เคยสงสัยไหม ทำไมคนอื่นดวงดีจัง ?

พอดีวันนี้ เป็นวันที่หวยออก
แล้วข้าพเจ้ากำลังอยู่ในช่วงฝึกงาน ซึ่งตอนแรกผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า
วันนี้หวยออก เพราะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องสนใจ !
เพราะที่ทำงานผม มีคนถูกล๊อตเตอรี่ รางวัลที่ 3 รวมเป็นเงิน 80,000 บาท
แล้วคนอื่นๆ ที่อยู่ใสนักงานเดียวกันก็แห่กันมายินดีพลางกับบ่นว่า
"ทำไมโชคดี จัง","ทำไมดวงดี จัง"

ผมก็ยิ้มเล็กๆ แล้วก็หยิบสมุดขึ้นมา แล้วหาคำตอบให้กับพวกเขา
พอสรุปเป็นบทความได้ดังนี้ เผื่อคนที่สงสัยอยู่ว่า ทำไมตัวเองถึง
โชคไม่ดี จะได้แนวคิดใหม่ๆ ลองดูครับ ^^

=====================================

*สิ่งที่เราได้รับในชาตินี้ เป็นของๆเราในชาติที่แล้ว ที่เราได้มอบไว้กับ
ผู้กำลังเดือดร้อน หรือ ยากไร้ ใดๆก็ตาม...บัดนี้มันกลับมาหาเรานับสิบๆเท่า

*สิ่งของที่เราไม่ได้รับในชาตินี้ เป็นของๆเราในชาติที่แล้ว ที่เราไม่ได้มอบไว้กับ
ผู้ที่กำลังเดือดร้อน หรือ ยากไร้ ใดๆก็ตาม...บัดนี้มันหายไปจากเรานับสิบๆเท่า

*เพราะฉะนั้น คำว่า "โชค" , "ดวง" , "ลาภ" จึงเป็นเพียงแค่คำสมมุติให้กับ
การให้ในชาติใดๆของเราก็ตาม ที่ผลบุญมันย้อนกลับมาหาเรา...

=====================================

*เราลองย้อนกลับมามองตัวเราเองว่า ชาติหน้า..เราจะมีอะไรบ้าง...ชาติที่แล้ว
เราได้ให้อะไรใครไปบ้าง....

=====================================

....ให้ท่านลองสำรวจและพิจารณาข้อความต่อไปและได้นำไปใช้ประโยชน์....


- สุนัข,แมว,เด็กเร่ร่อน ข้างบ้าน หน้าบ้าน หลังบ้าน ในทางผ่านของรถยนต์
ของเรามีบ้างหรือเปล่า?
ถ้ามี พวกเขากำลังต้องการอะไร?
- วัด,พระสงฆ์ ข้างบ้าน หน้าบ้าน หลังบ้าน ในทางผ่านของรถยนต์
ของเรามีบ้างหรือเปล่า?
ถ้ามี พวกเขากำลังต้องการอะไร?
- คนยากคนจน,คนสู้ชีวิต ข้างบ้าน หน้าบ้าน หลังบ้าน ในทางผ่านของรถยนต์
ของเรามีบ้างหรือเปล่า?
ถ้ามี พวกเขากำลังต้องการอะไร?
- คนป่วย,ผู้ได้รับบาดเจ็บ ข้างบ้าน หน้าบ้าน หลังบ้าน ในทางผ่านของรถยนต์
ของเรามีบ้างหรือเปล่า?
ถ้ามี พวกเขากำลังต้องการอะไร?

=====================================

*ผลของบุญ ไม่เกี่ยวข้องกับจำนวนของการทำญ อยู่ที่จิตใจ ว่าขณะทำ เรามีจิต
ใจที่เป็นแบบใด

*คนดีที่ยังลำบากมีอีกแทบทุกหนทุกแห่ง หากเราได้ช่วยเหลือเขา เท่าที่เรา
ทำได้ นั่นแหละ จะเป็นบุญหนุนโชค หนุนลาภ มาให้กับเราในชาติต่อๆไป

*ทำบุญโดยไม่มองในแง่ของจำนวน เช่น หยิบเงินจากกระเป๋ากางเกงใส่ตู้
บริจาค โดยที่ไม่รู้ว่า ในนั้นมีเงินเท่าไหร่ จะพบกับความโชคดี และลาภลอย

*คนที่ดวงดี คือคนที่ทำบุญบ่อยครั้ง ทำกับคนใกล้ตัว และเดือดร้อนจริงๆ

=====================================

 

ตนเป็นที่พึ่งแ่ห่งตน ดีที่สุด ถ้าใครเขาได้ดีก็ยินดีกับเขา ถ้าเราได้ดีก็เพราะเราทำได้ด้วยตัวเราเอง ถ้าเราผิดพลาดมาก็เราเองที่ทำผิด คิดได้แบบนี้น่ะจะมีความสุขขึ้นอีกมาก การที่เราเอามานั่งมองคนรอบข้างว่ามีแต่คนโชคดี ทำไมเราไม่โชคดีบ้าง ก็นึกซะว่าบุญเก่าเขาทำมาเราไม่ได้ทำอย่างเขาเราก็ไม่ได้แต่เรายังโชคดีที่มีงาน มีงินใช้ ถึงคราวเราก็จะมาเอง เพราะโดยส่วนตัวแล้วเวลาจะมีโชค ก็ฝันแบบมาบอกชัดๆซะงั้น แต่ก็ไม่ได้รางวัลอะไรมากมาย พอเราเรื่องฝันของตัวเองให้คนอื่นฟัง เขาก็จะบอกกันแต่ว่า ถ้าเป็นเขารวยไปแล้ว เราก็ได้แต่มองแบบยิ้มๆ บุญเราได้เท่านี้ก็เท่านี้น่ะ คนเรารวยทางนี้น่ะยาก ทำงานดีกว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

 

การมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ใบนี้ ไม่ว่าจะรู้ธรรมหรือไม่รู้ธรรม ถ้าได้เข้ามาอ่านบทความของผม ขอให้รับฟังไว้บ้างเถิดครับว่า เราไม่ต้องไปสนใจคนอื่นหรือดูชีวิตคนอื่นหรอก พระพุทธเจ้าท่านสอนธรรมท่านก็สอนให้เราดูตัวเอง ปฏิบัติที่ตัวเราเอง ไม่ต้องไปดูหรือไปยุ่งกับคนอื่น ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่ต้องไปคิดว่าเราเสมอเขา เราดีกว่าเขา เราชั่วกว่าเขา เรารวยกว่าเขา เราจนกว่าเขา เราเหนือกว่าเขา เราด้อยกว่าเขา เป็นต้น ให้เราปฏิบัติลงมาที่กาย วาจา ใจของเรา อะไรที่สุจริตทางกาย วจา ใจ เราปฏิบัติ เราเสพ อะไรที่ทุจริตทางกาย วจา ใจ เราไม่ปฏิบัติ ไม่เสพ เราดำรงตนอยู่ในทาน ศีล สมาธิ ภาวนา ปฏิบัติกิจในพระศาสนาสมควรแก่กำลัง ศรัทธา ฐานะ และโอกาสหรือสมควรแก่ธรรม แค่นี้แหละครับ เราก็จะมีความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ตราบจนนิพพานและตลอดไป ทำความดีอาจจะเห็นผลช้า แต่เป็นความสุขที่ยั่งยืนและคุ้มค่าแก่การรอคอย บัณฑิตย่อมไม่ประมาทในการกระทำความดีนะครับ!

 

ใช่เราจะบุญน้อย แต่.....

เพราะยุกต์สมัยไม่เอื้ออำนวยให้กุศลให้ผลเราได้เต็มที่ก็เป็นได้

เพราะบุญจะให้ผลได้ต้องอาศัยองค์ประกอบสนุนให้กรรมด้วย

ขัดขวางการให้ผล คือ

สมบัติ 4 สมบัติ คือ ความถึงพร้อม 4 ประการ

1. คติสมบัติ คือ เกิดอยู่ในภพถิ่น หรือประเทศที่เจริญ
2. อุปธิสมบัติ คือ เกิดมามีร่างกายสง่างาม แข็งแรง น่านิยม เลื่อมใส
3. กาลสมบัติ คือ เกิดอยู่ในสมัยที่บ้านเมืองมีความสงบสุข สังคมยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริมคนชั่ว มีผู้ปกครองดี
4. ปโยคสมบัติ คือ การทำให้ครบถ้วน ทำอย่างต่อเนื่อง ทำถึงที่สุด ไม่ทำเพียงครึ่งๆ กลางๆ ทำตรงกับความสามารถของตน

วิบัติ 4 วิบัติ คือ ความบกพร่อง 4 ประการ ดังนี้

1. คติวิบัติ คือ เกิดอยู่ในภพถิ่นหรือประเทศที่ไม่เจริญ
2. อุปธิวิบัติ คือ เกิดมามีร่างกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไม่สง่างาม
3. กาลวิบัติ คือ เกิดอยู่ในสมัยที่บ้านเมืองมีทุกข์เข็น ยกย่องคนชั่ว บีบคั้นคนดี ไม่มีศิลธรรม
4. ปโยควิบัติ คือ การทำไม่ครบถ้วน ทำครึ่งๆ กลางๆ ไม่ตรงกับความถนัดหรือความสามารถของตน

ธรรมเหล่านี้แม้พร่องในข้อใดข้อหนึ่ง ผลของกรรมจะทำให้เกิดกับเราได้ไม่สมบูรณ์

 

.....ที่รู้ๆมานะครับ คนที่เรารู้สึกว่า เขาโชคดี หรือดวงดี ทำอะไรก็ดีไปหมด

เพราะเขาทำมาก่อนเรา อาจจะเป็นผลบุญที่กระทำมาในชาติก่อน

เปรียบเหมือน การปลูกมะม่วง ถ้าเขาปลูกก่อนเรา เขาก็ได้กินผลมะม่วงนั้นก่อนเรา

หากเราปลูกเหมือนกัน ไม่นานก็ได้กินผลของเราได้เช่นกัน และก็จะมีคนที่ปลูกที

หลัง รู้สึกอิจฉาเรา เช่นเดียวกับที่เราอิจฉาคนที่โชคดีกว่าเราในขณะนี้อยู่

.....ปลูกอะไรก็ได้อย่างนั้นนะครับ ปลูกความดี ก็ได้ความดีตอบ ผลมันแน่นอน

ไม่ต้องไปคอยวัดกับผู้อื่นหรอกครับ ทำไปเรื่อยๆแล้วก็จะดีเอง รับรองครับ

.....แต่ถ้าหากว่า ไม่ปลูกอะไรเลย แล้วมัวอิจฉาคนอื่นเค้าเนี่ย ไม่รู้ว่าจะพูด

อะไรดีแล้วล่ะครับ

.....ดังนั้น ก็อย่ามัวประมาทในชีวิต ทำเสียตั้งแต่วันนี้ เถอะครับ......^___^

 

เชื่อว่าทุกชีวิตของความเป็นคนที่เกิดมาในโลกนี้ จิตใต้สำนึกอยากทำความดีกันทุกคน แต่เป็นเพราะสิ่งรอบข้างหรือคนรอบข้างไม่เอื้ออำนวยให้ทำได้เต็มที่ อย่างตัวเราอยากทำความดีอยากอยู่ในศีล 5 ให้ครบถ้วน แต่ความเป็นไปความเป็นอยู่ ทำให้ปฏิบัติไม่ได้ดีอย่างใจอยาก อย่างเช่นไม่อยากบ่นไม่อยากมุสา แต่ก็ต้องทำ เพราะเหตุการณ์มันพาไป ไม่อยากโกงใครอยากทำมาหาได้ด้วยใจบริสุทธิ์ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะสังคมทุกวันนี้มีแต่คนเห็นแต่ได้ เราต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงลูกน้อง เลยต้องเห็นแก่ตัวตามไปด้วย อยากให้ทุกคนในโลกใบนี้พึ่งพาอาศัยกันด้วยใจบริสุทธิ์ ลดความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ พอเพียงในสิ่งที่มีและสิ่งที่ได้มา ทุกชีวิตจะได้มีความสุขที่เรียกว่าสุขจริง ๆ

 

คนดวงซวย คือคนที่มักจะปฏิบัติการ ขวางความเจริญของส่วนรวม โดยเห็นแก่ประโยชน์เล็กน้อยของตน
คนดวงดี คือคนที่มักจะยอมสละผลประโยชน์ตน ชีวิตเลือดเนื้อของตน เพื่อให้สังคมบังเกิดความปกติสุข

 

เขาทำบุญมาดีครับ

 

ใครที่ดวงซวยมากๆ ผมมีวิธีสะเดาะเคราะห์แก้กรรมด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ และเป็นวิธีที่สนุกๆ ทำได้ทุกวันไม่มีเบื่อ คือให้ไปหาซื้อหนังสือสวดมนต์ที่ดีๆที่ชอบใจมาสัก 1 เล่ม แล้วเอามาเสกน้ำมนต์อาบทุกครั้งเวลาอาบน้ำ ก่อนอาบน้ำให้สวดมนต์เสกน้ำมนต์ลงในโอ่งสักครั้งละ 3-5 บทขึ้นไป เลือกสวดตามใจชอบทุกวัน ทำอย่างนี้เป็นประจำ สิริจะเกิดขึ้นกับตัว ทุกข์โศกจะค่อยๆจางไป ความสุขสวัสดิมงคลจะบังเกิดขึ้นกับชีวิต ชีวิตจะมีแต่ความสุขความเจริญเพราะเราอาบน้ำมนต์ที่เราเสกอาบเอง แนะนำโดยฟางว่าน

 

เรื่องบังเอิญไม่มีในโลก

 

เขาได้ดีมีดวง ก็ร่วมอนุโมทนา กับเขานะคับ ที่สำคัญเราก็ต้องไม่หยุดทำความดี หมั่นทำบุญต่อไปนะคับ มาเป็นกำลังใจให้นะคับ

 

ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น
ไมมีเรื่องบังเอิญ ไม่ใช่ดวง แต่เป็นกรรมวิบากทั้งทางดีและไม่ดี ส่งผลในปัจจุบัน

หากต้องการผลอย่างไร ต้องก่อเหตุอย่างนั้นก่อน

"เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป"

เป็นธรรมะของแท้ ที่มีมานานแล้ว พระพุทธองค์ค้นพบ ถ่ายทอดบอกสอนให้ไตร่ตรอง

ทำบ่อยๆ กำหนดจิตเรื่อย ๆ ผลจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง
การอนุโทนาบุญต่างๆ ก็มีผลทั้งสิ้น

 

ขออนุโมทนา ในเรื่องดีๆที่นำมาให้อ่าน อยากให้ผู้อ่านได้นำไปปฏิบัติเพื่อเกิดประโยชน์ทั้งตนเองและคน&สัตว์ที่อยู่รอบๆตัว

 

กราบอนุโมทนาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ​

 

ทำบุญบ่อยๆๆๆ นะครับ

 

รับทราบขอรับ

กระผมว่าที่ร้อยตรี บุญยืน จันท์แดง รายงานตัวครับผม จะน้อยใจอะไรอีกป่าวเนียะ ยึ้มหน่อย สู้ๆๆ:VO

 

ถ้าอยากเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องบำเพ็ญเพียร สั่งสมบารมี 10 ก่อนนะ เริ่มจากทานบารมี และอภัยทาน ก็เป็นบารมีนะท่าน และต้องมีจิตคิดสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นปกติ คือต้องเป็นเพื่อสรรพสัตว์ มิใช่เพื่อตัวเอง

สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้สำเร็จโดยไวนะ

 

อนุโมทนาครับ ที่ท่านไม่นั่งสงสัย ใช้สติใช้ปัญญาพิจรณาเหตุพิจรณาผล จึงได้คำตอบที่เป็นประโยชน์
มีสติปัญญาใช้ในทางที่ถูกย่อมเป็นคุณ
กรรมย่อมส่งผล
ขอความเป็นผู้มีโชค จงปรากฏแก่ทุกท่านครับ