ถึงเวลาที่โลกต้องตระหนัก!!

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 20 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    ถึงเวลาที่โลกต้องตระหนัก!!


    [​IMG]





    ธันวาคม 2547 แผ่นดินไหว วัดความรุนแรงได้ 9.6 ริกเตอร์ บริเวณเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ซัดถล่มชายฝั่งของหลายประเทศที่อยู่รายรอบมหาสมุทรอินเดีย อาทิ อินโดนีเซีย ไทย อินเดีย ศรีลังกา ฯลฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 165,000 คน

    2 พฤษภาคม 2551 พายุไซโคลนนาร์กิส พัดถล่มพื้นที่บริเวณปากน้ำอิระวดีของพม่า ส่งผลให้ เกิดภาวะน้ำท่วมและแผ่นดินถล่ม สร้างความเสียหายอย่างหนัก ตัวเลขอย่างเป็นทางการของพม่า มีผู้เสียชีวิต 22,000 คน และสูญหายอีก 41,000 คน แต่ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการคาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1 แสนคน

    12 พฤษภาคม 2551 เกิดแผ่นดินไหว วัดความรุนแรงได้ 7.8 ริกเตอร์ ในมณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้อาคารบ้านเรือนถล่ม ตัวเลขอย่างเป็นทางการซึ่งประกาศออกมาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 68,516 คน บาดเจ็บ 365,399 คน และสูญหาย 19,350 คน

    ล่าสุด วันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา เหตุแผ่นดินไหว วัดความรุนแรงได้ 7.0 ริกเตอร์ ในสาธารณรัฐเฮติ เกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ในทะเลแคริบเบียน สร้างความเสียหายให้กับประเทศนี้อย่างชนิดที่เรียกได้ว่า "ล่มสลายหมดทั้งประเทศ" ตัวเลขล่าสุดที่ได้รับก่อนการปิดต้นฉบับ พบผู้เสียชีวิตแล้ว 170,000 คน และมีการคาดกันว่ายังมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก

    เพียง 5 ปีที่ผ่านมา โลกได้ประสบกับหายนภัยอย่างรุนแรงมานับครั้งไม่ถ้วน

    4 เหตุการณ์ที่กล่าวถึงข้างต้น เป็นเพียงต้วอย่างของหายนภัยที่เกิดในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งก่อความเสียหาย และทำให้มีผู้เสียชีวิตจากภัยธรรมชาติไปแล้วถึงเกือบครึ่งล้านคน

    ไม่นับรวมปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยากจะหาคำบรรยาย ซึ่งปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก่อนจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติ อาทิ

    - พายุหลงฤดูที่ซัดกระหน่ำเกาะออสเตรเลีย

    - สภาพอากาศหนาวจัดในยุโรปและมณฑลทางตอนเหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีน

    - น้ำที่ท่วมอย่างหนักจนเกิดแผ่นดินถล่มในหลายประเทศในอเมริกาใต้

    - ภูเขาไฟมายอน เกิดปะทุขึ้นที่เกาะทางภาคกลางของฟิลิปปินส์

    ฯลฯ

    ปรากฏการณ์เหล่านี้เหมือนกับนัดหมายให้เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับภาพยนตร์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก" ซึ่งเพิ่งออกฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

    ไม่ว่าจะเป็นในภาพยนตร์หรือเรื่องจริง สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องตระหนัก คือหายนภัย อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมในโลกใบนี้ มาถึงเร็วและรุนแรง กว่าที่หลายๆ คนเคยปรามาสเอาไว้

    แต่ความตระหนักดังกล่าวแผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้างหรือไม่ เป็นเรื่องน่าคิด?

    ขณะที่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งมีตัวแทนจาก 192 ชาติ มาร่วมประชุมกันที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

    เป็นการประชุมเพื่อหามาตรการรองรับ หลังจากพิธีสารเกียวโตกำลังจะหมดอายุลงในอีก 2 ปีข้างหน้า

    แต่ผลการประชุมคราวนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ยังต้องมีการถกเถียงกันต่อ

    อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นระหว่างการประชุมได้แสดงให้เห็นถึงท่าทีของแต่ละประเทศ ที่มีต่อการเปลี่ยน แปลงสภาพแวดล้อมของโลกได้พอสมควร

    ประเด็นหนึ่งที่ถูกหยิบยกกันขึ้นมาตลอดเวลาที่มีการพูดกันถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก คือเรื่องของการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยโดยตรงที่ทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น

    ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปลดปล่อยออกมาในปริมาณที่มากเกินไป มีต้นเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ การบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ป่าจากการขยายตัวของชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็วเกินไป จนการปลูกป่าขึ้นมาเพื่อทดแทนป่าที่สูญเสียไป ทำได้ไม่ทัน

    อีกทั้งการบริโภคพลังงานที่มากเกินไป ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของสังคมเมืองและเศรษฐกิจ

    พลังงานที่ถูกบริโภคมากที่สุด คือพลังงานจากฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน การแสวงหาแหล่งพลังงานเหล่านี้จำเป็นต้องขุดเจาะพื้นโลก ทำให้เกิดโพลงใต้ดินและการเผาผลาญพลังงานเหล่านี้ เพื่อนำมาใช้บริโภค ก็เป็นการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาโดยตรง

    หลายปีมานี้แนวคิดที่จะสรรหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ทดแทนแหล่งพลังงานเดิมที่มาจากซากฟอสซิล จึงมีการพูดถึงกันมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นการพูดเพื่อสร้างกระแสความตื่นตัวชั่วครั้งชั่วคราว อันเป็นผลเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

    แต่น้อยครั้งนักที่จะเป็นการพูดเพื่อสร้างความตื่นตัวในระยะยาวคือ สร้างความตระหนักให้ผู้คนคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ อันเกิดขึ้นเนื่องจากการบริโภคพลังงานจากซากฟอสซิล

    ดังจะเห็นได้จากทุกครั้งที่ราคาน้ำมันเริ่มลดลง ความตื่นตัวของผู้คนที่จะแสวงหาพลังงานใหม่ๆ ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาดมาใช้ก็ลดลงตามไปด้วย

    คำถามที่นิตยสารผู้จัดการ 360 ํ ตั้งอยู่ในใจมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือ

    ทำไม การแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายสมดุลทางธรรมชาติ และไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชุมชน จึงไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระหลัก โดยไม่ต้องมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันในตลาดโลกมาเป็นตัวแปร?

    ทำไม การแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ที่สะอาด จึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนทั่วโลกควรต้องตื่นตัว เพราะมองเห็นว่าการบริโภคพลังงานที่มาจากซากฟอสซิลเพียงอย่างเดียว กำลังบ่อนทำลายโลกใบนี้ไปทีละน้อย ทีละน้อย?

    ทำไม การแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ จึงไม่ใช่เรื่องที่ทั่วทั้งโลกต้องตระหนัก เพื่อป้องกัน หรือตั้งรับกับหายนภัยใหญ่ๆ ที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และนับวันจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น?

    3 คำถามที่เกิดขึ้นข้างต้นยิ่งถูกเร่งเร้าให้รีบหาคำตอบให้ได้โดยเร็วขึ้น ทันทีที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติ จนเป็นที่มาให้เราต้องเร่งทำเป็นเรื่องจากปกในฉบับนี้

    ดังนั้น เรื่องปกของนิตยสารผู้จัดการ 360 ํ ฉบับนี้จึงอาจดูเป็นเรื่องเชิงนามธรรมหรือเป็นวิชาการไปบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่เราตั้งใจจะนำเสนอ แม้ว่าจะมีเวลาในการแสวงหาข้อมูลอย่างจำกัด วัตถุประสงค์ของเราขอเป็นส่วนหนึ่งหรือแค่เสียงหนึ่งที่ออกมากระตุ้นให้ผู้คนต้องตระหนักถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้และออกมาร่วมกันหาคำตอบ ให้กับ 3 คำถามที่เราได้ตั้งเอาไว้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว..!!!

    --------------
    [​IMG]
    http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=85001


    รูปประกอบคลิกดูที่ลิงค์ที่มาได้นะคะ.. <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=36>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=501 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] news stories
    [​IMG]
    <!--News Repeater-->ถึงเวลาที่โลกต้องตระหนัก!!

    </TD><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=bottom><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD background=/img/mgrmdot_3pix_black.gif>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    หลากทฤษฎีที่อธิบายความแปรปรวน
    โดย พัชรพิมพ์ เสถบุตร




    [​IMG]




    ความผันแปรของสภาพภูมิอากาศจนก่อให้เกิดเป็นหายนภัยและภัยธรรมชาติ สร้างความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก มีสาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไร หลากหลายทฤษฎีพยายามแสวงหาคำตอบให้กับคำถามนี้ แต่คำถามที่ว่าเราควรเชื่อทฤษฎีของใครดี? ยังมีความสำคัญน้อยกว่าคำถามที่ว่า "แล้วนับจากนี้ เราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร?"

    ในยามที่ประเทศต่างๆ เกิดสภาพภูมิอากาศปรวนแปรและภัยพิบัติต่างๆ ไปทั่วโลกเช่นนี้ คนส่วนใหญ่มักคิดไปถึงภาวะโลกร้อน อันมีสาเหตุมาจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากเกินไป

    เมื่อเร็วๆ นี้ นานาประเทศก็ได้ร่วมมือกันเจรจาตกลงหาทางแก้ไขภาวะโลกร้อน ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวรับผลกระทบ ในขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ บางกลุ่มก็มีความเห็นต่าง พวกที่มีความเห็นแย้งนี้ก็มีเหตุผลข้อมูลสนับสนุนหนักแน่นเช่นเดียวกัน โดยอ้างว่า

    "โลกร้อนอันเกิดจากการกระทำของมนุษย์ มิใช่สาเหตุแท้จริงของภาวะภูมิอากาศที่ปรวนแปรอยู่ในขณะนี้ มูลเหตุที่มีผลมากกว่า คือการที่แกนของโลกเบี่ยงเบนไปจากปกติ ร่วมกับวงโคจร ของโลกรอบดวงอาทิตย์เปลี่ยนไป ทำให้ปริมาณรังสีจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลกเปลี่ยนไปด้วย"

    ข้อมูลดังกล่าวจริงเท็จแค่ไหน ประชาชนตาดำๆ อย่างเราก็ควรจะฟังหูไว้หู รับฟังไว้ทั้งสองด้าน ก่อนที่จะปลงใจเชื่อฝ่ายใดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะจริงๆ แล้วทุกฝ่ายก็ใช้ข้อมูลสถิติ ที่ต่างฝ่ายต่างเก็บเอามาวิเคราะห์ โดยยังไม่สามารถพิสูจน์สรุปความเป็นมาได้แน่ชัด

    ภาวะโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์
    (Anthropogenic global warming, AGW)

    ในช่วงทศวรรษ 1970 Carl Sagan นักฟิสิกส์ นักพูด นักเคลื่อนไหวชาวอเมริกัน เป็นผู้ที่เริ่มออกมาพูดถึงภาวะเรือนกระจกและโลกร้อน ที่มนุษย์ทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาในปริมาณที่สูงเกินปกติ

    ตามด้วยคณะรัฐบาลของ Clinton นโยบายสำคัญอันหนึ่งในยุคนั้นคือการลดการ ใช้เชื้อเพลิง รักษาสิ่งแวดล้อม เท่าที่จะทำได้โดยความสมัครใจ มีการลดภาษีและการเสนอ วิธีการซื้อขายคาร์บอน Al Gore รองประธานาธิบดีเป็นผู้นำออกมาเคลื่อนไหว เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน จนมีหนังสือและสารคดีออกมาชื่อ An Inconvenient Truth ซึ่งต่อมาในปี 2006 Al Gore ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

    Al Gore ได้เชื่อมโยงภัยคุกคามของภาวะโลกร้อนเข้ากับประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม ชี้แนะว่าภัยจากภาวะโลกร้อนนั้นจะรุนแรงกว่าระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก

    แน่นอน! จะต้องมีผู้ออกมาคัดค้าน รัฐบาล George W.Bush เห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่ต้องการให้เรื่องนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ จึงปฏิเสธความร่วมมือกับนานาประเทศ ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซออกมามากที่สุดจนเป็นปัญหากันอยู่ทุกวันนี้

    ส่วนนักดาราศาสตร์กลุ่มที่เชื่อเรื่อง Ice Age ก็ออกมาแย้งข้อมูลหลักฐานที่อ้างขึ้นมาโดยกลุ่มโลกร้อน ว่าเป็นการวิเคราะห์ที่สรุปความสั้นไป เร็วไป จำเป็นต้องมองย้อนกลับไปถึงความเป็นมาของโลกให้ไกลกว่านั้น

    ประเด็นที่กำลังร้อนแรงอยู่บนเวทีโลกอยู่ขณะนี้คือ ภูมิอากาศที่แปรผันผิดฤดูกาล ปริมาณความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศที่สูงขึ้นๆ อย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ ทั้งหมดนี้มีความสัมพันธ์ร่วมกันจริงหรือ มากน้อยแค่ไหน

    ดูเหมือนว่านักวิทยาศาสตร์ทุกๆ ฝ่ายได้อ้างผลการวิจัยจากก้อนน้ำแข็งขั้วโลก ฝ่ายที่เชื่อภาวะเรือนกระจก หรือ AGW ก็มีข้อมูลหนาแน่น ได้มีการตรวจวัดอุณหภูมิและปริมาณคาร์บอนในบรรยากาศ เปรียบเทียบกับความเป็นมาในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเห็นชัดว่าเป็นกราฟอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติสอดคล้องกับปริมาณคาร์บอนได ออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นการกระทำของมนุษย์

    UN จึงออกมาเรียกร้องเตือนให้ชาวโลกหยุดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ

    คณะกรรมการวิชาการระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ หรือ IPCC ยังออกมาคาดการณ์ผลกระทบและหายนภัยต่างๆ ออกมามากมาย โดยอ้างผลการวิเคราะห์แสดงอุณหภูมิของโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สัมพันธ์กับปริมาณคาร์บอนในบรรยากาศที่สูงขึ้นเช่นเดียวกัน แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียดกราฟแสดงอุณหภูมิที่สูงขึ้น สะดุดลงด้วยสภาวการณ์ฤดูหนาวในซีกโลกด้านเหนือที่หนาวเย็นผิดปกติในปี 2007, 2008 และ 2009 ที่เพิ่งผ่านมา หิมะที่ตกมากผิดปกติ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของ IPCC ก็ยังไม่สามารถอธิบายได้แจ้งชัด

    ความเห็นต่าง...
    โลกกำลังย่างเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง?

    กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนทฤษฎีแกนโลกเอียงดังกล่าวข้างต้นก็ประกาศว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่งซึ่งจะทำให้โลกเย็นลงมิใช่ร้อนขึ้น การหมุน เวียนเปลี่ยนจากยุคน้ำแข็ง (Ice Age) และยุคอบอุ่น (warm interglacial age) เกิดขึ้นเป็นวัฏจักรทุกๆ 100,000 ปี โดยมีสาเหตุมาจากแกนโลกเอียง ส่วนที่ผ่านมาในช่วง 12,000 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน โลกอยู่ในช่วง interglacial warm period และในอนาคตอันใกล้ ช่วงอบอุ่นกำลังจะสิ้นสุดลง

    หากเป็นเช่นนั้นจริง ไฉนบรรยากาศของโลกจึงร้อนขึ้นๆ เช่นนี้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้อธิบายว่า โลกร้อนขึ้นเพราะ "การเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง โลกจะเปลี่ยนถ่ายความร้อนสู่น้ำในมหาสมุทร ทำให้น้ำทะเลร้อนขึ้น เมื่อน้ำทะเลร้อนขึ้นก็จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาสู่บรรยากาศมากขึ้นและทำให้กระแสน้ำทะเลระหว่างมหาสมุทร ต่างๆ ปรวนแปร"

    หลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อนี้ได้มาจากแกนน้ำแข็งขั้วโลก ตะกอนก้นมหาสมุทร ลักษณะทางธรณีวิทยาของชั้นหิน และฟอสซิลของซากพืชซากสัตว์โบราณ ข้อมูลยังบ่งชี้ว่า Ice Age ปรากฏอยู่ถึง 100,000 ปี ส่วนยุคอบอุ่น (interglacial warm age) มีระยะเวลาอยู่เพียง 12,000 ปี ความเชื่อนี้เริ่มมาจากการสังเกตของนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี 1842 และมีนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษค้นคว้าเพิ่มเติม จนมีการสรุปเป็นทฤษฎี ซึ่งเป็นที่เชื่อถือกันในหมู่นักดาราศาสตร์และนักวิชาการด้านภูมิอากาศ

    นักดาราศาสตร์ในกลุ่มนี้ยอมรับว่าทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่า ปัจจัยต่างๆจะต้องเป็นไปตามวัฏจักรธรรมชาติที่เป็นไปในระยะยาวเป็นหมื่นเป็นแสนปี มิใช่การผันผวนในระยะสั้นๆ เพียงร้อยปีพันปีและที่สำคัญคือ มิใช่เกิดจากการกระทำที่บิดเบือนธรรมชาติของมนุษย์ หากเป็นไปตามวัฏจักรธรรมชาติ ในอีกไม่ถึงร้อยปีข้างหน้า โลกจะมีภูมิอากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ และจะเกิด glacier ขึ้นทั่วไปในซีกโลกส่วนเหนือ (northern hemisphere)

    แล้วเราจะเชื่อฝ่ายไหนดีล่ะ

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เชื่ออย่างมีเหตุผล ถ้าต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล หนักแน่นแล้วเราจะเชื่อใครดีเล่า?... น่าจะ เชื่อตัวเราเองมากที่สุด โดยรับฟังข้อมูลทุกๆ ด้านและสรุปจากสิ่งที่เราเห็น เราประสบจริง

    ในสายตาของคนภายนอกวงการ เมื่อประมวลเหตุผลข้อมูลหลายๆ ด้านดูแล้ว เหตุผลข้อมูลทั้งสองด้านก็ไม่ได้ขัดแย้งกันทีเดียว น่าเชื่อถือด้วยกันทั้งสองฝ่าย ด้วยเห็นกันอยู่ชัดๆ แล้วว่า สภาพแปรปรวนต่างๆ เกิดขึ้นจริง แต่สาเหตุที่แท้จริงยังไม่มีฝ่ายใดบอกได้ชัด และมีกี่ส่วนที่เกิดจากภาวะโลกร้อน!

    ฝ่ายที่สนับสนุนภาวะโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์ (AGW) มองภาวการณ์อยู่ในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างจะมองแคบและมองสั้นไปหน่อย เมินเฉยต่อประวัติ อันยาวนานของโลกเมื่อหลายล้านปีก่อน ซึ่งเป็นรากฐานของสภาพภูมิอากาศโลกในปัจจุบัน

    ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนวัฏจักรทางดาราศาสตร์หรือยุคน้ำแข็ง ก็ออกจะมองกว้างและไกลเกินไป จนมองข้ามสภาวการณ์ปัจจุบันที่มนุษย์ทำลายระบบธรรมชาติจนเสียสมดุล

    การมองย้อนกลับไปไกลๆ ทำให้เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างแท้จริง พุทธศาสตร์กล่าวถึงการเปลี่ยน แปลงของโลกไว้ว่า ได้ผ่านมาหลายกัปหลายกัลป์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็ผ่านมาหลายภพหลายชาติจนนับไม่ถ้วน

    กราฟข้อมูลจากสถานีวิจัย Vostok ของรัสเซียที่ขั้วโลกใต้ มุ่งวิจัยประวัติความเป็นมาจากแกนน้ำแข็ง โดยดูถึงอุณหภูมิบรรยากาศโลก ความเข้มข้นของคาร์บอน และอนุภาคต่างๆ ในบรรยากาศ เมื่อ 420,000 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ได้แสดงให้เห็นยุคน้ำแข็งที่ผ่านมาและช่วงอบอุ่นเป็นวัฏจักรทุกๆ 100,000 ปี ในทำนองเดียวกับกราฟ EKG ที่แสดงการเต้นของหัวใจ

    ข้อมูลยังบ่งชี้ว่า ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์จะสูงขึ้นตามหลังการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกถึง 800 ปี จึงมิใช่เป็นเพราะระดับคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้น ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นตามมา อย่างที่เข้าใจกันในปัจจุบัน

    หรือพูดง่ายๆ ว่า คาร์บอนไดออก ไซด์มิใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ในทางตรงข้าม อุณหภูมิอากาศที่สูงขึ้นต่างหากเป็นเหตุให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้น

    นอกจากนั้นยังมีกระแสความเชื่อของนักดาราศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่ง ที่เฝ้าสังเกตความเป็นไปของดวงอาทิตย์ ปัจจุบันพบว่าปฏิกิริยาของ sunspots บนพื้นผิวของดวงอาทิตย์นั้นรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณแสงและรังสีจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลกร้อนแรงขึ้นประมาณ 0.1% จากที่เคยเป็นมาเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว นักวิชาการกลุ่มนี้ชี้ว่าปฏิกิริยา sunspots ดังกล่าวทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นได้ แต่จะมากน้อยแค่ไหนยังไม่มีใครสรุปออกมาได้ ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีผลเพียงเล็กน้อย

    ถ้าเรามองสถานการณ์อย่างคนธรรมดาทั่วไป ก็ย่อมรู้สึกได้ว่าภูมิอากาศผิดปกติที่เราสัมผัสกันอยู่ทุกวันนี้ น่าจะมาจากการทำลายธรรมชาติของมนุษย์เป็นแน่ ดังนั้น ถ้า เราเพลาๆ กิจกรรมต่างๆ ลงบ้างด้วยการประหยัดน้ำมัน ลดการตัดไม้ทำลายป่า ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือยก็ย่อมทำให้สภาพการณ์ดีขึ้นได้เป็นแน่

    ถึงอย่างไร โลกก็ยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวัฏจักร และสรรพสิ่งในโลกก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่แห่งใดมีกรรมดีอยู่มาก ก็คงหลุดพ้นจากบ่วงหายนภัย ฉะนั้นการทำกุศลกรรม เช่น รักษาสิ่งแวดล้อม ป่าไม้ สัตว์ป่า มีความพอเพียง ย่อมนำไปสู่ความสุขความสงบพ้นภัยได้บ้าง

    การที่เราจะตระหนักได้เช่นนี้ ประชาชนทั่วไปจำเป็นต้องมีความรู้และมิใช่เรียนรู้จากโลกภายนอก ที่องค์กรหรือสื่อจากต่างประเทศบอกแก่เราเพียงฝ่ายเดียว แต่คนไทยเราต้องเรียนรู้จากความเข้าใจสภาพการณ์ในประเทศของเราเองด้วย ด้วยความร่วมมือของทุกๆ ฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน จะต้องช่วยกันแสวงหาความรู้ความคิดริเริ่ม ลงมือปฏิบัติด้วยตัวของเราเอง จึงจะก้าวไปได้อย่างมั่นคง ไม่จำเป็นต้องหวังพึ่งพาภาครัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว

    ผู้เขียนอยากเห็นเมืองไทยมีเวทีเสวนาเรื่องวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น อยากเห็นคนไทยตื่นตัวและมีความคิดเห็นของตนเองบนพื้นฐานของเหตุผลและวิทยาศาสตร์มากขึ้น มากกว่าที่จะเชื่อตามที่องค์กรต่างๆ ระหว่างประเทศเผยแพร่ออกมาไปเสียทั้งหมด ด้วยประเทศไทยควรรู้จักตนเองให้ดีที่สุด เพื่อสร้างจุดยืนของตัวเราเองในการเสริมสร้างเศรษฐกิจสังคมที่เหมาะสมกับประชาชนคนไทย

    -------------------
    [​IMG]
    ��ҡ��ɮշ��͸Ժ�¤�����û�ǹ - gotomanager.com - �Ե���ü���Ѵ��� 360°

    รูปประกอบคลิกดูที่ลิงค์ที่มาได้นะคะ.. <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=36>[​IMG]</TD><TD vAlign=center align=middle width=85><SCRIPT src="http://w.sharethis.com/button/sharethis.js#publisher=73eb6050-882b-4b1f-b5a2-434acd97a284&type=website" type=text/javascript></SCRIPT></TD><TD vAlign=top align=middle width=86></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=501 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] news stories
    [​IMG]
    <!--News Repeater-->หลากทฤษฎีที่อธิบายความแปรปรวน


    </TD><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=bottom><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD background=/img/mgrmdot_3pix_black.gif>
    [​IMG]





    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  3. godman

    godman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,254
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะครับ
     
  4. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาสำหรับบทความดีๆ ที่มีสาระประโยชน์ ที่ท่านเจ้าของกระทู้
    ได้กรุณานำมาให้อ่าน เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ จะได้ไม่ประมาทในชีวิตและ
    ควรรีบเร่งสร้างความดีกันให้มากๆ ครับ

    เชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญครับ
    www.buddhasattha.com<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2010
  5. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    มันเป็นเช่นนั้นเอง
     
  6. chotiwit

    chotiwit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,616
    ค่าพลัง:
    +1,794
    การทอดลองยิ่งสิ่งของต่าง ๆ ขึ้นสู่อาวกาศ ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกร้อนด้วยนะ
     
  7. kampuju

    kampuju ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +62
    ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลดีๆครับ
     
  8. metus.chol

    metus.chol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2009
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +35
    ขอขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่นำมาเสนอ
     
  9. fightfight

    fightfight Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +28
    ขอบคุณบทความดีดีทำให้ตะหนักถึงการรักษ์โลกมาก

    ช่วยกันลดโลกร้อนนะครับ

    ช่วยกันคนละมือ
     
  10. thol

    thol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +837
    อนุโมทนาสาธุครับ
    ขอบคุณที่มีบทความดีๆมาบอกกล่าว
    และขอให้ช่วยกันลดโลกร้อนด้วยกันนะครับ
     
  11. ผู้มาเยือน

    ผู้มาเยือน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2006
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +12
    จริงๆแล้วถ้าเป็น web อื่นผมคงไม่ค่อยแนะนำแต่ที่นี่คงมีสติพอ เพราะในข้อมูลจากสถาบันทางวิทยาศาสตร์มีมากมายที่บ่งบอกถึงความผิดปกติในช่วงคาบเวลานี้ ซึ่ง
    จริงๆแล้วมันเป็นวัฎจักรที่เวียนมาบรรจบพอดีเนื่องจากไม่ว่าจะเกิดจากการเกิดมากมายของมนุษย์ชาติที่มากแบบอัตราเร่งซึ่งเข้าตามหลักทางหลักทางชีววิทยาว่าการล่มสลายของสิ่งมีชีวิตนั้นเกิดอยู่สองอย่างคือ จำนวนลดลงแล้วหมดไป หรือ เพิ่มจำนวนมากขึ้นจนเกิดการแย่งชิงทรัพยากรแล้วจึงทำลายกันเอง + ทำลายโดยทางนิเวศน์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ แต่หลักทางธรรมการที่มีการเกิดขึ้นของสัตว์นรกหรือผู้ไร้ธรรมมากขึ้นมันก่อให้เกิดการเสียสมดุลย์จึงต้องถูกกรรมจัดสรรใหม่ ซึ่งไม่แปลกหากหลายๆเหตุการณ์ในปัจจุบันของหายนะมาบรรจบกันทั้งในเรื่องโลกร้อน แผ่นดินไหว น้ำท่วม ภูเขาไฟใกล้ประทุ
    สงคราม พลังงานสูงแผ่มาจากการแปรปรวนของดวงอาทิตย์ การเคลื่อนตัวของระบบสุริยะที่เข้าใกล้เมฆหมอกพลังงานที่กระทบทั้งระบบโซล่าร์ อุกาบาตที่หลายลูกที่มีโอกาสเข้ามาชนโลก ฯลฯ การจัดสรรของระบบกรรมก็ดำเนินต่อไปแต่โลกก็ยังอยู่ ( รอการตรัสจากพระศรอารยเมตไตรฯ) มีแต่สิ่งมีชีวิตเท่านั้นต้องแปลงเปลี่ยนโดยกรรมจัดสรร จริงๆแล้วเราไม่สามารถยับยั้งกรรมที่จะเกิดได้ แต่สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการเตรียมรับมืออย่างมีสติเหมือนดั่ง พระมหาชนก รับมือกับสถานการณ์วิกฤติบนเรือที่กำลังจะล่มในมหาสมุทรโดยสามารถใช้สติคิดการณ์เพื่อรับมืออย่างมีความชาญฉลาดอย่างยิ่งเช่นรู้ว่าจะต้องอยู่ในทะเลยาวนาน พระองค์จึงเสวยเนยให้มากเพื่อเป็นเสบียงและความอุ่นเมื่อต้องอยู่ในมหาสมุทรอย่างทรหด ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งในการใช้สติรับมือต่อเหตุการณ์ที่วิกฤติ ในหายนะที่รออยู่ข้างหน้าจะเกิดเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ผมอยากเชิญชวน
    เหล่าท่านพุทธภูมิทั้งหลายที่มีความรู้ทางโลกเพื่อช่วยเหลือเหล่ามวลมนุษย์ได้ monitor
    สภาพเหตุการณ์จาก ข้อมูลที่ได้จากโลกตะวันตกซึ่งมีข้อมูลและเครื่องมือที่ล้ำสมัย ซึ่งมีหลายสถาบันทำการ monitor ความหายนะตามส่วนต่างๆของโลก ทำให้เราทราบข้อมูลทันกับการเกิดขึ้นและการคาดการณ์กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นพอได้บ้าง แต่ก็ใช้หลักของพระพุทธองค์เรื่องกลามสูตร แล้วใช้การพิจารณาที่เป็นกลางเข้าพิจารณาก็จะรู้ได้ว่ามีความน่าจะเป็นเพียงไร ซึ่งบาง web ก็ต้องใช้การคิดที่เป็นกลางพอสมควร จะได้ไม่ตื่นตระหนก
    แต่ให้รู้ตามอย่างมีสติ ที่แนะนำคือ www.lawrenceejoseph.com แต่คุณอย่าเชื่อทั้งหมดเช่นเกิดปี 2010 ผมยังแค่เก็บเป็นข้อมูลเพราะระบบกรรมนั้นซับซ้อนนักอาจเกิดเร็วกว่านี้หรือหลังก็ได้ ซึ่งฝรั่งที่เขียนเรื่องนี้ก็มีชื่อเสียงพอสมควร แต่ยังไม่เข้าใจระบบกรรมเท่านั้นเนื่องจากคิดแนวอื่น แต่ web นี้มีพื่นฐานทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลทางวิทย์สนับสนุนอยู่มากซึ่งเชื่อมโยงในสถาบันที่มีชือของโลกทั้งนั้นซึ่งทำให้เข้าใจเหตุทั้งหลายมากขึ้น.....และผมขอแนะนำ web RSOE EDIS - Emergency and Disaster Information Service
    สำหรับการ monitor การหายนะทั่วโลกใกล้ Realtime ครับซึ่งมีความน่าเชื่อถือสูงแต่ต้อง refresh บ่อยหน่อยครับเพราะข้อมูลเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จะได้ช่วย monitor หลายๆตาเตือนกันก่อนครับ ...ฝากท่านๆที่ช่วยเหลือมวลชนที่สร้างกรรมดีด้วยครับ
    และขอฝากไว้ครับ " รู้อย่างไม่ตระหนก มีสติ เพื่อช่วยเหลือต่อไป"
     

แชร์หน้านี้

Loading...