เว็บพลังจิต " พระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ "

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย gatsby_ut, 16 มิถุนายน 2010.

  1. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    เพื่อประโยชน์ ของตัวท่านเอง ค่อย ๆ อ่าน โดย เอาความเข้าใจ เป็นหลัก นะ

    [​IMG]
    <O:p
    ปฐมเหตุ

    ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสรรเพชรพุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร .. เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพระพรรษาอยู่ใน บุพพาราม อัน นาง<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>วิสาขา สร้างถวาย

    <O:p
    ครั้งนั้น พระองค์ทรงปรารภซึ่ง พระอชิตเถระ ผู้เป็นหน่อบรมพุทธางกูร " อาริยเมตไตรยเจ้า " ให้เป็นเหตุ องค์สมเด็จพระบรม โลกเชฏฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนาแสดงซึ่งพระโพธิสัตว์ อันจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล

    <O:p
    " เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ฝูงสัตว์ ก็มีอายุถอยลง คงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล.. จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มี " สัตถันตรกัป " คือ เป็นกัปที่มนุษย์ ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลายกลับเป็นหอกดาบแหลนหลาว อาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกัน ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ใน ซอกห้วยหุบเขา จะเหลืออยู่ก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหายเป็นอันมาก

    <O:p
    เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่กันเป็นอันมาก เข้าสวดสอดกอดรัดร้องไห้กันไปมา บังเกิด มีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้งตั้งอยู่ใน " เมตตาพรหมวิหาร " แล้ว ก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญกรรมฐานภาวนาว่า <O:p
    อะยัง อัตตะภาโร อันว่า กายของอาตมานี้ อนิจจัง หาจริงมิได้ ทุกขัง .. เป็นกองแห่งทุกข์ ฝ่ายเดียว หาสัญญษสำคัญมั่นหมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสาร.. "
    <O:p
    เมื่อมนุษย์ทั้งหลายปลงปัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนือง ๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น ค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จน อายุได้ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง

    <O:p
    ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาทมิได้ปลงใจลงในกอง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา อายุก็ถอยน้อยลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดู คือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ใน " ชมพูทวีป " ทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอเป็นอันดี


    [​IMG]<O:p
    <O:p


    เกตุมดีราชธานี<O:p
    ครั้งนั้น กรุงพาราณสี เปลี่ยนนาม ชื่อว่า เกตุมดี โดยยาวได้ ๑๖ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑ โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมือง มีแก้ว ๗ ประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร

    <O:p
    ครั้งนั้น มหานฬการเทพบุตร ก็จุติลงมาเกิด เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักรพรรดิ เสวยศิริราชสมบัติ ในเกตุมดีราชธานี เป้นพระราชาที่ทรงธรรม ครอบครองแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต และในท่ามกลางพระนครนั้น มี " ปราสาท " อันสำเร็จไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาจากมหาคงคา ลอยขึ้นมายังนภากาศ มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปราสาทแก้วนี้ ในสมัยพุทธกาลเป็นปราสาทแห่ง " พระเจ้ามหาปนาท " ( ในตอนนี้ จะขอแทรกประวัติไว้ด้วยดังนี้ )
    <O:p


    ประวัติพระเจ้ามหาปนาท<O:p
    อันว่า ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาทนั้น เป็นปราสาทที่ ท้าวสักกเทวราช ตรัสสั่ง วิษณุกรรมเทพบุตร ลงมาสร้างถวายพระราชา กล่าวคือ .. สมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นนั้น ยังมี ช่างเสื่อลำแพน ๒ คนพ่อลูก ได้พากันสร้างบรรณศาลาแล้วด้วยไม้อ้อและไม้มะเดื่อ เพือถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วทั้ง ๒ คนก็ช่วยกันอุปถัมภ์บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นด้วยปัจจัย ๔
    <O:p
    ครั้นพ่อลูก ๒ คนนั้นตายแล้ว จึงได้ไปบังเกิดในเทวโลก ส่วนบิดายังอยู่ในเทวโลก ฝ่ายบุตรได้จุติจากเทวโลก ลงมาเกิดเป็นพระราชโอรถของ พระเจ้าสุรุจิ และ พระนาง<st1:personName w:st="on" ProductID="สุเมธาเทวี มีพระนามว่า">สุเมธาเทวี มีพระนามว่า</st1:personName> มหาปนาทกุมาร เวลาได้เสวยราชย์แล้ว จึงมีพระนามว่า พระเจ้ามหาปนาท ต่อมาท้าวสักกเทวราช ได้ตรัสสั่งให้วิษณุกรรมเทพบุตรลงมาสร้างปราสาทถวายแก่พระเจ้ามหาปนาทนั้น ทั้งนี้ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่ได้เคยสร้างบรรณศาลาถวายแด่ พระปัจเจกพุทธเจ้า ปราสาทแก้ว ๗ ประการนี้ สูง ๒๕ โยชน์ จำนวน ๗ ชั้น ยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์
    <O:p
    ครั้นพระเจ้ามหาปนาทสวรรคตแล้ว ปราสาทนั้นก็ได้เลื่อนลงไปสู่กระแสมหาคงคา ในที่ตั้งบันไดปราสาทนั้นได้กลายเป็นบ้านเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง ชื่อว่า ปยาคปติฎฐนคร ที่ตรงยอดปราสาทนั้นได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อว่า โกฏิคาม
    <O:p
    ในเวลาต่อมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลกแล้ว เทพบุตรองค์นี้ ซึ่งมีนามว่า นฬการเทพบุตรจึงได้จุติลงมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีมีนามว่า ภัททชิ เป็นผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ มีปราสาทถึง ๓ หลังเป็นที่ยับยั้งอยู่ในฤดูทั้ง ๓
    <O:p
    หลังจากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เมื่อกราบทูลขอบรรพชาแล้ว จึงเข้าไปนั่งเข้าฌาณอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งริมแม่น้ำคงคา ฝ่ายชาวบ้านโกฏิคามได้ยกเรือทานถวายพระภิกษุ สงฆ์ เวลาสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จลงประทับในเรือแล้ว โปรดให้พระภัททชิไปในเรือลำเดียวกันด้วย พอไปถึงกลางแม่น้ำคงคา สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า
    <O:p
    " ดูก่อน .. ภัททชิ ! ปราสาทแก้วที่เธอเคยอยู่ในเมื่อครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาทนั้นอยู่ที่ไหน? " <O:p
    พระภัททชิกราบทูลว่า "จมอยู่ตรงนี้.. พระเจ้าข้า" <O:p
    บรรดาภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนก็พากันร้องกล่าวโทษว่า พระภัททชิอวดมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลจึงตรัสบอกพระภัททชิให้แก้ความสงสัยของภิกษุทั้งหลาย พระเถระถวายบังคมแล้วก็บันดาลปลายนิ้วเท้า ลงไปคีบยอดปราสาทอันสูงได้ ๒๕ โยชน์นั้นขึ้นมาจากแม่น้ำคงคาไปปรากฏอยู่บนอากาศสูงจากพื้นน้ำได้ถึง ๓ โยชน์ แล้วปล่อยไปในแม่น้ำคงคา มหาชนทั้งหลายก็หมดความสงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตร จึงตรัสว่า ปราสาทหลังนี้ พระภัททชิ เคยอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาท <O:p


    <O:p
    มีคำถามว่า เพราะเหตุใด ปราสาทหลังนั้นจึงยังไม่อันตรธาน

    มีคำแก้ว่า เป็นเพราะอานุภาพแห่งช่างเสื่อลำแพน ซึ่งเป็นบิดาในชาติก่อน อันมีนามกรว่า มหานฬการเทพบุตร จะจุติลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักร แล้วพระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า
    <O:p
    " ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า พระเมตไตรย แล้วจักออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว จักไม่ประมาท จะมีความเพียร จะมีใจตั้งมั่น แล้วจะสำเร็จที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันเป็นสิ่งยอดเยี่ยมและปรารถนาของกุลบุตรทั้งหลายผู้บรรพชาในไม่ช้า " <O:p
    สมัยต่อมา พระเจ้าสังขจักรได้เสวยราชสมบัติในเกตุมดีนั้น ปราสาทแก้วก็ผุดขึ้นมาแต่แม่น้ำคงคา ด้วยอานุภาพแห่งผลบุญที่เคยร่วมกันกับลูกชาย ถวายภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระ ปัจเจกพุทธเจ้าให้มีความสุขสบาย ด้วยอานิสงส์มหาศาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประดับไปด้วยหมู่พระสนม แสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ มีพระราชโอรถมากกว่า ๑ พันพระองค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสียซึ่งเสนาของผู้อื่น<O:p
    <O:p

    [​IMG]

    แก้ว ๗ ประการ<O:p
    พระราชโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมาร เจ้าอชิตราชกุมารนั้น ดำรงตำแหน่งเป็น ปรินายกแก้ว แห่ง สมเด็จพระราชบิดา ผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ คหบดีแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ อันว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดินั้น ย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนาได้ในกาลนั้น
    <O:p
    ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณี ผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดี
    <O:p
    ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรย รับอาราธนาจากบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็จุติลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิต พราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันเพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ ประการ
    <O:p
    คือ เหล่าเทพยดาพากันกระทำสักการบูชา ดังห่าฝนตกลงในกลางอากาศ แล้วมีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้เป็นที่สำราญแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ปราสาทหลังที่ ๑ ชื่อว่า ศิริวัฒนะ ปราสาทหลังที่ ๒ ชื่อว่า สิทธัตถะ ปราสาทหลังที่ ๓ ชื่อว่า จันทกะ ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิมงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวงพระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษไปด้วยนาง<st1:personName w:st="on" ProductID="นาฏพระสนม ประมาณ">นาฏพระสนม ประมาณ</st1:personName> ๗ แสนคน
    <O:p
    ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า พระนางจันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้งหลาย ๗ แสน มีพระ ราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร
    <O:p
    เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐทรงพระเกษมสำราญอยู่ในปราสาททั้ง ๓ ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหาเสมอมิได้ เสด็จไปประพาส อุทยานทอดพระเนตร เห็นนิมิตรทั้ง ๔ ประการนี้เป็น " เทวฑูต " ยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์
    <O:p
    ในขณะนั้น อันว่า ปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศ พร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่นางกัลยาทั้งหลายไปกับปรางค์ปราสาท ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พญาหงส์ทองบิน ไปในเวหา ฝ่ายฝูงเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา ต่างเหาะตามมากระทำสักการบูชาในอากาศ เนืองแน่นกันมากเป็นอเนกอนันต์ บรรดาท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่น ๔ พันพระนครก็ดี และชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนมากระทำสักการบูชาด้วยดอกไม้และของหอมมีประการต่าง ๆ เต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อนไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลายก็เช้าแวดล้อม พิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาท
    <O:p
    ฝ่ายพญานาคราชนั้นกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี พญาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี อันเป็นเครื่องประดับตน เหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายนั้นกระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่าง ๆ
    <O:p
    เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้า เสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทพยดา อินทร์พรหม ยมยักษ์ และ มนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชา ฝ่ายพระเจ้าสังขจักรพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ทั้งหลาย ก็ได้เสด็จไปที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้งปวง มีความปรารถนาจะบรรพชา แล้วก็พากันลอยไปในอากาศพร้อมด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น
    <O:p
    ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ คือ ไม้กากะทิงแล้ว ปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑล ไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัตร์ กับเครื่องบริขารทั้ง ๘ น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์แล้ว พระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาดแล้วก็โยนขึ้นไปในอากาศ ก็ถือเครื่องบริขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายนั้น ก็ชวนกันบวชตามสมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก
    <O:p
    ฝ่ายพระมหาบุรุษราชองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระมหาโพธิสิ้นประมาณ ๗ วัน ในเมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ คือ พระที่นั่งแก้ว แล้วทรงระลึกชาติของพระองค์ด้วย ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ได้ทรงเห็นโดยลำดับกัน ประจักษ์แจ้งในปฐมยาม
    <O:p
    ครั้งล่วงเข้ามัชฌิมยาม ทรงเห็นซึ่งการเกิดและตายแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วย ทิพจักขุญาณ ครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์ได้ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ที่เรียกว่า อาสวักขยญาณ คือ บรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ทั้งหลายประมาณ แสนโกฏิ ให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือ พระสัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่รู้ตาย เป็นธรรมาภิสมัยให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ตรัสรู้มรรคและผลหาประมาณมิได้<O:p
    <O:p


    พระพุทธลักษณะ<O:p
    สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยมีพระรูปพระโฉมงดงามตามพระพุทธักษณะครบถ้วนทุกประการ คือ พระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๘๘ ศอก พระองค์ใหญ่กว้างได้ ๒๕ ศอก ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุ ( เข่า ) มีประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระชานุขึ้นไปพระนาภี ( ท้อง ) ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระนาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญ ( ไหปากร้า ) ทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้าที่สุดยอด พระอุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ ส่วน พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาวได้ ๕ ศอก
    <O:p
    อันว่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้น ยาวได้ ๔๐ ศอก ในระหว่างภายในแห่งพระพาหา ( แขน ) ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้น มีประมาณ ๒๕ ศอก พระอังคุลี ( นิ้ว ) แต่ละอันยาวได้ ๕ ศอก ฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้างได้ ๕ ศอก พระศอ ( คอ ) โดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก โดยยาวก็ ๕ ศอก
    <O:p
    พระโอษฐ์ ( ปาก ) เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอก เสมอกันเป็นอันดี พระชิวหา ( ลิ้น ) อยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก พระนาสิก ( จมูก ) สูงยาวลงมาได้ ๗ ศอก ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้างได้ ๗ ศอก แววพระเนตรทั้ง ๒ ข้าง ที่ดำกลมเป็นปริมณฑลอยู่นั้นมีประมาณ ๕ ศอก พระขนง ( คิ้ว ) แต่ละข้างยาวได้ ๕ ศอก ในระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้างได้ ๔ ศอก พระกรรณ ( หู ) ทั้ง ๒ แต่ละข้างยาวได้ ๗ ศอก ดวงพระพักตร์นั้นเป็นปริมณฑลกลมดังดวงจันทร์เมื่อวันเพ็ญมีประมาณกลมได้ ๒๕ศอก


    [​IMG]
    <O:p


    ต้นไม้ที่จะตรัสรู้

    <O:p
    ลำดับนี้.. จะพรรณนาไม้พระศรีรัตนมหาโพธิต่อไป อันว่า ต้นไม้กากะทิง ที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้น มีปริมณฑลไปได้ ๑๒๐ ศอก แต่ต้นขึ้นไปสุดปลายกิ่งนั้นได้ ๒๔๐ ศอก โดยสูงสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกัน มีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจกาล ทรงดอกและเกสรหมอฟุ้ง ขจรมิรู้ขาด เปรียบประดุจดอกปาริชาติในดาวดึงส์สวรรค์ฉะนั้น
    <O:p
    สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยทรงมีลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทั้ง ๓๒ ประการ ประกอบไปด้วยพระฉัพพรรณรังสี พระพุทธรัศมี ๖ ประการ สว่างออกจากพระวรกายเป็นอันงามประดุจดังว่าท่อสุวรรณธารา น้ำทองอันไหลหลั่งออกมา เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยสุขทุกเมื่อ มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นอารมณ์เนือง ๆ
    <O:p
    ด้วยเดชานุภาพแห่งพระพุทธคุณนั้น มนุษย์ทั้งหลายก็ได้บริโภคซึ่งโภชนาหารแต่เนื้อแห่งข้าวสารสาลีอันบังเกิดมีมาเอง ได้ประดับประดาร่างกายและผ้านุ่งผ้าห่ม เครื่องอาภรณ์ต่าง ๆ แต่ต้นไม้กัลปพฤกษ์ ประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นบรมสุข
    <O:p
    ปางเมื่อพระพุทธองค์ผู้ทรงสวัสดิโสภาคเป็นอันงาม ทรงพระนามว่า " พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า " ตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนา " พระธรรมจักกัปปวัฒนสูตร " นั้น มนุษย์และเทพยดาทั้งหลายได้ซึ่ง บรรลุมรรคผลธรรมวิเศษ ประมาณ ๓ แสนโกฏิ <O:p
    อันว่า องค์พระศรีอาริยเมตไตรยทรงสร้างพระบารมีมาสิ้นกาลช้านานถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป มีศีลบารมี ทานบารมี เป็นต้น เต็มบริบูรณ์<O:p
    <O:p

    [​IMG]
    พระเจ้าสังขจักร<O:p
    การบำเพ็ญบารมีของพระองค์ครั้งหนึ่ง ปรากฏชัดเจนเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวง ฉะนั้น สมเด็จองค์ปัจจุบันจึงนำมาซึ่งอดีตนิทานแห่งการสร้างพระบารมีของพระศรีอาริยเมตไตรย มาตรัสแสดงแก่ พระสารีบุตร มีใจความว่า
    <O:p
    อตีเต กาเล.. ในกาลล่วงมาช้านาน ได้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระสิริมิตร ครั้งนั้น พระศรีอาริยเมตไตรย ได้เสวยศิริราชสมบัติในเมืองอินทปัตรมหานคร ทรงพระนามว่า บรมสังขจักร มีแก้ว ๗ ประการ อยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระเจ้าสังขจักรเสด็จนั่งอยู่ภายใต้เศวตฉัตร มีพระทัยปรารถนาว่า ผู้ใดมาบอกข่าวว่า พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ บังเกิดมีแล้ว พระองค์จะสละราชสมบัติบรมจักร พระราชทานให้แก่ บุคคลผุ้นั้น แล้วพระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    <O:p
    ในกาลนั้น ยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในพระพุทธศาสนา ด้วยมารดาของสามเณรเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง สามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดาเพื่อให้พ้นจากการเป็น ทาสรับใช้ จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตร ฝูงมหาชนชาวพระนครไม่รู้จักว่าสามเณรเป็นอย่างไร ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่าเป็นมหายักษ์ ต่างก็พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณร ฝ่ายสามเณรมีความกลัวก็วิ่ง หนีมหาชนเข้าไปจนถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระราชา พระองค์จึงตรัสถามว่า มานพนี้มีนามว่าอย่างไร?
    <O:p</O:p
    เจ้าสามเณรจึงกราบทูลว่า อาตมภาพมีนามว่า "สามเณร" จึงตรัสถามว่า สามเณรนั้นด้วยเหตุใด สามเณรจึงทูลว่า ข้าพเจ้ามีนามว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปในกายนอก แล้วตั้งอยู่ภายใน แห่งกุศล เหตุดังนั้นจึงมีนามว่า "สามเณร" พระองค์ก็ทรงตรัสถามต่อไปว่า นามกรของท่านนั้น บุคคลผู้ใดตั้งให้แก่ท่าน สามเณรจึงทูลว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้าตั้งให้
    <O:p
    พระองค์จึงตรัสถามอีกว่า อาจารย์ของท่านนั้นชื่อใด สามเณรจึงถวายพระพรว่า อาจารย์ของอาตมาท่านมีนามว่า "ภิกษุ" จึงตรัสถามต่อไปว่า พระอาจารย์ของท่านนั้นมีนามว่า "ภิกษุ" ด้วยเหตุอะไร สามเณรจึงทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้นชื่อ "รัตนะ" เป็นแก้วอันหาค่ามิได้
    <O:p
    ครั้นพระราชาได้ทรงสดับว่า "พระสังฆรัตนะ" ในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก พระองค์ก็มีความชื่นชมยินดีหาที่จะอุปมามิได้ คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากพระราชอาสน์ไปทรง นมัสการเจ้าสามเณร
    <O:p
    ในทันใดนั้นเอง .. พระวรกายของพระองค์ก็ลอยไปตกลงตรงหน้าเจ้าสามเณรด้วยอำนาจแห่งธรรมปีติ ด้วยเดชะที่พระองค์มีความเลื่อมใสในคุณ<st1:personName w:st="on" ProductID="พระสังฆรัตนะ ดอกปทุมชาติ">พระสังฆรัตนะ ดอกปทุมชาติ</st1:personName> คือ ดอกบัวก็บังเกิดผุด ขึ้นรองรับพระองค์ไว้มิได้เป็นอันตราย จึงถวายนมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงตรัสถามต่อไปว่า "พระสังฆรัตนะ" อาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="ของท่านนั้น บุคคลใจให้นามกร">ของท่านนั้น บุคคลใจให้นามกร</st1:personName>
    <O:p
    เจ้าสามเณรก็ทูลว่า อาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="ของข้าพเจ้านั้น คือ">ของข้าพเจ้านั้น คือ</st1:personName> องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า " พระสิริมิตร " พระองค์โปรดประทานให้นามว่า "พระสังฆรัตนะ" แก่พระอาจารย์ของข้าพเจ้า พระเจ้าสังขจักรบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงพระอุตสาหะรอการสดับข่าวว่า เมื่อใดพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นในโลก ครั้นได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่า องค์ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงกับทรงวิสัญญีภาพ คือ สลบลงอยู่ตรงนั้นเอง
    <O:p
    ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่า ดูก่อน .. เจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ไหน สามเณรจึงทูลว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จยับยั้งอาศัยอยู่ใน บุพพารามวิหาร อันมีอยู่ในทิศอุดร คือ ทางเหนือของกรุงอินทปัตรนี้ไปไกลกันมีประมาณ ๑๖ โยชน์ ครั้นได้ทรงสดับข่าวจากสามเณรว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า บังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่า ดูก่อน .. สามเณร! หากว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในทางทิศใด เราก็จะไปในประเทศทิศนั้น
    <O:p
    สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐ หาความห่วงใยในศิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์ไม่ ด้วยมีพระทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระศรีสรรเพชรเป็นที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์ ก็ กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้น ให้สึกออกมาเสวยราชสมบัติแทนพระองค์เป็นพระราชาอันประเสริฐ

    <O:p
    ครั้นกระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว เสด็จลำพังแต่เพียงพระองค์เดียว มีพระทัยเฉพาะต่อทิศอุดร ตั้งพระทัยไปสู่บุพพารามวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระ เจ้าสังขจักรเป็นสุขุมาลชาติ พระสรีรกายนนั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามหนทางแต่พระบาทเปล่า เพียงเวลาวันเดียวเท่านั้น พระบาททั้งสองข้างก็แตกจนพระโลหิตไหลไปตามฝ่าพระบาท ทั้งสอง
    <O:p
    เมื่อพระบาททั้งสองบาดเจ็บจนเดินไปมิได้แล้ว ในกาลนั้นพระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อย ไปตามหนทางที่เจ้าสามเณรบอกมานั้น ไม่ยอมละเสียซึ่งความเพียร ครั้นล่วงไปถึง ๔ วัน พระหัตถ์ซ้ายขวา และพระชงฆ์ ( แข้ง ) ทั้งสองข้างนั้นก็แตกช้ำ โลหิตไหลออกมา จะคุกคลานไปก็มิได้ให้เจ็บปวดแสนสาหัส เห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว ถึงกระนั้นพระองค์จะได้คิดท้อถอยย้อนรอยกลับคืนมาหามิได้ ทรงมุ่งมั่นในพระทัยว่า จะต้องไปให้ถึงสำนักขององค์สมเด็จพระจอมไตรให้จงได้
    <O:p
    ครั้นพระองค์คุกคลานมิได้แล้ว ก็ทรุดลงพังพาบไถลไปแต่ทีละน้อย ด้วยพระอุระ ( อก ) ของพระองค์ ประกอบไปด้วยทุกขเวทนาเหลือที่จะอดกลั้น พระองค์ยึดหน่วงเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธองค์ เป็นอารมณ์ ด้วยเจตนาใคร่จะทรงพบเห็นพระองค์ผู้ทรงประเสริฐยิ่งกว่าใครในโลก แล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาได้ทรงอาลัยในพระวรกายของพระองค์ไม่
    <O:p
    ครั้งนั้น สมเด็จะพรสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงพระมหากรุณาเล็งแลดูสัตวโลกทั้งหลายด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรของพระเจ้าสังขจักรนั้นเป็นอุกฤษฏ์ยิ่งโดย วิเศษแล้ว ก็มิใช่อื่นมิใช่ไกล เป็นหน่อพระพุทธางกูรพุทธพงศ์วงศ์เดียวกันกับพระตถาคตนั่นเอง สมควรที่ตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร
    <O:p
    เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำริแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระศิริวิลาสเป็นอันงาม แล้วพระองค์กระทำอิทธิฤทธิ์เนรมิตพระวรกายของพระองค์ให้อันตรธานหาย กลับกลายเป็นมานพน้อย ขึ้นขับรถ ทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห่งสมเด็จพระบรมสังขจักรนั้น แล้วมเด็จพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถามไปว่า ผู้ใดมานอนอยู่กลางทางขวางหน้ารถเรา จงหลีกไปเสีย เราจะขับรถไป.. !
    <O:p
    ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสตอบว่า ดูก่อน.. นายสารถีผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุใด ตัวเราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระจอมไตรเป็นอารมณ์ยิ่งนัก หากแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้ หลีกเราไปเสียจึงจะสมควร ถ้าท่านไม่หลีกก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้นเราหาหลีกไม่ แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ถ้าท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงมาขึ้นรถไปกับเราเถิด เราจะพาท่านไปให้ถึงสำนักพระประทีปแก้วให้สมดังความปรารถนา
    <O:p
    สมเด็จพระราชาธิบดีจึงตรัสตอบว่า ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่เรา เราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วย แล้วก็อุตสาหะดำรงทรงพระวรกายขึ้นสู่รถแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ก็ทรงหันหน้ารถไป ตามถนนหนทาง ในระหว่างทางนั้น สมเด็จอมรินทราธิราชกับนางสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสี จึงได้นำเอาโภชนาหารอันเป็นทิพย์กับทั้งน้ำทิพย์ลงมา จำแลงเพศเป็นบุรษยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า
    <O:p
    ดูก่อน.. นายสารถีผู้เจริญ! ท่านต้องการข้าวน้ำโภชนาหารหรือ... เราจะให้ เมื่อท้าวโกสีย์สักกเทวราชกับนางสุชาดากล่าวดังนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาซึ่งแปลงเพศเป็นายสารถีขับรถจึงกล่าวว่า มานพผู้เจริญ! บุรุษทุพพลภาพผู้หนึ่งมาในรถด้วยกับเรา มีความลำบากเวทนานัก ท่านจะให้ข้าวน้ำโภชนาหารแก่เราก็ให้เถิด เราจะได้ให้แก่บุรุษผู้นี้บริโภค องค์อัมรินทร์ปิ่นธานีกับนางสุชาดาก็ให้ข้าวน้ำ โภชนาหารอันเป็นทิพย์ แด่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสตร์ แล้วพระองค์ก็ทรงประทานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์สังขจักรเสวยข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น
    <O:p
    ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น ทำให้ทุกขเวทนาในพระสรีรกายอันตรธานหาย มีพระวรกายเป็นสุขสมบูรณ์เสมอเหมือนแต่ก่อน องค์สมเด็จพระชินวรเจ้า จึงพาพระยาสังขจักรไปใกล้ "บุพพารามวิหาร" แล้วพระองค์ก็ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ในพระวิหาร ส่วนหน่อเนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ก็เสด็จลงจากรถ เข้าไปสู่บุพพารามทอดพระเนตรไปเห็นองค์สมเด็จ พระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ทั้งประดับด้วยพระพุทธรัศมีอันโอภาสสว่างรุ่งเรืองออกจากพระวรกาย อันเสด็จประทับ นั่งอยู่ในที่นั้น พระองค์ก็ทรงสลบลงตรงพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความโสมนัส เกิดความปีติยินดีหาที่สุดมิได้ <O:p


    <O:p
    [​IMG]

    ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนมหาบุรุษราชผู้ประเสริฐ พระตถาคตเสด็จอยู่ในที่นี้แล้ว ครั้งนั้นสมเด็จพระบรมสังขจักรก็ได้พระสติฟื้นขึ้นมา เกิดความเลื่อมใสศรัทธา น้อมเศียรเกล้าคลานเข้าไป แล้วเสด็จนั่งยังที่อันสมควร จึงยกพระกรขึ้นประนมถวายบังคมเหนือเศียรเกล้า กระทำการอภิวาทนมัสการกราบทูลว่า <O:p
    " ภันเต ภควา .. ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ ข้าพระบาทได้ถึงสำนักของพระองค์แล้ว ขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตัสแสดงพระสัทธรรมเทศนาให้ ข้าพระบาทฟังเถิด.. พระพุทธเจ้าข้า "
    <O:p
    สมเด็จพระศาสดาจารย์จึงมีพระพุทธบรรหารว่า "ดูก่อน.. มหาบพิตรผู้ประเสริฐ ! จงตั้งโสตประสาทสดับรสพระพุทธพจน์เทศนาของพระตถาคต แล้วพิจารณาธรรมกถาอันกล่าวในคุณพระนิพพานนี้เถิด"
    <O:p
    ปางนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักร เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับพระสัทธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้ว ก็กราบทูลห้ามสมเด็จพระประทีปแก้วว่า ขอพระองค์จงหยุดการแสดงธรรมเสียเถิด
    <O:p
    มีคำถามว่า.. เหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามเช่นนี้ เพราะเดิมทีมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสดา ระลึกถึงซึ่งคุณ<st1:personName w:st="on" ProductID="พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า">พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า</st1:personName> พระสังฆเจ้า เป็นอันมาก สู้ทรงสละราชสมบัติบรมจักร เสด็จมาด้วยความลำบากแทบถึงซึ่งชีวิต ครั้นมาประสบพบองค์พระสัพพัญญูเจ้า พระองค์ประทานธรรมเทศนาแล้ว กลับห้ามเสียด้วยเหตุประการใด..?
    มีคำตอบว่า.. สมเด็จพระบรมสังขจักรทรงพระดำริว่า ถ้าสมเด็จพระบรมศาสดาโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอันมาก แล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่เพียงลำพังพระองค์เดียวเปลี่ยนพระทัยนัก จะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควรที่จะสักการบูชาให้สมควรแก่รสพระสัทธรรมนั้นหามีไม่ บัดนี้ เราได้สดับรับรสแห่งอมตธรรมแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของเรานี้ มิพอสมควรกันกับพระสัทธรรม พระองค์ดำริ ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลห้ามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสีย แล้วพระองค์จึงกราบทูลว่า
    <O:p
    "ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับพระสัทธรรมของพระองค์ในกาลครั้งนี้ พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาแสดงพระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุดพระสัทธรรมอยู่แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจะตัดเศียรเกล้าอัน เป็นที่สุดสรีระกายแห่งข้าพระพุทธเจ้าออกกระทำการสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน"<O:p


    [​IMG]

    ตัดพระเศียรบูชาพระธรรม<O:p

    ครั้นตรัสดังนั้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยในพระโพธิญาณ จึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดังพระแสงดาบ เด็ดซึ่งพระศอให้ขาด แล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ พร้อมตั้งมโนปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า
    <O:p
    " ภันเต ภควา .. ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศิริ ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือ พระอมตมหานิพพาน อันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่พระนิพพานอันสำราญ ต่อภายหลัง ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้ ด้วยมิได้หวังสมบัติใดในโลกนี้ มีความปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือการบรรลุพระโพธิญาณ เป็นพระศาสดา จารย์พระองค์หนึ่งในอนาคตกาลนั้นเทอญ .. " <O:p
    ในที่สุดแห่งพระวาจาที่ได้ตั้งความปรารถนาขาดลง พระบรมโพธิสัตว์ก็สิ้นพระทัยไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
    <O:p
    ดูก่อน.. สารีบุตร! ครั้นเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์สมเด็จพิชิตมารบรมศาสดาจารย์แล้ว จึงมีพระองค์สูงได้ ๘๘ ศอก ด้วยผลทานที่เด็ดพระเศียรกระทำ สักการบูชาแห่งพระสัทธรรมเทศนา พระองค์ทรงพระรัศมีสิ้นทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาดนั้น ด้วยอานิสงส์ที่พระองค์ทรงอุตสาหะไปในหนทาง ปรารถนาจะพบเห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จนพระ โลหิตไหลออกจากพระบาท พระชงค์ พระหัตถ์ และพระอุระ ของพระองค์ ในคราวเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสังขจักรนั้น
    <O:p
    อนึ่ง พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงอเวจีมหานรก ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เด็ดพระเศียรออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรม โลหิตไกลออกจากพระเศียร
    <O:p
    อีกประการหนึ่ง ในพระศาสนาแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบังเกิดมีต้นไม้กัลปพฤกษ์ นึกได้สำเร็จสมความปรารถนา นั้นด้วยผลานิสงส์ที่พระองค์เสด็จไปตามถนนหนทาง ใคร่จะพบองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า มีกำหนดถึง ๗ วัน จึงได้ประสพพบพระพุทธองค์สมพระราชหฤทัย
    <O:p
    ดูก่อน. สารีบุตร! ผู้เป็นธรรมเสนาบดีของตถาคต ฝูงชนทั้งหลายที่มิได้เห็นรูปกายของพระตถาคตนี้ แม้ได้พบเห็นแต่พระพุทธศาสนาของพระตถาคต แล้วได้กระทำ ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ด้วยเดชะผลานิสงส์นี้ บรรดาปวงชนทั้งหลายเห่านั้น จักได้บังเกิดทันพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย อันจะมาอุบัติบังเกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต แสดงมาด้วยเรื่อง " พระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ " ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง..ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
    <O:p
    ( บางคำ "ผู้เขียน" ขอเกลาสำนวนบาลี เพื่อ ความเข้าใจง่าย )


    คำสอนของพระศรีอาริยเมตไตรย

    โดย : พระราชพรหมยาน
    [​IMG]
    <O:p




    ถามว่า " แนะนำแล้วทุกอย่าง แต่ว่าไม่รู้ข้อเจาะจง ให้เจาะจงไปว่าทำบุญอย่างไร.. จึงจะทันศาสนาพระศรีอาริย์ ? "

    ( นี่.. สำหรับคนมี "บารมีอ่อน" นะ คนมี "บารมีเข้ม" ให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าคน "บารมีอ่อน" ตั้งใจไปนิพพานชาติพระศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ ๒ อย่างก็ได้ว่า ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้ ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้ )
    <O:p
    ท่านบอกว่า " ให้ทุกคนที่ต้องการเกิดทันสมัยผม ให้รักษา ศีล ๕ เป็นปกติ รักษา กรรมบถ ๑๐ เป็นปกติทุกวัน ไม่คลาดเคลื่อน อย่างนี้เป็น อุคฆฏิตัญญู ไปเกิดในสมัยผมฟังเทศน์แค่หัวข้อเล็ก ๆ สั้น ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที

    [​IMG]
    <O:p
    ถ้าบางท่านปฏิบัติอ่อนกว่านั้น รักษาได้ กรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน ศีล ๕ ก็ครบ แต่ว่าบางทีก็มีอาการเผลอเล็กน้อย อย่างนี้เป็น วิปจิตัญญู หมายความว่า ไปเกิดสมัยผม เทศน์หัวข้อฟังไม่เข้าใจต้องอธิบายเล็กน้อยจึงบรรลุอรหันต์
    <O:p
    บางท่านที่มีบารมีอ่อนกว่านั้น วันธรรมดา ๆ อาจจะบกพร่องบ้างเป็นของธรรมดา แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบถ้วนทั้ง ศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐ หมายความตามธรรมดา คนเรามีอาชีพ ต่างกัน บางคนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องฉีดยา ฆ่าเพลี้ย ฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหารบ้าง

    บางคนมีอาชีพไปในทางการปกครอง ต้องทำการประมงฆ่าปลา ฆ่าสัตว์บ้าง ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้ และวันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างนี้ถ้าเกิดในสมัยผม เขาเรียกว่า เนยยะ เทศน์ครั้งเดียว สองครั้งยังไม่มีผล ต้องฟังเทศน์หลาย ๆ หน สามารถเป็นพระอริยะได้
    <O:p
    เอาละ .. บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายมานั่งอยู่กันที่ตรงนี้ และฟังเทศน์แล้ว เรื่องของ พระศรีอาริยเมตไตรย ถ้าจะว่ากันไปก็คงไม่แตกต่างกับเรื่อง ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าทุกท่านรักษา ศีล ๕ ครบถ้วน กรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน ที่มีบารมีเข้มข้นสามารถจะไปนิพพานได้ในชาตินี้ ถ้าบังเอิญชาตินี้พลาดไปนิพพาน ไปเกิด เป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี หรือพรหมก็ตาม อีกไม่นานนักพระศรีอาริย์ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์ภายในไม่ช้าก็บรรลุอรหันต์ สามารถไปนิพพานได้"

    กุศลกรรมบท ๑๐
    กุศลกรรมบท ๑๐ เป็นหนทางแห่งการทำความดีงาม ทางแห่งกุศลซึ่งเป็นหนทางนำไปสู่ความสุข ความเจริญ ทั้งไม่ละเมิดเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นละเมิด และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นละเมิดแล้ว
    แบ่งออกเป็น ๓ ทางคือ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ และมโนกรรม ๓

    ๑. กายกรรม ๓ หมายถึง ความประพฤติดีที่แสดงออกทางกาย ๓ ประการ ได้แก่

    (๑) เว้นจากการฆ่าสัตว์ คือ การละเว้นจากการฆ่าสัตว์ การเบียดเบียนกัน เป็นผู้มีเมตตา กรุณา
    (๒) เว้นจากการลักทรัพย์ คือ ละเว้นจากการลักขโมย เคารพในสิทธิของผู้อื่น ไม่หยิบฉวย เอาของคนอื่นมาเป็นของตน
    (๓) เว้นจากการประพฤติผิดในกาม คือ การไม่ล่วงละเมิดสามีหรือภรรยาผู้อื่น ไม่ล่วง ละเมิด ประเวณีทางเพศ

    ๒. วจีกรรม ๔ หมายถึง การเป็นผู้มีความประพฤติดีซึ่งแสดงออกทางวาจา ๔ ประการ ได้แก่

    (๑) เว้นจากการพูดเท็จ คือ พูดแต่ความจริง ไม่พูดโกหก หลอกลวง
    (๒) เว้นจากการพูดส่อเสียด คือ พูดแต่ในสิ่งที่ทำให้เกิดความสามัคคี กลมเกลียว ไม่พูดจา ในสิ่งที่ก่อให้เกิดความ แตกแยก แตกร้าว
    (๓) เว้นจากการพูดคำหยาบ คือ พูดแต่คำสุภาพ อ่อนหวาน อ่อนโยน กับบุคคลอื่นทั้ง ต่อหน้า และลับหลัง
    (๔) เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือพูดแต่ความจริง มีเหตุมีผลเน้นเนื้อหาสาระที่เป็น ประโยชน์ พูดแต่สิ่งที่จำเป็นและพูดถูกกาลเทศะ

    ๓. มโนกรรม ๓ หมายถึง ความประพฤติที่เกิดขึ้นในใจ ๓ ประการ ได้แก่

    (๑) ไม่อยากได้ของของเขา คือ ไม่คิดจะโลภอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน
    (๒) ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น คือ มีจิตใจดี มีความปรารถนาดี อยากให้ผู้อื่นมีความสุข ความเจริญ
    (๓) มีความเห็นที่ถูกต้อง คือ มีความเชื่อในเรื่องการทำความดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และมี ความ เชื่อว่า ความพยายามเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ

    มณฑปพระศรีอาริยเมตไตรย <O:p

    [​IMG]

    สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ เสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙<O:p

    <O:p

    <O:pหมายเหตุ : หลวงพ่อ (หลวงพ่อ ฤาษี ฯ ) บอกว่าอีกประมาณ ล้านปีเศษ ๆ พระศรีอาริย์ จึงจะมาตรัสรู้ทางอาณาเขตของประเทศพม่า ฯ
    [​IMG]
    <O:p
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.945745/[/MUSIC]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มิถุนายน 2010
  2. Phra Atipan

    Phra Atipan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,301
    อนุโมทนาน่ะครับ โยมพี่อริยบุตร เจริญธรรม เจริญพร
     
  3. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]
    ขออภิวาทวันทา
    อนุโมทนา...สาธุ...สาธุ...สาธุ...
    อนุโมทามิ
     
  4. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณ
    จึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

    [​IMG]

    <O:p
    “..พระศรีอาริยเมตไตรย ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีท่านเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมี

    ต่อมาเมื่อ พระนางกีสา โคตมี ได้ทอจีวรด้วยมือของตนเองปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ

    เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์ ท่านพระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆ กันไปหมดจนถึงองค์สุดท้ายคือท่านอชิตะภิกขุ

    ท่านไม่รู้จะส่งให้ใครเพราะนั่งอยู่ท้ายสุด เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสา โคตมีก็เสียใจว่าอุตสาห์ทำเองเลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเองเพื่อถวายพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่รับกลับไปให้กับพระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก

    คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรดว่า พระองค์สุดท้ายไม่ใช่พระธรรมดา ท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีพระนามว่า “สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย”

    ปัจจุบันนี้ท่านมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต วิมานท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมีรัศมีกายสว่างมาก หน้าตาผ่องใสยิ้มระรื่นน่าชื่นใจ

    ท่านได้บอกกับอาตมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อีก ๑ ล้านกับ ๒ ปี ท่านจะลงมาเกิดในเมืองมนุษย์แล้วเป็นปุโรหิต หลังจากนั้นเกิดความเบื่อหน่ายก็ออกแสวงหาพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าจะเทียบพื้นที่ในสมัยนี้ พระองค์จะตรัสทางทิศเหนือของพม่า แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้

    อ้างอิง หนังสือ ตายแล้วไปใหน โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มิถุนายน 2010
  5. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ขอบคุณค่ะ อ่านเพลินเลยงานนี้
     
  6. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    แต่ผมไม่อยากเกิดแล้ว เห็นแต่โทษ

    ของการเกิด

    ไม่อยากจะตามท่านแล้ว ขอชาตินี้และกัน

    เป็นชาติสุดท้าย

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มิถุนายน 2010
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    [​IMG]
    ...กราบอนุโมทนาเป็นอย่างสูงค่ะ...
     
  8. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    โมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    อนุโมทนา สาธุ กับคุณอริยบุตรด้วยครับ ขอเป็นผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี ตามคำสอนของพระพุทธองค์ครับ ไม่มีสิ่งใดแล้วที่จะสูงไปกว่าพระรัตนไตร
     
  10. จาริกบุญ

    จาริกบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +228
    สาธุ ขอเกิดในชาติของพระพุทธองค์และขอเป็นชาติสุดท้าย
     
  11. junthet

    junthet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +139
    อนุโมทนาสาธุ ขอผลบุญนี้จงเป็นแสงสว่างนำทางให้ถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด
     
  12. lek_awapa

    lek_awapa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +1,043
    อนุโมทนาค่ะ..จะขอปฏิบัติตัวให้ดี..เพื่อว่าจะได้เกิดทันท่านในชาตินั้นค่ะ...
     
  13. bunlerts

    bunlerts เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +273
    อนุโมทนา สาธุ

    สิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงไม่ควร ยึดมั่น ถือมั่น
     
  14. monsy

    monsy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +341
    อนุโมทนาสาธุค่ะแต่ยังสงสัยนิดนึง

    เคยได้ยินว่าหลวงปู่ทวดกับหลวงปู่ดู่เป็นจิตดวงเดียวกันและจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในกาลต่อไปและยังเคยได้ยินว่าท่านเกิดแล้วณ ตอนนี้เพื่อบำเพ็ญบารมีก็เลยยิ่งงงๆๆๆมากๆเลยอ่ะค่ะ แต่ที่มหัศจรรย์พันลึกกว่านั้นอีก(สำหรับเรานะ เพราะมันมากกว่าความปีติอีก)เราฝันว่าหลวงปู่ดู่มาที่บ้านคือเป็นคนคลองวัดสะแกเหมือนท่านน่ะ แล้วสักพักก็รู้สึกในฝันว่าพระที่เรากราบเป็นปู่ทวดสลับกับปู่ดู่และในความรู้สึกมีภาพพระพุทธเจ้าแสงเรืองรองมากๆๆๆๆๆแว๊บขึ้นมาในจิตทำให้เรารู้สึกได้นะว่ามั่นใจกับคำบอกเล่าของคนรุ่นเก่าๆสืบๆกันมาก็เลยไปกราบหลงปู่ที่วัดสะแกมานะยังไม่เคยไปเลยนะบอกตรงๆว่าแปลกมากอธิบายความรู้สึกไม่ถูกแต่สวดมนต์ก่อนนอนจะอธิฐานจิตเสมอว่าขอให้ได้พบกับท่านนะถ้าหากคำกล่าวของครูบาอาจารย์และคนรุ่นเก่าๆเป็นจริง(ทำอย่างนี้มาก่อนฝันสักพักแล้วล่ะ ขออภัยด้วยที่สงสัยแล้วเก็บไว้ในใจไม่ได้ต่อไปอีก)
     
  15. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->monsy<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3446441", true); </SCRIPT>


    เคยได้ยินว่าหลวงปู่ทวด กับหลวงปู่ดู่ เป็นจิตดวงเดียวกัน และจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในกาลต่อไป

    น่าจะถูกต้องแล้ว นะ แต่ควรรู้ไว้ เงียบ ๆ เหมือนดาบ ๒ คม นะ

    และยังเคยได้ยินว่าท่านเกิดแล้ว ณ ตอนนี้เพื่อบำเพ็ญบารมี ก็เลยยิ่งงงๆๆๆมากๆเลยอ่ะค่ะ

    เก็บความงงไว้ นะ ฟังหู ไว้หู เชื่อพระพุทธเจ้า นะครับ

    แต่ที่มหัศจรรย์พันลึกกว่านั้นอีก(สำหรับเรานะ เพราะมันมากกว่าความปีติอีก)เราฝันว่าหลวงปู่ดู่มาที่บ้านคือเป็นคนคลองวัดสะแกเหมือน ท่านน่ะ

    ฝั่งใหน ล่ะ วัดโกโรโกโส หรือ ฝั่งวัดสะแก

    แล้วสักพักก็รู้สึกในฝันว่าพระที่เรากราบเป็นปู่ทวดสลับกับปู่ดู่ และในความรู้สึกมีภาพพระพุทธเจ้า แสงเรืองรองมากๆๆๆๆๆ แว๊บขึ้นมาในจิตทำให้เรารู้สึกได้นะว่ามั่นใจกับคำบอกเล่า ของคนรุ่นเก่าๆ สืบๆ กันมา ก็เลยไปกราบหลงปู่ ที่วัดสะแกมานะ ยังไม่เคยไปเลยนะบอกตรงๆ ว่าแปลกมาก อธิบายความรู้สึกไม่ถูก

    ครับ ผมก็เริ่ม งง ตามแล้ว ครับ คนวัดสะแก

    แต่สวดมนต์ก่อนนอน จะอธิฐานจิตเสมอ ว่าขอให้ได้พบกับท่านนะ ถ้าหากคำกล่าวของครูบาอาจารย์และคนรุ่นเก่าๆเป็นจริง(ทำอย่างนี้มาก่อนฝันสักพักแล้วล่ะ ขออภัยด้วยที่สงสัยแล้วเก็บไว้ในใจไม่ได้ต่อไปอีก)

    เก่งครับ ทำผมงง ตามได้ ตอนท่านอยู่ ไม่พบเหรอ ปี ๓๒ หรือ ๓๓ เนี่ย
     
  16. สุปราณี (ปู)

    สุปราณี (ปู) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +1,296
    ดิฉันก็ขออนุโมทนาด้วยค่ะ เกิดชาติใด ขอให้พ้นเวรกรรม ขอเห็นธรรมนำสว่างสู่นิพานทุกชาติไป และสุดท้ายขอเกิดในยุคพระศรีอริย์เป็นยุคสุดท้ายด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  17. lady_ta

    lady_ta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +380
    อนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ


    บุญรักษาค่ะ
     
  18. HS4OFL

    HS4OFL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +1,382
    อนุโมทนาครับผม
    ชาติหน้าจะเกิดเป็นคนอีกรึป่าวก็ไม่รู้
     
  19. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ผมว่า น้องคงได้เกิดเป็นเทวดา หรือ ไม่ก็ พรหม ครับ

    โมทนา
     
  20. ณัฐปพน

    ณัฐปพน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +416
    ( นี่.. สำหรับคนมี "บารมีอ่อน" นะ คนมี "บารมีเข้ม" ให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าคน "บารมีอ่อน" ตั้งใจไปนิพพานชาติพระศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ ๒ อย่างก็ได้ว่า ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้ ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้ )


    อนุโมทนบุญค่ะ



    แค่ไม่ทุกข์ก็สุขแล้ว;k05
     

แชร์หน้านี้

Loading...