รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    สงสัยในเรื่องการวางจิตให้อยู่เหนือโลก

    สิ่งเร้าภายนอกที่มาสัมผัส ประสาทสัมผัสทั้ง 5

    1.ตา เห็นรูปที่น่ายินดี หรือไม่ยินดีก็ตาม เห็นก็สักแต่ว่าเห็น แล้ววางเป็นอุเบกขา
    2.หู ได้ยินเสียงที่น่ายินดี หรือไม่น่ายินดีก็ตาม ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน แล้ววางเป็นอุเบกขา
    3.จมูก ได้กลิ่นที่น่ายินดี หรือไม่น่ายินดีก็ตาม ได้กลิ่นแล้วก็สักแต่ว่าได้กลิ่น แล้ววางเป็นอุเบกขา
    4.ลิ้น ได้รับรสที่น่ายินดี หรือไม่น่ายินดี ได้รับรสก็สักแต่ว่าได้รับรส แล้ววางเป็นอุเบกขา
    5.ผิวสัมผัส ได้รับสัมผัสที่น่ายินดี หรือไม่น่ายินดี ได้รับสัมผัสก็สักแต่ว่าได้รับสัมผัส แล้ววางเป็นอุเบกขา

    อย่างนี้หรือเปล่าครับ ที่ยังคงเกี่ยวข้องอยู่กับทางโลก แต่วางตัวให้อยู่เหนือโลก
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Ukie ครับ

    สวัสดีค่ะ ขอเข้ามาแชร์และหาความรู้เพิ่มเติมด้วยคนนะคะ รบกวนช่วยแนะนำด้วยค่ะ

    เมื่อเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมา ได้เริ่มมานั่งสมาธิอย่างจริง ๆ จัง ๆ น่ะค่ะ ก้อเริ่มจากนั่งสมาธิกำหนดดูตามลมหายใจ จนมีอยู่ช่วงนึงที่จิตกระตุกและวาบสว่างน่ะค่ะ ก้อได้คำแนะนำให้ตามดู

    พอหลังจากตามดู จิตก้อค่อย ๆ ไหลและวาบช้า ๆ แทนที่จะกระตุกน่ะค่ะเป็นอยู่อย่างนี้หลายวัน จนได้รับคำแนะนำว่า เพราะจิตไม่มีอะไรทำเลยเคลิ้มและง่วง
    บ่อยครั้ง จึงหาอะไรให้จิตทำค่ะ อะไรที่ว่าคือ การทำวิปัสสนาค่ะ

    ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าจะทำตอนไหน ของข้าพเจ้าก้อทำตอนที่จิตเริ่มเคลิ้มและวาบมาสว่างน่ะคะ ตอนนั้นจิตจะนิ่ง (หลัง ๆ ไม่เคลิ้มแล้วค่ะ แต่จะเกิดเป็นนิมิตแทนพอระลึกจับสติได้ทัน ก้อจะนิ่ง ถึงเริ่มวิปัสสนาน่ะค่ะ)

    แต่ก้อไม่ได้สนใจหรือคำนึงถึงหรอกนะคะ ว่าขึ้นฌานหรือยัง บอกตรง ๆ ค่ะ ว่ายังไม่เก่งเลย อาการก่อนจิตนิ่งยังเคลิ้มและนิมิตอยู่เลย แต่ก้อไม่พยายามไปเครียดกับอาการที่ว่านี้นะคะ

    แต่ว่าตอนที่เริ่มวิปัสสนาน่ะค่ะ ข้าพเจ้าไม่ได้พิจารณากายเหมือนคนอื่น ๆ นะคะ คือไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรแปลกแหวกแนวนะคะ เพียงแต่พื้นฐานเป็นคนใจร้อนค่ะ หงุดหงิดง่ายอยู่ในสมาธิก้อสงบดีนะคะ แต่พอออกจากสมาธิมาใช้ชีวิตปกติ ก้อใจร้อนเหมือนเดิม ซึ่งไม่ดีเอาซะเลย

    ดังนั้นก้อเลยเริ่มจากหาคำตอบให้ตัวเองว่า ตัวเราเองขาดอะไร ซึ่งก้อได้คำตอบออกมา ว่าตัวเราเองขาดการยอมรับความจริงค่ะ

    ส่วนเรื่องที่วิปัสสนาก้อเริ่มที่เรื่อง ที่เป็นปัญหากับตัวเราเองมากที่สุด วิปัสสนาขณะที่มีกำลังสมาธิแข็งแรงพอ ต่อมาก้อจะมีจิตรู้ขึ้นเองค่ะ แต่ข้าพเจ้ายังไม่ถึงกับรู้แจ้งนะคะ ยังอีกไกลค่ะ

    เชื่อว่าสมาธิและปัญญาที่ดีต้องสามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย ไม่ใช่ว่าสงบเยือกเย็นในสมาธิ แต่พอออกนอกสมาธิมาใช้ชีวิตปกติ ก้อใจร้อน เหมือนเดิม อย่างข้าพเจ้า ไม่ดีเลยค่ะ ต้องใช้งานได้จริงด้วยค่ะ

    ไม่ทราบว่าเจ้าของกระทู้มีอะไรแนะนำเพิ่มเติมไหมค่ะ ปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
    ฌานจะพัฒนาขึ้นไปพร้อม ๆ กับการวิปัสสนาใช่ไหมค่ะ

    อีกเรื่องนะคะ เมื่อไหร่ที่อาการนิมิตแล้วเคลิ้ม มาวาบสว่าง จะหายไปค่ะ เป็นเรื่องปกติไหม ยังไม่ขึ้นฌาน 1 ใช่ไหมค่ะ

    รบกวนด้วยคน ขอบคุณค่ะ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    ให้ลองอ่านที่ผมเขียนและใช้จิตคิดตาม ทำตาม พิจารณาตาม สัมผัสอารมณ์ตามไปเลยนะครับ

    ให้เราย้อนกลับมาทำความใจ ในอารมณ์ของสมถะเสียก่อน เนื่องจากอารมณ์ของสมถะยังทำไม่สุด อารมณ์ของวิปัสสนา จึงพิจารณาแล้ว ยังไม่เข้าถึง อารมณ์ที่เบา ที่สบาย ที่วาง ดั่งที่จิตปรารถนา
    ดังนั้นให้เราย้อนกลับมาทำสมถะ ให้สุด ในอารมณ์เสียก่อน
    อารมณ์ของสมถะ ที่เราพึงจะทำให้เข้าถึงนั้น
    ในขั้นต้นขออธิบาย ให้เห็น ให้ทราบ ให้สัมผัสได้ ซึ่งอารมณ์ของสมถะเสียก่อน
    ให้ลองใช้ใจ สัมผัสอารมณ์ ตามที่ผมได้อธิบาย
    สภาวะของสมถะ ที่เราต้องการ ก็คือฌาณ4
    อันเป็นสภาวะ ที่จิตของเรา หยุด

    นิ่ง

    ปราศจากซึ่งความคิด

    ความคิดของเราจะดับไปทั้งหมด ไม่เหลือความคิด
    แม้จะกำลังอ่านที่ผมเขียนอยู่ แต่จิตของเราก็หยุดนิ่ง สัมผัสอาการที่จิตหยุด

    จิตประคองอยู่ในอารมณ์ที่สบาย ที่เบา

    ที่ชุ่มเย็น จากการปราศจากความคิด

    จดจำอารมณ์นี้ สัมผัสความสุขที่เกิดขึ้นจากอารมณ์นี้

    แม้เราจะลืมตาอยู่ จะกำลังมองตัวหนังสืออยู่ แต่จิตของเรา

    นิ่ง

    ไม่ไหวติง

    สัมผัสอาการที่จิตรับรู้ ยังเห็น ยังอ่านได้ ยังได้ยินเสียง

    แต่จิตหยุด

    ไม่ปรุงแต่ง นิ่ง

    รู้

    อยู่เฉยๆ

    เมื่อจิตของเราหยุดแล้ว

    ย้อนกลับมาสังเกตุลมหายใจของเรา

    ลมหายใจของเราก็

    หยุด

    ก็ดับไป

    ก็คล้ายกับไม่มีลมหายใจ

    ลืมตาอยู่อ่านข้อความนี้อยู่

    ลมหายใจก็ยังดับ ยังหยุด

    จิตก็หยุด นิ่ง

    ประคองอยู่ในอารมณ์สบายได้

    จดจำ สัมผัส ความรู้สึก อารมณ์ของสมาธิ ของสมถะเอาไว้

    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึง
    ซึ่งสภาวะ ที่จิต หยุด นิ่ง ตั้งมั่น รวมตัว
    ลมหายใจ ดับไป หยุดไป
    แต่ยังมีสติรู้ ยังรับรู้ โดยปราศจากซึ่งความคิด
    ซึ่งความปรุงแต่งได้ แบบนี้
    ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    ขอให้ข้าพเจ้ามีความคล่องตัว ในการหยุดจิต
    ในการเข้าถึงซึ่งอารมณ์สบาย จากการหยุดคิด
    หยุดจิต ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    ขอให้ข้าพเจ้า จดจำ สัมผัส รักษา จิตที่ปราศจากความคิดนี้
    ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อารมณ์ของสมถะนั้น คือ อารมณ์ที่จิต ได้ พัก ได้ หยุด ได้ผ่อนคลาย จากความวุ่นวาย ของความคิด

    จิตจะหยุด

    ความคิดจะดับไปทั้งหมด

    เหลือเพียงแต่ความสบายของจิต โดยส่วนเดียว

    จิตจะเห็นจิต

    เห็นสภาวะที่หยุด นิ่ง ของจิต

    ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

    ฝึก ที่จะสัมผัส ประคอง อารมณ์นี้ให้ได้ ตลอดเวลา ให้ได้ทุกครั้งที่ต้องการ

    เวลาเข้าสมาธิ ไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องไล่อารมณ์

    แต่ให้นึกถึง ระลึกถึง อารมณ์ที่จิตของเรา หยุด นี้
    จิตของเราจะดิ่งลึก ลงสู่สภาวะที่เบา ที่สบาย
    ที่เย็น จากการไม่มีความคิด
    ได้ในฉับพลันทันที

    ฝึกในการเข้าอารมณ์สบาย จิตที่ หยุด นี้

    ให้คล่อง ให้ได้ทุกครั้งที่เราต้องการ ลืมตาอยู่ ทำงานอยู่
    ก็สามารถหยุดจิต หยุดความคิดของเราได้

    เมื่อเราสามารถหยุดจิต หยุดความคิด สัมผัสอารมณ์ที่สบายได้ ทุกครั้งที่ต้องการ

    จิตของเราก็จะมีความเยือกเย็น จิตจะเริ่มชินกับอารมณ์ที่ชุ่มเย็น
    ความเร่าร้อน ก็จะค่อยๆ ลงน้อยลง จนกระทั่งหมดไปในที่สุด

    เมื่อทรงจิตให้หยุดได้ดั่งนี้แล้ว จึงค่อยหันมาจับอารมณ์วิปัสสนา เพื่อพิจารณาตัดกิเลสอีกทีหนึ่ง
    ด้วยความที่จิตของเรา มีกำลัง มีความเยือกเย็น ย่อมจะสามารถพิจารณาจนตัดสังโยชน์ได้โดยง่ายดาย

    ขอให้เข้าถึงซึ่ง จิต ที่หยุด นิ่ง ปราศจากความคิด ผ่อนคลาย
    ได้โดยฉับพลันทันใด ได้ณขณะจิตนี้ เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    สำหรับผมแล้วจิตใจที่ทรงสมาธิไม่จำเป็นต้องไม่สนใจในทางโลก เพียงแต่ลดความยึดมั่นหรือถือตั้งลง ให้เราเปลี่ยนมามองในมุมหนึ่ง หากมองแล้วจะไม่ใส่ใจในทางโลกก็คงมิได้ ยังมีผู้ที่ต้องการผู้ช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ หากไม่สนใจในทางโลกแล้วทางธรรมก็จะหยุดอยู่ในระดับอันพึงควร หากเข้าทางโลกมากไปก็จักทำให้จิตใจสับสนวุ่นวาย
    ในแง่มุมของผมแล้วจึงควรดำเนินในทางธรรมควบคู่กับทางโลกโดยอาศัยพึ่งพากัน เป็นทางสายกลางที่ควรเลือกเดิน


    ความทรงจำที่ดีขึ้นจากสิ่งเรานี้เป็นเพราะเราใส่ใจแต่เรื่องนั้นๆเรื่องเดียวเท่านั้น จึงทำให้รู้สึกว่าเราจำได้ หากไม่รับรู้ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว จะจำสิ่งใดคงยากครับ<!-- google_ad_section_end -->

    สาธุครับ เข้าใจได้ถูกต้องแล้วครับ
    หากเราทิ้งทางโลก โดยไม่สนใจเลย
    คือ การขาดพรหมวิหาร4 ขาดเมตตา
    สมาธิย่อมทรงอยู่ไมได้ด้วยเช่นกัน
    เราจึงต้องเดินทางสายกลาง
    ไม่วุ่นวายกับกิจทางโลกจนเกินไป
    แต่ก็ไม่ ไม่สนใจ ไม่รับรู้โลก
    เพราะแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระองค์วางได้แล้วซึ่งโลก
    แต่ก็ไม่ได้ไม่สนใจโลก พระองค์ยังคงสั่งสอน สรรพสัตว์ให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    หากพระองค์คิดจะไม่สนใจโลกเลย พระองค์ก็สามารถที่จะเข้านิโรธสมาบัติ
    จนดับขันธ์ปรินิพพาน โดยไม่มีใครทราบ ไม่มีผู้ใดมีโอกาสได้ฟังธรรมของพระองค์

    พระพุทธศาสนา ธรรมะ คือ ทางสายกลาง
    หากเราสุดโต่งไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง
    อารมณ์จิตของเราจะหนัก จะไม่สบาย ไม่เบา
    ดังนั้นเราจึงจะต้องหาทางสายกลางให้เจอ
    ทางสายกลางก็คือ อารมณ์สบาย หาอารมณ์สบายอันบังเกิดจากสมาธิได้
    ก็คือการเข้าถึงซึ่งทางสายกลางที่แท้จริง
    การรักษาใจให้สบาย จากสมาธิได้ ก็คือการปฏิบัติตามทางสายกลาง

    การเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ก็คือ การเข้าถึงซึ่งสภาวะจิต ที่มีความเบา สบาย ชุ่มเย็น สูงสุด เท่าที่จะพึงมีได้

    ดังนั้นขอให้ทุกๆคน หมั่นรักษาสภาวะจิต ให้อยู่ในความสบาย ในอารมณ์ที่สบาย ในสภาวะที่สบาย จากกำลังของสมาธิ ของวิปัสสนา ของความเมตตา ของบารมีพระ
    เอาไว้ให้ได้ตลอดไป
    ความคลาดเคลื่อนจากพระนิพพาน จะไม่บังเกิดขึ้น แก่ผู้ที่ทรงอารมณ์จิต เอาไว้ในความสบายดั่งนี้ได้เสมอ
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ NICKAZ ครับ

    หลังจากที่ได้ฝึกซ้อมกำลังใจกับเรื่องของฌาณสมาบัติมาจนเป็นที่พอใจของตัวเองแล้ว ได้เวลาประกาศท้ารบกับกิเลสมารทั้งสามเสียที

    แม่ทัพกิเลสมารตัวที่ 1 โลภะ ใช้จาคานุสติกรรมฐานเป็นอาวุธในการต่อสู้ ผมได้เริ่มทำไปแล้ว

    แม่ทัพกิเลสมารตัวที่ 2 โทสะ ใช้การเจริญพรหมวิหาร 4 ให้เป็นฌาณเป็นอาวุธในการต่อสู้ ผมก็ได้เริ่มทำไปแล้วเช่นเดียวกัน

    แม่ทัพกิเลสมารตัวที่ 3 โมหะ ใช้อสุภกรรมฐานเป็นอาวุธในการต่อสู้ เพิ่งจะอยู่ในระยะเริ่มต้น เรื่องการเจริญอสุภกรรมฐานนี้ผมจัดไว้ในลำดับหลังสุด เพราะต้องการให้กำลังใจนิ่ง อยู่ตัวดีเสียก่อน เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ไม่ชอบการดูอะไรในเรื่องนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เจริญหู เจริญตาเอาเสียเลย แต่มาคิดว่าเรื่องอย่างนี้ การพิจารณาอย่างนี้ พระอรหันต์ทุกท่านก็ต้องผ่านมาแล้วแทบทั้งสิ้น ดังนั้นปุถุชนอย่างเรา ถ้าต้องการความก้าวหน้าในชีวิต ก็จำเป็นต้องผ่านไปให้ได้เช่นเดียวกัน

    อสุภะใช้สู้กับ ราคะ ครับ ตัดความพอใจในร่างกาย ในกามคุณ
    หากจะสู้กับโมหะ ให้ใช้กสิณแสงสว่าง ควบ พุทธานุสติกรรมฐาน ควบ มรณานุสติกรรมฐาน ควบ อุปสมานุสติกรรมฐาน
    คือให้ทรงภาพพระพุทธเจ้าให้ชัดเจนแจ่มใส เห็นเป็นเพชร และเห็นพระองค์แย้มยิ้มอย่างชัดเจน
    ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนขอไปที่นั่น

    วิธีการที่ใช้คือเริ่มต้นจากฌาณก่อนเหมือนที่เคยทำ ไล่ไปมา 1 2 3 4 อรูปฌาณ ขึ้นไปลงมาจนพอใจแล้ว จึงเริ่มมาจับอสุภกรรมฐาน ไม่มีโอกาสไปดูศพจริงๆ จึงใช้วิธีดูจากรูปภาพเอา ใช้ภาพศพเพิ่งตาย ศพขึ้นอืด เน่า ศพแห้งๆ มาดูให้จดจำภาพไว้ แล้วนึกถึงภาพศพนั้นๆ ให้เกิดเป็นภาพนิมิตในใจ แล้วพิจารณาไปตามวิธีของกรรมฐานกองนี้

    ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ ถ้าใจไม่นิ่งพอก็จะเกิดปัญหาได้ (สำหรับคนที่ไม่ชอบดูภาพประเภทนี้อย่างผมเป็นต้น) สิ่งที่พอจะทำได้ คือการใช้อำนาจของสมาบัติ ในการยึด ตรึงจิตให้มีความนิ่ง วางใจเป็นอุเบกขา คิดว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นครูที่จะมาสอนกรรมฐานให้กับเรา ก็ขอฝากตัวเป็นศิษย์กับท่าน เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ใจก็นิ่งไม่มีความหวั่นไหวกับภาพนิมิตน่ารังเกียจเหล่านี้ การเจริญกรรมฐานก็เป็นไปตามขั้นตอน หนักๆเข้า การดูภาพพวกนี้ ก็ไม่มีผลอะไร คือดูจนชินแล้วว่างั้น คิดได้ว่าทุกวันนี้เราก็อยู่กับซากศพคือตัวของเราเองทุกวันอยู่แล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายไปเอง

    สำหรับวันนี้มีคำถามที่จะขอคำแนะนำ ดังนี้ครับ

    1.ความเบื่อหน่ายในร่างกายที่เกิดขึ้นยังเป็นเพียงแค่ "สัญญา" อยู่ ถ้าต้องการทำความรู้สึกที่ว่านี้ให้เกิดเป็น "ปัญญา" เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสตัวนี้ จากวิธีการปฏิบัติที่กล่าวมา เจ้าของกระทู้เห็นว่า ผมควรจะต้องเพิ่มการปฏิบัติตรงจุดใดให้มากขึ้นครับ

    ความเบื่อหน่ายที่เกิดจากอสุภะกรรมฐานก็ดี กายคตานุสติก็ดี วิปัสสนาญาณก็ดี
    เป็นสิ่งที่เราจะต้อง ทำความเข้าใจ กับอารมณ์ตรงนี้ อย่างละเอียดถี่ถ้วน
    ความเบื่อหน่ายนี้ คือ อารมณ์ที่ปล่อยวาง คลาย วาง ผ่อนคลาย จากความยึดติด ความปรารถนาในร่างกาย
    ไม่ใช่อารมณ์ที่หดหู่ หรือเบื่อแบบเซ็งๆ
    แต่เบื่อแบบ เห็นในความเป็นธรรมดา จึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เบื่อแบบปล่อยวาง
    เบื่อแล้ววาง ไม่ใช่เบื่อแล้วรังเกียจ หรือผลักไส

    สัญญาก็คือความจำ เราจำว่ามันไม่ดี แบบนู้นแบบนี้
    แต่ปัญญา คือ การเข้าถึงอารมณ์ ของการปล่อยวาง
    หากเราสามารถสัมผัสอารมณ์จิต ที่คลายออก ที่วางในร่างกายของเรา วางในร่างกายของบุคคลอื่น และเกิดความเย็นขึ้นได้ นั่นแหละคือปัญญา

    สัญญาคือเรื่องของความจำ ปัญญาคือเรื่องของธรรมารมณ์
    เรารู้ว่า ถ้าแผ่เมตตาแล้วจะเย็นเป็นสัญญา
    เรารู้สึกเย็น เอิบอิ่ม มีความสุข เบิกบาน แช่มชื่น จากเมตตา คือปัญญา

    2.หลายครั้งพิจารณาซากศพจนฟุ้งซ่าน เลยต้องไปจับด้านสมาธิต่อ ใช้การเพ่งมองนิมิตภาพซากศพของเดิมไปเรื่อยๆ จากภาพศพขึ้นอืดเขียวๆเหลืองๆ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว เปลี่ยนเป็นศพสีใส และเป็นศพสีเป็นประกายเพชร สุกใส สว่างไสว (จริงๆ แล้วถ้าจิตมันบทจะคล่องขึ้นมา ดูการเปลี่ยนสีไม่ทันหรอกครับ ชั่วลัดนิ้วมือเดียวจากศพขึ้นอืดกลายเป็นศพประกายเพชร สุกใสไปแล้ว แต่อธิบายแบบช้าๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นประมาณนี้ครับ) อย่างนี้ถือเป็นฌาณ 4 ในกรรมฐานกองไหนครับ ระหว่างฌาณ 4 ในกสิณ หรือว่าเป็นฌาณ 4 ในอสุภกรรมฐาน รู้สึกสับสนกับตัวเอง เพราะจับอสุภกรรมฐานอยู่ ไม่ได้สนใจเรื่องกสิณ

    ตามที่หลวงพ่อท่านสอนเอาไว้ถือว่าเป็น ฌาณ4 ในกสิณ ควบอสุภะกรรมฐาน

    ศพเป็นประกายเพชร สุกใส ก็ยังน่ารังเกียจอยู่ดี

    ถ้ายังน่ารังเกียจ ยังไม่ใช่อารมณ์สุด ของการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน
    อารมณ์สุดจะต้องรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา
    ไม่รังเกียจ แต่เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา
    พอจิตจับว่าเป็นเรื่องธรรมดา จิตของเราจะเบา จะชุ่มเย็น จะคลาย ซึ่งความยึด ซึ่งความเร่าร้อน ซึ่งเกิดจากการเกาะในร่างกาย
    เห็นว่าความเป็นอสุภะ เป็นธรรมดาของทุกคน
    ร่างกายของทุกคนมาจากอสุภะ กำลังเป็นอสุภะ และต่อไปก็จะเป็นอสุภะ
    มันเป็นอสุภะ มันเป็นเรื่องธรรมดาของมันอยู่แบบนั้น
    เพียงแต่เราไม่เคยพิจารณา ไม่เคยรู้ ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
    พอคิดว่ามันไม่ธรรมดา จิตจึงรังเกียจ พอเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา จิตจึงวางได้

    หลายครั้งพอมองจนเบื่อแล้วก็เลยเพิกถอน ไปจับนิมิตพระพุทธรูปดีกว่า เห็นภาพพระแล้วใจสงบ ชุ่มชื่นดีครับ (อันนี้คือพุทธานุสติกรรมฐานควบกับกสิณสี (สีขององค์พระพุทธรูป ) ใช่ไหมครับ ) ในคราวเดียวกัน มีกรรมฐานผสมปนกันหลายกอง เลยสับสน แยกแยะไม่ถูกครับ

    จริงๆจะควบหลายๆกองก็ได้ครับ

    เห็นภาพพระแย้มยิ้ม เป็นเนื้อเพชร แผ่เมตตาจากองค์พระ ปรารถนาให้ทุกๆดวงจิตได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน และเราเองตายเมื่อไหร่ก็ขอไปพระนิพพานเท่านั้น
    พุทธานุสติกรรมฐาน ควบกสิณสี กสิณแสงสว่าง ควบ มรณานุสติ ควบ พรหมวิหาร4 ควบ อุปสมานุสติ
    จะเล่นกันแบบนี้เลยก็ได้ครับ


    3.เนวสัญญานาสัญญายตนะ ตัวนี้กว่าจะจับเคล็ดได้ เล่นเอาแทบแย่ไปเหมือนกัน จุดสำคัญคือการที่จิตเลือนหายไป จึงกำหนดเอาสัญญายากขึ้นเล็กน้อย แต่ขึ้นชื่อว่าการปฏิบัติกรรมฐาน ย่อมมีวิธีแยกย่อยเป็นหมื่น เป็นแสนวิธี ที่จะเข้าถึง หากว่าหมั่นเป็นนักทดลอง ก็สามารถหาทางเข้าถึงได้ไม่ยาก

    เนวสัญญานาสัญญายตนะ นี้จิตดับไปอย่างสิ้นเชิงเลยนี่ครับ แต่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่กับตัวอย่างครบถ้วน น่าชื่นชมกับภูมิปัญญาของคนโบราณที่คิดค้นวิธีการควบคุมจิต ผมเป็นเพียงแค่ผู้ที่ทดลองทำตามเท่านั้น ยังรู้สึกทึ่งไปด้วยเลย เรื่องพวกนี้มีมาตั้งแต่ก่อนยุคพุทธกาลและพระพุทธเจ้าก็ให้การรับรอง การที่จิตดับไป หยุดกิจกรรมทุกอย่าง ร่างกายก็เลยหยุดกิจกรรมต่างๆไปด้วย หรือถ้าจะมี ปฏิกิริยาต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นอย่างช้ามากๆ ผมหายสงสัยแล้วว่า ทำไมพวกฤาษี โยคีต่างๆ ที่ได้ฌาณสมาบัติ จึงสามารถทรมานร่างกาย อดข้าว อดน้ำ และมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนาน บางท่านยืดอายุของตัวเอง คงสภาพสังขาร ขันธ์ 5 อยู่ได้ถึงหลายร้อยปีก็มี (ไม่เคยเห็นกับตาครับ ฟังเขาเล่าลือกันมา)

    จิตรู้ตัวอยู่ ในสภาวะ ที่มีแต่ความว่างเปล่า ปราศจากแม้แต่จิต
    จริงๆ จิตไม่หายไป เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของจิต เหลือแต่อารมณ์ของความว่างเปล่า โดยส่วนเดียว
    เวลาว่างจะว่างแบบอวกาศ คือ ไร้ขอบเขต ว่างสุดลูกหูลูกตา
    อย่างที่ได้สัมผัสแล้วนั่นแหละครับ

    คำถามของข้อสองนี้มีอยู่ว่า การที่ผมเจริญสมถกรรมฐานก็เป็นไปเพื่อความต้องการในการสะสมพลังจิต เพื่อเอาไปใช้เป็นพลังงานในการฝึกฝนด้านอภิญญาต่างๆ อันเป็นความสนใจแต่ดั้งเดิม การเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ตัวนี้ จิตมันดับไปอย่างสิ้นเชิง หยุดกิจกรรมทุกอย่าง ดูเหมือนว่ามันไม่ทำอะไรเลยอย่างนี้ แล้วจิตจะสะสมพลังงาน อันเป็นพลังจิตไว้ได้หรือเปล่า อย่างนี้ ไปพิจารณาความว่างเปล่า พิจารณาวิญญาณ พิจารณาอากาศ ซึ่งจิตยังทำงานอยู่บ้าง เพื่อให้จิตได้มีโอกาสสะสมพลังงานอยู่ตลอดเวลา จะดีกว่าหรือไม่

    ยิ่งหยุดเท่าไหร่ ยิ่งสะสมพลังงานมากเท่านั้น
    ดังนั้นทำไปเถอะครับ แต่อย่าติดจนกลายเป็นอรูปพรหมก็พอ
    ถ้าจะเอาให้เหนือกว่านี้ ก็ต้องมาจากการสัมผัสอารมณ์พระนิพพานเท่านั้น

    มีข้อสงสัยเพียงเท่านี้ ขอขอบคุณในความอนุเคราะห์ล่วงหน้าครับ

    คุณNICKAZ ควรจะหาเวลาไปฝึกมโนมยิทธิครับ
    ถ้าได้ปุ้ป ก็จะได้วิชชา ในขั้นสมถะพื้นฐานครบทุกอย่างแล้ว
    <!-- google_ad_section_end -->หากปรารถนาจะตัดเข้าอารมณ์พระนิพพานอย่างจริงจัง ย่อมสามารถทำได้แน่นอนครับ

    ยุทธวิธีในการทำศึกที่ดีนั้น
    ก็คือ การซุ่มโจมตีแบบกองโจร โจมตีทีละนิด ทีละหน่อย
    โจมตีซ้ำไปซ้ำมา ก็ย่อมสามารถทำให้ข้าศึกอ่อนแรงได้

    การจะมุ่งหักหาญเอาชัยชนะในครั้งเดียวนั้น เป็นเรื่องยาก
    การสู้กับข้าศึกที่ประจัญเข้ามาสามทิศ พร้อมๆกัน เป็นเรื่องยากฉันใด
    การจะตัดกิเลสใหญ่ให้ขาดพร้อมๆกัน สามตัว ย่อมเป็นเรื่องยากฉันนั้น

    สิ่งที่เราควรทำนั้น คือการโจมตี ลูกน้อง โจมตีสมุน กำราบ ข้าศึกตัวเล็กๆ ให้ได้ทั้งหมดเสียก่อน
    ข้าศึกตัวเล็กๆ ก็คือสังโยชน์สามข้อแรก
    ซึ่งสามารถทำลายได้
    ด้วยการมีความเคารพนอบน้อม ศรัทธาในพระรัตนตรัย อย่างถึงที่สุดประการหนึ่ง
    ด้วยการมีศีล5 อันเกิดจากมีความเมตตา มีพรหมวิหาร มีความชุ่มเย็นในจิตมาก จนทำร้ายใครไม่ลงอีกประการหนึ่ง
    ด้วยการระลึกถึงความตาย ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ ขอไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น เป็นประการสุดท้าย

    หากเราสามารถโจมตี สังโยชน์3ข้อนี้ จนขาดสะบั้นได้
    ก็ค่อยหันไปโจมตี ข้าศึกขนาดกลาง อีก2 ตัว
    คือ กามราคะ และโทสะ
    ซึ่งสามารถกำราบให้ขาดได้ ด้วยกำลังของอสุภะกรรมฐาน และพรหมวิหาร4

    เมื่อเราสามารถ ปราบ5ขุนพลหลักได้แล้ว
    จึงค่อยให้ไปโจมตี ผู้บงการ ที่อยู่เบื้องหลัง ที่เหลืออีก 5
    ก็คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะทิษฐิ อุทธัจจะ และอวิชชา

    หากยังปราบขุนพลเล็ก 3 ตัว ไม่ได้ ย่อมปราบขุนพลขนาดกลางให้ขาดถาวรไม่ได้
    หากยังปราบ กามราคะ และ โทสะไม่ได้ ก็ย่อมปราบสังโยชน์5ตัวสุดท้ายไม่ได้

    ดังนั้นการตัดกิเลสนั้น จะต้องค่อยๆ ทำขึ้นไปเป็นชั้น เป็นลำดับขั้น
    การจะออกศึก ก็ต้องมีการวางกลยุทธ์ให้ดี หากเราวางกลยุทธ์ผิด
    จะบุกไปตีแม่ทัพใหญ่ก่อน ขุนพลเล็กๆ ก็จะมารุมเราจากทุกทิศทางจน เราพ่ายแพ้ในที่สุด
    ดังนั้นกิจแรกที่ควรจะทำ คือ จัดการสังโยชน์สามข้อแรก ไม่ให้กวนใจของเราให้ใด้ก่อน
    หากเราทำสังโยชน์สามข้อแรกให้สิ้นได้แล้ว
    ที่เหลือย่อมเป็นเรื่องง่าย

    ขอให้มีจิตใจที่มีความสะอาด สว่าง สงบ บริสุทธิ์ จากความเร่าร้อน จากกิเลสทั้งปวง สามารถเข้าถึงซึ่งอารมณ์พระนิพพาน ได้โดยเร็วไว ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2010
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ขอเชิญทุกๆท่าน

    มาฝึกสมาธิร่วมกันที่สวนลุม

    วันพรุ่งนี้ อาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2553

    ที่บริเวณเกาะลอย ศาลาหกเหลี่ยม

    หากใครหาผมไม่เจอให้โทรมาเบอร์นี้นะครับ 083-900-3388

    เวลาตั้งแต่ 9.30น. จนถึง 16.00น.

    หากท่านใดอยากจะกลับก่อนก็สามารถทำได้ครับ

    ขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่จะมาฝึกในวันพรุ่งนี้ด้วยครับ
     
  6. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาบุญกับผู้ฝึกที่ไปฝึก วันอาทิตย์นี้ทุกท่านด้วยคับ

    อาการที่เกิดนั้น เพราะผมทรงสมาธิไว้ ตลอดเวลา ผมทรงสมาธิได้มา1-2เดือนแล้ว ไม่ว่าจะนั่งนอนเดินกินข้าว ทำงาน บางครั้งคำภาวนาไม่มีแล้ว ก็ดูแต่ลม ลมไม่มีก็ดูภาพพระ ทรงสมาธิ ตลอดเวลา และก็เกิดอาการที่ใครจะต่อว่าก็ไม่คล้อยตามไม่มีความน้อยใจ โกรธ โมโหในการที่โดนว่าโดนด่านั้นเลย บางทีก็อาจจะทำให้คิดไปเองว่า ไม่สนใจในทางโลก แต่ผมก็ยังคงสมาธิ ดูลมตลอดเวลาคับ

    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มีนาคม 2010
  7. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    เพิ่งทราบว่าการกำจัดโมหะเขาไม่ได้ใช้อสุภกรรมฐานกันหรือนี่?

    เพิ่งทราบว่าการกำจัดโมหะเขาไม่ได้ใช้อสุภกรรมฐานกันหรือนี่? ปล่อยไก่ไปหมดเล้าเลย แต่ไม่เป็นไร ก็คงจะต้องฝึกต่อไปอยู่ดี เพราะชักจะสนุกกับซากศพแล้ว และอีกอย่างกายคติกรรมฐานควบอสุภกรรมฐาน พระอรหันต์ทุกท่านก็ต้องผ่านตรงนี้ หากปุถุชนอย่างเรา หวังความก้าวหน้าในชีวิต ก็ต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้เช่นเดียวกัน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้อย่างยิ่งที่ได้กรุณาอธิบายให้กับผู้มีปัญญาทึบอย่างผมได้รับทราบ ตอบเหมือนนั่งในใจผมเลย เวลาตอบใช้เจโตฯ ด้วยหรือเปล่าครับ ผมเองก็ไม่เคยปิดเลยครับ เปิดเสมอ ท่านใดประสงค์จะชมก็ชมได้ตลอด แต่ชมดูแล้วก็จะทราบว่าผมนั้นไม่ได้มีความดีอะไร เพราะไม่ได้มีดีอะไรจะอวดกับเขา ทุกวันนี้ก็ยังมีความเลวอยู่มาก กลัวตกนรกครับ เลยต้องกระเสือกกระสนหาทางหนีนรกอยู่ทุกวันนี้

    ตอนนี้ยังได้แค่เข้าไปสัมผัสกับอรูปฌาณเท่านั้น ต้องฝึกในด้านของการทรงอรูปฌาณต่อไป ถ้าสามารถตั้งเวลาได้ก็คงจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้มากขึ้น
    แต่กำลังใจก็มามากขึ้นแล้วครับ เพราะหลวงพ่อฤาษีลิงดำสอนไว้ว่า

    ครูบาอาจารย์แต่โบราณกล่าวไว้ว่าการที่อรูปฌาณมีความคล้ายคลึงกับวิปัสสนาอย่างยิ่ง หากผู้ใดทรงสมาบัติ 8 แล้วมาจับในส่วนของวิปัสสนา เพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก ก็จะมีโอกาสบรรลุอรหันตผล

    ทราบอย่างนี้แล้วผมคงจะต้องทุ่มเทให้เต็มที่ต่อไป เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในที่สุดครับ
     
  8. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ผมก็ทรงสมาธิตลอดเวลาเช่นกันกับคุณMakoto นะครับ เพียงแต่สิ่งที่ผมจับคือการกระทำ ผมสามารถระลึกได้ว่ากำลังทำสิ่งใด เมื่อใดที่เกิดกิเลสขึ้นผมก็ตัดทันที
    ยิ่งเข้าสู่สมาธิมาเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกใดว่ายังมีผู้คนมากมายเท่าใดที่เขายังไม่หลุดพ้นจากกิเลส พวกเขายังวนเวียนอยู่ในบวงกิเลสมากมาย แต่ไม่ได้กังวลจนทุกข์ใจ แต่เมื่อใดที่เห็นพวกเขาหลุดพ้น ได้ผมก็รู้สึกมีความสุข

    ผมคงหาโอกาสไปที่สวนลุมยากแล้ว เพราะต้องไปเรียน+อาจจะต้องไปเกณฑ์ทหาร

    ยังไงก็ขอให้ทุกคนหลุดพ้นจากกิเลส และได้เข้าถึงนิพพานทุกคนนะครับ
     
  9. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +705
    เป็นไงครับอาทิตย์นี้รวบรวมสมาชิกได้เยอะไหม ผมติดธุระเลยไม่ได้ไป
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    อาทิตย์นี้ได้ขาประจำอีก3คนครับ บอกว่าจะมาทุกอาทิตย์เลยครับ

    อนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยครับ ที่มีโอกาสมาฝึกด้วยครับ
     
  11. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    ระยะนี้ผมยังไม่มีอะไรจะถาม แต่ก็เข้ามาอ่านเรื่อยๆครับ
    ที่ยังไม่มีอะไรจะถามเนื่องจาก สำรวจตัวเองแล้ว ยังเห็นว่า
    ห่างไกลจากสิ่งที่ตั้งใจไว้มากครับ ตอนนี้พยายามจะรักษาศีล5
    ให้ได้เสียก่อน เพราะหลังจากที่ออกพรรษามาก็เกือบครึ่งปีแล้วครับ
    รู้สึกว่าตัวเอง กลับไปวังวนเดิมๆ สับสน วุ่นวาย ฟุ้งซ่าน เครียด
    เบื่อ เซ็ง ขี้เกียจ เมา...ฯลฯ นี่เองที่เป็นสาเหตุที่ไม่มีความก้าวหน้า
    ในการปฏิบัติธรรมสักที เล่าไปก็นึกอายท่านชัดอยู่เหมือนกัน อิอิ
    ตั้งใจไว้ว่า ทาน ศีล ภาวนา ก็จะทำไปเรื่อยๆครับ ไว้มีปัญหาติดขัด
    นอกเหนือจากที่เคยเรียนถามท่านชัดไว้ ก็จะขอมารับคำปรึกษาอีกครับ

    ขออนุโมทนากับท่านชัด และเพื่อนๆทุกท่านครับ
    ขอให้สิ่งที่หวังไว้สำเร็จตามที่ใจต้องการ
     
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ออกกรรม ครับ

    สวัสดีค่ะ รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

    ฝึกนั่งสมาธิมานาน 5-6 เดือนแล้วค่ะแต่จิตไม่นิ่งซักที
    ภาวนา พุท โธ ค่ะ เอาจิตมาจับที่ปลายจมูก นานๆเข้าบางทีลืมหายใจก็มีค่ะ
    แรกๆ พอหลับตาลงและจิตเริ่มเป็นสมาธิ ก็จะเห็นเป็นเหมือนดวงตาสีแดง 2 ดวง
    กำลังจ้องมองมา เหมือนมีแรงอาฆาตเต็มที กลัวค่ะ ก็เลยเลิก และนั่งใหม่ก็เป็นเหมือนเดิม
    หลายๆครั้งก็ฝืน บ่อยเข้าภาพนั้นก็หายไป มีแต่ความมืด นานเข้าก็กลายเป็นแสงสว่าง
    ต่อมาก็เริ่มเห็นเป็นแสงสว่างเป็นวงกลมคล้ายๆกับดวงจันทร์เวลาเต็มดวงอ่ะค่ะ
    นานๆเข้ามาอีกจากที่เป็นวงกลมเฉยๆก็เริ่มเห็นเป็นวงกลมนั้นวิ่งเข้า วิ่งออกตรงกลางระหว่างคิ้วค่ะเหมือนภาพ 3 มิติ แล้วก็จะเปลี่ยนเป็นสีนั่นสีนี่และเคลื่อนไหวไปในรูปแบบต่างๆ พอเอาจิตไปจับแล้วมีความรู้สึกเหมือนตัวเบาโล่ง และรู้สึกวูบวาบโครงเครงงัยไม่รุบอกไม่ถูกค่ะ กลัวค่ะ
    ทุกวันนี้ได้แต่ท่องพุทโธเฉยๆ ซักพักก็หลับแล้วหลับมันทุกวันเลย

    อาจจะดูไร้สาระ ยังงัยก็ขออภัยด้วยนะคะ
    หากว่าข้อความนี้เป็นการรบกวน

    อยากเป็นผู้ที่เจริญในธรรม และเพิ่งเริ่มฝึกปฏิบัติแต่ไม่ก้าวหน้าซักที
    คงจะต้องมีครูบาอาจารย์มาช่วยชี้แนะในการปฏิบัติ
    จะได้มองเห็นแสงสว่างเสียที<!-- google_ad_section_end -->

    ความกลัวเกิดจากการประสบกับเหตุการณ์
    ที่ทำให้จิตของเราเกิดอาการหวาด เกิดอาการสะดุ้ง เกิดอาการไม่ปลอดภัย
    พระพุทธศาสนา ธรรมองพระพุทธเจ้านั้น
    ยังจิตให้เกิดความเบิกบาน ผ่องแผ้ว มีความสุข ไม่สะดุ้งกลัวต่อสภาวะใด

    สิ่งที่เคยทำให้เรากลัวไม่ใช่พระพุทธศาสนา
    แต่เป็นการปฏิบัติอันผิดพลาด ที่เราเผอิญไปพบเจอเข้า
    พอพบเจอซ้ำๆเข้าหลายๆครั้ง จึงย้ำ ซ้ำเติมความกลัวในใจของเรา

    หากมีโอกาสได้ประสบ ได้สัมผัส ได้เข้าถึง การปฏิบัติอันเป็นสัมมาทิษฐิ
    มโนมยิทธิวิชชา วิชชาอันเป็นสัมมาทิษฐิ อันถูกประพฤติตรงตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
    จิตของเราย่อมไม่หวาดกลัว ย่อมไม่สะดุ้ง ย่อมก้าวล่วงความขัดข้อง สัมผัสพระนิพพานได้
    ให้เราแก้ปมของความกลัวในจิตของเราให้ได้เสียก่อน

    วิธีการแก้นั้น ในลำดับแรก
    ให้เราทำความรู้สึกก่อนจะทำสมาธิทุกครั้ง ให้เราสึกผ่อนคลาย ให้รู้สึกปลอดภัย
    โดยให้เราคลายความรู้สึก การรับรู้ทางร่างกาย ประสาทสัมผัส
    ที่แขน ขา มือ เท้า ทุกส่วนในร่างกายของเราให้เบา
    ให้คลายออก ให้ผ่อนคลายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    ยิ่งเราผ่อนคลายมากเท่าไหร่ ยิ่งร่างกายผ่อนคลาย
    ความรู้สึก การสัมผัส รับรู้ทางร่างกาย ผ่อนคลายมากเท่าไหร่
    จิตก็จะยิ่งดิ่ง ลงสู่ความสงบ สภาวะที่ปลอดภัย ปราศจากซึ่งความกลัวมากเท่านั้น
    ยิ่งจิตดิ่งลึกมาก สบายมาก คลายจากความรู้สึกทางกายมาก
    จิตก็ยิ่งเป็นสมาธิ ยิ่งเบา ยิ่งสบายมากเท่านั้น

    เมื่อความรู้สึกทางกายผ่อนคลายไปแล้ว
    ก็ให้เรามาผ่อนคลายความรู้สึกทางใจ
    อาการเกร็ง อาการคิด อาการที่จิตหวาดกลัว
    ให้คลายออก สลายออก ให้เป็นความเบา ความสบาย
    เบาสบาย จากความคิด จากอาการกลัว หรือแต่สภาวะที่หยุดนิ่ง ที่ปราศจากความคิด
    ที่พักผ่อนอยู่ของจิต เพียงจุดเดียว
    เมื่อจิตสงบระงับเป็นสมาธิ ประคองอยู่ในอารมณ์สบายแล้ว
    ก็ให้เราสัมผัสเสวยสุข อยู่ในอารมณ์ที่สบายนี้ ตราบนานเท่าที่เราต้องการ
    จดจำระลึก สัมผัสให้ถึงความสบายของใจของเรา
    สมาธิไม่ใช่การบีบให้จิตนิ่ง ไม่ใช่การบังคับให้จิตนิ่ง
    แต่เป็นการผ่อนคลาย จนจิตสบาย
    เมื่อจิตสบายมากพอ จิตก็จะนิ่ง ก็จะหยุดพักโดยอัตโนมัติ
    เสมือนดั่งเด็กที่วิ่งเล่น ซุกซน
    เมื่อเราจับมานอนให้องแอร์ เปิดแอร์เย็นๆ หาทีนอนนุ่มๆให้นอน
    เด็กก็จะลหบด้วยความสบาย อย่างรวดเร็ว

    การทำสมาธิก็คือการหาที่พัก หาที่นอนพัก ให้กับจิตของเรา
    แต่เป็นการนอนที่จิตยังรู้อยู่ ยังตื่นอยู่ ยังเบิกบานอยู่

    เมื่อเราเข้าถึงซึ่งสภาวะสบายที่เกิดขึนนี้ได้
    จะภาวนาพุทโธ จะไม่ภาวนา
    จะจับลมหายใจ ไม่จับลมหายใจ
    จิตก็จะนิ่งสงบระงับ โดยอัตโนมัติ
    ถึงจุดนั้นแล้ว เมื่อสบายแล้ว ก็จะไม่อยากภาวนาเอง

    ดังนั้นสิ่งที่เราต้องการคือความสบาย ความสุขจากสมาธิ
    ต้องผ่อนคลาย คลายจากอาการกลัวให้ได้
    แล้วจิตจะเกิดความสงบเอง

    เดี้ยวผมจะเริ่มอัดไฟล์เสียงฝึกสมาธิ และนำมาให้โหลดกัน
    หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อทุกๆท่าน ไม่มากก็น้อยครับ

    ขอให้จิตสามารถสลายความกลัว ขจัดซึ่งความขัดข้อง หม่นหมอง สะดุ้งกลัวในจิตได้
    ด้วยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ แห่งคุณพระศรีรัตนตรัย
    ขอให้จิตมีความสว่างไสว เบิกบาน ชุ่มเย็น งดงามดุจเพชรมณีโชติได้
    โดยฉับพลันทันใด และรักษาเอาไว้ได้ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    พระพุทธศาสนาไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือการปฏิบัติที่ผิด ที่ไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ NICKAZ ครับ

    สิ่งเร้าภายนอกที่มาสัมผัส ประสาทสัมผัสทั้ง 5

    1.ตา เห็นรูปที่น่ายินดี หรือไม่ยินดีก็ตาม เห็นก็สักแต่ว่าเห็น แล้ววางเป็นอุเบกขา
    2.หู ได้ยินเสียงที่น่ายินดี หรือไม่น่ายินดีก็ตาม ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน แล้ววางเป็นอุเบกขา
    3.จมูก ได้กลิ่นที่น่ายินดี หรือไม่น่ายินดีก็ตาม ได้กลิ่นแล้วก็สักแต่ว่าได้กลิ่น แล้ววางเป็นอุเบกขา
    4.ลิ้น ได้รับรสที่น่ายินดี หรือไม่น่ายินดี ได้รับรสก็สักแต่ว่าได้รับรส แล้ววางเป็นอุเบกขา
    5.ผิวสัมผัส ได้รับสัมผัสที่น่ายินดี หรือไม่น่ายินดี ได้รับสัมผัสก็สักแต่ว่าได้รับสัมผัส แล้ววางเป็นอุเบกขา

    อย่างนี้หรือเปล่าครับ ที่ยังคงเกี่ยวข้องอยู่กับทางโลก แต่วางตัวให้อยู่เหนือโลก

    <!-- google_ad_section_end -->ใช่แล้วครับ
    แต่อุเบกขา ต้องเป็นอารมณ์ของความอุเบกขาจริงๆ
    ไม่ใช่การคิด ว่า อุเบกขาได้ แต่ใจยังวางไม่ได้จริง

    อารมณ์ของความอุเบกขานั้น หากเราใช้ผิด ก็จะกลายเป็นไม่สนใจโลกไป
    อารมณ์ของความอุเบกขา อันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารถนาให้ทุกดวงจิตเข้าถึงนั้น
    คือ อารมณ์ที่จิต มีความเยือกเย็น มีความสบาย อันเกิดจากการละได้แล้วซึ่งความเห็นที่ผิด
    ความเห็นที่ผิดก็คือ ความเห็นที่ว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เป็นธรรมดา
    เมื่อจิตเห็นว่า มันไม่เป็นเรื่องธรรมดา
    พอผัสสะ พอเจอกับสิ่งที่ถูกใจ จิตก็จะเกิดความลิงโลด อาการเร่าร้อน ในทางภวตัณหา ความทะยานอยาก
    หากอยากมาก ก็ยอมได้แม้แต่ผิดศีล5เพื่อให้ได้มา
    หากอยากปานกลาง ก็อยากในขอบเขตของศีล5
    หากอยากน้อย ก็เป็นอารมณ์ของความพึงพอใจนิดๆ

    พอผัสสะ พอเจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ จิตก็จะเกิดเกิดความหดหู่ ความเศร้าหมอง ความอาฆาต อาการเร่าร้อนในวิภวตัณหา ความไม่มีอยากมีไม่อยากได้ การอยากผลักไสออกไป
    หากไม่อยากมาก ก็อาจจะละเมิดศีล5 ทำลายชีวิต ทำลายทรัพย์สินของบุคคล
    หากไม่อยากปานกลาง ก็เป็นความโกรธ ความขัดเคือง แต่ก็ไม่ละเมิดศีล5
    หากไม่อยากน้อย ก็เป็นอารมณ์หงุดหงิด เป็นปฏิฆะ ความขัดข้องใจนิดๆ

    กิเลสจึงเกิดจากการเห็นว่า สิ่งต่างๆมันไม่ธรรมดา
    พอไม่ธรรมดาจึงอยากได้ หรือผลักไสออกไป
    เห็นว่ามนุษย์ไม่ธรรมดาก็จึงอยากเกิดเป็นมนุษย์
    เทวดาไม่ธรรมดา จึงอยากเกิดเป็นเทวดา
    รูปพรหมไม่ธรรมดา จึงอยากเกิดเป็นรูปพรหม
    อรูปพรหมไม่ธรรมดา จึงอยากเกิดเป็นอรูปพรหม
    หากเห็นว่าธรรมะไม่ธรรมดา จึงปรารถนาในธรรม
    อันนี้เป็นความดี คือ ธรรมฉันทะ

    แต่พอเข้าถึงธรรมแล้ว อย่างแท้จริง
    ก็จะเห็นว่าทุกอย่างมันก็ธรรมดา
    เพราะธรรมะ คือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง คือความเป็นธรรมดาของทุกสรรพสิ่ง
    ธรรมดาในหนึ่งคือทุกข์ เป็นมนุษย์ เทวดา พรหม ก็ยังมีทุกข์ และทุกข์ก็เพราะฝืนความเป็นธรรมดา คนเป็นตายอยากให้เป็น คนเป็นอยากให้ตาย ก็ย่อมทุกข์
    ธรรมดาในสอง คือ มันไม่เที่ยง ร่างกายของมนุษย์ไม่เที่ยงเป็นเรื่องธรรมดา เทวดา พรหมก็ยังไม่เที่ยง ยังต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
    ธรรมดาในสาม คือ มันไม่ใช่ตัวเรา ของเราที่แท้จริง
    เพราะตัวเราจริงๆ คือ ดวงจิต
    สิ่งใดที่นอกเหนือจากดวงจิต สภาวะเดิมแท้ของดวงจิต บุญและบาปก็ไม่อาจจะเอาไปได้ เป็นธรรมดาอย่างนี้

    เมื่อเห็นธรรมดา เข้าถึงใจ เข้าถึงซึ่งความเป็นธรรมดา
    ทั้งในมนุษโลก เทวโลก พรหมโลก จึงเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    เมื่อเห็นธรรมดา จึงไม่อยากเกิด เพราะไม่มีแรงจูงใจให้เกิด
    ไม่อยากเกิดมาเพราะอยากได้ และไม่อยากเกิดมาพราะความไม่อยากได้
    ความอยากได้คือราคะ ความไม่อยากได้คือโทสะ เกิดมาเพื่อจองเวรบุคคลอื่น

    เมื่อจิตอุเบกขาได้ในการเห็นธรรมดา จึงเป็นวิปัสสนาญาณ
    ส่วนจิตที่อุเบกขาในฌาณ4 ยังเป็นเพียงสมถะอยู่
    แต่หากจิตไม่อุเบกขาด้วยฌาณ ด้วยอรูปฌาณก่อน ก็ย่อมเข้าถึงความเป็นธรรมดาของวิปัสสนาญาณไม่ได้เช่นกัน

    เมื่อจิตเข้าถึงซึ่งความเป็นธรรมดา
    คุณธรรมวิเศษ ก็จะสามารถเกิดขึ้นได้ จะวิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิญาณก็ดี
    เพราะจิตทราบในเหตุอันเป็นธรรมดา ให้เกิดขึ้นซึ่งคุณธรรมนั้น
    และทำตามเหตุนั้นจนสุด ก็จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะต้องทรงได้ทั้งฌาณ ญาณ อภิญญา

    เมื่อทำเหตุดั่งนี้ ก็ย่อมเกิดผลดั่งนี้ เป็นธรรมดาฉันใด

    ผู้เข้าถึงซึ่งความเป็นธรรมดาแล้ว ก็ย่อมไม่มีความทุกข์
    ตามระดับของความธรรมดา ของธรรมะที่ได้เข้าถึงแล้วฉันนั้น
     
  14. meng2010

    meng2010 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +35
    รบกวนหน่อยครับ

    ผมนั่งสมาธิแล้วรู้สึกอึดอัดมากเหมือนหายใจไม่ค่อยออกผมท่อง พุธโธด้วยน่ะครับผมก็กลืนน้ำลายทีนี้ก็ค่อยยังชั่วสักพักก็เป็นอีกก็กลืนอีกสักพักก็เป็นอีก แล้วก็เหมือนมันกำลังกลับหัวอ่ะครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำไงต่อดีครับแนะนำหน่อยดิครับ ไม่รู้จะทำไงต่อดี แล้วต่อจากนี้มันจะเป็นไงอ่ะครับ ขอบคุณครับ
    คือผมถามในกระทู้อื่นมาแล้วแต่ได้คำตอบมา 2 แบบที่ต่างกันสำหรับแนวทางปฏิบัติอ่ะครับเลยต้องรบกวนถามตรงกระทู้แนะนำอ่ะครับ ขอบคุณครับ แต่ถ้ามันจะเพิ่มแนวทางปฏิบัติมาอีก 1 ทาง ผมก็จะลองทั้งหมดอ่ะครับ ขอบคุณมากๆครับ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    อนุโมทนาบุญกับผู้ฝึกที่ไปฝึก วันอาทิตย์นี้ทุกท่านด้วยคับ

    อาการที่เกิดนั้น เพราะผมทรงสมาธิไว้ ตลอดเวลา ผมทรงสมาธิได้มา1-2เดือนแล้ว ไม่ว่าจะนั่งนอนเดินกินข้าว ทำงาน บางครั้งคำภาวนาไม่มีแล้ว ก็ดูแต่ลม ลมไม่มีก็ดูภาพพระ ทรงสมาธิ ตลอดเวลา และก็เกิดอาการที่ใครจะต่อว่าก็ไม่คล้อยตามไม่มีความน้อยใจ โกรธ โมโหในการที่โดนว่าโดนด่านั้นเลย บางทีก็อาจจะทำให้คิดไปเองว่า ไม่สนใจในทางโลก แต่ผมก็ยังคงสมาธิ ดูลมตลอดเวลาคับ

    ตอนนี้จิตกลับมาเบาแล้วครับ
    แต่มันจะมีช่วงนึงที่มันหนักเกินไป
    ตอนนี้กลับมาเบาก็ดีแล้วครับ

    พยายามจดจำ สังเกตุ พิจารณาให้เห็นถึงความต่างของอารมณ์
    ระหว่างสบายๆ กับหนักเกินไป
    และพยายามไม่ให้มันหนัก พอจิตเริ่มหนัก เริ่มเครียดเกินไป
    ก็ให้เราผ่อนจิต คลายอารมณ์จิต ให้เบา ให้สบาย
    คุณ makoto เป็นคนมีความเพียรสูง และบางครั้งจะแบกรับภาระหน้าที่เอาไว้
    ความเพียรน้อยไปไม่มี แต่มักจะมีความเพียรมากเกินไป
    ดังนั้นต้องพยายามผ่อนลงมา หาอารมณ์สบายๆ ที่อยู่ตรงกลางให้ได้ครับ

    ความเพียรที่น้อยเกินไป ก็กลายเป็นความขี้เกียจ
    แต่หากมากเกินไป ก็กลายเป็นอามณ์หนัก เป็นความเครียดลึก เป็นโทษได้เช่นเดียวกันครับ

    ดังนั้นถ้าเราสังเหตุ เห็นว่าจิตของเรา มันเริ่ม แน่นๆ อึดอัด ไม่สบาย
    ไม่เบา ก็ให้เราคลายอารมณ์ ผ่อนความตึงของจิต
    ให้กลับสู่ความสบาย

    อย่าตั้งกำลังใจว่า จะรักษาสมาธิเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลา
    แต่ให้ตั้งกำลังใจว่า จะรักษาอารมณ์สบาย ที่เกิดจากสมาธิ ความสบายของจิตให้ได้ตลอดเวลา

    เพราะถ้าตั้งกำลังใจแบบแรกมันจะเผลอหนักได้
    แต่ถ้าตั้งกำลังใจ ในแบบที่สอง
    จิตจะเบาสบาย สุข ชุ่มเย็น อยู่เสมอ ไม่เครียด ไม่หนัก ไม่อึดอัด

    ขอให้สามารถรักษาอารมณ์สบาย ความสบายของจิต
    อันเกิดจากการจับลมหายใจ จากเมตตา จากพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ
    ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกขณะจิต ที่ปรารถนา ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Nickaz ครับ

    เพิ่งทราบว่าการกำจัดโมหะเขาไม่ได้ใช้อสุภกรรมฐานกันหรือนี่? ปล่อยไก่ไปหมดเล้าเลย แต่ไม่เป็นไร ก็คงจะต้องฝึกต่อไปอยู่ดี เพราะชักจะสนุกกับซากศพแล้ว และอีกอย่างกายคติกรรมฐานควบอสุภกรรมฐาน พระอรหันต์ทุกท่านก็ต้องผ่านตรงนี้ หากปุถุชนอย่างเรา หวังความก้าวหน้าในชีวิต ก็ต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้เช่นเดียวกัน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้อย่างยิ่งที่ได้กรุณาอธิบายให้กับผู้มีปัญญาทึบอย่างผมได้รับทราบ ตอบเหมือนนั่งในใจผมเลย เวลาตอบใช้เจโตฯ ด้วยหรือเปล่าครับ ผมเองก็ไม่เคยปิดเลยครับ เปิดเสมอ ท่านใดประสงค์จะชมก็ชมได้ตลอด แต่ชมดูแล้วก็จะทราบว่าผมนั้นไม่ได้มีความดีอะไร เพราะไม่ได้มีดีอะไรจะอวดกับเขา ทุกวันนี้ก็ยังมีความเลวอยู่มาก กลัวตกนรกครับ เลยต้องกระเสือกกระสนหาทางหนีนรกอยู่ทุกวันนี้

    เวลาตอบต้องนึกถึงพระทุกครั้ง ไม่ใช้กำลังใจตัวเอง
    หลักของผมมีแค่นั้นแหละครับ


    ตอนนี้ยังได้แค่เข้าไปสัมผัสกับอรูปฌาณเท่านั้น ต้องฝึกในด้านของการทรงอรูปฌาณต่อไป ถ้าสามารถตั้งเวลาได้ก็คงจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้มากขึ้น

    เราสามารถจะตั้งเวลาตัวเองได้ครับ
    โดยการตั้งเวลานั้น เราจะสามารถตั้งเวลาการตื่นนอนก็ได้ การออกจากสมาธิก็ได้
    จะให้ตื่นเวลานั้น เวลานี้ ออกจากสมาธิเวลานั้นนี้
    ก็ให้ทำดังนี้
    คือให้นึกถึงภาพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆเจ้า ครูบาอาจารย์ที่เราเคารพ
    และให้ตั้งจิตว่า ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์
    ให้จิตของข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่ง (จะเข้าฌาณไหน อารมณ์ไหน กรรมฐานกองใดก็อธิษฐาน)
    เป็นระยะเวลา .... หรือถึงเวลา...
    เมื่อถึงกำหนดแล้วขอให้จิตถอนออกจากสมาธิ ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ
    จากนั้นก็ให้เข้าสมาธิ ตามปรกติ จิตจะประคองอยู่ในสมาธิ จนถึงเวลานั้นเอง
    หรือ เลือกตื่นได้ตามเวลาที่ต้องการ

    แต่กำลังใจก็มามากขึ้นแล้วครับ เพราะหลวงพ่อฤาษีลิงดำสอนไว้ว่า

    ครูบาอาจารย์แต่โบราณกล่าวไว้ว่าการที่อรูปฌาณมีความคล้ายคลึงกับวิปัสสนาอย่างยิ่ง หากผู้ใดทรงสมาบัติ 8 แล้วมาจับในส่วนของวิปัสสนา เพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก ก็จะมีโอกาสบรรลุอรหันตผล

    ทราบอย่างนี้แล้วผมคงจะต้องทุ่มเทให้เต็มที่ต่อไป เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในที่สุดครับ

    สิ่งใดที่ได้ตั้งกำลังใจเอาไว้ดีแล้ว กิจที่ต้องทำยังมีอยู่
    แต่เมื่อปฏิบัติไปแล้ว ก็ย่อมเกิดผลได้ โดยไม่ช้าก็เร็ว
    ขอให้ตั้งมั่นในกำลังใจนี้ และทำให้ยิ่งๆขึ้นไป
    ในหนทางของความสุขอย่างถาวร
    ขอให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้ ด้วยบารมีแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยด้วยเทอญ
     
  17. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง
    การไม่กระทำบาปทั้งปวง

    กุสะลัสสูปะสัมปะทา<O:p
    การทำกุศลให้ถึงพร้อม

    สะจิตตะปะริโยทะปะนัง
    การทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเศร้าหมอง<O:p

    เอตัง พุทธานะสาสนัง
    นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


    จิตฺเต สงฺกิลิฏเถ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา.
    เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ตายแล้ว ทุคติเป็นที่ไป

    อะจิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเถ สุคติ ปาฏิกงฺขา .
    เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว ตายแล้ว สุคติเป็นที่ไป


    กราบนอบน้อม สวัสดี ครับอาจารย์ (ชัด ) เพิ่งเปิดเจอ ครับ หนักไม่เบาเลย นะ ครับ
    ขอเป็นกำลังใจน้อย ๆ ให้กับบารมีธรรม ของท่านอาจารย์ นะครับ
    โมทนา ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มีนาคม 2010
  18. อยู่เย็น

    อยู่เย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +137
    เวลานั่งภาวนาดูลมหายใจเข้าออก นับเลขไปด้วยสักพักสมหายใจเริ่มสั้นลงเบาลงเลยเอาจิตไปไว้ตรงกลางอกดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่นับเลขสักพักลมหายไปรู้สึกว่าเหลือแต่ใจเต้นเบาๆ ก็ดูจังหวะของหัวใจ ตึก ๆ ๆ เบาๆ สบายๆ ผ่อนคลายเคลิ้มๆ ตัวเบา หูได้ยินเสียงอยู่แต่ไม่ตกใจเหมือนเมื่อก่อน สักพักก็หยุดภาวนา ขยับตัว เริ่มใหม่ไม่กล้าให้ตัวเองอยู่ในภาวะ เบาๆ นิ่งๆ นาน เพราะ 1 กลัวหลับ 2 กลัวหลุดจากวงจรชีวิต อยากถามว่า ถ้าพอภาวนารู้สึกนิ่งๆ แล้วควรทำอย่างไรต่อ
    การเดิน ยืน ทำงานด้วยภาวนาพุทโธด้วยทำให้เพลินจนเคยชิน แต่พอนั่งภาวนาจะไม่ค่อยติดคำว่าพุทโธ จะดูแต่ลมเข้าออกเฉยๆ มันขัดแย้งกันเองหรือเปล่าระหว่างการนั่ง กับการเดิน ถ้าคิดพุทโธ จะไม่ค่อยดูลมหายใจ ต้องอย่างใดอย่างหนึ่ง
     
  19. อยู่ในความทุกข์

    อยู่ในความทุกข์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2009
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +132
    ขอบคุณมากนะคะ มีแต่คำแนะนำดีๆ ทั้งนั้นเลยสำหรับนักปฏิบัติมือใหม่ แล้วจะนำไปปฏิบัตินะคะ
     
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    วันอาทิตย์นี้
    มีสอนที่สวนลุมตามปรกตินะครับ
    อนุโมทนากับทุกๆท่านที่จะมาฝึกด้วยครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...