ถ้าอุปัชฌาย์เป็นปาราชิก แล้วบวชให้พระใหม่ พระใหม่จะเป็นพระหรือไม่

ถ้ามาทราบตอนหลังว่าเขาขาดจากสมณะไปแล้ว แต่ยังมั่วนิ่มอยู่

 

ไม่เป็นสิครับ ชัดเจนครับ เมื่ออุปัชฌาย์ขาดจากความเป็นพระ ก็จัดเป็นอนุปสัมบันร่วมทำสังฆกรรมกับสงฆ์ไม่ขึ้น

แต่ถ้าอยากเป็นพระโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอุปัชฌาย์ขอแนะนำให้ตัดสังโยชน์ ๓ ให้ได้ครับ เมื่อเข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ก็จัดเป็นพระโดยความบริสุทธิ์ครับ

 

ถ้ายังงี้เวลาเราบวชเราก็ไม่รู้สิครับว่าเราเป็นพระหรือไม่ เพราะเราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าอุปัชฌาย์ของเราท่านเคยทำปาราชิกหรือไม่

 

ผมคิดว่ายังเป็นพระอยู่ครับ เพราะการบวชสมัยนี้ใช้วิธีการที่เรียกว่า ญัตติจตุกรรมวาจา คือให้ตั้งญัตติขึ้นมา และสงฆ์ทำการสวดรับรอง 3 ครั้ง ผู้รับรองว่าบุคคลนี้เป็นพระหรือไม่คือคณะสงฆ์ไม่ใช่พระอุปัชฌาย์ พระอุปัชฌาย์เป็นเพียงผู้สวดตั้งญัตติเพื่อให้สงฆ์รับรอง ถ้าคณะสงฆ์รับรองก็ถือว่าเป็นพระโดยสมบูรณ์แล้ว
เป็นทัศนคติส่วนตัว อย่างไรก็รอผู้รู้พระวินัยมาชี้ขาดอีกที

 

อย่าคิดมากค่ะ...ถ้ามันผ่านมาแล้ว..ก็ให้แล้วไปเถอะค่ะ..
และถ้าตอนนี้..คุณห่มเหลืองแล้ว..
ก็ขอให้ทำกิจของสงฆ์ต่อไป..
ละสังโยชน์ 3 ให้ได้ก่อน แล้วก็รอดแล้วค่ะ ตามที่คุณ Chati แนะนำเลยค่ะ
(เพิ่มเติมเกี่ยวกับสังโยชน์สาม นะคะ)

1. รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ
2. ปฎิบัติตามพระธรรมคำสอนเพื่อให้..หายความลังเล สงสัย และการเชื่ออย่างงมงาย
3. ลดความเป็นตัวกู ของกู ลงให้หมด ให้เหลือแต่ รูปกับนาม

ประมาณนี้แหละค่ะ...ไม่ง่ายนะคะ...แต่ก็ไม่เกินวิสัยที่พวกเราจะทำได้
เพื่อนๆ ใครมีคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสังโยชน์สาม โพสอธิบายเพิ่มเติมได้เลยนะคะ..

ขอความเจริญในธรรมทุกๆคนค่ะ

 

ความจริงพระอุปัชฌาย์ไม่ได้สวดหรอกครับ เป็นเพียงประธานสงฆ์รับผิดชอบการบวชเท่านั้น
ผู้ที่ทำให้เป็นพระได้คือพระอันดับ 10 รูปขึ้นไปโน่นเป็นผู้ตัดสิน ถ้าองค์ใดองคฺ์หนึ่งใน 10 รูปคัดค้านในการบวช การบวชพระก็ไม่สำเร็จครับ (มีพระอุปัชฌาย์ 1 รูป เพื่อควบคุมการสวดให้ถูกต้อง มีคู่สวด 2 รูปเพื่อป้องกันการสวดผิด มีพระสงฆ์อีกอย่างน้อย 10 รูปรับรอง พิจารณา และลงมติเห็นชอบ หรือไม่) คำถามนี้ต้องถามพระมหาเถรสมาคม ว่าท่านตั้งกติกาไว้อย่างไร

 

ขออนุโมนาครับ ความรู้ใหม่