใจอันเมตตาของพระราชโอรสผู้ นี้ยิ่งนัก

    <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_531" valign="bottom">
    </td> <td class="smalltext" align="right" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table>10. ศึกษาศิลปวิทยาต่าง ๆ

    [​IMG]

    เมื่อ พระราชโอรสอายุประมาณ 7 ขวบ พระราชบิดาก็ปรารถนาให้ลูกมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด จึงได้แสวงหาอาจารย์ผู้มีคุณธรรมที่สามารถถ่ายทอดคุณงามความดีให้พระราชโอรส พร้อม ๆ ไปกับให้การศึกษาศิลปวิทยาต่าง ๆ ไม่เหมือนกับพ่อแม่สมัยนี้ที่ปรารถนาให้ลูกได้แต่วิชาความรู้ ไม่สนใจคุณธรรม ไม่ให้จรณะ (ความประพฤติ)

    พระอาจารย์ของพระราชโอรสท่านนี้ ก่อนจะร่ำจะเรียนจะให้ลูกศิษย์นั้นเตรียมตัวค้นคว้าวิชาการอย่างดี และงดเว้นสิ่งที่จะเป็นเหตุทำให้จิตใจของลูกศิษย์ตกต่ำ ลูกศิษย์ก็เรียนเก่งมาก สอนอะไรไปก็จำได้หมด จนกระทั่งอาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนให้อีกแล้ว


    11. เห็นสัจจธรรม

    [​IMG]

    เจ้า ชายสิทธัตถะพระราชโอรส เริ่มเป็นหนุ่มรุ่น ๆ ขึ้นมาเรื่อยตามลำดับตามอายุขัย เพราะท่านก็มีสรีระเหมือนกับคนเราธรรมดา วันหนึ่งได้ไปนั่งดูสัตว์ ก็เห็นมดถูกกิ้งก่ากัด กิ่งก่าก็ถูกงูกัด งูถูกเหยี่ยวมาเฉี่ยวไป พระองค์มองเห็นอะไรมักจะน้อมนึกไปสู่ธรรมะเสมอ เมื่อเห็นว่าสัตว์มันเบียดเบียนกัน ก็นึกว่า โอ้ ไม่น่าจะต้องมาเบียดเบียนข่มเหงกัน ทำร้ายกัน สัตว์ใหญ่รังแกสัตว์น้อย ผู้มีอำนาจเล่นงานผู้ด้อยอำนาจ ผู้ใหญ่บ้านเล่นงานลูกบ้าน ลูกบ้านไม่รู้จะทำอะไรก็วิ่งไล่เตะหมาต่อไป อะไรอย่างนี้ตามลำดับ มักจะมีการกดขี่ข่มเหงกันก็เลยนั่งนึกว่า โอ จะทำอย่างไรให้สัตว์โลกนี้อยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีการกดขี่ข่มเหงเบียดเบียน กัน ผลาญพล่าชีวิตซึ่งกันและกันเสมอ

    12. พระบิดาหวั่นพระทัย

    [​IMG]

    พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดา เริ่มเห็นอาการของเจ้าชายสิทธัตถะ มักจะมีปกติชอบสงบ พระองค์เลยทรงหวั่นพระทัย ในสมองมองนึกถึงภาพเมื่อตอนเล็ก ๆ ก็ชอบไปนั่งสงบ เช่น ตอนไปแรกนาขวัญก็นั่งสงบที่โคนต้นหว้า และนึกถึงคำทำนายของพราหมณ์หนุ่มว่า พระราชโอรสนี้มีคติอันเดียว คือจะต้องออกบวช จึงทำให้ผู้เป็นพ่อคิดหาทางออกเฮือกสุดท้ายที่จะกักขังพระราชโอรสเอาไว้ให้ อยู่สืบสันตติวงศ์แห่ง
    กบิลพัสดุ์ต่อไป จึงพยายามที่จะหาทางกักขังพระราชโอรสให้อยู่ครองเมืองกบิลพัสดุ์ให้จงได้

    13. สร้างปราสาทสามฤดู

    [​IMG]

    พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงสั่งเหล่าเสนาอำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลาย ให้จัดสร้างปราสาทที่สวยงาม เพื่อให้เป็นเครื่องล่อย้อมใจลูกชายให้ติดอยู่ พระองค์สร้างปราสาทขึ้นมาสำหรับสามฤดู 1. ปราสาทฤดูร้อน 2. ปราสาทฤดูฝน 3. ปราสาทฤดูหนาว ให้ประเล้าประโลมพระราชโอรสให้จงได้ สิ้นค่าใช้จ่ายหมดเท่าไรก็ไม่ว่า ขอเพียงแต่ให้พระราชโอรสเป็นกษัตริย์แห่งกบิลพัสดุ์เป็นใช้ได้ ซึ่งปราสาททั้งสามนั้นพระองค์ได้สั่งให้ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร

    แต่อนิจจาเอ๋ย? สวนทางกันเสียจริงระหว่างลูกกับพ่อ พ่อต้องการให้ลูกอยู่ในวัง ลูกต้องการที่จะออกแสวงหาสัจจธรรม เห็นรั้ววังเป็นประดุจดังคุกและตาราง

    14. น้ำพระทัยของเจ้าชาย

    [​IMG]

    สิทธัตถะกับเทวทัตเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน วันหนึ่ง เทวทัตเอาศรยิงขึ้นไปถูกหงส์บนอากาศตกลงมา สิทธัตถะผู้มีน้ำพระทัยเมตตาเข้าไปถอนศรเยียวยารักษาจนฟื้นจึงได้เกิดอาการ ยื้อแย่งกัน ฝ่ายสิตธัตถะก็บอกว่าของฉันนะ ฉันช่วยมันให้ฟื้น เทวทัตก็บอกว่าของเรานะ เพราะเรายิงมัน ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ จึงนำเรื่องไปให้พราหมณ์ผู้ใหญ่ตัดสิน พราหมณ์ก็บอกว่า ผู้ใดทำลายชีวิต ก็ไม่ควรจะเป็นเจ้าของชีวิต สิ่งที่มีชีวิตควรจะถูกได้รับความคุ้มครองจากผู้มีเมตตาปรานี เพราะฉะนั้น เมื่อต้องการให้หงส์ตัวนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ควรจะให้สิทธัตถะเถอะ

    15. อุปนิสัยของเจ้าชาย

    [​IMG]

    ภาพ นี้เป็นภาพแห่งการแข่งม้าของเจ้าชายสิทธัตถะ ธรรมดาเมื่อมีแข่งขันอะไรก็ตามมักจะทรมานสัตว์เพื่อให้ตนเป็นฝ่ายชนะ เฆี่ยนตีให้มันวิ่งเร็ว ให้มันทำอะไรต่ออะไรคู่ต่อสู้อย่างเลวร้าย โดยหวังแต่จะเอาชนะลูกเดียว สิทธัตถะนั้นม้าก็มีฝีเท้าดี แต่ถ้าขืนไล่ตีให้วิ่งมันก็จะเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวด เจ้าชายไม่ปรารถนาเอาชัยชนะมาเป็นของตัวแล้วยื่นความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับ ผู้อื่นเป็นอันขาด นี่คือนิสัยของสิทธัตถะ จึงพยายามชะลอดึงม้าเอาไว้ไม่ต้องการให้มันเหน็ดเหนื่อยเกินกำลัง ให้คนอื่นเขาคว้าชัยชนะไป

    เรื่องนี้เรามองกันให้ลึก ๆ จะเห็นว่า สิทธัตถะนั้นชนะกิเลส แต่แพ้ในการแข่งขันซึ่งเราพอจะมองเห็นได้ว่า เจ้าชายของเรามีจิตใจเมตตามากมายขนาดไหน


    16. หมั้นพระนางพิมพายโสธรา

    [​IMG]

    ต่อมา พระราชบิดาปรารถนาแล้วว่า จะต้องหาทางกักขังเจ้าชายสิตธัตถะให้อยู่สืบสันติวงศ์ให้จงได้ จึงพยายามไปหาบรรดาสาวงามซึ่งเป็นที่ตรึงตาตรึงใจสิทธัตถะ เจ้าชายได้ตัดสินพระทัยเลือกพระนางพิมพา พระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะประมุขแห่งนครเทวทหะ กับพระนางอมิตาซึ่งเป็นน้องสาวคนเล็กของพระเจ้าสุทโธทนะ นับว่าทั้งสองตระกูลนี้เกี่ยวดองเป็นพระญาติกัน มีความรักกันฉันท์พี่น้องร่วมสายโลหิต ต่างมีการอภิเษกสมรสกันเสมอมา พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาจึงได้จัดพิธีหมั้นขึ้นระหว่างเจ้าชายสิทธัตถะและ พระนางพิมพายโสธราด้วยการสวมแหวนให้ เพื่อหมายจะจองครองรักให้เจ้าชายอยู่ติดรั้วติดวังไม่ไปไหน

    17. ชักชวนนายฉันนะ

    [​IMG]

    แต่สิ่งที่พระราชบิดาหามาให้ เป็นเสมือนกรงที่คอยขังคนโง่ให้ยินดีในรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ รสอร่อย ๆ สัมผัสนุ่มนวล ซึ่งสิทธัตถะมิได้ตกหรือสยบอยู่กับสิ่งที่พ่อได้หามาให้ จึงได้ชวนฉันนะอำมาตย์คู่พระทัยให้พาหนีออกไปเที่ยวดูความเป็นอยู่ของ ประชาชน นายฉันนะบอกว่าไปไม่ได้ เดี๋ยวพ่อจะตัดหัว เพราะสั่งไว้ไม่ให้นำเจ้าชายไปไหน ด้วยเกรงว่าถ้าไปพบไปเห็นอะไรเข้าจิตใจจะเบื่อหน่ายคลายความพอใจในการอยู่ใน รั้วในวังแล้วจะออกบวชเสีย

    เจ้าชายอ้อนวอนฉันนะอยู่นาน จนในที่สุดนายฉันนะต้องยอมพาปลอมตัวออกไป โดยเอาผ้าโพกหัวเป็นแขกปลอมตัวออกไปด้วยกัน

    18. ปลอมตัวออกนอกวัง

    [​IMG]

    ภาพนี้สวยงามตรงที่ว่า แหม โพกผ้าปลอมตัวชมรอบชานเมือง สิทธัตถะนำหน้าฉันนะตามหลัง ได้ไปเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย เช่นไปเห็นชายแก่รอชะแง้อยู่ที่หน้าบ้านถามว่า ลุงเอ๋ย ทำไมยังไม่นอนอีก จะนอนหลับได้ยังไงล่ะพ่อคุณ ลูกยังไม่กลับเลยห่วงมันหลับไม่ลง เดินมาเจอหญิงกลางคนร่ำไห้ ยังไม่หลับหรือน้า ได้รับคำตอบว่าสามีฉันยังไม่กลับบ้าน?ห่วง ถามกี่ราย ๆ ก็หลับไม่ลงเพราะความห่วง โถ?ถูกโซ่ถูกบ่วงถูกห่วงร้อยรัด คำก็ห่วงสองคำก็ห่วง นี่ความห่วงอาลัยทำให้หลับไหลไม่ลง พะวงพะวังอยู่

    19. พบคนเจ็บป่วย

    [​IMG]

    ครั้นเดินต่อมา ก็พบกับชายร้องครวญครางอยู่ใต้สะพานแห่งหนึ่ง เป็นโรคไข้ทรพิษ สิทธัตถะจึงเข้าไปดู ฉันนะร้องห้าม สิทธัตถะได้กล่าวตอบไปว่า ฉันนะ ฉันไม่ได้เป็นกษัตริย์ที่เห็นแก่ตัวอย่างพวกเธอหรอก เขาเจ็บป่วยทำไมเราจะช่วยเขาไม่ได้ เมื่อเขามีเรี่ยวแรงทำมาหากินได้ เขายังส่งส่วยส่งภาษีเข้ารัฐ ฉะนั้นเมื่อเขาเจ็บเขาป่วยทำไมเราจะช่วยเขาไม่ได้ นี่แหละคำทำนายที่ว่า ถ้าเป็นกษัตริย์จะได้เป็นจักรพรรดิราช เพราะน้ำพระทัยของพระองค์นั้นยอดเยี่ยม ไม่ต้องยกเมืองไปตี ไม่ต้องยกกองทัพไปตี เขาก็จะยกเมืองให้ครอง เพราะน้ำพระทัยอันเมตตาครอบงำน้ำใจของปวงชน นี่แหละจึงจะเป็นเหตุให้เป็นจักรพรรดิราชครองเมืองมากมายมหาศาลและนานที่สุด

    20. พระกรุณาของพระองค์

    [​IMG]

    ต่อมา พระองค์ได้ไปดูคนทำไร่ไถนา แต่จิตใจโหดร้าย ตีวัว ตีควาย อย่างทารุณ ไม่ใช้ไปด้วยความละมุนละไม เมตตาปรานี เอาแต่ใจเป็นใหญ่ ไปเที่ยวกินเหล้าเมายาพอทะเลาะขัดแย้งมาจากทางบ้านก็มา
    ระบายความทุกข์กับวัวกับควาย พระองค์ได้รำพึงว่า?

    โถ เจ้าวัวเอ๋ย เมื่อเจ้ามีแรงเขาก็ใช้เจ้าลากไปในนาที่หนักหน่วง ครั้นพอเจ้าแก่หมดเรี่ยวหมดแรงลง พวกเขาก็ยังจะเอาเนื้อของพวกเข้ามาลากเข้าปากเขาอีก ด้วยการฆ่าแล่เนื้อ เอาเนื้อและเลือดมาลากเข้าปากเขาอีก เขาใช้ชีวิตเจ้าอยู่กับการลากจากการไถ

    พระองค์เห็นแล้วก็สลดสังเวชใจ เกิดความกรุณาสงสารเป็นยิ่งนัก

    21. พบคนแก่ชรา

    [​IMG]


    ต่อมาก็ได้เสด็จไปพบเห็นสิ่งที่น่าสลดสังเวชใจยิ่ง ๆ ขึ้นไป คือ เห็นคนแก่หลังค่อม ผมหงอก มีหน้าตายุ่งย่น ทั้ง ๆ ที่พ่อพยายามสั่งว่าลุกของตนเสด็จไปทางไหน อย่าให้เห็นคนแก่คนอะไรที่น่าสังเวชใจผ่านมาให้พบเห็น เหมือนกับแรงบันดาลดลใจจึงเกิดเห็นสิ่งเหล่านี้มากระตุ้นทำให้พุทธภาวะเริ่ม ปริ่มประพิมประพายให้แก่หัวใจของสิตธัตถะมากเพิ่มขึ้น เพราะการเห็นของพระองค์แต่ละครั้ง ไม่ใช่เห็นแล้วจะผ่านไปเลย พระองค์เห็นแล้วได้ใคร่ครวญและพิจารณา สอบถามนายฉันนะว่า นั่นคนแก่ใช่ไหม? ฉันนะตอบว่า ใช่พระเจ้าข้า เราต้องแก่อย่างนั้นไหม? ฉันนะก็บอกว่า ต้องแก่พระเจ้าข้า พิมพา ราหุล ต้องแก่ทั้งนั้นพระเจ้าข้า

    22. เห็นคนตายญาติร่ำไห้

    [​IMG]

    ต่อมาเจ้าชายก็ได้เห็นภาพที่ชวนให้สลดสังเวชใจ คือเห็นคนตาย แล้วมีญาติพากันร่ำไห้วิปโยคโศกศัลย์ปานจะขาดใจตายตามไปเสียให้ได้ เห็นดังนั้น พระองค์จึงได้เกิดความรู้สึกสลดสังเวช เหนื่อยหน่าย เบื่อหน่าย พระองค์จึงได้สอบถามนายฉันนะออกไปถึงสิ่งที่พระองค์ได้พบเห็นอยู่นั้น

    นายฉันนะก็กราบทูลตอบไปว่า เราก็จะต้องแก่ เจ็บ ตาย อย่างนี้ พระเจ้าข้า

    เท่านั้นเอง พระองค์ก็เริ่มรู้สึกค้านขึ้นในใจว่า มีมืด?ยังมีสว่าง เมื่อมีแก่?ก็ควรจะพ้นแก่ มีตาย?ก็ควรจะพ้นตาย ได้บ้าง

    23. ฟ้าหญิงกีสารำพึง

    [​IMG]

    เมื่อพระองค์กลับวัง เดินด้วยท่าทางอันเรียบร้อยนุ่มนวล ฟ้าหญิงกีสาโผล่หน้าต่างมาพบเห็นเข้า จึงได้อุทานร้องออกมาว่า โอ ถ้าหากใครได้ชายคนนี้มาเป็นสามี หญิงผู้เป็นภรรยาก็จะได้นิพพาน ใครได้ชายคนนี้มาเป็นลูก หญิงผู้เป็นแม่ก็จะได้นิพพาน

    นิพพานคืออะไร? นิพพาน คือ ความเย็นอกเย็นใจ สบายใจ เพราะฉะนั้นใครได้ชายดี ๆ มาเป็นสามี หญิงผู้เป็นภรรยาก็จะได้นิพพาน ใครได้ลูกดีดีมาเกิด ผู้เป็นแม่ก็จะได้นิพพาน แต่ถ้าได้ไม่ดีก็บ่นกัน ได้สามีกับเขาคนหนึ่งเหมือนได้ผีเข้าบ้าน มันเอาแต่กินเหล้า เอาแต่เล่นการพนัน อย่างนี้ตกนรกทั้งเป็น

    24. สลดสังเวชพระทัย

    [​IMG]

    ในวันนี้พระองค์ได้เห็นอะไรต่ออะไรมากขึ้น เห็นทั้งข้างใน ทั้งข้างนอก ออกไปข้างนอกก็เห็นแต่สิ่งที่สลดสังเวชใจ กลับมาข้างในก็ยังเห็นนางสนมกำนัลนอนหลับใหลอาการน่าเกลียด นอนน้ำลายไหล นอนผ้านุ่งผ้าถุงหลุดลุ่ย กัดฟัน นอนกรน อาการที่เคยน่าดู ที่เคยหลงใหล เดี๋ยวนี้เหมือนประดุจดังป่าช้าในวัง

    ความสลดสังเวชนี่เอง จึงเขย่าพุทธภาวะของสิทธัตถะให้ทอแสงออกมามากขึ้น คิดหาทางพ้นจากความทุกข์นั้น เพราะความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดจาก รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสทางเนื้อหนัง

    <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_546" valign="bottom">
    </td> <td class="smalltext" align="right" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table>25. มโนสำนึกของสิทธัตถะ

    [​IMG]

    ในที่สุดเลยเป็นเหตุให้ในคืนวันนี้สิทธัตถะนอนไม่หลับ ได้เห็นภาพต่าง ๆ ที่ได้ไปดูนั้นปรากฏขึ้นในมโนสำนึก ภาพที่เห็นก็เช่น คนทำมาหากินตีเหล็กอย่างเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อย แต่มัวเมาเสีย พอได้เงินได้ทองก็มากินเล่นฉลองหมด แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำใหม่ ได้มาใหม่ก็กินเล่นจนหมด ไม่คำนึงถึงอนาคตว่าจะต้องแก่ ต้องป่วย ต้องใช้หรือหาไม่ได้ก็จะเดือดร้อน เอาแต่กิน?หลง?มัวเมา บางคนก็หน้าเศร้า เลี้ยงลูกมานานแล้ว ยังต้องมาเลี้ยงหลานตำข้าวป้อนหลานอีก บางคนก็มานั่งวิปโยคโศกศัลย์ สูญสิ้นสามี สูญสิ้นลูกรัก สูญสิ้นเงินทองข้าวของ ทำให้เจ้าชายยิ่งคิดว่า เมื่อมีมืด ยังมีสว่าง เมื่อมีทุกข์?ก็ต้องหาทางพ้นทุกข์ให้จงได้

    26 .บ่วงเกิดขึ้นกับเราแล้ว

    [​IMG]

    วัน หนึ่งขณะที่ประทับอยู่ในอุทยานพร้อมกับคิดในเรื่องหาทางพ้นทุกข์อยู่นั้น อำมาตย์สองคนได้เข้ามากราบทูลว่า ฟ้าชายพระเจ้าข้า ขณะนี้ พระนางพิมพาได้คลอดพระราชโอรสมาแล้ว ทำให้สิทธัตถะถึงกับอุทานออกมาว่า

    ?บ่วง? เกิดขึ้นแล้วหรือ ราหุลัง ซาตัง?ราหุลเกิดแล้ว บ่วงเกิดกับเราแล้ว การมุ่งมาดปรารถนาว่าจะเป็นสมณะจะหมดโอกาสเสียแล้วหรือ? ราหุล?ราหุล เจ้าเกิดมาจะเป็นบ่วงพ่อเสียแล้วหรือ? ความเป็นสมณะคงจะหมดโอกาสแล้วหรือ?

    ในที่สุด พระองค์ก็ทรงอุทานและนึกขึ้นว่า จะต้องเป็นสมณะให้จงได้ จะต้องหาทางพ้นจากบ่วงเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ให้จงได้


    27. เสด็จหนีออกบวช

    [​IMG]


    ใน คืนนั้นจึงได้ชวนนายฉันนะเสด็จหนีออกบวช ในเรื่องนี้มีอยู่สองนัย นัยหนึ่งว่าหนีออกบวช แต่บางแห่งพุทธประวัติบอกว่า ออกบวชซึ่งหน้า ทำให้พ่อแม่น้ำตาลนองหน้า

    ในภาพนี้เล่าว่า เมื่อนายฉันนะได้รับม้า และรับเครื่องทรงกษัตริย์แล้ว พระองค์ก็บอกให้เอาไปคืนพ่อ ฉันไม่ขอแต่งเครื่องทรงกษัตริย์นี้อีกแล้ว จะขอแต่งเครื่องทรงของนักพรตนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ย้อมน้ำฝาดต่อไป

    เจ้าม้ากัณฐกะรู้ว่าเจ้านายที่แสนดีของมันจะต้องจากมันไป มันก็ยืนซึมน้ำตาไหลอาลัยรักเจ้านายที่แสนดีของมัน ในที่สุดความเสียดายอาลัยรักในเจ้านายที่แสนดีของมันมันก็ถึงกับใจแตกตาย ณ ที่ตรงนั้น

    28. การบวชแบบพราหมณ์

    [​IMG]

    ภาพ นี้จะเป็นอีกนัยหนึ่ง ว่าด้วยประเพณีของพราหมณ์ คือพ่อ หมายถึงพระเจ้าสุทโธทนะนั้นถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน เมื่อถึงเดือนจะมีการออกบวช ซึ่งมักจะต้องมีการออกบวชกันเป็นประจำ ต่อมาฟ้าชายสิทธัตถะได้ออกบวชจนพอใจ ถึงกับมีการคิดจะตัดผมออก ประเพณีของพราหมณ์มีว่า ถ้าตัดผมออกแล้ว เป็นอันว่าอยู่ในวังกันไม่ได้อีกแล้ว พ่อแม่พี่น้องวงศ์ตระกูลจึงน้ำตานองหน้า

    (?พุทธประวัติก็เกิดขึ้นสองนัยยะ นัยหนึ่งว่าหนีออกบวช อีกนัยหนึ่งว่าบวชซึ่งหน้า ท่านจะเชื่ออย่างไหนก็แล้วแต่ แต่เป็นอันว่าฟ้าชายสิทธัตถะได้บวชแน่ก็แล้วกัน?)

    29. ยังยินดีในรสอาหาร

    [​IMG]

    การบวชครั้งนั้น ก็บวชอย่างเรียบร้อย แต่ได้ผลดีที่สุด ได้สุขสงบเย็น ได้สติปัญญา ได้ศีล ได้สมาธิ ได้อริยสัจ ได้โพธิญาณ

    ฟ้าชายสิทธัตถะออกบวชใหม่ ๆ นั้น ท่านยังยินดีในรสอาหาร จึงได้น้อมนึกไปถึงอาหารในวัง เพราะบิณฑบาตได้อาหารที่ไม่ดี น้อมนึกว่า ถ้าเราไม่ไปออกบวช ก็จะได้ฉันของที่ดีกว่านี้ ในบาตรนี่มันปนเปไปหมด นั่งนึกอยู่พักใหญ่ แต่สติอันฉับไวของพระองค์จึงได้ยั้งเตือนใจตนเองขึ้นว่า ?สิตธัตถะ แกนี่จะมานั่งพิรี้พิไรถึงอาหารในรั้วในวังอยู่ได้ยังไง บัดนี้ออกบวชเพื่อปรารถนาโพธิญาณแล้ว จะมาหลงใหลในเรื่องการกิน ขัดขวางโพธิญาณของเราทำไม เท่านั้นเองพระองค์ก็ทรงเสวยอาหารที่ได้มานั้นลงคออย่างสะดวก



    30. พิมพายโสธราผู้น่าสงสาร

    [​IMG]


    โถ?อนิจจา พิมพาต้องเศร้าเพราะสามีของเจ้าออกบวชซะแล้ว นางก็ได้แต่รำพึงรำพันว่า?สามีของฉันเขาจากไป

    พระนางพิมพานั้นกอดราหุลลูกน้อยร่ำไห้ แล้วก็ตัดพ้อต่อว่า โธ่ ลูกของแม่ ไม่รู้ว่าพ่อของเจ้าเขาเกลียดแม่หรือเกลียดลูกกันแน่ เขาจึงทิ้งเราไป ไม่กลับมาให้เห็นหน้า ถ้ารู้ว่าแม่ไม่ดีก็น่าจะบอกให้แม่แก้ไข ไม่น่าจะจากลูกและจากแม่ไปอย่างนี้เลย

    นี่คือการรำพึงรำพันร่ำไห้ของพิมพาผู้น่าสงสาร เมื่อฟ้าชายสิทธัตถะไม่ได้กลับมาร่วมหอ หอรักก็เป็นหอร้าง

    31. แสวงหาโพธิญาณ

    [​IMG]

    เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ออกบวชเพราะรังเกียจ แต่ออกบวชเพราะห่วงชาวโลกว่าจะต้องทุกข์โศกอยู่กับกิเลสบีบคั้น จึงแสวงหาปรารถนาโพธิญาณ และเมื่อพบกับปัญหาอะไรขณะที่บวชนั้นก็พยายามจะแก้จะแนะจะสอนเขาเรื่อยไป หญิงคนหนึ่งลูกของเธอต้องสิ้นชีวิตลง นางวิปโยคน้ำตานองหน้าเข้ามาหานักบวชสิทธัตถะให้ช่วยขจัดทุกข์อันเกิดจากลูก ที่รักมาตายจาก พระองค์ก็ออกอุบายว่าให้ไปหาเมล็ดผักกาดในบ้านที่ไม่เคยมีญาตตายมาสักสองสาม เมล็ด จะมาฝนทำยาให้พื้น หญิงนี้ก็ดีใจมาก อุ้มศพลูกไปหาเมล็ดผักกาดแต่ไม่มีบ้านไหนที่ไม่มีญาติตายสักบ้านเดียว มีแต่เมล็ดผักกาดเท่านั้น นางอุ้มลูกหาจนลูกเน่าคาอกจึงปลงตก หญิงคนนี้ต่อมาได้เป็นภิกษุณีที่เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง

    32. ส่งถึงจุดหมายปลายทาง

    [​IMG]


    วันหนึ่ง พระองค์ได้เดินผ่านไปเห็นฝูงแกะฝูงแพะที่เขาไล่ต้อนไปสู่เมืองของพระเจ้า พิมพิสาร เพื่อจะฆ่าบูชายัญ พระองค์เห็นตัวไหนขามันหัก เดินไปทัน ก็เข้าไปอุ้ม แล้วไปส่งเขาถึงจุดหมายปลายทาง

    นี่แหละน้ำพระทัยอันเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาของพระองค์ ได้ทำกับฝูงสัตว์เหล่านั้นให้ได้รับความสุขทุกอย่างเท่าที่จะทำได้

    33. พระเจ้าพิมพิสารบูชายัญ


    [​IMG]

    เมื่อพระองค์มาถึง เห็นพระเจ้าพิมพิสารกำลังจะจัดการเผาแพะแกะเพื่อบูชายัญ พระองค์ก็ร้องห้าม และถามความประสงค์ พระเจ้าพิมพิสารก็บอกว่า ทำเพื่อต่ออายุให้เราอยู่ยืน และมีความราบรื่นในปราสาทราชวัง พระองค์ทรงตรัสกับพระเจ้าพิมพิสารว่า?

    เมื่อต้องการให้กระจกยิ้มกับเรา ทำไมเราไม่ยิ้มให้กับกระจก ต้องการอยู่ยืนยาวนาน ทำไมจึงไม่ปล่อยชีวิตสัตว์ไว้ให้มันยืนยาวนาน เพื่อชีวิตเราจะได้อยู่ยืนยาวนานได้ เมื่อเราทำชีวิตของเขาให้สั้น ประหารชีวิตของเขา แล้วเราจะได้ความมีอายุยืน ความมีสุขภาพสมบูรณ์ได้อย่างไร เมื่อเราให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นก็ย่อมถึงเราอย่างแน่นอน

    34. แสวงหาอาจารย์

    [​IMG]

    หลังจากพระเจ้าพิมพิสารฟังพระพุทธเจ้าแล้วก็เข้าใจ จึงหยุดกระทำการบูชายัญเช่นนั้นเสีย พระองค์จึงได้หลีกจากไปเพื่อแสวงหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในครั้งกระโน้น ที่เรียกว่าอาฬารดาบสและอุทกดาบส เรียนจนจบสมาบัติเจ็ดและสมาบัติแปด เรียกว่าเรียนจบหลักสูตรสูงสุด ของคณาจารย์ทั้งสองแล้ว

    คณาจารย์ทั้งสองจึงได้ชวนพระองค์อยู่เป็นอาจารย์สอนต่อไป แต่พระองค์เห็นว่าสิ่งที่ได้เรียนกับอาจารย์ทั้งสองยังไม่สูง ยังไม่สิ้นอาสวะ จึงได้ลาจากไป ไม่ขอรับที่จะเป็นคณาจารย์ร่วมสำนักกับอาจารย์ทั้งสอง

    35. บำเพ็ญทุกรกิริยา

    [​IMG]


    เมื่อจากอาจารย์ทั้งสองมาแล้ว พระองค์ก็ได้คิดค้นหาวิชาที่จะตรัสรู้ให้จงได้ ให้พ้นเกิด พ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตาย จึงได้ไปทรมานพระวรกายต่าง ๆ นานา

    ภาพการทรมานกายนั้นส่วนใหญ่เราจะได้เห็นแต่เพียงภาพทรมานอดอาหาร แต่ในพุทธประวัติชุดนี้ ได้ทุ่มเทพยายามใช้ทุนรอนในการวาดมากมาย ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจในพุทธประวัติได้กว้างขวางมากขึ้น พระองค์ได้ทรมานตัวเองหรือเรียกกันว่าบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำกิริยาที่ทรมานพระองค์เอง เพราะต้องการทำให้กิเลสเหือดแห้ง นี่เป็นความเข้าใจในตอนแรกของพระองค์


    36. อยู่หลีกเร้นเพียงผู้เดียว

    [​IMG]

    บางครั้งพระองค์ไปอยู่ในป่า ปรารถนาไม่ให้ใครพบเห็น ใครแบกขวานมาผ่าฟืนในป่า พระองค์ก็วิ่งหนีไปไม่ต้องการให้ใครเห็นหน้าพระองค์ เรียกว่าอยู่หลีกเร้นแต่เพียงผู้เดียวไม่ปรารถนาพบหน้าตาของมนุษย์ บางครั้งพระองค์จากร้อนสู่ร้อน จากหนาวสู่หนาว เช่นเมื่อแดดร้อนพระองค์ก็ไปอยู่กลางแดด เมื่อหนาวจัดก็ไปอยู่กลางหิมะ

    เพื่ออะไร? เพื่อความอดกลั้นอดทนอันยิ่งใหญ่ บางครั้งพระองค์ไปออกบิณฑบาตแก้ผ้า หรอว่าสลัดจีวรเครื่องพันธนาการออก เหลือแต่พระวรกายล่อนจ้อน เดินเก็บผลไม้ที่หล่น ที่อยู่บนต้นก็ไม่เก็บ เสวยประทังชีวิตไป บางครั้งพระองค์เอาขี้เถ้าทาหัวทาตัวรอบไปหมด

    37. ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง

    [​IMG]


    บางครั้งพระองค์ไปอยู่ในป่าช้า นอนแทรกแซงไปกับกระดูกของซากศพที่ตายจำนวนมากเกลื่อนกลาดไปหมด

    ปรากฏว่า มีฝูงเด็ก ๆ จำนวนหลายคน เลี้ยงควายกันบ้าง เลี้ยงสัตว์ในริมทุ่งบ้าง เมื่อเห็นพระพุทธเจ้านอนซมอยู่เพราะอดกระกระยาหาร เด็กเหล่านี้ไม่รู้หรอกว่าเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้ทำอะไรต่าง ๆ นานากับพระองค์ บ้างก็เอาไม้ยอนหูจนเลือดไหล บ้างก็เอาฝุ่นซัดใส่เข้าไปจนเปื้อนพระวรกาย บ้างก็ยืนปัสสาวะฉี่รดใส่เข้าไปเลย

    แต่พระองค์ก็อดทน ไม่ได้มีความอาฆาตมาดร้าย พยายามประคองใจไม่ให้มีโกรธ มีเกลียด มีรัก มีชัง


    38. ตรากตรำพระวรกาย

    [​IMG]


    บางครั้งพระองค์ทรงเสวยอุจจาระของพระองค์เอง เมื่อถ่ายออกมาก็เสวยเข้าไป ถ่ายออกมาก็เสวยเข้าไป จนกระทั่งไม่มีจะถ่าย ไม่มีจะเสวย พระวรกายจึงได้เหือดแห้งซีดเซียวถึงขนาดที่เรียกว่าผอมซีด เมื่อเอามือลูบแขนขนก็ร่วงเพราะรากขนเน่า เมื่อจะลุกขึ้นนั้นเล่าก็เซซวนล้มไป เมื่อหวังจะเอามือลูบท้องให้สบายพระวรกายบ้าง ก็ต้องไปแตะเอากับกระดูกสันหลัง พระองค์นั้นได้เล่าไว้ว่า พระองค์ต้องเปียกแต่เพียงผู้เดียว ต้องแห้งแล้งแต่เพียงผู้เดียว กว่าจะตรัสรู้นำพระธรรมมาสอนพวกเรา ต้องลำบากพระวรกายขนาดไหน ที่จะค้นพบสิ่งเหล่านี้มาให้พวกเรา เราจะไม่เสี่ยงลำบากรักษาเผยแพร่กันต่อไปเชียวหรือ

    39. เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่

    [​IMG]

    ต่อมาพระองค์เริ่มเห็นว่า การทรมานพระวรกายนี้คงจะไม่ใช่ทางที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ จึงคิดเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ เริ่มจากการขอนมแพะจากเด็กเลี้ยงแพะ ซึ่งเป็นวรรณะต่ำในอินเดียเมื่อครั้งพุทธกาลถือชั้นวรรณะกันมาก ถ้าเป็นคนจันฑาลจะไม่แตะต้องพวกวรรณะกษัตริย์หรือพราหมณ์เป็นอันขาด หนูน้อยผู้นี้เมื่อจะยื่นนมให้ก็ถามว่าเป็นคนชั้นวรรณะไหน พระองค์ก็บอกว่าเดิมนั้นเป็นวรรณะกษัตริย์ เท่านั้นเองหนูน้อยก็ไม่กล้าจะยื่นนมให้ทั้งที่พระองค์ขอ มือไม้สั่นไปหมด พระองค์ก็บอกว่า ให้เถอะ มือต่อมือน่ะลูกเอ๊ย เรานี้ไม่ได้ถือแล้วชาติชั้นวรรณะ วางไว้ตั้งแต่วันที่ออกมาแล้ว มุ่งที่จะเอาชนะกิเลสอย่างเดียว ไม่ได้มุ่งหมายในการถือชั้นวรรณะอีกแล้ว

    40. อุปมาเผากิเลส

    [​IMG]

    ต่อมาพระองค์ก็ได้นั่งนึกถึงอุปมา 3 อย่าง คือ อุปมาเห็นไม้สดอยู่ในน้ำ ไม้สดอยู่บนที่แห้ง และไม้แห้งอยู่บนที่แห้ง ถ้าต้องการจะสีให้เกิดไฟลุก มันจะต้องเป็นไม้แห้งที่อยู่บนที่แห้ง ไม่ใช่ไม้สดที่อยู่ในน้ำ?เราอยากจะได้ไฟ เอามาสีเท่าไรก็คงไม่เกิดไฟ ซึ่งอุปมาได้ว่า คนที่ออกประพฤติธรรมยังมีจิตใจชุ่มฉ่ำอยู่กับกาม เช่น ออกบวชแล้วยังชอบยังยินดีในรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ ในกุฏิหรือในวัด มีสิ่งประเล้าประโลมมากเกินไป มันก็เหมือนกับเอาไม้สดมาสี มันไม่มีทางเกิดไฟ หากนักบวชคนใดมีจิตที่ชุ่มไปด้วยราคะ ด้วยความใคร่ในรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ รสอร่อย ๆ สัมผัสนุ่มนวลแล้ว ยากที่จะได้ไฟมาเผากิเลส ฉันใดก็ฉันนั้น พระองค์ได้เกิดอุปมานี้ขึ้นในหัวใจ

    41. อุปมาพิณสามสาย

    [​IMG]

    วันหนึ่ง จวนจะเย็นจะค่ำ พระอาทิตย์คล้อยต่ำ แสงแดดเริ่มอ่อนสลัว ๆ พระองค์เห็นหญิงจำนวนหนึ่งกลับจากเล่นดนตรี แล้ววันนั้นเครื่องดนตรีเขาเกิดดังไม่ ด้วยบ้างก็ขึงตึงไป บ้างก็ขึงหย่อนไป บ่นกันว่าวันนี้ดนตรีมันดังไม่เพราะเลยนะเธอนะ มันขึงตึงเกินไป คนหนึ่งก็บอกว่าหย่อนเกินไปพระองค์จึงได้แวบขึ้นในหัวใจด้วยคำพูดของเหล่า สตรีเหล่านี้ว่า โอ ว่าตึง ว่าหย่อนนี้ จึงดังไม่เพราะ เรานี้หนอก็คงจะเป็นเพราะตึงเกินไปก็ได้ จึงยังไม่ได้รู้อะไร

    ท่านฟังแล้วก็อย่าไปคิดเข้าข้างตัวเราว่า มันคงจะตึงเกินไป ที่เราปฏิบัติกันสมัยนี้น่ะไม่ตึงหรอก มีแต่หย่อน มีแต่ยืดกันไปทุกที ๆ

    <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_668" valign="bottom">
    </td> <td class="smalltext" align="right" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table>42. นิมิตก่อนตรัสรู้

    [​IMG]


    ภาพนี้เกิดนิมิตครั้งสำคัญอันยิ่งใหญ่ โดยฝันว่า พระองค์นั้นได้บรรทมหลับ มือทั้งสองข้างจรดมหาสมุทรทั้งทิศใต้และทิศเหนือ

    พระองค์เล่าว่า ในความฝันครั้งนี้ จะแสดงถึงความตรัสรู้อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์จะแผ่พระศาสนาไปจากเหนือจรดใต้ จากบนพื้นแผ่นดินถึงแม่น้ำมหาสมุทร ข้ามไปหลาย ๆ จุดทั่วโลกเลย หมายถึงว่าแผ่พระศาสนาไปเสมือนกับผู้นอนแผ่แล้ว มีมือและแขนยืดยาวไปจรดมหาสมุทรทั้งทางทิศใต้และทิศเหนือ เหมือนเขาสร้างวัดให้พุทธสาวกของพระองค์ได้ประทับทั่วสารทิศขยายแพร่ใหญ่ ไพศาล

    ภาพความฝันข้อที่สอง ที่เห็นต้นไม้ขึ้นที่กลางสะดือนั้นมีความหมายว่า พระองค์นั้นจะได้รู้อริยมรรค แล้วประกาศเกรียงไกรแก่มนุษย์และเทวดาขึ้นไปจนถึงพรหม หมายถึงว่าเมื่อพระองค์ประกาศไปแล้ว ศาสนาของพระองค์จะงอกงามขึ้น สูงขึ้น ในจิตใจของมนุษย์ประดุจดังต้นไม้ที่งอกพิสดาร คือไม่ใช่งอกขึ้นตามวันตามคืน หมายถึงว่ามันงอกขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะความตรัสรู้ของพระองค์นั้นถูกต้อง ดีงาม

    ข้อต่อมา ความฝันที่เห็นว่ามีหนอนหัวดำตัวสีขาว พากันมาไต่ตอมชอนไชที่หน้าแข้ง และที่เท้าของพระองค์นั้น ข้อนี้มีความหมายว่า ต่อไปจะมีอุบาสก อุบาสิกา นุ่งขาวห่มขาว แต่ว่าหัวดำ เหมือนหนอนหัวดำ คือยังไม่ยอมโกนผม ยังไปนุ่งขาวห่มขาวบวชชีพราหมณ์บ้าง อะไรต่าง ๆ นานา ยังเป็นหนอนประเภทตัวขาวแต่หัวดำ แต่ก็พยายามจะชอนไชดูดดื่มซับซึมเอาธรรมรสจากพระพุทธองค์ให้จงได้ ก็นับว่าเป็นหนอนที่ใช้ได้ ถึงว่าจะหัวดำแต่ก็ตัวขาวและก็คงจะมีใจขาวต่อไป

    ความฝันข้อต่อมา ก็คือฝันว่า เห็นมีนกสีต่าง ๆ กันบินเข้ามารุมล้อมเท้าพระองค์และก็กลายเป็นสีขาวไปหมด หมายความว่า คนที่ต่างชั้นวรรณะไม่ว่าจะเป็นวรรณะพราหมณ์ แพศย์ กษัตริย์ หรือว่าจะเป็นจัณฑาลคนชั้นต่ำ เมื่อได้ประพฤติธรรมร่วมกันแล้วก็จะขาวบริสุทธิ์ ประดุจดังอยู่ในโลกทิพย์โลกสวรรค์อันเดียวกัน จะเป็นชั้นวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ หรือว่าวรรณะแพศย์ วรรณะศูทร หรือคนงานชั้นต่ำ ถ้าลองได้ประพฤติธรรมตามที่พระองค์ทรงอบรมสั่งสอนแล้ว ก็จะมีจิตใจขาวบริสุทธิ์ประดุจดังนกที่ต่างสีเหล่านั้น เมื่อมาอยู่ใกล้เท้าพระองค์แล้วก็จะเป็นสีขาวไปหมด

    ความฝันข้อที่ห้าฝันว่า พระองค์เดินลุยไปในกองอุจจาระที่เป็นภูเขาใหญ่ แต่อุจจาระไม่ได้ติดเท้าของพระองค์แม้แต่น้อย หมายความว่า ต่อไปนี้ลาภสักการะจะมีมากขึ้นในพระองค์และสาวกของพระองค์ แต่เมื่อถึงธรรมที่พระองค์สอนแล้ว ลาภสักการะเหล่านั้นจะไม่ติดเปื้อนจิตใจให้หลงใหลมัวเมา สยบอยู่ ประดุจดังเดินไปในกองอุจจาระ แต่อุจจาระไม่เปรอะเปื้อนพระองค์แม้แต่น้อย หมายความว่าไม่มัวเมาในลาภสักการะซึ่งเป็นเสมือนน้ำลายและอุจจาระซึ่งเปรอะ เปื้อนคนมาเป็นจำนวนมาก คนส่วนใหญ่นั้นชีวิตต้องเศร้าหมองเพราะลาภสักการะ เพราะยินดีในเงินทอง ข้าวของ ลาภสักการะ ที่เขานำมาปรนเปรอ จนติดสยบอยู่ ไปไหนไม่ได้ บางองค์นั้นบวชเข้ามาแล้วก็มาติดข้าวของเงินทองทรัพย์สมบัติต่าง ๆ นานาจนแน่นกุฎิ ไปไหนไม่ได้?ห่วงกุฎิ

    มีเรื่องเขาเล่าว่า พระหลวงตาองค์หนึ่งบวชมาแล้วเก็บสะสมไว้นาน ปรากฏว่าวันหนึ่งโจรมางัดกุฏิ เมื่อกลับจากบิณฑบาต?เป็นลมช็อคตาย อย่างนี้ไม่ใช่พุทธสาวก ถ้าเป็นพุทธสาวกของพระองค์แล้ว จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้ครอบงำใจให้เปรอะเปื้อนใจเป็นอันขาด เพราะพระองค์ได้ทรงสอนไว้ ให้สละ ให้ละ ให้ปล่อย ให้วาง

    ฉะนั้น ความฝันครั้งนี้ก็จะได้เกิดขึ้นกับสาวกผู้ทำจริง ปฏิบัติจริง ตามรอยพระองค์ไปจึงเป็นความฝันครั้งยิ่งใหญ่ก่อนที่จะตรัสรู้

    43. นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส

    [​IMG]

    เมื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ พระองค์ได้ทรงมีผิวพรรณดีขึ้น และได้เสวยข้าวจากนางสุชาดานำมาถวาย

    ข้าวที่นางสุชาดานำมาถวายพระพุทธเจ้านั้นเรียกว่า ข้าวมธุปายาส เป็นอาหารจำพวกมังสวิรัติ ไม่ปนเนื้อ ไม่เจือปลา ใช้สำหรับบวงสรวงเทพเจ้าโดยเฉพาะ ข้าวมธุปายาสนี้หุงด้วยนมจากแม่โคจำนวนหนึ่งพันตัว โดยให้กินชะเอมเครือ กินอิ่มแล้วไล่ต้อนออกมาแล้วแบ่งออกเป็นสองฝูง ๆ ละ 500 ตัว แล้วรีดเอานมจากแม่โคนมฝูงหนึ่งให้แม่โคอีกฝูงหนึ่งกิน แบ่งและคัดอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนเหลือแม่โค 8 ตัว แล้วจึงรีดน้ำนมจากแม่โคทั้ง 8 มาหุงเป็นข้าวมธุปายาส

    44. อธิษฐานจิตที่โคนต้นโพธิ์

    [​IMG]

    เมื่อเสวยข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาแล้ว ผิวพรรณพระองค์จึงได้เปล่งปลั่งขึ้น ทรงนั่งที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์หรือต้นโพธิ์ โดยการเอาหญ้าคาที่โสตถิยพราหมณ์ถวายมาปูนั่งแล้วอธิษฐานจิต การนั่งบนหญ้าคานั้นหมายถึงจะไม่ให้กิเลสทิ่มแทงจิตใจ

    พระองค์ได้อธิษฐานจิตในคืนนั้นว่า เราจะไม่ยอมคลายบัลลังก์ลุกออกจากที่นี้ ถ้าจิตของเราไม่บรรลุถึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แม้เลือดเนื้อในกายจะเหือดแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตามที เราจะไม่คลายบัลลังก์นี้

    นี่แหละท่านสาธุชนผู้ชมภาพพระพุทธประวัตินี้แล้ว เคยอธิษฐานอะไรจริงจังในการละกิเลสอย่างพระองค์บ้าง

    5. ผจญมารผู้ขวางทาง

    [​IMG]

    ในคืนนั้น พญามารฝูงใหญ่ก็ได้แห่กันมารังควานพระองค์ มาร แปลว่าผู้ขวางทางอันไม่ให้ถึงจุดหมายดีงาม หรือสิ่งที่มาขวางคุณงามความดีที่จะเกิดขึ้นในหัวใจ หรือความประพฤติของเราก็ได้ มารต่าง ๆ ผุดขึ้นในสมอง มาเรียกร้องเชิญชวนให้พระองค์กลับวัง เดี๋ยวพ่อบ้าง เมียบ้าง ลูกบ้าง ทรัพย์สินต่าง ๆ ในพระราชวังบ้าง แต่พระองค์ก็ข่มใจไม่ให้หวั่นไหว ข่มใจระงับไว้ แม้มารจะมาขวางทางอย่างไรพระองค์ก็ใจแข็ง ทรงข่มพระทัยมั่นคงที่จะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณให้ได้

    ถ้าเป็นพวกเราอาจจะวิ่งจีวรปลิว สบงปลิว วิ่งผ้าปลิวกันไปตาม ๆ กัน นี่แสดงว่าน้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาคนั้นเหมาะสมที่จะตรัสรู้อย่างยิ่ง

    46. แย้มพระสรวลเยาะมาร

    [​IMG]

    ด้วยจิตใจที่มั่นคง แม้มารจะมาด้วยวิธีไหนก็ไม่สามารถยั่วยวนพระองค์ได้สำเร็จ พระองค์จึงได้ทรงยิ้มเยาะมาร ทรงแย้มพระสรวลเยาะมารว่า เจ้ามารเอ๋ย เจ้าได้พาเราล่องแล่นไปในสังสารวัฏฏ์ ได้เวียนว่ายมานานนักแล้ว เจ้ากลับไปเสียเถอะมารผู้มีบาป เจ้าได้ลวงเราโดยเอาความเป็นกษัตริย์มาล่อเราให้หลงยศ หลงตำแหน่ง เจ้าเอารูปโฉมเลอเลิศของนางสนมกำนัลมาผูกพันเราไว้ เจ้าเอาสวนสระปราสาท เอาพิมพา ราหุลลูกรัก รูปโฉมงดงามของลูกและภรรยา มาผูกพันเรา บัดนี้อย่าได้หวังเช่นนั้นอีกเลย เจ้ามารเอ๋ย กลับไปเถอะ

    เท่านั้นเอง มารผู้มีบาปก็หงายหลังกลับไป

    47. บำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้

    [​IMG]

    หลังจากมารกลับไปหมดแล้ว พระองค์จึงได้ตั้งความเพียรอันเข้มข้นยิ่งยวดต่อไปแล้วในที่สุดก็ได้ตรัสรู้ อนุตตรสัมมาโพธิญาณในคืนนั้นเอง

    เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาโพธิญาณแล้ว เหล่าพืชพันธุ์ในป่า ต้นไม้ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานชูช่อชามยิ่งนัก พระองค์ได้เสวยวิมุตติสุขร่วมกับเหล่าสัตว์เล็กใหญ่ในป่านั้น ทั้งฝูงวิหคนกกาในป่าก็พากันรื่นเริง ฝูงกวางและสัตว์ต่างๆพากันรู้สึกว่าชีวิตปลอดภัยยิ่งนัก เพราะต่อแต่นี้ไป พระธรรมคำสอนของพระองค์จะแผ่ไพศาลไปสู่จิตใจเหี้ยมโหด ให้กลายเป็นผู้เมตตาปรานีต่อเพื่อนร่วมโลก ซึ่งจะทำให้อยู่กันอย่างสงบสุขและปลอดภัย

    48. อุบาสกคู่แรกในพระพุทธศาสนา

    [​IMG]

    เมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆทรงเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นไม้เกด มีพ่อค้าวาณิชสองคนชื่อตปุสสะคนหนึ่ง ภัลลิกะคนหนึ่ง เดินทางมาจากอุกกลชนบท มาพบพระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต้ต้นไม้เกด มีผิวพรรณผ่องใสยิ่งนักก็เกิดความเลื่อมใส ได้นำข้าวสัตตุก้นสัตตุผงหรือข้าวที่ตำเป็นก้อนๆปั้นๆ ซึ่งเป็นเสบียงของตนเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค และขอนับถือพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกับพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นที่ พึ่งที่ระลึก แต่ยังขาดพระสงฆ์ เรียกว่ามีสองพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยยังไม่ครบ กล่าวมีเพียงเฉพาะพระพุทธเจ้ากับพระธรรมเท่านั้น

    49 พรหมอาราธนาแสดงธรรม

    [​IMG]

    เมื่อตรัสรู้ใหม่ๆพระองค์รู้สึกท้อพระทัยในการที่จะนำสิ่งที่ตรัสรู้ อันเป็นพระธรรมที่ลึกซึ้งสุขุมคัมภีรภาพนั้นสอนชาวโลกเป็นยิ่งยัก แต่ด้วยน้ำพระทัยอันเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่นจึงได้คิดที่จะช่วยสอน แสดงถึงว่าเหมือนมีพรหมผู้ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มาอาราธนา ซึ่งภาพนี้เขาได้วาดให้เห็นเป็นเสมือนกับว่ามีพรหมมาอาราธนา เรียกว่าจากนามธรรมมาเป็นรูปธรรมสักหน่อยหนึ่ง ภาพนี้เขาก็วาดได้สวยมากเป็นพรหมโปร่งแสง สีสันวาว ออกมาอาราธนาให้พระองค์ทรงเห็นใจแก่สัตว์ผู้ทุกข์ยาก มีกิเลสมีธุลีในดวงตาน้อย แต่ขาดผู้แนะนำพร่ำสอน จึงขาดประโยชน์จากการรู้ธรรม ขอพระองค์ทรงโปรดแก่ชนเหล่านั้นเถิด


    50. บัวสี่เหล่าคนสี่ประเภท

    [​IMG]

    ในที่สุด พระผู้มีพระภาคได้อุปมาว่า คนมีสี่จำพวกซึ่งเปรียบได้กับบัวสี่เหล่ากล่าวคือ ๑. บัวประเภทบานแล้ว ได้แก่คนเข้าใจง่าย พูดนิดเดียวก็เข้าใจสว่างไสว ๒. บัวที่กำลังปิ่มน้ำจะบานจะโผล่ขึ้นมา หมายถึงคนที่จะจูงพร่ำสอนกันหลายเที่ยวหลายครั้ง ๓. บัวที่ยังอยู่ลึกไปกว่านั้น หมายถึงคนที่ได้รับฟังหลายครั้งหลายหนแล้วก็ยังจะต้องอาศัย เพื่อนฝูงที่ดีคอยกระตุ้นเตือน และ ๔. บัวที่อยู่ใต้น้ำ หมายถึงคนที่สอนเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง พยายามจะโต้แย้ง จะเถียงจะรั้น จะดันทุรังไปก่อน

    ท่านอยู่ประเภทไหน หรืออาจจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นเหล่าที่ห้า หุบๆบานๆพอฟังพอรู้เรื่อง อะไรดีก็สว่างไสวขึ้นแวบหนึ่ง แล้วก็กลับไปมืดมนต่อไปอย่างนั้นหรือ?

    51. นำธรรมะสู่สัตว์ผู้ทุกข์ยาก

    [​IMG]

    เมื่อทรงเปรียบคนได้กับบัวสี่เหล่าแล้ว ในที่สุดพระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรได้ตาใน คือธรรมจักษุ มองเห็นบรรดาเหล่าสัตว์โลกทั้งหลายที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก ถูกเพลิงกิเลสเผาผลาญชีวิต พากันระงมร่ำไห้ เจ็บปวดอยู่ด้วยไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ทำให้พระองค์ทรงเกิดความสงสารขึ้นอย่างจับใจ และคิดจะนำความจริงที่พระองค์ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เผยแพร่ไปสู่เขาเหล่านั้น เพื่อความดับไปแห่งไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ให้มอดดับลง เพื่อจะได้อยู่กันอย่างมีความสงบเย็น


    52. พบอาชีวกระหว่างทาง

    [​IMG]

    เมื่อตัดสินพระทัยจะเผยแพร่สิ่งที่ตรัสรู้ จึงเดินทางออกจากที่ตรัสรู้เพื่อไปยังป่าอิสิปตนมฤทายวัน เพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ผู้ที่เคยดูแลพระองค์มาอาศัยอยู่ ในระหว่างทางได้พบกับอาชีวกผู้หนึ่งชื่ออุปกะ ได้เข้ามาถามพระองค์ว่า ใครเป็นศาสดา ใครเป็นผู้มอบรมธรรมให้กับท่านมา ท่านจงช่วยแสดงธรรมโปรดเราด้วย พระองค์ได้ตรัสว่า เราเป็นสยัมภู เป็นผู้ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง เท่านั้นเองอาชีวกผู้นี้ถึงกับตะลึง และก็กล่าวคำไม่ศรัทธาออกมาว่า เชิญพ่อรู้ไปคนเดียวเถอะ เป็นไปไม่ได้? คนที่ไม่มีครูบาอาจารย์และในที่สุดถึงกับแสดงอาการสั่นศีรษะและถ่มน้ำลายแลบ ลิ้น แล้วเดินหลีกพระพุทธองค์ไป


    53. โปรดปัญจวัคคีย์

    [​IMG]


    เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาถึงป่าอิสิปตนมฤคทาย วันนั้นพวกปัญจวัคคีย์ซึ่งมีโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า กำลังสนทนากันถึงพระพุทธองค์ว่า ป่านนี้ประทับอยู่ที่ไหน จะคิดถึงพวกเราอยู่หรือไม่ ทันใดก็แลเห็นพระพุทธองค์เสด็จและไม่ถวายความเคารพ เนื่องจากไม่เลื่อมใสที่พระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ซึ่งเป็นเหตุให้พวกตนหนีจากมา และเมื่อพระองค์เสด็จมาถึงจริง ทีแรกปัญจวัคคีย์เหล่านั้นทำท่าว่าจะไม่เข้าไปต้อนรับพระองค์ แต่แล้วเมื่อพระองค์เข้าไปใกล้ ต่างก็เข้ามาหยิบบาตรหยิบนั่นหยิบนี่ ล้างเท้า หาน้ำให้ ต้อนรับพระองค์เป็นอย่างดี ลืมข้อตกลงกันเสียสิ้น

    54. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

    [​IMG]


    หลังจากต้อนรับทักทายพูดคุยกันแล้ว พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์เหล่านั้น และเมื่อได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แต่เป็นชั้นโสดาบันก่อน แล้วเรื่อยมาจนได้เป็นพระอรหันต์ด้วยธรรมเทศนาที่เรียกกันว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คือพูดถึงสุดโต่งสองอย่าง หนักหน่วงไปในทางทรมานกายให้ลำบาก และการปล่อยชีวิตไปตามความใคร่ มัวเมาเปียกแฉะ เพลิดเพลินอยู่กับเรื่องกาม อันเป็นทางที่ไม่พ้นทุกข์ทั้งสองฝ่าย

    เมื่อปัญจวัคคีย์ฟังพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโปรด ต่างก็มีจิตใจเห็นตามความเป็นจริงนั้น จนกระทั่งได้ขอบวชในพระศาสนาของพระองค์ต่อไป

    55. โปรดยสกุลบุตร

    [​IMG]

    เมื่อพระองค์ไปจำพรรษาอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ก็มีลูกเศรษฐีผู้มั่งคั่งชื่อว่ายส ได้เกิดความเบื่อหน่ายความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้าน ทั้งๆที่มีทรัพย์มากมาย จึงออกจากบ้านแล้วเดินบ่นไปตามทางว่า ที่นี่วุ่นวายจริงนะ ที่นี่ขัดข้องจริงหนอ พระองค์ผู้อยู่ในป่าได้ยินเข้าจึงได้สวนคำออกมาว่า มาที่นี่สิ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ยสกุลบุตร รู้สึกเอะอะ เอ๊ะ มีใครที่อยู่ในนี้ ไม่วุ่นวาย ไม่ขัดข้อง จึงได้แวะเข้าไป ไปพบเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์จึงได้แสดงอนุปุพิกถาโปรดยสกุลบุตร จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาไม่กลับบ้าน แล้วจึงขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระพุทธเจ้าต่อไป

    56. ประกาศพระศาสนา

    [​IMG]


    เมื่อพระยสบวชแล้ว เพื่อนของพระยสอีกจำนวนมากได้พากันออกบวชตาม รวมพระที่บวชครั้งนี้เป็นจำนวน ๒๐ รูป แล้วได้บรรลุพระอรหันต์ พระองค์จึงได้บอกกับภิกษุเหล่านี้ว่า บัดนี้พวกเราทั้งหลายเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงอันเป็นทิพย์ และบ่วงอันเป็นมนุษย์ จงช่วยกันแยกย้ายไปเผยแพร่พรหมจรรย์ให้งามในเบื้องต้น

    งามในท่ามกลาง งามในที่สุด แก่คนผู้มีธุลีในดวงตาน้อย จงแยกกันไปทางละองค์ อย่าไปหลายองค์

    นี่พระองค์ทรงส่งมิชชันนารีไปสู่ปวงชนเป็นรุ่นแรกของโลกเลยทีเดียว ไม่ได้ทรงแนะนำว่าเธอจงไปสร้างวัด เสกเหรียญ ทำน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากแข่งกัน แต่พระองค์ทรงบอกให้ไปประกาศพรหมจรรย์ให้งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด

    57 โปรดภัททวัคคีย์

    [​IMG]

    จากนั้นพระองค์เองก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ขณะที่พักระหว่างทางได้พบกับเหล่าภัททวัคคีย์ที่พากันไปแสวงหาความสุข รื่นเริง ได้พาผู้หญิงจับคู่กันไปคนละคนสองคนปรากฏว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเกิดฉวยเอา เครื่องแต่งตัวของพวกผู้ชายคนหนึ่งหนีไป

    ผู้ชายเหล่านี้ก็ได้วิ่งติดตามหาหญิงเหล่านั้นกันจ้าละหวั่น จนกระทั่งมาพบพระผู้มีพระภาค แล้วก็ได้ถามพระองค์ว่า

    " ท่านสมณะ ท่านได้เห็นผู้หญิงเดินผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่ "

    แทนที่พระองค์จะตอบว่าเห็นหรือไม่เห็น พระองค์กลับสอนคนเหล่านี้โดยสวนคำออกไปว่า " ท่านทั้งหลาย ท่านจะมัวหาหญิงดีหรือจะหาตนดี "

    ปรากฏว่าพวกภัททวัคคีย์เหล่านั้นก็ได้เกิดเอะใจกล่าวไปว่า " เอ๊ะ ก็ตนของฉันก็อยู่นี่ จะต้องไปหาตนอะไรอีกเล่า ก็ผู้หญิงมันลักทรัพย์ข้าวของเงินทองไป กำลังตามหากันอยู่นี่ ท่านเห็นบ้างหรือไม่ "

    พระองค์ก็ยังย้ำคำเดิมว่า " ควรจะหาตนก่อนดี หรือจะหาหญิงดี "

    เหล่าภัททวัคคีย์เหล่านี้ก็เริ่มเอะใจก็เลยถามว่า ยังไงกันแน่ แสวงหาตนนั้นดีอย่างไร ลองพูดให้เข้าใจซิ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า " เชิญพวกท่านนั่งลงเถิด อาตมาจะแสดงให้ฟัง "

    เมื่อเหล่าภัททวัคคีย์เหล่านั้นนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงไปในลักษณะที่ว่า ?

    ก็เรานั่นแหละ ที่ว่าหาหญิงก็คือหาตน เพราะว่าผู้หญิงเหล่านั้นเอาของของตนไปใช่ไหมล่ะ ?

    ถ้ามันไม่ได้เอาของของตนไป เราก็คงจะไม่ตามหาอะไรทำนองนั้น

    เหล่าภัททวัคคีย์เมื่อได้ฟังที่พระองค์กล่าว ก็เริ่มเห็นจริงเห็นจังว่า อ๋อ ที่เราตามหาอะไร ก็คือตามหาของตนบ้าง ตามหาพวกของตนบ้าง ตามหาข้าวของตนบ้าง ตามหาวงศ์วานของตนบ้าง ที่จริงเรามัวแต่ตามหาตนที่เป็นภายนอกนั้นมันไม่ถูก เพราะเกิดความรู้สึกยึดถือว่า ไอ้นั่นของตน ไอ้นี่ของตน จึงตามหาคน ก็คือตามของของตนนั่นเอง

    เมื่อเข้าใจและเห็นจริงดังนั้น ทำให้คนเหล่านี้เกิดเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมาก จึงหยุดแสวงหาหญิงผู้นำเสื้อผ้าของตนไป กลับมามองเพ่งตนหาตน ว่าอะไรหนอที่ทำให้ตนวุ่นวาย ก็ได้คำตอบว่าคือความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตนนั่นเอง

    58. โปรดชฎิลสามพี่น้อง

    [​IMG]

    ต่อมาพระองค์ได้ไปโปรดชฎิลสามพี่น้องซึ่งถือการบูชาไฟกันอย่างยิ่ง และในที่สุดพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมว่า สิ่งที่ร้อนกว่าไฟที่น่ากลัว น่าสยดสยองนั้นยังมีอีก อย่ามัวแต่หลงกลัวไฟข้างนอกกันอยู่เลย ไฟที่ร้ายกาจก็คือไฟที่เผาใจให้เกิดใคร่กระสัน เกิดความร่านทุรนทุราย ที่จะต้องเสพสุขสนุกสนานจากเนื้อหนัง หรือสิ่งที่เรียกกันว่า ยั่วให้ใคร่ ให้รักทั้งหลาย ซึ่งเป็นไฟเผาใจ ยั่วให้โกรธ ความโกรธก็คือเป็นไฟ ยั่วให้กลัว ให้หลงก็เป็นไฟ เพราะฉะนั้นไฟทั้งสามนี้เป็นอันตรายมาก ควรจะดับเสีย เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง เป็นเหตุให้ชฏิลผู้พี่เกิดศรัทธาถึงกับลอยบริขารไป ส่วนชฎิลที่เหลืออีกสองก็ถือบวชในเวลาต่อมาร่วมกับบริวารอีกจำนวนมากมาย

    59. โปรดพระโมคคัลลานะ

    [​IMG]


    ภาพนี้ คือ พระโมคคัลลานะซึ่งเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้ายของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะมาบวชในพระพุทธศาสนา เคยศึกษาทางพ้นทุกข์อยู่ในสำนักของอาจารย์สญชัยปริพาชก ผู้มีชื่อเสียและมีคนนับถือมาก แต่เมื่อศึกษาจบแล้วเห็นว่ายังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงลาอาจารย์ออกแสวงหาความรู้ ต่อมาได้รับการชักชวนจากสหาย คือ พระสารีบุตร ให้มาบวชกับพระพุทธเจ้า วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงมาโปรดพระโมคคัลลานะซึ่งมาปฏิบัติธรรมและง่วงหลับ พระองค์แก้วิธีง่วงหลับให้หลายอย่างหลายประการ เช่น มีการเอาน้ำลูบเนื้อลูบตัว เอาไม้ทิ่มหู หรือว่ามีการเดินจงกรม เป็นต้น

    เพราะฉะนั้น ท่านผู้อ่านอย่ามัวง่วงหลับไหลอยู่ หาทางแก้เสีย

    60. โปรดปริพาชกทีฆนขะ

    [​IMG]


    วันนี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมที่เรียกกันว่าแบบลักษณะแคนนอน ระบบตีวัวกระทบคราด หรือว่ายังไงก็ได้ ว่าแต่ไม่ใช่เป็นเจตนาเช่นนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องของความเข้าใจของผู้ทำหน้าที่พัดอยู่ คือพระสารีบุตร อัครสาวกฝ่ายขวา ทำหน้าที่พัดขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมกับปริพาชกทีฆนขะ ปรากฏว่าขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่นั้น พระสารีบุตรผู้ทำหน้าที่พัดอยู่ข้างหลัง ก็เกิดแวบขึ้นในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงจนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ นี่เรียกว่าเทศน์กับองค์ข้างหน้า แต่องค์ข้างหลังบรรลุ นี่เป็นการแสดงธรรมในลักษณะแคนนอน
    <table style="table-layout: fixed; width: 510px; height: 741px;" cellpadding="5" cellspacing="0"><tbody><tr><td rowspan="2" style="overflow: hidden;" valign="top" width="16%">
    </td> <td valign="top" width="85%" height="100%">
    </td> </tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table> <table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td rowspan="2" style="overflow: hidden;" valign="top" width="16%">
    </td> <td style="vertical-align: top;">
    </td><td valign="top" width="85%" height="100%">
    </td> </tr> <tr> <td style="vertical-align: top;">
    </td><td class="smalltext" valign="bottom" width="85%">
    </td></tr></tbody></table>
     
  2. birdkub

    birdkub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +401
    61. โปรดพระเจ้าพิมพิสาร

    [​IMG]

    ภาพนี้ พระองค์ได้มาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งแต่เดิมนั้นนับถือเคารพอุรุเวลกัสสปะมาก ก่อนที่พระองค์จะแสดงธรรมนั้นได้ถามอุรุเวลกัสสปะว่า บัดนี้ ท่านได้เลื่อมใสในธรรมของใคร ท่านเคารพธรรมของใคร อุรุเวลกัสสปะก็บอกเคารพธรรมของพระผู้มีพระภาค เลื่อมใสพระผู้มีพระภาค เป็นการเรียกศรัทธาให้เกิดขึ้นก่อน เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเห็นว่าอาจารย์ของตนยังเลื่อมใสพระผู้มีพระภาค จึงเกิดเพิ่มศรัทธาในพระผู้มีพระภาคขึ้นมา เมื่อศรัทธาเสียแล้วจะป้อนธรรมะลงไปมันก็ง่าย เหมือนท่านทั้งหลาย ถ้าศรัทธาในพระพุทธประวัติชุดนี้ ก็ทำให้เข้าใจง่ายและอยากจะฟังติดตาม พระเจ้าพิมพิสารก็เช่นกันเมื่อได้ฟังธรรมก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พร้อมกับบริวารอีกเป็นจำนวนมาก

    62. แสดงโอวาทปาติโมกข์

    [​IMG]

    นี่เป็นภาพเหตุการณ์ในวันมาฆะ ที่เรียกกันว่าวันที่พระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์จำนวนเป็นพัน ๆ รูปได้มาพร้อมกันโดยมหัศจรรย์ โดยไม่ได้นัดหมาย จำนวนถึง 1,250 องค์ มาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ ที่พระสาวกมีน้ำใจอันหนึ่งอันเดียวกันว่า มุ่งหน้าสู่พระศาสดา

    ท่านทั้งหลายเหมือนกัน พวกเราบางทีก็ไม่ได้นัดหมาย ต่างคนต่างมา ต่างอยากจะรู้ ต่างอยากจะดู ต่างอยากจะฟัง เพราะจิตใจของเรานั้นมอบให้พระพุทธเจ้าเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจเสียแล้ว อยู่ที่ไหน ๆ ก็สามารถรวมกันได้โดยไม่ต้องเรียกร้องบอกกล่าว

    62. เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

    [​IMG]

    เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดปัญจวัคคีย์ และสาวกอื่นๆ ซึ่งต่อมาได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จำนวน ๖๐ องค์แล้วและเป็นช่วงที่ออกพรรษาแล้ว
    พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นสมควรว่าจะออกไปประกาศพระศาสนาให้เป็นที่แพร่หลาย
    จึงมีพุทธบัญชาให้สาวกทั้ง ๖๐ องค์ จาริกออกไปประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยให้ไปแต่เพียงลำพัง ในการออกจาริกประกาศ พระศาสนาครั้งนั้น
    ทำให้กุลบุตรในดินแดนต่างๆหันมาเลื่อมในพระพุทธศาสนาและขอบรรพชา อุปสมบทเป็นอันมาก <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธกิจอยู่จนพระชนมายุ ๘๐ พรรษา
    พระองค์เสด็จจำพรรษาสุดท้าย ณ เมืองเวสาลี ในวาระนั้น พระพุทธองค์ทรงพระชราภาพมากแล้ว
    ทั้งยังประชวร หนักด้วย พระองค์ได้ทรงพระดำเนินจากเวสาลีสู่เมืองกุสินารา
    เพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองนั้น
    พระพุทธองค์ได้หันกลับไปทอดพระเนตรเมืองเวสาลีซึ่งเคยเป็นที่ประทับ
    นับเป็นการทอดทัศนาเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเสด็จต่อไปยังเมืองปาวา
    เสวยพระกระยาหารเป็นครั้งสุดท้ายที่บ้านนายจุนทะ บุตรนายช่างทอง <o:p></o:p>
    พระพุทธองค์ทรงพระประชวรหนักอย่างยิ่ง
    ทรงข่มอาพาธประคองพระองค์เสด็จถึงสาลวโนทยาน (ป่าสาละ)
    ของเจ้ามัลละเมือง กุสินารา ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้อุปสมบทแก่
    พระสุภัททะปริพาชก นับเป็นสาวกองค์สุดท้าย ที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้
    ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์และปุถุชน

    ขอบคุณที่มาจาก พุทธประวัติ พระสมณโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พร้อมภาพประกอบ
     
  3. zetsubo

    zetsubo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +751
    อนุโมทนาสาธุค่ะ ติดตามประวัติพระพุทธเจ้าทั้งอ่าน ทั้งดูกาตูน และภาพยนต์ ดูเรื่อยๆบ่อยๆๆไม่เบื่อเลยค่ะ ผ่านไปก้อมาอ่านอีกมาดูอีกขอบพระคุณสำหรับบทความ ^^
     
  4. Unlimited Indy

    Unlimited Indy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,228
    ค่าพลัง:
    +803
    ขออนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งครับ เป็นธรรมทานที่ดีแท้ สาธุ
     
  5. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    สาธุๆ โมทนาในธรรมทานด้วยครับ รู้สึกปลื้มปิติเหลือเกินครับ กว่าพระพุทธองค์จะตรัสรู้ต้องบำเพ็ญเพียรมามากมายเหลือเกิน ดีใจครับที่ได้เกิดในบวรพระพุทธศาสนาครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ

    โมทนาในกุศลกรรมทั้งปวงของเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
     
  6. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    อนุโมทนา สาธุ
    กว่าพระพุทธองค์จะค้นพบทางแห่งความพ้นทุกข์ ทรงเหนื่อยยากลำบากแสน
    ยังทรงมีพระกรุณาธิคุณมาเผยแพร่แก่สัตว์โลก เพื่อขนถ่ายสรรพสัตว์ออกจากกองทุกข์ พ้นจากวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
    จะมีใครที่เข้าใจสิ่งที่ทรงสั่งสอน และนำมาปฏิบัติ จนสามารถบรรลุเจตจำนงค์ของพระองค์อย่างแท้จริงบ้าง
    หันมองรอบตัว ข่าวสารบ้านเมือง แล้วก็เศร้าใจ
     
  7. อนุรุทธ

    อนุรุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +911

แชร์หน้านี้

Loading...