รื้อตำนาน..สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์...ต้องการให้อ่านข้อความครับ ไม่ใช่วิจารณ์ภาพครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย นักเดินธรรม, 6 เมษายน 2010.

  1. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ยังจะมี....ถ้าเข้ามาหาความรู้ก็อ่านให้จบหน่อยนะครับ.....

    ภาพประกอบจากเน็ทครับ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด...


    :mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad::mad:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2010
  2. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    แล้วรู้หรือไม่ สถานที่ที่เหมือนแดนเวทย์มนต์ก็มีจริง

    1.เดอะเวฟ (The Wave)ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา

    [​IMG]
    "เดอะเวฟ" คือ ภูเขาหินทรายที่ฟอร์มตัวในลักษณะคล้ายคลื่นลาดชัน เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 190 ล้านปีก่อนหรือในยุคจูราสสิก เนื่องจากพื้นที่แถบนี้มีความเปราะบางมาก ทางการจึงจำกัดให้เข้าชมได้เพียงวันละไม่เกิน 20 คน และต้องเดินเท้าเข้าไปเกือบ 5 ก.ม.จึงจะถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้

    2.Tessellated Pavement บนเกาะแทสเมเนีย (รัฐหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย)

    [​IMG]
    นี่คือภาพลานหินตะกอนบริเวณชายฝั่งที่ Eaglehawk Neck บนเกาะแทสมาเนีย ซึ่งถ้าหากมองเผินๆ จะแลดูคล้ายมีใครนำแผ่นกระเบื้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มาวางเรียงรายริม ทะเล(บริเวณขอบสี่เหลี่ยมที่เราเห็นเป็นแนวเส้นตรงนั้น เกิดจากแรงตึงเครียดของผิวโลก ผนวกกับการกัดเซาะอย่างต่อเนื่องของคลื่นและแรงเสียดสีของทราย)

    3.หิน รูปทรงประหลาด ในทะเลทรายขว ( White Desert ) ประเทศอียิปต์

    [​IMG]
    ทะเลทรายแห่งนี้ตั้งอยู่ใน Farafra Oasis มีลักษณะเป็นสีขาวและครีม ประกอบด้วยกลุ่มหินชอล์ครูปทรงประหลาดขนาดใหญ่มากมาย อันเป็นผลงานของพายุทรายที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

    4.บ่อน้ำพุร้อนสี เลือด ( Blood Pond Hot Spring) ที่เบปปุ ประเทศญี่ปุ่น

    [​IMG]

    น้ำพุร้อนสีเลือด ( Chinoike Jigoku)เป็นหนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังของเมืองเบปปุ ในจังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชู
    สาเหตุที่น้ำพุมีสีเลือดเนื่องจากมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณ มากนั่นเอง

    5.Giant's Causeway ที่ไอร์แลนด์เหนือ

    [​IMG]

    Giant's Causeway เป็นชายฝั่งที่เกิดจากการเย็นตัวของหินภูเขาไฟเมื่อประมาณ 50,000 ถึง 60,000 ปีที่ผ่านมา
    ก่อให้เกิดหินรูปหกเหลี่ยมและหินแท่งสี่เหลี่ยมกว่า 40,000แท่ง องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน Giant´s Causeway เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1986( พ.ศ. 2529)

    6.ทะเล เกลือ ( salt flats) ที่ Salar de Uyuni ประเทศโบลิเวีย

    [​IMG]

    จริงๆ แล้วที่ราบเกลือหรือทะเลเกลือลักษณะนี้มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน
    แต่ทะเล เกลือที่ Salar de Uyuni ของประเทศโบลิเวียนั้น มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากถึง 10,582 ตารางกิโลเมตร

    7.ป่าหิน ( Stone Forest ) เมืองคุนหมิง มลฑลยูนาน ประเทศจีน

    [​IMG]

    อุทยานป่าหิน( Shilin National Park )ในเมืองคุนหมิง จัดเป็นป่าหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
    โดยมีพื้นที่มากถึง 350 ตารางกิโลเมตร แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 12 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น เดิมทีหินปูนเหล่านี้อยู่ใต้ผิวโลก แต่ภายหลังได้ถูกดันขึ้นมาในลักษณะเดียวกับหินงอก เชื่อกันว่าป่าหินแห่งนี้มีอายุราว 270 ล้านปี

    8.ธารน้ำแข็ง Taylor ใน McMurdo Dry Valleys ที่แอนตาร์คติกา (ขั้วโลกใต้)

    [​IMG]

    ธารน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่โดดเด่นเป็นสีแดงส้ม ตัดกับน้ำแข็งส่วนอื่นๆ ซึ่งมีสีขาวโพลน
    เนื่องจากพื้นที่แถบนั้นเต็มไปด้วยออกไซด์ของเหล็ก ( iron oxide)ซึ่งก็คือ "สนิม" นั่นเอง ด้วยเหตุนี้บริเวณดังกล่าวจึงได้รับการขนานนามตามลักษณะทางกายภาพว่า "น้ำตกเลือด"(Blood Falls)

    9.ทะเลสาบสปอท เลค ( Spotted Lake ) – ประเทศแคนาดา

    [​IMG]

    “ สปอท เลค ” ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่มีแร่ธาตุชนิดต่างๆ อาทิ แมกนีเซียม ซัลเฟต , แคลเซียม และโซเดียม ซัลเฟต ในปริมาณเข้มข้นมากที่สุดในโลก แต่น่าเสียดายที่ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ในที่ดินของเอกชน นักท่องเที่ยวจึงทำได้แค่มองจากราวรั้วกั้นริมถนนเท่านั้น (ส่วนที่เป็นจุดๆ คือน้ำ นอกนั้นเป็นส่วนของแร่ธาตุนานาชนิด ที่สามารถลงไปเดินสำรวจได้)

    10.ทะเลทรายแบล็ค ร็อค(Black Rock Desert)ที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา

    [​IMG]

    ทะเลทรายแบล็คร็อค คือ ก้นทะเลสาบที่แห้งสนิท ครั้งหนึ่งดินแดนแถบนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อว่า "Lahontan" ซึ่งปรากฏอยู่ในสมัย 18,000-7,000 พันปีก่อนคริสตกาล ในช่วงที่ทะเลสาบโบราณแห่งนี้มีระดับน้ำสูงสุด (เมื่อประมาณ 12,700 ปีก่อน)ทะเลทรายแบล็คร็อคเคยอยู่ใต้น้ำที่มีความลึกถึง 150 เมตรเลยทีเดียว

    11.ถ้ำคริสตัล ( Crystal Cave ) ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    [​IMG]

    ถ้ำคริสตัล เป็น 1 ใน 240 ถ้ำ (ที่ถูกค้นพบ) ภายในอุทยานแห่งชาติ Sequoia ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย
    ถ้ำดังกล่าวเป็นถ้ำ "หินอ่อน" ธรรมชาติ ที่ภายในมีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 9 องศาเซลเซียส ซึ่งการจะเข้าไปชมภายในถ้ำต้องอาศัยไกด์ทัวร์เป็นผู้นำทางเท่านั้น

    12.ทุ่ง หินรูปรังผึ้ง Bungle Bungles ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย

    [​IMG]

    ทุ่งหินทรายที่มีรูปทรงคล้ายรังผึ้ง หรือ Bungle Bungles นี้ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Purnululu
    ที่องค์การยูเนส โกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1987 ( พ.ศ. 2530) กลุ่มหินดังกล่าวประกอบด้วยหินทรายและหินกรวดมน ซึ่งเมื่อประมาณ 375-350 ล้านปีก่อนหินเหล่านี้เคยเป็นตะกอนในลุ่มน้ำ " Ord"

    13.ภูเขาไฟ Redoubt ที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา

    [​IMG]

    Redoubt เป็นภูเขาไฟมีพลัง ( active volcano) อายุนับพันๆ ปี ที่ยังคงคุกรุ่นและเกิดการปะทุหรือระเบิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา

    14.ดิน แดนโบราณ คัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี

    [​IMG]

    คัปปาโดเกีย ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1985 ( พ.ศ. 2528)
    ดินแดนดังกล่าวมีภูมิประเทศที่แปลกตาซึ่งเกิดจากจากลาวาภูเขาไฟ ที่ไหลออกมาปกคลุมพื้นที่ เมื่อวันเวลาผ่านไป พายุ ลม ฝน ได้เป็นตัวแปรที่ก่อให้เกิดการแปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหิน และเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงาม บางส่วนมีประชาชนอาศัยอยู่ภายใน

    15.ทะเล (สาป) เดือด Boiling Lake ประเทศโดมินิกา ( Commonwealth of Dominica )

    [​IMG]

    “Boiling Lake” เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ( รองจากทะเลสาป Frying Pan Lake ของประเทศนิวซีแลนด์)มีความกว้างราว 60 เมตร ลึก 59 เมตร อุณหภูมิริมทะเลสาปอยู่ที่ประมาณ 82 – 91.5 องศาเซลเซียส ระดับน้ำภายในทะเลสาปแห่งนี้มีลักษณะขึ้น-ลงตลอดเวลา โดยเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 ( พ.ศ. 2549) น้ำในทะเลสาปแห่งนี้ได้แห้งเหือดหายไปและเพิ่งกลับมาอยู่ในระดับปกติอีก ครั้งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

    16.แม่น้ำสีแดง ( Rio Tinto) ที่ประเทศสเปน

    [​IMG]

    บริเวณพื้นที่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำ Río Tinto มีการทำเหมืองทองแดง เงิน ทอง และแร่ธาตุอื่นๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ (ราว 5 พันปีก่อน)ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำดังกล่าวมีค่าความเป็นกรดสูงมาก ส่วนสาเหตุที่น้ำมีสีแดงก็เนื่องมาจากก้อนหินที่อยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ประกอบ ด้วยธาตุเหล็กในปริมาณเข้มข้นนั่นเอง เหมืองในแถบนี้ถูกปิดมานานนับ 10 ปี แต่เนื่องจากทองแดงมีราคาสูงขึ้น เจ้าของเหมืองจึงมีแผนเปิดเหมืองทองแดงอีกครั้งในปีหน้า

    17.หุบเขา โลกพระจันทร์ ( Vale de Lua) ที่ประเทศบราซิล

    [​IMG]

    หุบเขาโลกพระจันทร์ หรือ " the valley of the moon" เป็นที่ราบสูงโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1.8 พันล้านปี
    โดยพื้นที่ว่าง ระหว่างก้อนหินจะมีน้ำจากแม่น้ำ San Miguel แทรกอยู่ภายใน ดินแดนประหลาดแถบนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Chapada dos Veadeirosซึ่งองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2001(พ.ศ. 2544) ที่ผ่านมา

    18.แท่งหินประหลาด ประเทศไทย :':)':)'(

    [​IMG]

    แท่งหินประหลาดที่มีอายุกว่า 20 ปี ตำนานการเกิดของมันนั้นน่าอดสูเกินกว่าจะกล่าว และจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายได้ว่า แท่งหินพิลึกที่เรียงกันเป็นทางยาวนี้ได้สร้างประโยชน์อันใดให้แก่ประเทศไทย
    :boo::boo::boo:
     
  3. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    <table style="border-collapse: collapse;" border="1" bordercolor="#ffc22f" cellpadding="2" cellspacing="0" width="780"><tbody><tr><td class="head2">[SIZE=-1]8 / 2 vote(s)[/SIZE]</td></tr> <tr><td bgcolor="#ffffd8"> <table align="right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="2"> <tbody><tr><td>
    ขนาดตัวอักษร : เพิ่มขนาด | ลดขนาด​
    </td></tr> </tbody></table>
    <noscript> คุณไม่ได้เปิดใช้ javascript กรุณาเปิด javascript เพื่ออ่านบทความของเด็กดีดอทคอม </noscript> <table id="story_body" style="display: table;" align="center" cellpadding="0" cellspacing="6" width="95%" height="150"><tbody><tr><td style="font-family: Tahoma; font-size: 17px;"> [​IMG]ในตำนาน หรือนิทานพื้นบ้านของไทย ที่เล่าต่อสืบทอดกันมานั้น หลายเรื่องได้เอ่ยถึงยักษ์ ทำให้น่าฉงนว่า สมัยดึกดำบรรพ์ อาจมียักษ์อยู่บนโลกนี้จริง เพราะเมื่อศึกษา พระคัมภีร์ของคริสเตียน ก็พบว่า ได้เคยเอ่ยถึงยักษ์เช่นกัน

    "ในคราวนั้น มีคนเนฟิล (พวกมนุษย์ยักษ์) อยู่บนแผ่นดิน..." (ปฐมกาล 6.4)
    "แผ่น ดินที่เราได้ไปสืบดูตลอดแล้วนั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองที่เราเห็นเป็นคนรูปร่างใหญ่โต ที่นั่น เราเห็นคนเนฟิลในสายตาของเรา เราเหมือนเป็นตั๊กแตน ในสายตาของเขาก็เหมือนกัน" (กันดารวิถี 13.32-33)
    [​IMG]จากเรื่องราวในหนังสือปฐมกาลและกันดารวิถี ซึ่งเป็นหนังสืออยู่ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิม ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า มีมนุษย์ยักษ์เนฟิล ลักษณะของมนุษย์ยักษ์นั้นคือ มีรูปร่างใหญ่โต แสดงว่าจะต้องมีรูปร่างใหญ่โตกว่าคนในสมัยนั้นมากนัก ทั้งๆ ที่ตามหลักฐานทางโบราณคดีหลายชิ้นระบุว่า มนุษย์โบราณทั่วไปก็มีรูปร่างใหญ่โตกว่าคนในปัจจุบันนี้
    แต่นี่ มนุษย์ยักษ์เนฟิลกลับมีรูปใหญ่โตกว่ามนุษย์โบราณยุคแรกๆของโลก จึงทำให้คนส่วนใหญ่เกิดคำถามขึ้นมาว่า มนุษย์ยักษ์มีจริงหรือ? หรือว่าพระคริสต์ธรรมคัมภีร์โมเม เขียนขึ้นเอง?
    [​IMG]ก่อนจะหาคำตอบของคำถามดังกล่าว ต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่ามนุษย์ยักษ์ อาจจะมีความหมายได้สองนัยคือ นัยแรก อาจจะหมายถึง ที่มีรูปร่างใหญ่โตกว่าคนธรรมดา มีความเข้มแข็งแกร่งกล้ากว่า ส่วน นัยที่สอง อาจจะหมายถึงมนุษย์ที่มีร่างกายใหญ่โต แต่ผิดแผกจากมนุษย์ทั่วไป เช่น ลักษณะของยักษ์แบบไทยๆ ที่มีเขี้ยวโง้งออกมุมปาก มีลวดลายบนใบหน้า เป็นต้น ซึ่งนัยหลังนี้เป็นแบบภาพยักษ์ในจินตนาการมากกว่า
    สำหรับ มนุษย์ยักษ์ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์นั้น พระคัมภีร์ เขียนถึงทั้งก่อนสมัยนํ้าท่วมโลกหรือมหาอุทกภัย และหลังนํ้าท่วมโลก (ในหนังสือกันดารวิถี) นอกจากนั้น ยังเขียนถึงมนุษย์ยักษ์ที่ชื่อโกไลแอธ ชาวฟิลิสเตีย คนเมืองกัท สูงหกศอกคืบ สวมเสื้อเกราะหนักถึง 5,000 เชเคล ตัวหอกหนัก 600 เชเคล โกไลแอธเป็นยอดทหารที่เก่งกล้า ไม่มีนักรบคนใดกล้าต่อกรด้วย แต่ก็ต้องมาตายเพราะนํ้ามือของดาวิด เด็กเลี้ยงแกะที่มีเพียงสลิงเป็นอาวุธ
    [​IMG]

    ความสูงของโกไลแอธนั้น หากเทียบมาตรากับสมัยนี้แล้วก็ประมาณ 9 ฟุต (270 ซม.)

    [​IMG]โกไลแอธ มีเรื่องราวบันทึกไว้ในพระคัมภีร์หลังนํ้าท่วมโลก และอยู่ในสมัยของดาวิด ซึ่งต่อมากลายเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงองค์หนึ่งของอิสราเอล ช่วงเวลาเหล่านี้ เป็นช่วงที่การจดบันทึก การจารึกต่างๆอยู่ในขั้นเจริญแล้ว
    เมื่อ สรุปเรื่องราว จากคัมภีร์แล้ว แสดงว่า มนุษย์ ยักษ์ มีจริง มีมาตั้งแต่สมัยเริ่มแรก ของโลก ตอนที่มนุษย์ กำลังเริ่มแพร่พันธุ์
    นักโบราณคดีและนักมนุษยศาสตร์ ได้พยายามค้นหาหลักฐานสนับสนุนว่า เคยมีมนุษย์ยักษ์อยู่ในโลกนี้จริง ปรากฏว่าค้นพบหลักฐานมากมายกระจายอยู่ในหลายแห่ง โดยเฉพาะที่มลรัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกา ขุดค้นพบโลงศพขนาดยาว บรรจุศพขนาด 12 ฟุตได้สบาย โครงกระดูกผุกร่อนเป็นผงหมดแล้ว โลงนี้พบอยู่ในเนื้อหิน
    อีกราย ขุดค้นพบที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย พบโครงกระดูกมนุษย์สูงถึง 12 ฟุต พร้อมฟัน 2 แถว ใกล้ๆกับโครงกระดูก ขุดพบเปลือกหอยรูปทรงแปลกๆ ขวานหินที่ใช้เป็นอาวุธ และเศษอาหาร ประกอบด้วยอาหารทะเล และเนื้อช้างแมมมอธที่สูญพันธุ์ไปจากโลกหลายล้านปีแล้ว
    [​IMG]ที่เกาะอีสเตอร์ ในมหาสมุทรแปซิฟิก มีแท่งหินแกะสลักเป็นใบหน้าและหัวมนุษย์ จำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ ขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่สุดขนาดสูง 30 ฟุต แต่ละรูปแกะสลักจากหินแข็งมีอายุเก่าแก่ไปถึงยุคหิน ซึ่งมนุษย์ยุคนั้นยังใช้หินเป็นเครื่องมือ รูปสลักบางรูปตั้งอยู่ ห่างจากแหล่งหินแข็ง หลายกิโลเมตร และมีขนาดใหญ่โตมาก ไม่ มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะเคลื่อนย้ายหรือสกัดได้ นอกจากมนุษย์ ยักษ์เท่านั้น มนุษย์สมัยหินไม่มีทางทำได้เลย
    ที่ผนังหินแห่งหนึ่งใกล้กับ แดนมหัศจรรย์ แกรนด์แคนยอน สหรัฐอเมริกา มีรูปเขียนโบราณรูปหนึ่ง แสดงให้เห็นภาพมนุษย์กำลังต่อสู้กับช้าง มีขนพันธุ์โบราณที่เรียกแมมมอธ ช้างชนิดนี้ เท่าที่พบซากฝังอยู่ในนํ้าแข็ง ในสหภาพโซเวียตรัสเซีย พบว่ามีร่างใหญ่โตกว่าช้างธรรมดามาก สูงราว 9-13 ฟุต มีงาที่ยาวน่ากลัว แต่ภาพเขียนโบราณดังกล่าว เป็นมนุษย์ต่อสู้กับช้างแมมมอธ แสดงว่า ต้องเป็นมนุษย์ยักษ์ร่างกายใหญ่โตพอๆ กับแมมมอธ
    [​IMG]ประตูหินโบลิเวีย เป็นหลักฐานอีกชิ้น หนึ่งที่แสดงให้เห็นฝีมือของมนุษย์ยักษ์ หินแต่ละก้อนหนักถึง 10 ตัน (10,000 กิโลกรัม) คนธรรมดา ไม่สามารถนำขึ้นไปเรียงซ้อนกันได้แน่ๆ ยังมีอีกหลายอย่าง ที่แสดงถึงฝีมือของมนุษย์ยักษ์ เช่น ขั้นบันไดป้อมปราการของมนุษย์ก่อนหน้าเผ่าอินคาในเปรู สิ่งที่ค้นพบเหล่านี้ล้วนใหญ่โตเกินกำลังความสามารถของมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเรา
    มีการขุดค้นพบแท่งหินสกัดเป็นรูปมนุษย์ จมอยู่ในทรายที่ทะเลทรายตอนเหนือของประเทศชิลี เป็นโครงมนุษย์ที่สูงถึง 32 ฟุต แสดงว่าต้องสกัดจากแบบที่เป็นจริงหรือใกล้เคียงกับความจริง
    [​IMG]หลักฐานอีกหลายชิ้นบอกชัดเจนว่า เป็นร่องรอยของมนุษย์ยักษ์ เช่น รอยเท้ามหึมา ที่เหยียบลงบนโคลน แล้วกลายเป็นหินภายหลัง ก้อนหินที่สกัดจนกลมดิกขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 7 ฟุต จำนวนมากมาย อยู่บนเกาะคอสตาริกา มีผิวเรียบเกลี้ยงเกลา หินกลมดิกเหล่านี้กระจัดกระจายกันอยู่ ทั้งใกล้และไกล ไม่ใช่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของมนุษย์
    มีคำถาม เกิดขึ้นอีกว่า แล้วมนุษย์ยักษ์ เหล่านั้นหายไปไหนหมด ไม่หลงเหลือให้เห็นในปัจจุบันนี้?
    ผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานกัน ว่า มนุษย์ยักษ์อาจจะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ จึงล้มหายตายจากไปทีละน้อยๆ จนสูญพันธุ์ไปจากโลกในที่สุด แบบเดียวกับไดโนเสาร์นั่นเองครับ.

    <script type="text/javascript"> <!-- playSound(); showPoll(); //--> </script> </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  4. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    สมบัติที่สาบสูญ.....ลองมาดูกันครับ

    <noscript> คุณไม่ได้เปิดใช้ javascript กรุณาเปิด javascript เพื่ออ่านบทความของเด็กดีดอทคอม </noscript> [​IMG]ภาพของมงกุฎทองคำในพิพิธ ภัณฑ์ ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ อาเซียนอาร์ต สหรัฐอเมริกา ปรากฏออกมาสู่สาธารณะ นักวิชาการด้านโบราณคดีเชื่อว่าจะเป็นเครื่องทองกรุเดียวกับวัดราชบูรณะใน กรุนี้ยังพบทองคำเครื่องทองคำราชูปโภคจำนวนมาก จากคำให้การคนร้ายขุดกรุมหาสมบัติในพระปรางค์ระหว่างวันที่ 25-27 กันยายน พ.ศ. 2500 ร่วมด้วยคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์และนักค้าของเก่า ประมาณว่าเครื่องทองคำราชูปโภคได้จากกรุวัดราชบูรณะมีน้ำหนักราว 100 กิโลกรัม

    [​IMG]ทองคำส่วนหนึ่งกรมศิลปากรตามมาได้จากกรุแห่งนี้ส่วนหนึ่งจัด แสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา จากบันทึกของคำให้การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ให้ข้อมูลกับผู้เข้าชม มีใจความสำคัญว่า ภายในกรุ ข้าง ล่างนั้นมีโต๊ะสำริด 3 ตัวตั้งอยู่ทิศตะวัน ออก ทิศใต้ และทิศเหนือ ตรงกลางของกรุ ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างราว 1 วาเศษ บน แท่นศิลากลางกรุ มีถาดทองคำ 3 ใบ บนถาดมีกระโถนทองคำ 4 ใบ มีไข่มุกอยู่เต็มกระโถน และพบแหวนประมาณ 2,000 วง บนแท่นยังพบพระแสงทองคำปักไว้ข้างขอบ โต๊ะ มีเสื้อทองคำ 8 ตัว มหามงกุฎกว้าง 1 ศอก สูง 2 ศอกเศษ มีจอกทองคำประดับด้วยทับทิม และมงกุฎราชินี 3 อัน ตลับทอง 12 ใบ


    [​IMG]ส่วนบนโต๊ะด้านทิศตะวันออก มีมหามงกุฎราชินี 5 อัน วางไว้บนโต๊ะ เสื้อทองคำของพระมหากษัตริย์ เรือหงส์ทองคำ 1 ลำ คนพายเรือทองคำ พระพุทธรูป 20 องค์ กระบวยทองคำ 8 อัน พร้อมม่านทองคำขึงท้องพระโรงก้อนใหญ่

    โต๊ะทางทิศใต้เต็มมีพระพุทธ รูป 25 องค์ ตลับ พระแก้วมรกต 4 องค์ พระพุทธทำด้วยทอง นาก เงิน มีผ้าพับ ไว้อย่างดี แต่เมื่อถูกก็เป็นผุยผง นอกจากนี้มีพระราชรถคันหนึ่งมีม้าเทียมคู่หนึ่งทำด้วยทองคำ มีขวด 6 ลูก ทำด้วยสีขาว มีแหวนอยู่เต็มขวด และเศษทองอีก 10 กระสอบ


    จุดแสดงเครื่องทองราชบูรณะ อยู่บนชั้นสอง ภายในห้องนี้ได้แสดงเครื่องประดับทองคำเครื่องใช้ทองคำของพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นมงกุฎทองคำ เข็มขัด ปั้นเหน่ง แหวน กำไล สร้อยพระหัตถ์ แผ่น ทองคำและตู้สำคัญจัดแสดงพระแสงขรรค์ชัยศรี องค์พระแสงขรรค์ทำด้วยเหล็กมีคม 2 ด้านแฝงความหมายของความยุติธรรมแห่งองค์พระมหากษัตริย์ หากต้องลงดาบจะไม่สามารถเลือกด้านใดด้านหนึ่งได้ ฝักทองคำจำหลักลายประจำยาม ลายกนกประดับอัญ มณี ด้ามทำด้วยเขี้ยวหนุมาน หรือหินควอทซ์ซึ่งมักเรียกว่าแก้วผลึกเป็นรูปแปดเหลี่ยม


    [​IMG]อ.เผ่าทอง ทองเจือ คณบดี คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    ในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดี เท้าความให้ฟังถึงประวัติ ของวัดราชบูรณะว่า วัดนี้เจ้าสามพระยาเป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1967 ในสมัยอยุธยาตอนต้น การ สร้างพระปรางค์องค์นี้ พระเจ้าสามพระยาโปรดให้สร้างกรุขึ้นด้วย คือห้องเก็บสมบัติ นั่นเอง ซ้อนลงไปใต้ดิน 3 ชั้น แล้วบรรจุของมีค่า เสร็จแล้วจึงก่อพระปรางค์ทับ การ ที่ทำเช่นนี้คนโบราณเชื่อว่าเป็นการสืบทอดพระศาสนา เพราะเชื่อว่าเมื่อพุทธศาสนาครบ 5,000 ปี จะล่มสลายหากแต่สมบัติยังอยู่ จะเป็นเครื่องยืนยันว่าเมื่ออดีตดินแดนแห่งนี้เคยมีพระพุทธศาสนา


    [​IMG]เจ้าสามพระยา เป็นลูกของสม เด็จพระอินทราชา ราชวงศ์สุพรรณภูมิ มีโอรสนามว่า พระอ้ายพระยา, พระยี่พระ ยา, พระสามพระยา ต่อมาปี พ.ศ. 1952 สมเด็จพระอินทราชาเสด็จสวรรคตโอรสองค์ใหญ่ยกทัพจากสุพรรณมาเพื่อชิงราช สมบัติ อยุธยากับเจ้ายี่พระยา ที่ยกทัพมาจากเมือง แพรกศรีราชา ทั้งสองพระองค์เคลื่อนทัพมาบริเวณวัดป่าถ่านในปัจจุบัน ทรงพระแสงของ้าวฟันต้องพระศอขาดพร้อมกัน เจ้าสามพระยาจึงเสด็จจากเมืองชัยนาทมาเสวยราชสมบัติแทน ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทรงอุทิศถวายเพลิงสร้างพระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุและพระวิหารเป็นพระอาราม เรียกว่า "วัดราช บูรณะ"


    [​IMG]อ.เผ่าทองเล่าต่อว่า เครื่องทองทั้งหมดอยู่ในห้องนี้ได้จากเจดีย์องค์หนึ่งพระปรางค์ (เจดีย์ทรงฝักข้าวโพด) ตั้งแต่ พ.ศ. 1967 กรุแห่งนี้ปิดมาตลอดจนกระทั่งปี 2501 มีคนร้ายเข้ามาลักลอบขุดพระ ปรางค์ แล้วเจอกรุทองคำ เริ่มมีการลักลอบ ขโมยออกมาทีละเล็กทีละน้อย จนสมัย นั้น มีการพูดกันว่าร้านทองใน ต.หัวรอ ต้องเปิดเตาเบ้าหลอมทองทั้งวันทั้งคืน เพื่อ ให้ออกมาเป็นทองคำแท่งเลี่ยงไม่ให้ตำรวจ จับได้



    ต่อมาตำรวจและกรมศิลปากรจึงได้ทราบว่ามีการลักลอบเนื่องจาก มีคนร้ายสติฟั่นเฟือนเพราะร่ำรวยจากทรัพย์สมบัติที่ขุดได้ ออกมายืนถือพระแสงขรรค์รำอยู่ที่ตลาด เมื่อจับมาตรวจสอบพบว่าเป็นทองคำจริง สอบปากคำและตรวจสอบกรมศิลปากรจึงตามไปขุดค้นขึ้นมา

    [​IMG]ทองคำที่เห็นอยู่ในห้องแห่งนี้เป็นเพียงส่วนเดียวที่เหลือจาก การขุดของคนร้าย สันนิษฐานว่าทองคำมหาศาลพบในกรุแห่งนี้บางส่วนมาจากเมืองเสียมเรียบของเขมร เนื่องมาจากเจ้าสามพระยาไปตีเมืองเสียมเรียบได้



    สิ่งสำคัญภายในห้องแสดง เครื่องทองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งนี้ ยังมีองค์พระปรางค์สีน้ำตาล มีแผ่นทองแปะอยู่บางส่วน เป็นพระปรางค์องค์จำลองที่เจ้าสามพระยาสร้างไว้ เพื่อจำลองการสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ ซึ่งบรรจุไว้ในกรุด้วยจึงก่อพระปรางค์องค์ใหญ่ทับ คนร้ายไม่สามารยกพระปรางค์ทั้งหมดออกไปขายได้ ต้องใช้มือฉีกทองออกเนื่องจากเป็นทอง 100 เปอร์ เซ็นต์ มีความอ่อน ทองที่ฉีกไปคาดว่านำไปหลอมหมดแล้ว ทำให้หลงเหลือเท่าที่เห็น

    อาจารย์ เผ่าทองยังบอกเล่าถึงความสำคัญของเครื่องทองเหล่านี้ที่สำคัญได้แก่ มงกุฎทองถักชิ้นนี้น่าจะเหมือนกับที่แสดงในสหรัฐ แต่ควรเรียกว่า "ศิราภรณ์" หรือเครื่องประดับพระเศียร เป็นตาข่ายถักด้านหลังเว้าเป็นวงโค้ง เพื่อที่จะรัดเกล้าหรือมวยผมต่ำอยู่ที่ท้ายทอยพอดี



    "ศิราภรณ์ ที่พบในสหรัฐเป็นทอง คำทึบ แต่อันที่เห็นเป็นทองคำโปร่ง อาจเปรียบได้เหมือนเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ในฤดูต่าง ๆ องค์ทึบน่าจะเป็นฤดูหนาว องค์โปร่งน่าจะเป็นฤดูร้อน ลายด้านข้างเป็นลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนลายเดียวกับที่ฟิลาเดลเฟีย"

    [​IMG]ทองคำภายในกรุ ส่วนหนึ่งนำมารีดให้เป็น "ลาน ทอง" โดยนำทองคำมารีดเป็นแผ่นแล้วจารึกข้อความพระไตรปิฎก ต่าง ๆ ลงไป เป็นการสืบพระศาสนา และยังมีทองคำแผ่นที่ตีเป็นรูป ช้าง ม้า หัว ควาย สัตว์สำคัญในพระพุทธศาสนา และหลักฐานสำคัญถึงความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดินล้านนากับอยุธยา คือ "พวงหมากสายทองคำ" ที่มีให้ชมอยู่ภายในห้องนี้ เป็นวัฒนธรรมของคนเหนือที่ยังทำอยู่ โดยเอาหมากมาร้อยแล้วตากแห้งเพื่อเก็บไว้กินในฤดูที่ไม่มีหมาก



    [​IMG]ลวดลายสำคัญที่จำหลักอยู่บนสร้อยพระหัตถ์ มีส่วนประกอบของหอยเบี้ย ทับทิม เรียกว่า "เบี้ยแก้" คนโบราณมักเอาหอยเบี้ยมาลงอาคมแล้วพกติดตัวไว้ป้องกันสิ่งไม่ดีไม่ให้เข้ามา หาตัว ลวดลายของเข็มขัดทองประดับทับทิมเป็นเครื่องทองอีกชิ้นที่บอกเล่าประวัติ ศาสตร์ได้ว่าสมัยนั้นเริ่มมีสัมพันธ์กับจีนแล้ว โดยดูจาก "ลายเงื่อนพิรอด" มีลักษณะบิดไปบิดมาเป็นเกลียว เงื่อนพิรอดหมายถึงเชือกที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด เป็นสัญลักษณ์ของความอยู่ยงคงกระพันมีอายุยืนยาว



    บันทึกอีก หน้าแห่งความยิ่งใหญ่ยศยิ่งฟ้าของอยุธยามรดกโลก.

    วัดราชบูรณะ


    [​IMG]
    วัดราชบูรณะอยู่ริมถนนมหาราช ห่างจากวัดประมาณ 200 เมตร ปัจจุบันสามารถเข้าไปชมภายในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะได้ กรุนี้มี 2 ชั้น ชั้นบนสูงจากระดับพื้นประมาณ 5 เมตร กรุด้านล่างอยู่สูงจากพื้นดิน 2.2 เมตร ผนังส่วนล่างเจาะเป็นซุ้มทั้ง 4 ด้าน แม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีสมบัติล้ำค่า อยู่ แต่ยังมีสิ่งที่มีคุณค่าทางศิลปะ คือจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นภาพชุมนุมประกอบลายดอกไม้ร่วง ผนังทิศตะวันออกและทิศใต้ เขียนภาพแบบจีน เขียนด้วยสีฝุ่นใช้สีแดง ดำ และขาว
    [​IMG]

     
  5. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,946
    ค่าพลัง:
    +3,301
    ไซคลอปส์

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content --><TABLE class="noprint metadata plainlinks ambox ambox-content"><TBODY><TR><TD class=mbox-image>[​IMG]
    </TD><TD class=mbox-text>บทความนี้ขาดหรือต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิง เพื่อให้พิสูจน์ยืนยันได้ถึงที่มาและความน่าเชื่อถือ คุณสามารถพัฒนาบทความนี้ได้โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงตามสมควร
    <SMALL>เนื้อหาที่ขาดแหล่งอ้างอิงอาจถูกพิจารณาว่าละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นงานต้นฉบับ หรือมีลักษณะไม่เป็นกลาง</SMALL></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG] [​IMG]
    ไซคลอปส์


    ไซคลอปส์ (กรีก: Κύκλωψ; ละติน: Cyclops หรือ Kyklops) หรือ อสูรตาเดียว เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานกรีก
    ชื่อไซคลอปส์ถูกใช้ระบุถึงยักษ์ตาเดียวสองชนิด โดยชนิดแรกเป็นลูกของเจ้านภา ยูเรนัสและพระแม่ธรณี ไกอา มักจะถือค้อนอันใหญ่ มีพลังแห่งสายฟ้า และมีฝีมือในด้านช่างเหล็ก ไซคลอปส์กลุ่มนี้ถูกยูเรนัสกักขังไว้ในทาทารัส จนกระทั่งซุสปลดปล่อยออกมาหลังจากที่โค่นโครนัสผู้เป็นบิดา ซึ่งไซคลอปส์ได้ตอบแทนโดยตีอาวุธต่างๆให้เหล่าเทพ และเหล่าไซคลอปส์ได้เป็นลูกมือของเทพแห่งช่างเหล็กเฮฟเฟสตุสในเวลาต่อมา จนกระทั่งถูกอพอลโลสังหารเพื่อล้างแค้นให้แอสคิวลาปิอัสที่ถูกซุสใช้สายฟ้าฟาด
    ไซคลอปส์กลุ่มที่สองเป็นลูกหลานของโพเซดอนและพรายน้ำโทซา ไซคลอปส์กลุ่มนี้กินมนุษย์เป็นอาหาร โดยมีบทบาทในเรื่องโอดิสซีย์ ไซคลอปส์มีความนิยมมากเหมือนกัน เช่นไซคลอปส์ในการ์ตูน ไซคลอปส์ในเกม
    <TABLE style="BACKGROUND: #fffeee" class=navbox cellSpacing=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 2px; PADDING-LEFT: 2px; PADDING-RIGHT: 2px; PADDING-TOP: 2px"><TABLE style="WIDTH: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; COLOR: inherit" id=collapsibleTable0 class="nowraplinks collapsible autocollapse" cellSpacing=0><TBODY><TR><TH style="BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-title colSpan=2>
    [ซ่อน]​

    เทพปกรณัมกรีก</TH></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>มหากาพย์</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-odd">อีเลียดโอดิสซีย์
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>เทพไททัน</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-even">โครเนิสโอเซียเนิสรีอาเธมิสแอตเลิสซีอัสครีอัสไฮเพอร์เรียนธีอาเทธิสเนโมซิเนฟีเบโพรมิธีอุสเอพิเมเธอุสไออาเพทัสเมโนเอเทียส
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>เทพโอลิมปัส</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-odd">ซูสฮีราโพไซดอนดิมีเทอร์แอรีสเฮอร์มีสฮีเฟสตุสแอฟรอไดทีอะธีนาอพอลโลอาร์ทีมิสไดโอไนซัส (อดีต: ฮาเดสเฮสเตีย)
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>เทพในยุคแรก</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-even">เคอ็อสอีเธอร์เอเรบัสอีรอสจีอาอูรานอสเฮเมรานิกซ์โอฟิออน
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>รุกขเทวดา</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-odd">นิเรียดนิมฟ์มิวส์เกรซซาไทร์
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>เทพอื่น ๆ</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-even">โฟบอสดีมอสมอยเรเพอร์ซิโฟเนคราตอสซีลุสทานาทอสไนกี้ไบอาพาลลัสฮิปนอสอาเครอนแอมฟิไทรท์ลีโตฟอร์จูนเนเมซิสไทรทันสติกซ์แพนเมทิสไอริสเฮคาทิเฮราคลีสไซคีสามเทพสุภา
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>วีรบุรุษ</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-odd">โอไรอันเพอร์ซิอุสโอดิปุสโอดีสซุซอคิลลีสเฮกเตอร์เจสันเบลเลอโรฟอนพีลูสอีเนียสอาแจ็กซ์เธเซอุส
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>มนุษย์</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-even">แพนโดราแอนดรอมีดาอโดนิสนาซิสซัสโอฟีอุสยูโรปาอิคะเริสซิซิฟัสแกนีมีดเพรียมเฮเลนเซเฟอุสลีดาแคสซิโอเปีย
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>สัตว์ในตำนาน</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-odd">กริฟฟอนซาลามานเดอร์สฟิงซ์เซอร์เบอรัสบาซิลิสก์มิโนทอร์ฮาร์ปี้ไฮดราเพกาซัสเมดูซาไคเมราฮิปโปแคมปัสเซนทอร์อีคิดน่าไทฟอนคริสซาออร์สคิลล่ามันติคอร์นีเมี่ยนไลคาออนไจแอนท์ไซคลอปส์ทาลอส
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>สถานที่</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-even">แม่น้ำสติกซ์ทาร์ทารัสกรุงทรอยภูเขาโอลิมปัสเอเธนส์เอลิเซี่ยมสปาร์ตาเดลฟีไฮเปอร์โบเรียกรุงธีปส์
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 2px"><TD></TD></TR><TR><TH style="WHITE-SPACE: nowrap; BACKGROUND: #ffdab9" class=navbox-group>สงคราม</TH><TD style="TEXT-ALIGN: left; BORDER-LEFT: #fdfdfd 2px solid; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class="navbox-list navbox-odd">สงครามไททันสงครามพระแม่ธรณีไกอาสงครามกรุงทรอย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="BORDER-BOTTOM: #90a0b0 1px solid; BORDER-LEFT: #90a0b0 1px solid; MARGIN: 10px 0px 0px; WIDTH: 100%; BACKGROUND: #fcfcfc; CLEAR: both; FONT-SIZE: 90%; BORDER-TOP: #90a0b0 1px solid; BORDER-RIGHT: #90a0b0 1px solid" cellSpacing=0 cellPadding=3><TBODY><TR><TD vAlign=top width=40 align=middle>[​IMG]</TD><TD style="COLOR: #696969" align=left>ไซคลอปส์ เป็นบทความเกี่ยวกับ ความเชื่อ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
    <SMALL>ข้อมูลเกี่ยวกับ ไซคลอปส์ ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ</SMALL></TD></TR></TBODY></TABLE>



    <TABLE style="BORDER-BOTTOM-STYLE: none; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-TOP-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none" width="100%"><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 90px">[​IMG]</TD><TD style="TEXT-ALIGN: right" class=headmenu vAlign=top align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    Wiki: ไซคลอปส์
    [​IMG]
    <TABLE class=normal><TBODY><TR><TH vAlign=top colSpan=2 align=left>
    เทพปกรณัมกรีก</TH></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>มหากาพย์</TH><TD vAlign=top align=left>อีเลียดโอดิสซีย์
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>เทพไททัน</TH><TD vAlign=top align=left>โครเนิสโอเซียเนิสรีอาเธมิสแอตเลิสซีอัสครีอัสไฮเพอร์เรียนธีอาเทธิสเนโมซิเนฟีเบโพรมิธีอุสเอพิเมเธอุสไออาเพทัสเมโนเอเทียส
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>เทพโอลิมปัส</TH><TD vAlign=top align=left>ซูสฮีราโพไซดอนดิมีเทอร์แอรีสเฮอร์มีสฮีเฟสตุสแอฟรอไดทีอะธีนาอพอลโลอาร์ทีมิสไดโอไนซัส (อดีต: ฮาเดสเฮสเตีย)
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>เทพในยุคแรก</TH><TD vAlign=top align=left>เคอ็อสอีเธอร์เอเรบัสอีรอสจีอาอูรานอสเฮเมรานิกซ์โอฟิออน
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>รุกขเทวดา</TH><TD vAlign=top align=left>นิเรียดนิมฟ์มิวส์เกรซซาไทร์
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>เทพอื่น ๆ</TH><TD vAlign=top align=left>โฟบอสดีมอสมอยเรเพอร์ซิโฟเนคราตอสซีลุสทานาทอสไนกี้ไบอาพาลลัสฮิปนอสอาเครอนแอมฟิไทรท์ลีโตฟอร์จูนเนเมซิสไทรทันสติกซ์แพนเมทิสไอริสเฮคาทิเฮราคลีสไซคีสามเทพสุภา
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>วีรบุรุษ</TH><TD vAlign=top align=left>โอไรอันเพอร์ซิอุสโอดิปุสโอดีสซุซอคิลลีสเฮกเตอร์เจสันเบลเลอโรฟอนพีลูสอีเนียสอาแจ็กซ์เธเซอุส
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>มนุษย์</TH><TD vAlign=top align=left>แพนโดราแอนดรอมีดาอโดนิสนาซิสซัสโอฟีอุสยูโรปาอิคะเริสซิซิฟัสแกนีมีดเพรียมเฮเลนเซเฟอุสลีดาแคสซิโอเปีย
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>สัตว์ในตำนาน</TH><TD vAlign=top align=left>กริฟฟอนซาลามานเดอร์สฟิงซ์เซอร์เบอรัสบาซิลิสก์มิโนทอร์ฮาร์ปี้ไฮดราเพกาซัสเมดูซาไคเมราฮิปโปแคมปัสเซนทอร์อีคิดน่าไทฟอนคริสซาออร์สคิลล่ามันติคอร์นีเมี่ยนไลคาออนไจแอนท์ไซคลอปส์ทาลอส
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>สถานที่</TH><TD vAlign=top align=left>แม่น้ำสติกซ์ทาร์ทารัสกรุงทรอยภูเขาโอลิมปัสเอเธนส์เอลิเซี่ยมสปาร์ตาเดลฟีไฮเปอร์โบเรียกรุงธีปส์
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left></TD></TR><TR><TH vAlign=top align=left>สงคราม</TH><TD vAlign=top align=left>สงครามไททันสงครามพระแม่ธรณีไกอาสงครามกรุงทรอย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG] ไซคลอปส์ เป็นบทความเกี่ยวกับ ความเชื่อ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วย เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
    <SMALL>ข้อมูลเกี่ยวกับ ไซคลอปส์ ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ</SMALL>
    ไซคลอปส์ (กรีก: Κύκλωψ; ละติน: Cyclops หรือ Kyklops) หรือ อสูรตาเดียว เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานกรีก
    ชื่อไซคลอปส์ถูกใช้ระบุถึงยักษ์ตาเดียวสองชนิด โดยชนิดแรกเป็นลูกของเจ้านภา ยูเรนัสและพระแม่ธรณี ไกอา มักจะถือค้อนอันใหญ่ มีพลังแห่งสายฟ้า และมีฝีมือในด้านช่างเหล็ก ไซคลอปส์กลุ่มนี้ถูกยูเรนัสกักขังไว้ในทาทารัส จนกระทั่งซุสปลดปล่อยออกมาหลังจากที่โค่นโครนัสผู้เป็นบิดา ซึ่งไซคลอปส์ได้ตอบแทนโดยตีอาวุธต่างๆให้เหล่าเทพ และเหล่าไซคลอปส์ได้เป็นลูกมือของเทพแห่งช่างเหล็กเฮฟเฟสตุสในเวลาต่อมา จนกระทั่งถูกอพอลโลสังหารเพื่อล้างแค้นให้แอสคิวลาปิอัสที่ถูกซุสใช้สายฟ้าฟาด
    [​IMG]
    ไซคลอปส์

    ไซคลอปส์กลุ่มที่สองเป็นลูกหลานของโพเซดอนและพรายน้ำโทซา ไซคลอปส์กลุ่มนี้กินมนุษย์เป็นอาหาร โดยมีบทบาทในเรื่องโอดิสซีย์ ไซคลอปส์มีความนิยมมากเหมือนกัน เช่นไซคลอปส์ในการ์ตูน ไซคลอปส์ในเกม




    ในความมืดมนอนธการของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลหาที่สุดมิได้ เวิ้งว้างและว่างเปล่า
    เรียกนามหรือค่าจำกัดความของสิ่งที่กล่าวมานี้โดยสมมุติว่า เคออส (Chaos)
    อยู่ต่อมาอีกนานนับกัปกัลป์ โลก หรือ แผ่นดิน หรือแม่พระธรณี ได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ถึงเหตุที่มาหรืออุบัติกาล
    เรียกนามตามภาษากรีกว่า กีอา หรือ เทลัส (Tellus) ในภาษาโรมัน และในกาลครั้งนั้น ณ เบื้องบนเหนือแม่พระธรณีกีอา
    สวรรค์หรือท้องฟ้าสีครามได้ถือกำเนิดขึ้น เช่นเดียวกัน เรียกนามตามภาษากรีกว่า อูรานอส (Ouranos) หรือ ยูเรนัส
    ในภาษาโรมัน

    กำเนิดโลกและเทพเจ้าอีกตำนานหนึ่ง

    ตำนานที่ 2 นี้ได้ยกย่อง เคออส ให้เป็นปฐมเทพ พระชายาคือ เทพีแห่งราตรีนามว่า นิกส์ (Nyx) หรือ น๊อกส์ (Nox)
    ได้ให้กำเนิดโอรส คือ เอรีบัส (Erebus) หรือ เทพเจ้าแห่งความมืด ซึ่งได้ทำหน้าที่แทนพระบิดาเคออส
    ต่อมาโอรสของเทพเอรีบัสคือ เทพอีเธอร์ (Aether) หรือแสงสว่าง และ เทพเฮเมอรา (Hemera) หรือเวลากลางวัน
    ได้ยึดอำนาจครองความมืดมนอนธการแทนพระบิดาเอรีบัส และร่วมมือกับ อีรอส (Eros) หรือ คิวปิด (Cupid)
    ร่วมกันสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งหมด (ในตำนานนี้เล่าว่าคิวปิด เป็นโอรสของเทพ เอรีบัสกับเทพนิกส์ และเป็นคนละองค์
    กับคิวปิดหรือ กามเทพ โอรสของเทพธิดาวีนัส)

    โลกและสรรพสิ่ง

    จากความเวิ้งว้างมืดมนอนธการเทพทั้ง 3 คือ อีเธอร์ เอเมอรา และคิวปิด ได้เนรมิตโลกกับทะเลขึ้นก่อน ทะเลนั้นเรียกนามว่า
    พอนทัส (Pontus) คิวปิดเห็นว่าโลกยังเวิ้งว้างว่างเปล่า จึงได้ใช้ลูกศรแทงลงสู่พื้นพิภพ บันดาลให้เกิด ต้นไม้ใบหญ้า
    แม่น้ำลำธาร ตลอดจนสรรพ!ทั้งมวล แต่ในยุคนั้นมนุษย์ยังมิได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก
    และบัดนี้พระแม่ธรณี หรือ เทพมารดากีอา กับ ท้องฟ้า หรือ เทพบิดายูเรนัส ก็ได้ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืดมนอนธการ
    ทั้ง 2 มีจิตปฏิพัทธ์ต่อกันและได้ช่วงชิงบัลลังก์มหาเทพอีเธอร์และเทพเฮเมอรามาครอบครอง

    อาณาจักรโอลิมปัส (Olymus)

    โอลิมปัส เป็นชื่อของยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศกรีซ (ประเทศกรีซมีภูเขาสูงอยู่หลายลูก ขุนเขาโอลิมปัสมียอดสูงที่สุด
    คือสูงเกือบ 2 ไมล์ หรือ ประมาณ 9,800 ฟุต อยู่ในแถบเทสซาลีทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศกรีซ)
    เชื่อกันว่าสูงขึ้นไปจนถึงสวรรค์อันเป็นที่อยู่ของเหล่าเทพเจ้า ซึ่งเป็นเทพบดี หรือ เทพชั้นผู้ใหญ่ อันมีชื่อเรียกว่าวิมานโอลิมปัส


    เทพบิดายูเรนัสกับเทพมารดากีอา ได้ร่วมอภิรมย์เสน่หาและได้ให้กำเนิดพรโอรสธิดา ดังนี้
    ชุดที่ 1 กลุ่มเทพไตตัน (Titan) จำนวน 12 องค์
    ชุดที่ 2 กลุ่มเทพไซครอปส์ (Cyclops) จำนวน 3 องค์
    ชุดที่ 3 กลุ่มเทพอสูร จำนวน 3 องค์

    กลุ่มเทพไตตันทั้ง 12 องค์ ได้แก่
    1. เทพบุตรโอเชียนัส (Oceanus) เจ้าสมุทร (ผู้เฒ่าแห่งทะเล)
    2. เทพบุตรซีอัส (Coeus)
    3. เทพบุตรครีอัส (Creus)
    4. เทพบุตรไฮเพอร์เรียน (Hyperion) เทพแห่งวิถีโคจรของดวงตะวัน
    5. เทพบุตรไอแอพิทัส (Iapetus)
    6. เทพบุตรโครนัส (Cronus) ในภาษากรีก หรือ แซทเทิร์น (Saturn) ในภาษาโรมัน
    7. เทพธิดาอิเลีย (Ilia)
    8. เทพธิดารีอา (Rhea)
    9. เทพธิดาทีมิส (Themis)
    10. เทพธิดาทีทิส (Thetis) เทพีแห่งความยุติธรรม เป็นพระชายาองค์หนึ่งของเทพโอเชียนัส
    11. เทพธิดานีโมซินี (Mnemosyne) เทพีแห่งความจำ
    12. เทพธิดาฟีบี (Phoebe) เทพแห่งวิถีโคจรของดวงจันทร์ พระชายาเทพไฮเพอร์เรียน
    (บางตำนานว่าเป็นพระชายาเทพบุตรซีอัส)

    ทาร์ทะรัส (Tartarus) หลุมลึกใต้บาดาล

    เทพบุตรและเทพธิดาชุดที่ 1 หรือ กลุ่มเทพไททัน ทั้ง 12 องค์ ล้วนมีร่างกายใหญ่โตมหึมา คำว่าไททันจึงเป็นที่มา
    ของศัพท์ ไททันนิค (Titanic) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า ใหญ่โต มหึมา รูปร่างลักษณะของพวกไททัน
    จึงไม่เหมือนเทพบุตรหรือเทพธิดา แต่น่าจะเรียกว่า ยักษ์ หรือ เทพอสูรมากกว่า (บางตำนานบอกว่าต่อมา เทพธิดาทั้ง 6 องค์
    เป็นพระชายาของเทพบุตรทั้ง 6 องค์) และด้วยความใหญ่โตมหึมาของกลุ่มเทพไททันทำให้เทพบิดายูเรนัสเกิดความเกรงกลัว
    จึงนำพระโอรสธิดาทั้ง 12 องค์ ไปขังไว้ในทาร์ทะรัส หรือ หลุมลึกใต้บาดาล เพื่อป้องกันไม่ให้
    พระโอรสธิดาคิดยึดอำนาจไปจากตน


    กลุ่มเทพไซคลอปส์ มี 3 องค์ ได้แก่
    1. บรอนทีส (Brontes) เทพอสูรฟ้าร้องหรือฟ้าลั่น
    2. สเทอโรฟิส (Steropes) เทพอสูรฟ้าแลบ
    3. อาร์จีส (Arges) เทพอสูรแห่งสายฟ้าหรือแสงสว่าง

    เทพบุตรชุดที่ 2 นี้ มีลักษณะใหญ่โต แต่มีดวงตาเพียงดวงเดียวอยู่กลางหน้าพาก แม้จะมีรูปร่างไม่สง่างาม จนน่าจะเรียกว่า
    ยักษ์หรือ เทพอสูรไซครอปส์ แต่ทั้ง 3 ล้วนเป็นช่างตีเหล็กที่มีพละกำลังมหาศาล
    ทำให้เกิดประกายไฟจากค้อนใหญ่แลบข้ามท้องฟ้าสว่างไสว
    เป็นเหตุให้ประกายดาวของพระบิดายูเรนัสที่ส่องระยิบระยับนั้นอ่อนแสงลง (ยูเรนัสคือดาวพฤหัสบดี แต่หมายถึงท้องฟ้า
    อันยิ่งใหญ่ด้วย) เทพบิดายูเรนัสนำพระโอรสเทพอสูรไซครอปส์ทั้ง 3 ไปขังไว้ในทาร์ทะรัส
    เช่นเดียวกับกลุ่มเทพอสูรไททัน แต่เดิมสถานที่กักขังแห่งนี้มืดมนอนธการ ครั้นเมื่อเทพอสูรไซครอปส์ทั้ง 3 ลงมาสู่ทาร์ทะรัส
    ทำให้เกิดความสว่างไสวไปทั่วเมืองบาดาล กลุ่มเทพอสูรไททันเริ่มเกิดความกล้าขึ้นและคิดหาความเป็นธรรมให้ กับพวกตน

    เทพอสูรชุดที่ 3
    พระแม่ธรณีกีอา ได้ให้กำเนิดเทพอสูรอีก 3 องค์ ซึ่งไม่เป็นที่โปรดปรานของเทพบิดายูเรนัสเช่นเดิม เพราะพระโอรสทั้ง 3
    แต่ละองค์มีถึง 50 เศียร และ 100 กร ได้แก่
    1. เทพอสูรคอตทัส (Cottus)
    2. เทพอสูรเบรียรูส (Briareus)
    3. เทพอสูรไกจีส (Gyges)
    เทพบิดายูเรนัสได้นำพระโอรสเทพอสูรชุดที่ 3 ไปขังไว้ในทาร์ทะรัสเช่นเดียวกับพวกเทพอสูรรุ่นก่อนๆ ฝ่ายพระนางกีอาไม่พอใจ
    แต่ก็ไม่สามารถห้ามได้ ในที่สุดพระนางจึงตัดสินใจลงไปยุยงให้ลูกๆในคณะไททันทำการยึดอำนาจจากยูเรนัสเสียซึ่
    งได้
    โครนัส(แซตเทิร์น) โอรสองค์เล็กตอบรับ พระนางจึงปล่อยและมอบเคียวให้เป็นอาวุธ โครนัสถืออาวุธโจมตีพระบิดาโดย
    ไม่ทันรู้ตัว จึงสามารถชนะ และขึ้นครองบัลลังก์ ณ เขาโอลิมปัส
     
  6. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ตำนานมังกร...จากทุกมุมโลก

    <noscript> คุณไม่ได้เปิดใช้ javascript กรุณาเปิด javascript เพื่ออ่านบทความของเด็กดีดอทคอม </noscript> [​IMG]ตำนาน มังกรของจีนนั้นนับว่าเก่าแก่กว่าประเทศอื่นๆ คือราวสี่พันกว่าปีมาแล้วโดยในสมัย พระเจ้าชุน (2255-2205 ปีก่อน ค.ศ.) ได้เกิดอุทกภัยจากแม่นํ้าฮวงโหผู้คนล้มตายมากมาย พระองค์จึงสั่งให้อำมาตย์ผู้หนึ่งชื่อ ยู้ ไปแก้ไข แม้ว่ายู้จะเพิ่งแต่งงานได้เพียง 4 วัน แต่เขาก็ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเลยถึง 33 ปี บุกป่าฝ่าเขา เผาป่าขุดคลอง กระทั่งสามารถระบายนํ้าท่วมทั้งหมดลงสู่ทะเลได้ เมื่อพระเจ้าชุนสิ้นพระชนม์ ราษฎรจีนทั้งปวงจึงพร้อมใจกันให้ยู้ขึ้นครองราชสมบัติแทน ทรงพระนามว่าพระเจ้า อู๋เต้ (2205-2197 ปี ก่อน ค.ศ.) ต้นราชวงศ์เหีย



    ด้วย ความยิ่งใหญ่ของยู้ ทำให้กล่าวกันว่า จริงๆ แล้วกำเนิดของยู้นั้นเป็นพญามังกร ดังนั้น จึงถือกันว่าฮ่องเต้หรือจักรพรรดิองค์ต่อๆ มาของจีนนั้นก็คือมังกรกลับชาติมาเกิด ด้วยเหตุนี้สัญลักษณ์ของฮ่องเต้ จึงใช้รูปมังกรแต่จะผิดแผกจากมังกรธรรมดา คือมี 5 เล็บ และใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำองค์ฮ่องเต้เป็นหลัก

    [​IMG]ในเมืองจีนเราจึงมักได้เห็นรูปมังกร ปรากฏประดับประดาอยู่ทั่วไปครับ ไม่ว่าจะบนผ้าม่านที่ปักอย่างวิจิตร บนตราประทับ หรือบนแจกันตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป



    มังกรเก่าแก่ตัว ถัดมาเห็นจะได้แก่ มังกรในตำนานของชนสุเมเรียนแห่งนครบาบิโลน ซึ่งก่อตั้งขึ้นราว 2,000 ปีก่อน ค.ศ. โดยตำนานเล่าว่า หลังกำเนิดของพิภพ มีมังกรเพศเมียนามว่า ติอาแม็ท (TIAMAT) เป็นเทพีแห่งทะเลนํ้าเค็ม เมื่อนํ้าเค็มของติอาแม็ทผสมผสานกับนํ้าจืดของเทพ อัพสุ (APSU) ก็เกิดการปฏิสนธิของเทพองค์อื่นๆ อีกมากมาย

    ต่อมาอัพสุต้องการชิงอำนาจจากจอมเทพ อีอา (EA) จึงเกิดเทวสงครามขึ้น แรกๆ ทัพของอัพสุกับติอาแม็ททำท่าว่าจะมีชัย แต่แล้วก็เกิดมีวีรเทพซึ่งเป็นโอรสของอีอาพระนามว่า มาร์ดุค (MARDUK) เข้ามาขัดขวางติอาแม็ทอ้าโอษฐ์ เพื่อกลืนกินมาร์ดุค แต่วีรเทพได้สาดมหาพายุเข้าไปในโอษฐ์ของเธอจนหุบไม่ลง แล้วมาร์ดุคก็ใช้แหจับ

    [​IMG]ติ อาแม็ทไว้ได้ เอาศรเสียบร่างแล้วเอาดาบ ผ่ากายของเธอออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งบังเกิดเป็นหลังคาสวรรค์ อีกซีก หนึ่งเป็นท้องมหาสมุทร นอกจากนี้ มาร์ดุค ยังเอาดาบเสียบลูกตาของติอาแม็ท โลหิตที่หลั่งไหลออกมากลายเป็นแม่นํ้าสองสาย คือ ไทกริส กับ ยูเฟรติส แห่งดินแดนเมโสโปเตเมีย แถมยังม้วนหางของเธอขึ้นไป พาดไว้บนห้วงจักรวาลกลายเป็น ทางช้างเผือก (MILKY Way) ที่เราเห็นสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้าทุกวันนี้



    มังกรตัวต่อมา ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ไบเบิลของชนฮีบรู
    กล่าวคือเมื่อพระเจ้า (GOD) ทรงสร้างโลก ในวันที่ 5 พระองค์ได้เสกมังกรทะเลขึ้นมาชื่อว่า เล เวียธาน (LEVIA-THAN) เป็นอสุรสัตว์ ที่มีพละกำลังน่าเกรง ขาม อาวุธใดๆ ไม่อาจระคายเคืองร่างของมันได้ แม้ว่ามันอาจก่อความเดือดร้อนให้แก่ มนุษย์บ้าง แต่พระเจ้าก็มิได้เอาใจใส่กับมันเท่าใดนัก เพราะพระองค์ ตั้งพระทัยที่จะสังหารมันในวันสุดท้ายแห่งพิภพ (THE JUDGEMENT DAY)!

    "ในวันนั้น พระองค์จะทรงใช้ดาบอันมีศักดานุภาพยิ่งใหญ่ ลงทัณฑ์เจ้ามังกร ซึ่งพยายามหลีกลี้หนีไป และทรงประหารมันในห้วงมหาสมุทร" (จาก Isaiah 27 : 1)


    [​IMG]เรื่องราวของมังกรในคริสตอาณาจักร ยังมีอีก คือในช่วงศตวรรษแรกหลังจากองค์เยซูสิ้นพระชนม์ ชาวคริสต์หลั่งไหลเข้าไปอยู่ในตะวันออกกลาง ตำนานความเชื่อโบราณหลายเรื่องเลือนหายไป แต่ "มังกร" ยังอยู่ ซึ่งน่ากลัวหนักขึ้นไปอีก โดยปรากฏในรูปของ"ปิศาจ (DEVIL)"

    "ข้า เห็นเทวดาลงมาจากสวรรค์ ในหัตถ์มีกุญแจไขสู่หลุมลึกอันหยั่งไม่ถึง อีกหัตถ์หนึ่งมีโซ่เส้นมหึมา แล้วจับเจ้ามังกรปิศาจล่ามไว้ และทุ่มมันลงไปในหลุมนั้น" (Book of Revelation)


    [​IMG]มังกร ในคัมภีร์ไบเบิลของฮีบรู ได้สร้างจินตนาการไว้ให้ชนยุโรปตะวันออกกลาง หลายหมู่บ้าน จนต่างก็มีตำนานมังกร ของตนเองขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่สามในประเทศลิเบีย

    ตำนานนี้กล่าวว่า ได้เกิดมีมังกรยักษ์ใจโหดขึ้นในอาณาจักรที่โรมันครอบครอง สร้างความทุกข์ร้อนแสนสาหัสแก่ชาวบ้าน โดยจะต้องจัดส่งลูกหลานไปสังเวยแก่มันเป็นประจำ กระทั่งถึงคราวของพระธิดาแห่งกษัตริย์ที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของมัน






    และแล้ว ทหารหาญหนุ่มน้อย คริสเตียนก็ได้ขี่ม้าขาวมาช่วย เขามีนามว่า จอร์จ (George) เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้ามังกรร้าย จอร์จได้ใช้หอกพุ่งเสียบร่าง ของมันจนสิ้นชีพ แล้วลากเอาซากมังกรกลับมา ให้ชาวบ้านได้ทัศนา ความเก่งกาจของจอร์จทำให้ผู้คนทั้งหลายเปลี่ยนใจ จากที่เคยศรัทธาในปวงเทพของโรมัน ก็หันกลับมานับถือคริสต์ศาสนากันหมด

    ต่อมาเมื่อเกิดสงครามครูเสด เหล่าขุนศึกคริสเตียนที่ไปรบในตะวันออกกลาง ต่างได้รับอิทธิพลจากตำนานของจอร์จ พวกเขาจึงบังเกิดมีกำลังใจฮึกเหิม โดยถือว่าดวงวิญญาณของ จอร์จคงช่วยพิทักษ์ตน เมื่อเสร็จศึกกลับถึงบ้านในอังกฤษ จอร์จจึงได้รับการยกย่องขึ้นเป็นนักบุญเซนต์จอร์จ


    [​IMG]ในยุคกลางของยุโรปนั้น บุรุษเพศต่างคลั่งไคล้ในการประพฤติตนเป็นอัศวิน คือจรม้าออกตระเวนผจญภัยไปในดินแดนต่างๆ เพื่อสร้างวีรกรรม และวีรกรรมใดเล่าที่จะน่าประทับใจ ยิ่งกว่าการได้สังหารมังกรร้ายสักตัวนึง ใครที่เคยอ่านเรื่อง "ดอน กีโฮเต้" ของแชร์วอนเตส คงรู้ดีถึงความบ้าระหํ่านี้

    "มังกรจะอาศัยอยู่ในถํ้า มันจะเหินร่อนไปบนนภากาศออกหากิน กรงเล็บของมันคืออาวุธ ประกอบกับอัคคี ที่พวยพุ่งจากปากและจมูกของมัน"


    มังกรตัวสุดท้ายที่จะเล่า ถึงมีชื่อว่า เควทซาลโคลท์ (QUETZALCOATL) อยู่ในตำนานของชนเผ่าแอสเท็กส์ (AZTECS) แห่งนครเตโอติฮัวคัน (คริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึง 8) ในดินแดนอเมริกากลางแถวๆ เม็กซิโก

    มังกรของแอสเท็กส์นี่รูปร่างแปลกกว่าของชาติอื่น คือ เป็นงูยักษ์ที่มีขน ชนแอสเท็กส์นับถือว่าเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์การเกษตร แต่การสักการบูชาเทพเจ้าของพวกเขานั้นหฤโหดยิ่ง คือสังเวยด้วยมนุษย์เป็นๆ ดังนั้นในแต่ละปี ชนชาตินี้จะทำศึกรุกรานชนเผ่าอื่น เพื่อนำเอาเชลยมาบูชายัญจัดเป็นยุคแห่งการนองเลือดโดยแท้ กระทั่งสุดท้าย ตำนานกล่าวว่า กลุ่มปีศาจได้จับเอามังกรเควทซาลโคลท์มอมเหล้าแล้วนำไปเก็บไว้ใต้สมุทร

    [​IMG]

    ตำนานนี้เองที่ได้ก่อความหายนะ ให้กับชาวแอสเท็กส์ คือเมื่อชนผิวขาวชาวสเปน นำโดย เฮอร์นานโด คอร์เตส มาเยือนดินแดนแถบนี้ในช่วง ค.ศ.1519-21 กษัตริย์ มอนเตซูมา และชาวแอสเท็กส์ต่างก็เชื่อว่าคอร์เตส คือเทพเจ้ามังกร ผู้หวนกลับมาตามที่ตำนานได้ทำนายไว้ จึงยอมศิโรราบแก่กองทหารของคอร์เตส ทำให้สเปนทำทารุณกรรม และขนทรัพย์สินเงินทองมหาศาลของแอสเท็กส์ไป จนสิ้น


    [​IMG]
     
  7. deneta

    deneta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    2,711
    ค่าพลัง:
    +5,720
    แค่ฟอสซิลกระดูกไดโนเสาก็ฮือฮากันมากมายแล้ว ถ้าพบจริง ๆ ในรูปคงจะเป็นข่าวไปนานเลยล่ะนะครับ
     
  8. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,523
    อะไร ๆ ก็เป็นไปได้ อย่าปายคิดมากกะมาน.. งิงิ
     
  9. magnagiled

    magnagiled เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    596
    ค่าพลัง:
    +1,444
    ชอบแท่งหินประหลาด ประเทศไทย มากๆครับ 5555

    1.เดอะเวฟ (The Wave)ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา สวยมากเหมือนเวทมนต์จริงๆ
     
  10. thian

    thian สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +2
  11. โปเต้ผู้ใฝ่ธรรม

    โปเต้ผู้ใฝ่ธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2007
    โพสต์:
    639
    ค่าพลัง:
    +573
  12. Phra Atipan

    Phra Atipan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,301
    ขอบคุณเจ้าของข้อมูล ที่เอาสาระดีๆมาให้อ่านศึกษากันครับ อนุโมทนา เจริญพร
     
  13. ฅนล้านนา

    ฅนล้านนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,000
    จากที่ผมได้เห็นอาวุธของคนสมัยก่อนที่กรุงเก่าสุโขทัย เช่นดาบ หอก
    มันใหญ่มากน่ะครับ ผมยังสงสัยเลยครับว่าคนสมัยต้องตัวใหญและแข็งแรงมากเลยครับ "อนุโมทนาครับ"
     
  14. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +838
    ปีเตอร์.....โอ้ว น่ารักจัง ...แต่ถ้าเจอ ปีเตอร์ หน้าตา กวนโอ๊ย อย่างงี้ ขอ บาย
    หรือ ว่า มันชื่อหลุยส์ รู้สึก ว่าจะผิดใจกันเพื่อนที่ ชื่อ ชิลทอกซ์ น่ะ
     
  15. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +838
    และแล้ว ทหารหาญหนุ่มน้อย คริสเตียนก็ได้ขี่ม้าขาวมาช่วย เขามีนามว่า จอร์จ (George) เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้ามังกรร้าย จอร์จได้ใช้หอกพุ่งเสียบร่าง ของมันจนสิ้นชีพ แล้วลากเอาซากมังกรกลับมา ให้ชาวบ้านได้ทัศนา ความเก่งกาจของจอร์จทำให้ผู้คนทั้งหลายเปลี่ยนใจ จากที่เคยศรัทธาในปวงเทพของโรมัน ก็หันกลับมานับถือคริสต์ศาสนากันหมด

    มิน่า ละ ฝรั่งมันถึง อุทาน ออกมา โอ้ว..พระเจ้า
    จอร์จ มันยอดมากเลย ช่วงหลังเที่ยงคืน เจอ บ่อย
    เอ หรือว่าไม่ใช่ .... (ไม่ได้ ล้อเลียน เขาพูด จริงๆ )
     

แชร์หน้านี้

Loading...