ถาม-ตอบ โดย หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปาโมชโช

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย pump - อภิเตโช, 16 พฤศจิกายน 2009.

  1. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ดูตน เตือนตน ถ้าตนยังไม่รู้จักตน ก็ไม่ต้องไปดูใคร

    สาธุครับ ทุกๆท่านที่มาแชร์ความรู้ทางธรรม
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
  3. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ทองแท้ย่อมไม่กลัวการหลอม
    สัจจะธรรมย่อมเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
     
  4. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    อานาปาณสติ พระพุทธเจ้าสอนไว้เมื่อไหร่ว่า ทำยาก
    ขอข้อมูลด้วย อยากรู้ พอดีความรู้น้อย
     
  5. dokai

    dokai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +71
    ข้ออนุญาติ เพื่อนๆ ลบความเห็นที่เขียนไว้ด้านบนออก เพราะตั่งใจเอาไว้ว่า ตราบนี้ไป จะไม่ยุ่งไม่วิจารณ์ พระรูปนี้อีกต่อไป ชักเริ่มเบื่อหน่ายที่จะยุ่งเกี่ยว แต่มิได้เกรงกลัวอะไรแม้นแต่น้อยนิด เพราะรู้ชัดเห็นชัดครับ
    จะแย้งแต่เฉพาะเวลาแก้อารมณ์กรรมฐาน ให้ผู้ที่เคยไปฝึกแล้วมีปัญหา จริงๆก็เบื่อพวกที่ไปฝึกดูจิตมา แล้วต้องคอยมานั่งแก้ให้ แต่ตั่งใจไว้ว่า ต่อไปหากเจอบรรดาผู้ฝึกดูจิตมา จะแก้แค่ข้อธรรม และ ทิฐิเท่านั้น หรือแย้งในสิ่งที่ไม่เห็นด้วย คิดว่าก็คงพอ จะเว้นวิจารณ์หรือไม่คงต้องขอ ยกสะพานเก็บ สำหรับพวก ดูจิตที่ทิฐิแรง ๆ ให้เป็นไปตามวาสนาและวิบากก็แล้วกัน
     
  6. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อนุโมทนาสาธุธรรม
     
  7. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    พระธรรมวินัยแท้และของปลอม

    ปัญหา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมายเหลือหลาย อาจจะมีคำสอนของศาสนาอื่นหรือคนอื่นแทรกแซงอยู่บ้าง เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าอันไหนเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อันไหนไม่ใช่

    พุทธดำรัสตอบ ดูก่อนอุบาลี

    เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดแลว่า เหล่านี้ไม่เป็นไป เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว เธอพึงทรงธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่เป็นคำสั่งสอนของพระศาสนา ส่วนธรรมเหล่าใดไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว.... นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา[/B][/B]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ธันวาคม 2009
  8. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    โมทนา สาธุ เห็นด้วยครับ..............
     
  9. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    เป็นคำเตือนใจ ที่ดีมากครับ....สาธุครับ
     
  10. RGB

    RGB Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +62
    อนุโมทนาเจ้าของกระทู้นะคะ

    เคยฟังซีดีอาจารย์ปราโมทย์ ไม่เห็นว่าอาจารย์จะวิพากษ์วิจารณ์อาจารย์สำนักอื่นแต่อย่างใด และอาจารย์ไม่เคยบอกว่าไม่ควรนั่งสมาธิ หรือแม้แต่ให้เลิกสวดมนต์ แต่ไม่เข้าใจว่าบ้านอารีย์มีเจตนาอย่างไร จึงมีข้อความเช่นนี้ บอกตามตรงเห็นใจอาจารย์ปราโมทย์มาก ๆ และไม่เห็นด้วยที่บ้านอารีย์มาข้อความพาดพิงถึงอาจารย์ปราโมทย์ด้วยข้อความที่แรง และไม่มีการอ้างอิงที่มาที่ไป ว่า อาจารย์มีการพูดผิดจริงหรือไม่อย่างไร รวมถึงที่อาจารย์ปราโมทย์นั้นอ้างถึงอาจารย์มนตรี ว่าอ้างผิด ๆ ก็ไม่มีที่มาที่ไปที่บอกว่าผิดอย่างไร เป็นการสรุปเหตุผล โดยไม่มีข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นการกล่าวพาดพิงข้างเดียว ความจริงควรจะเปิดโอกาสให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น ไม่ควรนำการกล่าวยุยงจากคนบางกลุ่มที่ไม่เข้าใจการเทศน์ของอาจารย์มาตีแผ่อย่างนี้เลย

    Untitled Document
     
  11. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    หลวงพ่อปราโมทย์ ในมุมมองของ ดังตฤณ

    นี่เป็นบทร่างของ "จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว" ที่จะลงในวันพฤหัสนี้
    ขอนำมาให้ช่วยดูความเหมาะสมกันก่อนครับ
    ---
    สำหรับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
    หลายคนอยากฟังคำอธิบายจากผม
    เพราะเชื่อว่าน่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางดี
    แต่ความจริงคือผมเอง
    ก็ต้องพยายามสืบหาต้นตอและที่มาที่ไป
    ต้องพยายามสร้างมุมมองและความเข้าใจ
    อันเกิดจากการรวบรวมข้อมูลมาปะติดปะต่อไม่ต่างจากคนอื่น
    สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้จึงมีค่าไม่ต่างจากความเห็นของคนทั่วไป
    อาจถูกหรืออาจผิดประสาภูมิปัญญาของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
    เจตนายืนพื้นอยู่บนความอยากรักษาศรัทธาชาวพุทธที่มีต่อพุทธศาสนา
    ไม่ใช่มุ่งรักษาศรัทธาของชาวพุทธที่มีต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

    คำอธิบายทั้งหมดมีความยืดยาว
    ทางที่ดีที่สุดจึงอาศัยคำถามที่มีเข้ามาไม่ขาดเป็นตัวตั้ง
    แล้วตอบจากประสบการณ์ตรงหรือด้วยข้อมูลที่มี

    งานนี้ไม่มีใครได้ข้อมูลไปทั้งหมด
    แต่โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็เข้าใจได้
    เรื่องบางเรื่องรู้ครึ่งเดียวจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย
    ตรงข้าม การอธิบายแบบให้เข้าใจหายสงสัยอย่างสิ้นเชิง
    แบบต้องลงรายละเอียดตามลำดับ
    อาจกระทบกระทั่งบุคคล
    และอาจก่อวิกฤตศรัทธาระลอกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมได้ครับ

    ถาม - การถอนตัวของคณะกรรมการสวนสันติธรรม
    เป็นจำนวนหลายคนพร้อมกัน เกิดขึ้นได้อย่างไร?

    ตอบ - จากการรับ "ต้นเสียง" ทางโทรศัพท์ด้วยตนเอง
    ทำให้มั่นใจว่าเรื่องใหญ่นี้จุดชนวนขึ้นจากความเข้าใจผิด
    และมุมมองสรุปที่ต่างกัน

    ความเข้าใจผิดที่ว่า
    คือเห็นหลวงพ่อปราโมทย์เป็นศิษย์คิดล้างครู
    เอาชื่อหลวงปู่ดูลย์มาแอบอ้างสร้างฐานความน่าเชื่อถือ
    แล้วภายหลังก็ริอ่านชี้ว่าครูบาอาจารย์พูดผิด
    สมควรได้รับการขยายความจากตน

    ด้วยมุมมองส่วนตัวจากการเห็นผลงานของหลวงพ่อปราโมทย์
    ผมเห็นว่าท่านไม่ได้ "อ้างชื่อ" ครูบาอาจารย์
    แต่เป็นการ "สร้างชื่อ" ให้ครูบาอาจารย์มากกว่า
    ถามว่าก่อนหน้าหลวงพ่อปราโมทย์
    มีชาวกรุงที่ไหนรู้จักหลวงปู่ดูลย์บ้าง
    (แม้ท่านจะขึ้นทำเนียบ "พระที่จะต้องไม่ถูกลืม" ของสายพระป่ามานาน)
    มีใครเคยได้ยินคำว่า "ดูจิต" บ้าง
    (แม้หลวงพ่อชาและพระป่าหลายท่านใช้คำนี้กันบ่อยๆ)
    เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา
    คนส่วนใหญ่จึงรู้จักหลวงปู่ดูลย์และเห็นค่าคำสอนของท่าน
    เนื่องจากเป็นอาจารย์ทางธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์
    เมื่อผู้คนหลั่งไหลไปที่สวนสันติธรรม
    ก็ได้เห็นรูปปั้นหลวงปู่ดูลย์ยืนเด่นเป็นสง่าก่อนเป็นอันดับแรก
    (แล้วกลายเป็นหนึ่งในเสียงต่อว่าแบบนานาทรรศนะ
    ที่ให้ครูบาอาจารย์ยืนตากแดดตากฝนไม่เป็นการบังควร)

    ส่วนข้อหาดัดแปลงคำพูดครูบาอาจารย์นั้น
    ด้วยมุมมองส่วนตัว ผมเห็นว่าเจตนาของท่านเป็นไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
    คือเข้าใจว่าคำพูดแท้ๆของหลวงปู่ดูลย์นั้น
    เดิมเป็นอย่างหนึ่ง ก่อนจะถูกตกแต่งแล้วค่อยสืบทอดมา
    และเข้าใจว่าเดิมทีหลวงปู่ดูลย์ตั้งใจสื่อความหมายแบบไหน
    สรุปคือหลวงพ่อปราโมทย์อยากให้คนรุ่นใหม่
    เข้าใจหลวงปู่ดูลย์ที่แก่น ไม่ใช่ที่เปลือก
    แต่ด้วยมุมมองของคนอื่น นี่อาจเข้าข่ายดูหมิ่นอาจารย์ตนว่าพูดไม่ชัด
    ซึ่งภายหลังเมื่อหลวงพ่อปราโมทย์เล็งเห็นมุมมองของคนอื่น
    ท่านก็แก้ไขด้วยการสั่งตัดทอนหนังสือบางเล่มเสีย
    เอาความเห็นทั้งหมดของท่านออก
    แต่อาจช้าเกินการณ์
    เพราะหลายคนปักใจว่าท่านเป็นศิษย์คิดล้างครูไปแล้ว

    ในแง่ของมุมมองสรุปที่มีต่อการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์
    ที่ช่วยดูวาระจิตของลูกศิษย์เป็นรายๆ
    ว่านั่นคือสร้างความอ่อนแอขึ้นในสังคมชาวพุทธ
    ด้วยวิธีรวบอำนาจชี้ขาดไว้ในตนแต่ผู้เดียว
    ทำให้กระแสสังคมต้องการการพึ่งพา
    ไม่อาจเจริญสติได้ด้วยความเข้มแข็ง
    โดยมีการเปรียบเทียบเหมือนนกถูกหักปีก
    ที่คงไม่มีวันบินได้ด้วยตนเอง

    จากมุมมองส่วนตัว
    ผมเห็นเป็นตรงกันข้าม
    ถามว่าที่ผ่านมาเคยมีใครระดมฆราวาสจำนวนมาก
    ให้เข้ามามีกำลังใจเจริญสติร่วมกันเท่านี้บ้าง?
    ผมทำหนังสือ "ดูจิตปีแรก" ซึ่งเป็นการรวมงานง่ายๆของท่าน
    แจกเป็นธรรมทานไปทั่วประเทศ จนถึงบัดนี้นับได้สองแสนเล่ม
    http://larndham.org/...__fromsearch__1
    จึงได้รับฟีดแบ็กโดยตรงมากมายก่ายกอง
    บางคนแค่อ่านอย่างเดียว
    จากที่อ่อนแออยากฆ่าตัวตาย
    กลายเป็นอยากอยู่ต่อเพื่อปฏิบัติธรรม
    จากคนที่เคยมืดด้วยความไร้ศรัทธา
    กลายเป็นมีศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็ง
    จากคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมภาวนาได้ผล
    กลายเป็นคนที่เชื่อมั่นว่าตนมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้ในชาตินี้
    แล้วนี่คือหลักฐานของมุมมองสรุป
    ว่าหลวงพ่อปราโมทย์ทำให้สังคมพุทธอ่อนแอแน่หรือ?

    ถาม - คณะกรรมการเคยสนิทกับหลวงพ่อปราโมทย์มาก
    น่าจะรู้เห็นอะไรมาก แล้วมาลาออกพร้อมกัน
    มิเป็นการแสดงความไม่ชอบมาพากลหรอกหรือ?

    ตอบ - กรรมการมีแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ลาออก
    และคนมีชื่อเสียงในสังคมนั้นเป็นที่ปรึกษา
    ไม่ใช่ "คนใกล้ชิดทั้งหมด" ของหลวงพ่อปราโมทย์ที่ขอถอนตัว

    ผมเองไม่ได้ใกล้ชิดหลวงพ่อปราโมทย์เท่าบุคคลเหล่านั้น
    ไม่ได้ติดตามท่านไปไหนต่อไหนเหมือนบุคคลเหล่านั้น
    แต่ก็มีภาพรวมอยู่ในบุคคลที่มีความผูกพันกับท่านด้วย
    เพราะทุกวันนี้มีคนได้อ่านธรรมะจากพระผู้รู้หลายหมื่นคน
    ผ่านนิตยสารธรรมะใกล้ตัวซึ่งผมร่วมกับน้องๆสร้างขึ้นมา

    และด้วยเหตุนั้น ผมจึงจัดเป็นบุคคลผู้เกี่ยวข้อง
    ซึ่งพอจะรู้จากประสบการณ์ตรงบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น
    ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขน่าลำบากใจ
    ทั้งนี้ ผมไม่ได้หมายความว่าผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
    จะได้รับประสบการณ์แบบเดียวกับผม
    ขอให้ทราบว่านี่เป็นเพียงประสบการณ์เฉพาะตนเท่านั้น

    งานนี้มีการเล่นงานเอากับจุดอ่อนของคนส่วนใหญ่
    นั่นคือความกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง ลาภ และยศ
    เริ่มต้นจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เตือนว่าให้ระวัง
    ถ้าไม่ถอนตัว ไม่หาหลุมหลบภัย
    จะพลอยร่างพลอยแหไปกับท่านด้วย
    เพราะกำลังจะมีการถล่มท่านครั้งใหญ่
    และเห็นทีจะรอดยาก

    จากนั้น เพิ่งล่าสุดวันสองวันนี้เอง
    มีเสียงลึกลับจากคนที่ผมไม่รู้จัก
    (โดยการบงการของคนมีชื่อเสียงที่ผมรู้จักดี)
    เตือนว่าจะมีการเล่นงานผมทางกฎหมายเป็นรายต่อไป
    หลังจากเอาผิดทางกฎหมายกับหลวงพ่อปราโมทย์ได้แล้ว

    การยกเลิกกำหนดการเทศน์กะทันหันของสำนักพิมพ์ DMG ก็ดี
    การยกเลิกมีส่วนเผยแพร่คำสอนของบ้านอารีย์ก็ดี
    ตลอดจนการถอนตัวของคณะกรรมการสวนสันติธรรมก็ดี
    จะเกิดจากความคลางแคลงของบรรดาท่านผู้มีเกียรติ
    เพราะรู้เห็นเรื่องไม่ดีใดๆเกี่ยวกับหลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่าผมไม่ทราบ
    ทราบแต่มีการวางแผนที่ยืนพื้นอยู่บนความเชื่อที่ว่า
    ถ้าคนสนิทถอนตัวพร้อมกันทั้งยวง วิกฤตศรัทธาจะตามมา
    เพราะผู้คนคงไปร่ำลืออย่างกว้างขวาง
    ว่าพระรูปนี้ต้องมีบาปผิดติดตัวอย่างมหันต์แน่นอน

    ความจริงถ้าไม่มีแถลงการใดๆออกมาเลย
    ทุกอย่างอาจอึมครึม กลายเป็นจิตวิทยามวลชนที่ทรงพลังกว่านี้
    แต่เมื่อมีคำประกาศจากบ้านอารีย์ชี้ความผิดของหลวงพ่อปราโมทย์ออกมา
    http://www.pantip.co...5/Y8778185.html
    ก็กลายเป็นว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร
    เนื่องจากทุกคนมองว่าการชี้โทษทุกข้อของบ้านอารีย์
    หาใช่ความผิดอุกฉกรรจ์อันควรเอาโทษขนาดนี้ไม่
    ความรู้สึกมวลรวมจึงกลายเป็นโล่งอก ไม่มีอะไรในกอไผ่
    และมองตามๆกันว่าหลวงพ่อถูกประทุษร้าย
    ความไม่ชอบมาพากลไม่ได้ตกอยู่กับหลวงพ่อ
    แต่กลับไปตกอยู่ที่บุคคลอันอยู่เบื้องหลังการจัดการหลวงพ่อมากกว่า

    ถ้าขอได้ก็ขอทุกคนอย่าเพิ่งก่นด่าหรือเคียดแค้นชิงชังกลุ่มบุคคลเหล่านี้
    เพราะหากคุณรู้เบื้องหลังทั้งหมด
    ก็จะมีความรู้สึกเห็นใจพวกเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
    ไม่ใช่ในฐานะของเพื่อนที่กลายเป็นศัตรูกัน
    ผมบอกได้แค่ว่าสำนวนเขียนเป็นของใครคนหนึ่งที่คุณไม่ควรปรามาส
    ไม่ใช่สำนวนเจ้าของบ้านอารีย์แต่อย่างใด

    ถาม - คนสนิทของหลวงพ่อที่ถอนตัวไป
    ต่างก็เคยมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในตัวหลวงพ่อ
    เหตุใดหลวงพ่อจึงรักษาศรัทธาไว้ไม่ได้?

    ตอบ - แสงเทียนในความมืดนั้น
    จะกระจายความสว่างได้ดีเมื่อคุณอยู่ไกลออกมาในระยะห่างหนึ่ง
    แต่ถ้าอยู่ใกล้เกินไป บางทีตัวคุณเองอาจบดบังแสงเทียนไว้หมดได้
    ทำให้รู้สึกคล้ายเปลวเทียนไม่ให้แสงสว่างได้

    แนวทางการสอนเป็นคนๆของหลวงพ่อปราโมทย์นั้น
    เลี่ยงไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดความคาดหวัง
    ว่ายิ่งใกล้ชิดจะยิ่งมีสิทธิ์ได้ทางลัดถึงตัวถึงใจกว่าคนอยู่ห่าง
    แต่ข้อเท็จจริงคือเมื่อเป็นกันเองมากขึ้น
    ก็อาจก่อให้เกิดความสนใจ เกิดความคาดหวังในตัวท่านต่างๆนานา
    ดึงให้สติเผลอไปยึดเรื่องข้างนอกมากกว่าเข้ามารู้เรื่องข้างใน

    ศรัทธาเท่ากัน แต่ยิ่งอยู่ห่าง
    ความคาดหวังในการช่วยเหลือด้วยทางลัดยิ่งน้อย
    ความตั้งใจสดับฟังเอาไปปฏิบัติจริงยิ่งมาก

    ทำไมเกิดเรื่องแล้วจึงไม่เกิดวิกฤตศรัทธา?
    เพราะศรัทธาส่วนใหญ่อยู่ในระยะห่าง รับแสงแต่พอดี
    มีแก่ใจเจริญสติอย่างจริงจัง จึงบังเกิดผลอันสุกสว่างแก่ตัว
    รู้อยู่ข้างในว่าธรรมะที่เกิดขึ้นกับตนเป็นของจริง
    ส่วนของข้างนอกคือครูบาอาจารย์หรือแม้แต่พระพุทธเจ้า
    จะจริงหรือไม่จริงคงไม่สำคัญแล้ว

    ของจริงข้างนอกถูกบิดเบือนหรือลบให้เลือนไปได้
    แต่ของจริงข้างใน ทำอย่างไรก็ไม่มีทางให้กลายเป็นของเก๊
    สรุปคือถ้าพยายามเข้าใกล้หลวงพ่อให้น้อยลง
    ใส่ใจปฏิบัติจริงให้มากขึ้น ก็อาจประสบผลสำเร็จมากกว่าคนใกล้ก็ได้
    เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    ต่อให้จับสังฆาฏิ (ผ้าซ้อนทับจีวร) ของพระองค์ไม่ปล่อย
    ก็ไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้ท่าน
    คนจะเห็นท่านจริงคือต้องเห็นธรรมเท่านั้น

    คนเรามักลืมที่มาของตัวเอง
    นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
    เพราะแม้แต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเอง
    เลี้ยงดูตัวเองมาจนเติบใหญ่
    ก็มีน้อยคนที่ระลึกได้
    คนส่วนใหญ่เหมือนนกน้อย
    เห็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาก็แย่งกันเข้ามาเกาะ
    แต่พอเห็นต้นไม้ทำท่าจะโค่นล้มก็แตกฮือหนี
    น้อยคนจะทำตัวเหมือนพญาช้าง
    ที่เข้ามาอาศัยร่มเงาไม้ใหญ่สบายตัวแล้ว
    เมื่อเห็นต้นไม้จะโค่นก็ปักหลักช่วยค้ำยันเอาไว้

    สรุปคือธรรมดาโลกครับ
    ไม้ใหญ่ไม่ได้มีต้นเดียว
    จะบินไปทางไหนก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจเฉพาะกาล ไม่ว่ากัน

    ถาม - เกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว
    จะให้ทำใจเชื่อใครได้ด้วยวิธีไหน?

    ตอบ - ขณะเกิดเรื่องราวแตกแยก
    ข้อมูลที่มาจากอคติ ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น
    ส่วนการรับฟังข้อมูลด้วยใจเป็นกลาง
    ล้วนจะได้ข้อสรุปเป็นจริงในที่สุด

    คิดถึงพระพุทธเจ้าไว้ แล้วใจจะอบอุ่น
    เมื่อใจอบอุ่นพอแล้ว คุณจะเริ่มสำรวจใจตัวเองได้
    ว่ามันอยากเงี่ยฟังทางไหนให้สอดคล้องกับความอบอุ่นใจ

    อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณคิดไม่ดีหรืออยากถอยออกไป
    ขณะเดียวกันอย่ารู้สึกว่าถูกต้องกับการหุนหันเข้าข้างใคร
    ทั้งโลกจริงหมดด้วยตัวเองมันเอง
    ความคิดของเราเท่านั้นที่ยากจะปรับให้จริงตาม
    ขอเพียงมีข้อมูลมากพอ
    จะเกิดอะไรขึ้นกับการตัดสินใจก็คงต้องเป็นไปตามนั้น
    ต่างคนต่างมีพื้นหลังไม่เหมือนกัน
    อย่านึกว่าจะต้องตัดสินใจตรงกัน

    เมื่อมีการขุดคุ้ยเอาอดีตไม่ดีไม่งามมาตีแฉ
    คุณควรถามตัวเองว่ามีใครบ้าง
    ที่ทำแต่เรื่องดีเรื่องงามมาตลอด?
    ถ้าคนเราลงตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามเสียอย่าง
    อย่างไรก็ต้องขุดคุ้ยอะไรสักอย่างมาประจานจนได้

    ผมเห็นพระใดดังขึ้นมา ก็มีทั้งคนรักคนชัง
    มีคนเชียร์ มีคนโจมตีเหมือนกันหมด
    นึกว่าตีใครพังแล้วเอาคนใหม่ขึ้นมาแทนจะไม่โดนหรือ?
    หรือว่าเมื่อใครคนหนึ่งถูกตีพังไปแล้ว
    จะมีใครที่สมบูรณ์แบบ ทั้งพฤติกรรมในอดีต
    ความงามพร้อมในปัจจุบันมาแทนที่ได้หรือ?
    มันอยู่ที่ว่าเราจะตั้งใจทำให้ใครคนหนึ่งพังเพื่ออะไร

    ขอให้คำนึงว่าใจคนเราครุ่นคิดถึงแต่มุมมองของตน
    ความเห็นของตน การตกลงร่วมกันของหมู่พวก
    ไม่ได้ผูกโยงกับประโยชน์ของคลื่นมหาชน
    ถ้าอ้างว่าคิดถึงพระศาสนา
    ก็ควรดูที่ผลงานของแต่ละคนดีกว่า
    หากพบหลักฐานว่าผิดอาบัติร้ายแรงจริง
    ก็ปรับสึกเสียตามกระบวนการ
    ผมอาจเข้าร่วมช่วยขอร้องให้ท่านสึกด้วยคนหนึ่ง
    แต่นี่เท่าที่ทราบล่าสุด
    จะมีการโจทก์เผาผิดดื้อๆโดยไม่มีหลักฐาน
    หาว่าท่านผิดศีลข้อ ๓
    หรือหาว่าท่านส่งเมลถึงผม บอกว่าสาวๆที่มาวัดน่าปล้ำ
    ถ้าคุณไปได้ยินคำนี้ที่ไหน ก็ขอได้รับคำยืนยันจากผมว่าไม่จริง
    และทำให้ผมเองสบายใจว่าท่านคงไม่มีความผิดอะไรเป็นแน่
    จึงต้องกุเรื่องโกหกขึ้นกล่าวหาท่านเช่นนี้

    ถาม - คุณดังตฤณมีส่วนได้ส่วนเสียกับหลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่า?

    ตอบ - คนส่วนใหญ่รู้จักผมจากหนังสือ "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน"
    ไม่ได้รู้จักเพราะผมมีความเกี่ยวข้องอะไรกับท่าน
    ท่านไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือให้
    แล้วท่านไม่ได้ช่วยคิดช่วยเขียนส่วนใดส่วนหนึ่ง
    เพราะฉะนั้น ในแง่ชื่อเสียงแล้ว
    ถ้าคิดถึง "ส่วนได้" ผมไม่น่าจะได้อะไรจากท่าน

    ผมร่วมสร้างสวนสันติธรรมไปหนึ่งแสน
    ทำบุญวันทอดกฐินที่สวนสันติธรรมปีละเป็นหมื่น
    ถวายอุปกรณ์บำรุงธาตุขันธ์อีกเท่าใดจำไม่ได้ถนัด
    แม้ตอนไปช่วยท่านสอนที่ศาลาใหญ่ก็ควักเงินหย่อนตู้บริจาค
    แล้วก็ไม่เคยรู้เห็นจัดการเงินบริจาคอะไรกับท่าน
    เมื่อจะมีการจัดพิมพ์หนังสือครูบาอาจารย์ของท่าน
    ก็ทุ่มเงินก้อนใหญ่ลงไปเป็นแรงเรียกกระแสสนับสนุน
    แถมเมื่อสำนักพิมพ์ของตัวเอง
    จะพิมพ์หนังสือ "ดูจิตปีแรก" แจกเป็นธรรมทาน
    ก็ลงขันร่วมกับญาติธรรมอื่นๆอีกด้วย ไม่ใช่เป็นผู้รวบรวมอย่างเดียว
    เพราะฉะนั้น ในแง่เงินทองแล้ว
    ถ้าคิดถึง "ส่วนเสีย" ผมน่าจะเสียแบบไม่เห็นทางได้คืนจากท่านเลย

    ตอนแม่ผมป่วยหนัก ท่านไปเยี่ยมและแผ่เมตตาให้ถึงบ้าน
    ตอนแม่ผมใกล้ตาย ท่านก็ไปให้กำลังใจจนแม่ผมเข้มแข็งขึ้น
    ตอนแม่ผมตายแล้ว ท่านก็ไปช่วยเผาส่งขึ้นฟ้า
    เพราะฉะนั้น ในแง่บุญคุณ ผมต้องจดจำไม่ลืม

    ถาม - คุณดังตฤณเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์หรือเปล่า?

    ตอบ - คำถามทำนองนี้เคยเป็นเหตุให้เกิดความคิดจะเขียน
    "ก่อนเกิดเป็นดังตฤณ" ขึ้นมา เพื่อให้เกิดความชัดเจน
    แล้วก็จะได้ไม่ต้องตอบคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา
    หรืออย่างน้อยก็จะได้ตอบน้อยลงกว่าเดิมบ้าง

    คำถามนี้เหมือนมีอาถรรพณ์นะครับ
    เพราะถามกันหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
    แล้วก็ในการบรรยายช่วงหลังๆ
    แต่มักมีเหตุให้ไม่ได้ตอบ
    ส่วนใหญ่เพราะเป็นคำถามท้ายๆที่รวมๆปนๆกันมาหลายข้อ
    ไม่เหลือเวลาพอให้ได้ไขข้อข้องใจ
    เพิ่งจะมีตอนไปบรรยายที่คณะแพทย์ศาสตร์เชียงใหม่
    ถามแล้วผมได้ตอบชัดถ้อยชัดคำเป็นครั้งแรก
    ใจความสรุปของคำตอบคือ
    ผมเป็นลูกศิษย์ทางความรู้ของพระพุทธเจ้า
    ผมมีหลวงพ่อพุธเป็นพระอุปัชฌาย์อบรมสั่งสอนตอนอายุ ๒๐
    ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์นั้น ผมได้ความรู้จากท่านมากมาย
    แต่โดยความสัมพันธ์คือพี่กับน้องที่รักและนับถือกัน
    ผมเคยอยากเชิดชูสนับสนุนท่าน
    กำลังเชิดชูสนับสนุนท่าน
    และจะเชิดชูสนับสนุนท่านไม่เปลี่ยน
    เพราะไม่เห็นใครที่ทำให้ฆราวาสตื่นตัวอยากภาวนาเจริญสติ
    ค้นหาแก่นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เท่าท่าน

    พบหน้ากันครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยท่านเป็นฆราวาส
    ท่านหันไปบอกลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งว่า
    ดังตฤณมาคนละแบบกับท่าน ขยายความคือ
    ของท่านเริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการเน้นดูอาการของจิต
    ส่วนผมเริ่มต้นและดำเนินไปด้วยการเน้นดูสภาพทางกาย
    แต่ไม่ว่าจะเริ่มต้นและดำเนินด้วยการเน้นแบบไหน
    จุดสรุุปก็คือประสบการณ์เห็นกายใจไม่เที่ยง
    ไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเหมือนๆกัน
    ตรงตามจุดประสงค์ที่พระพุทธเจ้าสถาปนาพุทธศาสนาขึ้นมา

    และแม้มีประสบการณ์ตรงกัน
    แต่ผมก็จำหลายๆคำจากท่านมาใช้อธิบายสภาวะ
    เช่น จิตกับกายแยกกัน จะรู้สึกเหมือนมีช่องว่างระหว่างกายกับจิต
    คำนี้มีเป็นบัญญัติมาตรฐานคือ "นามรูปปริจเฉทญาณ"
    และตอนเกิดประสบการณ์ดังกล่าว
    ผมก็จำแค่ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ไว้กำกับภาวะ
    คือบอกตัวเองว่าขณะนี้เรียก "นามรูปปริจเฉทญาณ"
    หรือเมื่อครู่ "นามรูปปริจเฉทญาณ" เกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว
    ต่อเมื่อฟังคำอธิบายสภาวะง่ายๆจากท่าน
    จึงเป็นจุดหักเหสำคัญ เมื่อพูดกับคนอื่น
    ก็เริ่มรู้จักใช้คำง่ายๆ ฟังแล้วรู้เรื่องเหมือนกับท่านบ้าง
    (ซึ่งต่อมาก็พบว่าแม้ใช้คำง่ายขนาดไหน
    ก็อาจฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดีสำหรับคนไม่ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกัน)

    สรุปคือผมจำเป็นต้องบอกว่า "ไม่ใช่ลูกศิษย์ท่าน"
    เหตุผลสำคัญคือเพื่อให้ชัดเจนว่าทำไมบางคำพูดจึงเหมือนกัน
    แต่บางคำจึงดูขัดกัน โดยเฉพาะแนววิธีเริ่มเจริญสติ
    มันเป็นเรื่องของพื้นหลังและการตั้งต้นประสบการณ์ทางธรรม
    ไม่ใช่เรื่องของการไม่ลงรอยเดียวกัน
    ท่านเคยบอกกับผมว่าคงต้องแยกกันทำงาน
    ไม่เช่นนั้นคนจะสับสนได้

    แต่หลายปีต่อมามีคนกังขา ผมพูดอย่าง ท่านพูดอีกอย่าง
    แล้วคนก็ชอบเข้าทางโน้นทีทางนี้ที
    ผมเห็นเป็นวี่แววความขัดแย้งระยะยาว
    จึงไปกราบและช่วยท่านสอนที่สวนสันติธรรมให้คนเห็นเสีย
    เป็นอันระงับความสงสัยเสียได้ว่าใครยอมรับนับถือใคร

    ถาม - หลวงพ่อปราโมทย์สำคัญอย่างไร
    คุณดังตฤณถึงยกท่านอยู่คนเดียว?

    ตอบ - ผมไม่ได้ยกท่านคนเดียว
    ผมพูดเสมอว่าคนที่มีบุญคุณให้ความรู้กับผมมีใครบ้าง
    แล้วก็ยกย่องเสมอว่าปราชญ์ทางพุทธท่านใดน่ากราบไหว้บ้าง
    เพียงแต่อาจจะกระจัดกระจาย ส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยเห็น
    เห็นแต่ที่ผมยกท่านเป็นหลักตั้งด้วยคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้"
    ซึ่งมีมาในนิตยสารธรรมะใกล้ตัวโดยตลอด

    อย่างไรก็ตาม นอกจากจะรู้จักสนิทกันตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว
    ผมยังเห็นความสำคัญของท่าน
    คือศักยภาพในการช่วยให้ฆราวาสหันมาศรัทธาพุทธด้วยปัญญา

    พุทธพังเพราะฆราวาสไม่รู้
    ไม่ใช่เพราะพระไม่ดี
    พูดอย่างนี้อาศัยเหตุอะไร?
    เหตุคือคนเราอยู่ๆเกิดมาเป็นพระเลยไม่ได้
    ต้องเป็นฆราวาสก่อน
    ตอนเป็นฆราวาสจะรู้หรือเข้าใจพุทธอย่างไร
    พอเป็นพระก็มีแนวโน้มจะพัฒนาต่อยอดอย่างนั้น
    ถ้าเป็นฆราวาสที่รู้ไม่ดี รู้ไม่พอ หรือรู้ไม่ถูก
    พอเป็นพระก็มีสิทธิ์หลงกับอะไรที่ไม่ถูกและไม่ดีพอได้

    สถานการณ์ของพุทธในไทยทั้งอดีตและปัจจุบันเป็นอย่างไร?
    พระส่วนใหญ่ท่องจำแต่บทสวดงานศพ
    มีการสอนในชั้นเรียนนักธรรมว่ามรรคผล ฌาน ญาณ สมัยนี้ไม่มีแล้ว
    แล้วก็ใจกล้าหน้าทนเอาสื่อลามกเข้าไปสะสมในกุฏิกันมากขึ้นทุกที
    ฆราวาสส่วนใหญ่จึงกราบไหว้พระที่ไม่ทำตามกติกา
    ที่ตกลงไว้กับพระพุทธเจ้าในวันบวช
    นั่นคือจะบวชเข้ามาเพื่อจุดประสงค์สำคัญ
    บำเพ็ญเพียรเพื่อเอามรรคเอาผลกัน

    ส่วนพระที่ปฏิบัติจริง ก็มักอยู่ในที่ที่ห่างจากฆราวาส
    หรือไม่ก็สอนฆราวาสในเฉพาะเรื่องบุญกุศลและศีลธรรม
    ซึ่งสมัยนี้มักเบือนหน้าหนีมากกว่าหันหน้าฟัง
    ช่องว่างระว่างฆราวาสกับพระจึงถ่างกว้างมาตลอด
    แล้วฆราวาสที่ไหนจะเอากำลังใจมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ
    หรือเจริญสติตามหลักการของพระพุทธเจ้าได้?

    จุดสรุปคือลงเอยว่าฆราวาสส่วนใหญ่มองไม่เห็น
    ว่าแก่นพระศาสนาอยู่ตรงไหน
    อย่าคิดว่าเรื่องเล็กนะครับ
    ฆราวาสมีความต้องการแค่ให้พระสวดให้ฟัง
    หรือเทศน์เรื่องศีลธรรมง่ายๆให้รู้สึกว่าได้บุญ
    พระส่วนใหญ่ก็จัดให้ตามนั้น เน้นท่องสวด
    เน้นเทศนาเฉพาะศีลธรรมระดับต้นๆ
    นี่เท่ากับพระพุทธศาสนามีค่าแค่ทางไปสวรรค์
    ทางไปนิพพานไม่มีการแสดง
    คนเขาถึงชอบพูดกันว่าศาสนาไหนก็สอนให้เป็นคนดี
    แล้วในความจดจำสืบๆมาก็คือทุกศาสนาเหมือนกันหมด
    คือทำให้เป็นคนดี มีแค่หยิบมือที่เข้าใจว่าพุทธศาสนา
    บอกทางให้พ้นจากความเป็นคนดีที่สีหน้าเศร้าสร้อยได้ด้วย

    เมื่อผลงานของหลวงพ่อปราโมทย์เป็นที่ประจักษ์
    ว่าชักพาคนอยู่บ้านมาเป็นคนเข้าวัดได้มหาศาล
    ผมจึงไม่ลังเลที่จะสนับสนุนท่าน
    ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมสนับสนุนท่านอื่น
    แล้วก็ไม่ได้ประกาศว่าจะเจริญสติได้
    ต้องมาที่หลวงพ่อปราโมทย์เท่านั้น

    การเขียนทั้งหมดนี้
    ใจไม่ได้เล็งอยู่ที่การช่วยรักษาชื่อเสียงให้หลวงพ่อปราโมทย์
    แต่ชื่อเสียงของพระศาสนาผูกอยู่กับกรณีของท่าน
    เพราะรวมคนเข้าไว้ด้วยกันหลายฝ่าย
    ฝ่ายรู้เรื่อง ฝ่ายไม่รู้เรื่อง ฝ่ายสมัครใจเดาโดยไม่รับฟังใดๆ ฯลฯ
    ถ้าพอจะช่วยให้ท่านๆมีใจเป็นกุศลขึ้น สบายใจขึ้น หนักแน่นขึ้น
    ผมก็จะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

    จุดยืนของนิตยสารธรรมะใกล้ตัว
    มีคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้" นำหน้า
    เมื่อเช้าผมได้กราบเรียนท่านโดยตรงแล้วว่าจะให้คงไว้ต่อไป
    ไม่ถอดออกตามคำขอของหลายฝ่าย
    มิฉะนั้นเท่ากับเป็นการทำให้ผู้คนนึกว่าผมถอนตัวอีกคน
    และขอประกาศเป็นทางการ
    ว่าคอลัมน์ "ธรรมะจากพระผู้รู้" ในนิตยสารธรรมะใกล้ตัว
    ต่อไปนี้จะอยู่ในการตัดสินใจและรับผิดชอบของผมเพียงผู้เดียว
    ว่าจะให้อยู่หรือไม่อยู่ต่อ
    ผมจะไม่ยกการตัดสินใจใดๆให้ใครแม้จะเป็นที่ประชุมทีมงาน
    ถ้ามีการข่มขู่กันจะได้ข่มขู่ถูกตัว อย่าไปข่มขู่คนอื่นเลยนะครับ

    ดังตฤณ
    มกราคม ๕๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2010
  12. ตถาตา.

    ตถาตา. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +30
    ทฤษฎีหรือจะสู้เท่าปฏิบัติได้ "มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทาสรรเสริญ ล้วนแล้วเกิดจากตัญหา ในเมื่อตัวเองไม่รู้ก็ไม่ควรสอนให้ผู้อื่นจะเป็นบาปเสียเปล่า ๆ" ข้อความตอนหนึ่งในอสีติมหาสาวกครับ
     
  13. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ ตอนแรกไม่เห็นกระทู้นี้ แต่เมื่อเห็นแล้ว ต้องขอเสริมดังนี้ครับ

    "ถ้าเราเพ่งไว้ กายก็นิ่ง ใจก็นิ่ง ถ้ากายนิ่งใจนิ่งนะ มันก็ไม่มีไตรลักษณ์ให้ดู เราภาวนา เราทำวิปัสนา เพื่อให้เห็นกาย เห็นใจ แสดงไตรลักษณ์ เพื่อจะดูไตรลักษณ์ ถ้าหากเราเพ่งกาย เราเพ่งใจ กายก็นิ่ง ใจก็นิ่ง ไม่มีไตรลักษณ์ให้ดู"

    ตรงนี้มีส่วนถูกและส่วนผิด จงระวังให้จงหนัก ปฏิบัติไม่ถูกอานาปานสติจะไม่มีทางก้าวหน้าถึงฌานได้ เพราะการฝึกสมาธิจะต้องทำให้เหมือนกับผูกม้าพยศไว้กับหลัก หลักของโยมที่ถามนี้ คือ ลมหายใจ สติเปรียบเหมือนเชือก ม้าพยศเปรียบเหมือนจิต...

    เวลาปฏิบัติไม่ใช่ไปค่อยดูจิตเป็นหลัก ลมหายใจเป็นรอง มันต้องคอยดูลมหายใจเป็นหลัก คอยเพ่ง(ตั้งใจไม่เคร่งเครียด)อยู่ เขาทำอย่างนี้กันทั้งนั้นในเบื้องต้น หากไม่ทำอย่างนี้จะไม่มีทางที่จะบรรลุฌานได้ แต่เมื่อไรจิตเผลอไปค่อยไปสนใจจิตค่อยไปรู้จิต จัดการกับจิตแล้วกลับมาดูลมหายใจต่อไป การคอยเพ่งอยู่กับลมหายใจไม่ใช่ว่าไม่เห็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่ไม่รู้จิต เรารู้อยู่แ้ล้วในตัว มีสติอยู่ด้วยในตัว แล้วว่าจิตมีสมาธิหรือไม่ จิตมีนิวรณ์หรือไม่ตรงนี้เป็นไตรลักษณ์ที่ปราฏก นอกจากนี้ยังรู้ไตรลักษณ์ของลมหายใจมีเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอยู่ตลอดเวลา รู้ว่าจิตมีสมาธิระดับต่างๆ ฯลฯ

    แต่ที่บอกว่าเมื่อจิตนิ่งไม่เห็นไตรลักษณ์ฺตรงนี้ท่านตอบไปก็มีส่วนถูก ไม่ใช่ไม่ถูกเลย แต่ไม่ถูกทั้งหมดแบบทุกครั้งทุกคน มันขึ้นอยู่กับสภาวะของสมาธิ และจุดมุ่งหมายในการฝึกของแต่ละคนด้วย วิธีการฝึกของแต่ละคนด้วย ขอยกตัวอย่างระดับสูง ดังนี้

    พระสารีบุตรนั้นบรรลุด้วยอานาปานสติ วิธีที่ท่านใช้ คือ สมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนา เวลาที่ท่านปฏิบัติท่านจะเริ่มโดยแน่วแน่ไปกับลมหายใจไม่ไปสนใจจิตเอาไว้ก่อน แต่เมื่อจิตเป็นนิวรณ์ค่อยไปสนใจจิต

    ท่านทำไปอย่างนี้จนกระทั่งบรรลุปฐมฌาน เมื่อท่านบรรลุปฐมฌาน ท่านก็จะเห็นไตรลักษณ์ คือ ท่านเห็นองค์ฌานในปฐมฌานที่เกิดขึ้น และนิวรณ์ที่ดับไปนั่นเอง ท่านก็พิจารณาสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในฌานนั้น

    จากนั้นท่านก็มาจดจ่อแน่วแน่อยู่กับลมหายใจต่อไปไม่สนใจจิตเอาไว้ก่อนอีก ไม่สนใจองค์ฌานในปฐมฌานอีก ทำไปจนได้ทุติยฌาน หลังจากเข้าทุติยฌานได้แล้ว ท่านก็จะเห็นไตรลักษณ์ คือ องค์ฌานที่เกิดขึ้นในทุติยฌาน และองค์ฌานในปฐมฌานที่ดับไป

    แล้วท่านก็มาทำฌานสูงๆ ขึ้นไป พอได้ฌานใดก็พิจารณาองค์ฌานอีกอย่างนี้เรื่อยไปจนกระทั่งบรรลุอรหันตผล


    ซึ่งจะเห็นได้ว่า ท่านใช้การ "เพ่ง" อย่างถูกต้อง มีการเพ่งอยู่ตลอด เพ่งแบบสมถะ และเพ่งแบบวิปัสสนา


    เรื่องนี้ต้องพิจารณากันให้ดีๆ เพราะมันเป็นเรื่องของสภาวะ ไม่เช่นนั้นก็จะคลาดเคลื่อนได้ครับ
     
  14. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเรื่องกาลมะสูตร 10 ประการ รวมทั้งไม่ให้เชื่อว่าเป็นคำสอนของอาจารย์ รวมอยู่ด้วย เพราะพระพุทธเจ้า ต้องการให้ชาวพุทธมีปัญญา และปฎิบัติให้รู้เห็นด้วยตนเอง สำหรับผมคำสั่งสอนใดดีหรือไม่ดี ผมนำไปปฎิบัติและรู้เห็นด้วยตนเองแล้ว จึงไม่คลางแคลงใจ ..เชื่อมั่นและศรัทธา.ในโลกนี้มีสรรเสริญ ย่อมมีนินทา เป็นของคู่กัน .....ทุกอย่างไม่เที่ยง ทั้งนั้น
    และให้เราดูตัวเองเป็นหลัก เพ่งโทษตนเอง อย่างเพ่งโทษผู้อื่น เพื่อจะได้แก้ไขและพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆขึ้นไป ..

    เจริญในธรรมครับ

    บทความข้างล่างผมคัดลอกมาจาก ห้องกฎแห่งกรรม-ภพภูมิ ไว้เพื่อเตือนสติและพัฒนาตนเอง..

    อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทความผิดของตัวไว้เสมอ อย่าไปยุ่งกับคนอื่น คตินี้นักปฏิบัติทุกคนเขาจะประณามตัวเองเข้าไว้เสมอ อารมณ์ยุ่งอยู่กับกามราคะนิดหนึ่งเขาจะประณามว่าเลวทันที ของอะไรก็ดี ถ้าชมว่าสวย ชมว่างาม เมื่อรู้สึกขึ้นมาก็รู้สึกว่าใจของเรามันเลวเสียแล้วรึนี่ แค่นี้เขาตำหนิตัวเขาแล้ว แล้วยิ่งไปเพ่งโทษของบุคคลอื่นไปแสดงอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเร่าร้อน นั่นแสดงว่ากิเลสมันไหลออกมาทางกายและทางวาจา มันล้นออกมาจากใจมันเลวเกินที่จะเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ นี่เราต้องประณามอย่างนี้ แล้วทางที่ไปจะไปไหน เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังเป็นไม่ได้ ต้องไปขึ้นต้นมาจากนรก มันไม่เหมาะสำหรับเรา นี่เราต้องประณามตัวไว้เป็นปกติอย่าเที่ยวประณามคนอื่นเขา

    จงอย่าคิดว่าคนอื่นจะต้องมาลงโทษเรา ก่อนที่คนอื่นจะลงโทษ กรรมที่เราทำความชั่วมันก็ทำความเร่าร้อนให้เกิดขึ้นแก่เรา ใครเขาพูดความชั่วคราวใดเราก็สะดุ้งเพราะเรามันเลว พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนไว้เสมอ และจงโจทตน กล่าวโทษตนไว้เป็นปกติ หาความชั่วของตัว อย่าไปหาความชั่วของบุคคลอื่น ถ้าเลวมากเมื่อไหร่ เราก็เพ่งเล็งความเลวของบุคคลอื่นมากเท่านั้น ถ้าเราดีมากเท่าไหร่เราก็ไม่มองเห็นความเลวของบุคคลอื่น เพราะยอมรับนับถือกฎของกรรม ที่เรายังไปหาความเลวของบุคคลอื่น เสียดสีเขาบ้าง พูดกระทบกระเทียบเขาบ้าง ทำลายความสุขใจเขาบ้างนั่นแสดงว่า เรามันเลวที่สุดของความเลว คือความเลวมันไม่ได้ ขังอยู่ เฉพาะในใจ มันไหลออกมาทางกายไหลออกมาทางวาจา เพราะมันล้น เลวจนล้น นี่ขอทุกท่านจงจำไว้ อย่าไปมองดูความเลวของคนอื่น มองดูความเลวของตน ไม่ต้องไปปรับปรุงบุคคลอื่น ปรับปรุงเราเองให้มันดีที่สุด

    สำหรับคนที่เขามาสร้างความชั่วให้สะเทือนใจเรานั่นเขาเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ไม่มีทางที่จะคืนตัวได้ เราจงคิดว่าคนประเภทนี้เขาไม่ใช่คน เขาคือสัตว์นรกในอบายภูมินั่นเอง เราคิดว่า ถ้าเราจะไปต่อล้อต่อเถียงจะกระทำตอบ เราก็จะเลวตามเขาเวลานี้จิตใจของเขาจมลงไปในนรก ถ้าเราทำตามแบบเขาบ้าง เราก็จะจมนรกเหมือนกันมันไม่มีประโยชน์จิตเราก็ระงับความโกรธด้วยอำนาจ ขันติ หรือ อุเบกขา เฉย เขาเลวก็ปล่อยให้เขาเลวไปแต่ผู้เดียว เราไม่ยอมเลวด้วย

    อย่าทำอารมณ์ให้วุ่นวาย อย่าใจน้อย อย่าคิดมาก จงคิดไว้เสมอว่า เราต้องตาย อย่าห่วงคนอื่นมากเกินกว่ากฎของกรรม จงนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก อย่าทะเยอทะยานเรื่องยศศักดิ์ ถึงเวลามันได้ ถึงเวลามันมี ทำใจสบาย จะมีความสุข เรื่องลูกก็ขอให้ตั้งอารมณ์ไว้ ในฐานะพ่อแม่ที่ดี แต่อย่าดิ้นรนเกินพอดี จะเป็นทางตัดนิพพานให้ไกลออกไป

    ดีหรือชั่วมันอยู่ที่การควบคุมกำลังใจ ถ้าใจของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียอย่างเดียว ใครจะว่าดีหรือชั่ว ไม่มีความสำคัญ เขาจะประณามว่าเลวมันก็เลวไม่ได้ มันก็ต้องดีอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตของเราชั่วเขาจะสรรเสริญว่าดี มันก็ดีไม่ได้เหมือนกัน นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงให้รักษากำลังใจ เป็นสำคัญว่าควบคุมกำลังใจให้ดีไว้แล้วมันดีเอง ไม่ต้องไปฟังคำชาวบ้านเขา การที่เราดี เพราะรอให้ชาวบ้านสรรเสริญนั่นมันเป็นอารมณ์ของความชั่ว

    คนที่เขามาสร้างความชั่วให้สะเทือนใจเรา นั่นเขาเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมนี่ ไม่มีทางจะคืนตัวได้ ความเป็นอยู่ของเขาในสมัยปัจจุบันในชาติที่เป็นมนุษย์ เขาก็มีแต่ความเร่าร้อน มีแต่ความเศร้าหมอง เพราะกิเลสมันทำจิตใจให้เศร้าหมอง ตัณหาสร้างจิตใจให้เร่าร้อน อุปทานมีอาการเกาะความชั่วเป็นปกติ อกุศลกรรมทำความชั่วตลอดเวลา คนที่เป็นทาสของกิเลสตายแล้ว ไม่มีโอกาสจะเกิดเป็นคนแม้จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังเกิดไม่ได้ ต้องไปเกิดในอบายภูมิ นี่ถ้าบุคคลผู้ใดทำใจของเราให้เร่าร้อนด้วยกายกรรม ทำด้วยกายก็ดี ด้วยวจีกรรม ทำด้วยวาจาก็ดี เราจงคิดว่าคนประเภทนี้เขาไม่ใช่คน เขาคือสัตว์นรกในอบายภูมินั่นเอง เราก็คิดว่าถ้าเราจะไปต่อล้อต่อเถียง จะกระทำตอบ เราก็จะเลวตามเขา เวลานี้จิตใจของเขาจมลงไปแล้วในนรก ถ้าเราทำตามแบบเขาบ้าง เราก็จะจมลงนรกเหมือนกัน มันไม่มีประโยชน์ จิตเราก็ระงับความโกรธด้วยอำนาจ ขันติ หรือ อุเบกขา นี่ อุเบกขา เราใช้กันตรงนี้เลย เฉย เขาเลวก็ปล่อยให้เขาเลวไปแต่ผู้เดียว เราไม่ยอมเลวด้วย



    <FIELDSET style="BORDER-RIGHT: #ff0000 1px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #ff0000 1px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #ff0000 1px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #ff0000 1px solid"><LEGEND align=left>หลวงพ่อวัดท่าซุง</LEGEND>ถ้าเราทุกคนปรับปรุงใจตนดีแล้ว มันก็ไม่มีเรื่องยุ่งกับคนอื่น ไม่สร้างคนอื่นให้มีความเร่าร้อนในการที่จะเพ่งโทษคนอื่น ต้องรู้ตัวว่าเราเลวเกินไป นี่จงรู้สึกตัวไว้เสมอ รู้สึกตัวว่าเรามันเลว เลวมากจนกระทั่งขังไว้ในใจไม่ได้ มันจึงอุตส่าห์ไหลออกมาทางวาจา ไหลออกมาทางกาย นี่แสดงว่าความเลวมันล้นออกมาจากจิต ในข้อนี้ต้องคิดไว้เป็นประจำ อย่าทะนงตนว่าเป็นคนดี ถ้าดีแล้ว ปากไม่เสีย กายไม่เสีย ถ้าปากเสีย กายเสีย ความเลวมันล้น มีความดีไม่ได้



    </FIELDSET>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2010
  15. naproxen

    naproxen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +742
    กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ครูบาสงบ ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาท่าน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ธรรมภูต<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2630813", true); </SCRIPT> และท่าน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ขันธ์<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2635365", true); </SCRIPT> ที่แสดงธรรมชี้ความจริงกรณีพระปราโมทย์

    ธรรมแท้แห่งพุทธนี้ จะรักษาไว้ด้วยผู้เข้าถึงธรรมแท้

    ผู้ศึกษาธรรมที่ยังไม่ได้เห็นธรรมแท้ ไม่ได้วิปัสสนาญาณแท้ แล้วสอนธรรม ย่อมนึกคิดเอาตามที่ตนอยากให้เป็น หากไม่มีปัญญารู้พอว่านี้คิดนึกเอานะ มันเป็นทฤษฎีนะ

    ทฤษฎีที่นึกคิดไปตามจินตนาการ แล้วแสดงธรรมมันก็แสดงความไกลจากความจริงแท้บ้างเป็นธรรมดา

    กระผมมีโอกาสได้ศึกษาพุทธธรรมจากเถรวาทบ้าง เซ็นบ้าง รู้สึกไม่สบายใจต่อคำสอนของพระปราโมทย์มาเป็นปีๆแล้วเช่นกัน

    กราบขออนุญาต แสดงความเห็นว่า ปรมาจารย์เซ็นแท้ พระโพธิธรรมโจวซือ พระโต้สิ่นโจวซือ พระเว่ยหล่างโจวซือ มิได้สอนเรื่องจิต เหมือนอย่างที่พระปราโมทย์สอนดูจิตแบบท่านปราโมทย์ คำสอนของเซ็นแท้ไม่ว่าจะสั้นจะยาว มุ่งเพื่อให้เกิดญาณรู้ความจริงแล้วให้จิตสลัดกิเลสทิ้ง ให้จิตได้แสดงความประภัสสรของมันเอง
     
  16. naproxen

    naproxen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +742
    การแสดงความเห็นต่อไปนี้ไม่ได้มุ่งดูถูกเหยียดหยามใคร แต่ขอแสดงเพื่อกตัญญูต่อพระรัตนตรัย และครูบาอาจารย์

    การอวดตัวนั้น ไม่ว่ามีความสามารถที่จะอวดหรือไม่ ย่อมก่อให้เกิดการไม่ชอบใจได้เป็นธรรมดา

    การวิพากษ์วิจารณ์ลองถ้ากล้าวิจารณ์ ไปแตะไปต้อง ผู้อื่น สำนักอื่น ครูบาอารจาย์ นักปราชญ์อื่น
    ย่อมนำความไม่พอใจมาสู่ใจผู้คนได้เป็นธรรมดา ถ้ากล้าวิจารณ์เขา ตนก็ต้องพร้อมที่จะต้องถูกวิจารณ์ต้องฟังได้

    ธรรมวินัยมีอยู่ ตรวจสอบได้ว่าเราบกพร่องไหม ศีลพระมีสมบูรณ์เพียงใด สมาธิ ปัญญามีแค่ไหน ปฏิปทาวัตรปฏิบัติงามหมดจดงดงามพอหรือยัง เราตำหนิตนเองโดนศีลโดยธรรมวินัยได้ไหม มีคำครหาไปหาพระเถระ ไปหาสมณะอื่นที่ท่านพรรษามากกว่า ได้รับการยอมรับจากหมู่สมณะด้วยกันฟังท่านบ้างจะเป็นไร อันไหนดีก็ทำต่อ อันไหนเคลื่อนก็ปรับใหม่

    หมู่ลูกศิษย์ คนที่ศึกษาธรรม พระสงฆ์องค์เจ้า เพื่อนผู้ศึกษาธรรมด้วยกันเตือน จะไม่ฟัง จะไม่พิจารณาใคร่ควรบ้างหรือไร ตนปริยัติ ปฏิบัติภาวนา มานานแค่ไหน ลองเทียบเคียงพระไตรปิฎก พระสงฆ์องค์เจ้า ครูบาอาจารย์ ท่านอื่นๆมากพอหรือยัง ที่ว่าได้ผล เด็กอ่านหนังสือศีลธรรมลองได้ทำดูก็เป็นคนดีเพิ่มขึ้น

    ก็มีพุทธธรรมอันประเสริฐที่จำได้แล้วแล้วแสดงไปบ้างมันก็ต้องดีขึ้น
    แต่ในส่วนที่เขาวิจารณ์ว่าสอนผิดสอนเคลื่อนจากธรรมแท้ แล้วเราไปยึดมั่นก็จะพลอยหลงพลอยช้า
     
  17. ปุยฝ้าย.

    ปุยฝ้าย. สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +4
    อย่าไปวิพากษ์ วิจารณ์ พระท่านเลย พลาดพลั้งไป จะลำบาก นะจ๊ะ

    เรื่องของพระให้พระท่านพิจารณากันเอง.. เถิด นะจ๊ะ

    ...เราฆราวาสภูมิธรรมยังสูงไม่พอ หรอก..นะจ๊ะ

    อีกอย่างหนึ่งเวปนี้เขายังห้ามตำหนิติเตียนพระสงฆ์ในทางเสียหาย ด้วย นะจ๊ะ


    หันมาพัฒนาจิตใจตนเองกันดีกว่า....นะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2010
  18. TopciviL

    TopciviL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +215
    โอ้ยยย คนนี้มาเหนือเมฆ
    ถูกใจ เอาไปเต็มสิบดาว :cool:
     
  19. NamfonBaanfa

    NamfonBaanfa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +7,086
    สาธุ ดีแล้ว ชอบแล้ว (^_^)
     
  20. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    พระทองคำรูปหนึ่งเคยสอนไว้ว่า

    อย่าไปตำหนิใคร โดยเฉพาะพระ เพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

    บางคนมีวาจาสิทธิ์ (แม้จะเป็นขุนโจร) เขาย่อมมีดีของเขา

    การที่เราไปตำหนิเขา เท่ากับเป็นการสร้างกรรม และเป็นกรรมใหม่

    ที่ส่งผลในชาตินี้ ดังนั้นให้พิจารณาความเลวของตนเองดีที่สุด

    คนที่พิจารณาความเลวของคนอื่น ทั้งที่ตัวเรายังมีความเลว

    เท่ากับว่าเราเลวกว่าเขา

    ดังนั้น ขอให้ยุติการตำหนิกรรมซึ่งกันและกันนะครับ

    ใครผิด ใครถูก ไม่ใช่เรื่องของเรา ตายไปเขาก็รับกรรมเองครับ

    โมทนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...