พระภิกษุจะกราบแม่ชีเป็นอาจารย์ได้หรือไม่

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย momee, 16 ตุลาคม 2006.

  1. momee

    momee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +205
    สาธุค่ะ อาจารย์แม่ชี หนูมีข้อสงสัยค่ะ ว่า

    พระภิกษุสงฆ์ สามารถกราบแม่ชี(ที่บรรลุธรรมแล้ว) เป็นครูบาอาจารย์ ได้หรือไม่

    เท่าที่เห็นมา ไม่ว่าจะเป็น พระภิกษุสงฆ์ แม่ชี ฆารวาส หรือ ผู้ปฏิบัติดี โดยทั่วไป จะดิ้นรนขวนขวายหาพระอริยสงฆ์ หรือพระอรหันต์ เพื่อขอกราบ และฝากตัวเป็นลูกศิกษ์ เพื่อให้ช่วยชี้แนะแนวทางการปฏิบัติธรรม
    แต่พระอริยสงฆ์ หรือ พระอรหันต์ ก็ไม่จำเป็น ต้องเป็นพระสงฆ์ อาจจะเป็นแม่ชี หรือฆารวาสก็ได้มิใช่หรือ
    และพระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติแล้ว (ที่ไม่ใช่ครองผ้าเหลือง) ท่านก็คงไม่ยึดติดกับเปลือกนอก ไม่ว่าจะเป็นผ้าเหลือง ผ้าขาว หรือ สมณศักดิ์ เพราะท่านก็สามารถดูออกว่าใครเป็นถึงเนื้อนาบุญของพุทธศาสนาที่แท้จริงได้

    และถ้าบังเอิญผู้ที่สำเร็จและเข้าถึงแก่นแท้ขององค์ธรรมขององค์สมเด็จ เป็นผู้ที่ครองผ้าขาวอยู่ (เช่นแม่ชี,อุบาสก,อุบาสิกา)ละ
    พระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีแล้ว จะขอกราบและฝากตัวเป็นลูกศิกษ์ได้ไหม เพื่อให้ครูบาอาจารย์ชี้แนะหนทางสว่างให้เข้าถึงองค์ธรรมได้เร็วขึ้น

    อาจจะเคยมี ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

    สาธุค่ะ
     
  2. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม.........

    คำถามที่ถามมา.....จะตอบให้ในวันพรุ่งนี้จ้า.......
    เน็ตหลุดบ่อยมาก

    ธรรมะ......สวัสดี
     
  3. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ผู้ที่บรรลุธรรมของพระพุทธองค์นั้นมีมากมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นพระภิกษุ หรือแม่ชีหรอก

    แต่บุคคลทั้งหลายมักจะยึดเครื่องแบบเป็นหลักใหญ่ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง...ส่วนผู้ที่เข้าใจก็จะไม่สนใจกับเครื่องแบบ แต่จะให้ความสนใจกับหลักธรรมคำสอนที่นำมาปฏิบัติได้มากกว่า

    พระก็ยังเป็นคนหรือเป็นปุถุชนคนธรรมดา แต่พยายามขัดเกลาให้เป็นอริยะ ฉะนั้นท่านจึงต้องสรรหาครูบาอาจารย์มาช่วยชี้แนะ

    "ควรบูชาบุคคลผู้ควรบูชา" ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ในมงคล 38 การคารวะผู้เป็นอาจารย์ที่ให้ความรู้ จึงเป็นประเพณีนิยมที่คนเราทำกันมาช้านาน

    แต่พระภิกษุสมัยนี้ท่านไม่ไหว้บุคคลทั่วไป เพราะถือว่าตนมีศีลมากกว่าใคร จะไหว้เฉพาะพระด้วยกันตามลำดับ

    ส่วนพระที่ท่านเรียนรู้ประเพณีมาพอสมควร ท่านจะทำการไหว้ตอบโยมผู้มาคารวะ แต่การไหว้ตอบนั้น ท่านจะยกมือรับไหว้มือเดียว

    แม่ชีเคยดูและได้ศึกษาประวัติพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านเป็นผู้ถ่อมตนและมีสัมมาคารวะมาก พระองค์ท่านจึงสามารถชนะใจผู้คนและผู้คนก็ยอมรับฟังพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน เนื่องจากมีเหตุและมีผลเสมอ

    การไหว้นี่มาจากอินเดียนะ คนไทยรับวัฒนธรรมนี้มาจากอินเดียอีกที

    พระจะนับถือใครเป็นอาจารย์นั้นก็ได้ ถ้าท่านเหล่านั้นเป็นผู้ทรงวิชา แต่ท่านไม่ไหว้กราบอย่างที่เราๆกราบพระกัน เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ใน ครุกรรม 8 ที่ตอนพระน้านางจะบวชเป็นพระภิกษุณี ว่าแม้พระภิกษุณีจะบวชมาร้อยปีแล้วก็ตาม จะต้องกราบไหว้พระภิกษุที่บวชในวันนั้น

    นี่เป็นการให้เกียรติผู้ชาย เพราะสมัยก่อนนั้นผู้ชายเป็นใหญ่ และเป็นผู้นำรวมทั้งเป็นผู้คุ้มครองผู้หญิง เพื่อผู้ชายจะได้ตระหนักในหน้าที่ของตนด้วย แต่ในปัจจุบันคนเราเอามาตีความหมายกันเปรอะเลอะเทอะไปหมด

    ก็น่าจะอะลุ้มอะล่วยกัน เดี๋ยวนี้เวลาแม่ชีไปกราบพระผู้ใหญ่ ก็เห็นท่านยกมือรับไหว้ตอบนี่ แต่ท่านยกมือเดียวนะ แหม...แค่นี้ก็ถือว่าท่านให้เกียรติมากแล้ว

    สรุป...พระท่านจะนับถือคฤหัสถ์เป็นอาจารย์ก็ได้ ถ้าท่านคงแก่เรียนมีความรู้มอบให้ ชี้แนะชี้นำให้ เจอกันทักทายกัน ไม่ต้องถึงกราบหรอกมั้ง

    ดูตัวอย่างอาจารย์ของแม่ชีสิ ท่านมีครูเป็นคฤหัสถ์สอนวิชาให้ตั้งมากมาย ขนาดครูท่านตายไปแล้ว ถึงเวลาหลวงปู่ยังให้แม่ชีตั้งของเพื่อท่านจะได้
    บูชาอาจารย์ของท่านเลย

    รีบจบก่อน กลัวหลุดจ้า ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!!!!
     
  4. kha_sur

    kha_sur เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    409
    ค่าพลัง:
    +778
    นี่ก็อีกหนึ่งคำถาม หากเคยมีใครสงสัย ..........ลองทำความเข้าใจดูจ้า....อ่านด้วยความละเอียดและคิดอย่างรอบคอบนะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2009
  5. Dongky

    Dongky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +84
    ผมว่าไม่ได้ น๊าคราฟ


    เพราะ แม้กระทั่ง พระภิกษุณี ที่มีข้อวินัยถึง 311 ข้อ แม้จะบวชมานาน 100 ปีก็ตาม
    ก็ยังต้องกราบไหว้ พระสมมุติสงฆ์ ที่บวชแม้เพียงแต่วันเดียว





    สาธุ คราฟ
     
  6. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สมัยที่ยายผีป่าอยู่บ้านที่สุรินทร์ เวลาพระท่านมาเยี่ยมมาเยือนกัน เจ้าอาวาสจะออกไปต้อนรับ ท่านจะกราบซึ่งกันและกัน พระสายอิสาณกราบกันเยี่ยงนี้ บรรดาลูกวัดก็จะออกมาทั้งหมดเพื่อมากราบพระที่มาเยือน ขนาดพระเพิ่งบวชใหม่ แต่เป็นแขก หลวงตายายผีป่าบอกว่า ให้กราบเขาก่อนเพราะเขาเป็นผู้มาเยือน

    .........................................

    ทีนี้มีวัดหนึ่ง ยายผีป่าไปบวชชี เพราะหนีช้ำ (ฮา) หลวงตาของยายผีป่าท่านทราบก็มาเยี่ยมที่วัด ท่านบวชกว่ายี่สิบกว่าพรรษาตอนนั้น ยังก้มลงกราบกับพื้นกราบเจ้าอาวาสที่นั่งอยู่ที่เเก้าอี้ดูดวงหน้าศาลา(เจ้าอาวาสรับทำนายดวงให้คนที่มาวัด ครั้งละ ๑๐๐ บาท)

    เจ้าอาวาสพรรษาน้อยกว่าก็ไม่เห็นลงมากราบหลวงตายายผีป่าตอบเหมือนที่เคยเห็นที่บ้านนอกเลย
     
  7. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สมัยที่ยายผีป่าอยู่บ้านที่สุรินทร์ เวลาพระท่านมาเยี่ยมมาเยือนกัน เจ้าอาวาสจะออกไปต้อนรับ ท่านจะกราบซึ่งกันและกัน พระสายอิสาณกราบกันเยี่ยงนี้ บรรดาลูกวัดก็จะออกมาทั้งหมดเพื่อมากราบพระที่มาเยือน ขนาดพระเพิ่งบวชใหม่ แต่เป็นแขก หลวงตายายผีป่าบอกว่า ให้กราบเขาก่อนเพราะเขาเป็นผู้มาเยือน

    .........................................

    ทีนี้มีวัดหนึ่ง ยายผีป่าไปบวชชี เพราะหนีช้ำ (ฮา) หลวงตาของยายผีป่าท่านทราบก็มาเยี่ยมที่วัด ท่านบวชกว่ายี่สิบกว่าพรรษาตอนนั้น ยังก้มลงกราบกับพื้นกราบเจ้าอาวาสที่นั่งอยู่ที่เเก้าอี้ดูดวงหน้าศาลา(เจ้าอาวาสรับทำนายดวงให้คนที่มาวัด ครั้งละ ๑๐๐ บาท)

    เจ้าอาวาสพรรษาน้อยกว่าก็ไม่เห็นลงมากราบหลวงตายายผีป่าตอบเหมือนที่เคยเห็นที่บ้านนอกเลย
     
  8. จริตฟ้า

    จริตฟ้า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +7
    การเคารพและ กราบไหว้ กับผู้ที่ปฎิบัติดีแล้วนั้น ย่อมเป็นการแสดงถึงบุคคลอันประเสริฐ โดยกับผู้ที่ปฎิบัติและมีศีลอันเป็นพรหมจรรย์แล้วนั้น ไฉนเลยจะกระทำมิได้ ...ผู้ที่ปฎิบัตินั้นย่อมที่จะมีปัญญาและจะไม่ยึดติดกับองค์ประกอบที่รวมกันเป็นรูปธรรม การกราบไหว้ หรือให้การเคารพนั้น ย่อมทำได้กับทุกบุคคลที่ได้ปัญญาจำแนก.....สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2009
  9. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ....ผู้บอก ผู้สอน ย่อมเป็นครู แม้ไม่กราบ.....

    ...จิต ยอมรับ เป็น กตัญญู.......
     
  10. สี บุญมา

    สี บุญมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +315
    ไม่รู้ซิ เอาตามเหมาะสมเถอะ อย่าถึงต้องก้มลงกราบเท้าต่อหน้าประชาชนเลย เอาให้พอดี จะไหว้ก็ไหว้ อย่าถึงยศถืออย่าง แต่ให้เหมาะกับกาลสถาที่ น่าจะดีนะ สาธุ
     
  11. พระจิรพนธ์

    พระจิรพนธ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +58
    [​IMG]
    พระอานนท์ได้นำข่าวดีมาบอกแก่พระนางปชาบดีโคตมีว่าสามารถบวช เป็นภิกษุณีได้

    พระนางประชาบดีโคตมี เป็นหญิงคนแรกที่ออกบวช ตามพระพุทธเจ้า เกิดข้อปฏิบัติที่สำคัญอะไรขึ้นสำหรับหญิงที่จะออกบวช ใครคือผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือให้เกิดการบวชภิกษุณีได้

    ส่วนพระนางมหาปชาบดี มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา จึงเสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดายังนิโครธาราม ทูลขอบรรพชา พระศาสดาไม่ทรงอนุญาต แม้พระนางเจ้าจะทูลวอนขอถึงสามครั้ง ก็ไม่สมพระประสงค์ ทรงโทมนัส ทรงพระกรรแสง เสด็จกลับพระนิเวศน์

    เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จกลับไปประทับยังกุฎคารศาลา ป่ามหาวัน ณ พระนครไพศาลีแล้ว พระนางมหาปชาบดีโคตมีพร้อมด้วยนางกษัตริย์ศากยราชวงค์เป็นอันมาก ที่ยินดีในการบรรพชา ปลงพระเกศา นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ พากันเสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ ไปเมืองไพศาลีด้วยพระบาท ตั้งพระทัยขอประทานบรรพชา ทรงดำเนินไปจนกระถึงกุฎาคารศาลา ประทับยืนกรรแสงอยู่ที่ซุ้มประตูกุฎาคารศาลา ที่พระบรมศาสดาประทับนั้น

    ขณะนั้น พระอานนท์ออกมาพบไต่ถาม ทราบความแล้ว ก็รับเป็นภาระนำความกราบทูลขอประทานอุปสมบท ให้พระนางมหาชาบดี

    ในครั้งแรก พระบรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า สตรีไม่ควรอุปสมบท

    ภายหลังพระอานนท์ทูลถามว่า หากสตรีบวชแล้ว จะสามารถปฎิบัติธรรมได้บรรลุอริยมรรค อริผล โดยควรแก่อุปนิสสัยหรือไม่?

    เมื่อพระศาสดาตรัสว่า “สามารถ”

    พระอานนท์ก็กราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้น ขอได้ทรงพระกรุณาประทานโอกาสให้พระเจ้าน้า ได้ทรงอุปสมบทเถิด

    ทรงรับสั่งว่า

    “อานนท์ ผิวะพระนางมหาปชาบดีโคตมี จะทรงรับปฏิบัติครุธรรม ๘ ได้บริบูรณ์ ตถาคตก็อนุญาตให้ได้”

    “อานนท์ ครุธรรม ๘ ประการนั้น ดังนี้

    ๑. ภิกษุณีแม้จะบวชได้ 100 พรรษา ก็พึงให้ทำอัญชลี เคารพนบนอบภิกษุ แม้บวชในวันเดียวนั้น

    ๒. ภิกษุณีอย่าอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ

    ๓. ภิกษุณี จะต้องทำอุโบสถกรรม และรับโอวาท แต่สำนักสงฆ์ทุกกึ่งเดือน

    ๔. ภิกษุณีจำพรรษาแล้ว ให้พึงปวารณาในสำนักอุภโตสงฆ์

    ๕. ภิกษุณี หากต้องอยู่ปริวาสกรรม พึงประพฤติปักขมานัต (คืออยู่มานัตถึงกึ่งเดือน) ในสำนักอุภโตสงฆ์

    ๖. ภิกษุณี อุปสมบทในสำนักอุภโตสงฆ์ พึงสมาทานซึ่งวัตรปฎิบัติในธรรม ๖ ประการ คือ เว้นจากปาณาติบาต ถึงวิกาลโภชนะ เป็นต้น มิให้ล่วง และศึกษาให้รู้วัตรปฎิบัติต่าง ๆ สิ้นกาลถึงพรรษาเต็ม

    ๗. ภิกษุณี อย่าพึงด่าบริภาษภิกษุสงฆ์ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง

    ๘. ภิกษุณี นับแต่วันบรรพชาเป็นต้นไป พึงสดับรับโอวาทของภิกษุกล่าวสั่งสอนฝ่ายเดียว ห้ามโอวาทสั่งสอนภิกษุ ฯ

    พระอานนท์เถระ เรียนจำครุธรรม ๘ ประการนั้น จากพระบรมศาสดาแล้ว ก็ออกมาแจ้งพระพุทธบัญชานั้นแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระนางเจ้าทรงน้อมรับที่จะปฏิบัติด้วยความยินดีทุกประการ พระอานนท์ก็เข้ามากราบทูลพระบรมศาสดาให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงโปรดประทานบรรพชาอุปสมบทแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี กับศากยะขัตติยนารีด้วยกันทั้งสิ้น

    ครั้นออกพระวัสสา ปวารณาแล้ว พระบรมศาสดากับทั้งพระสงฆ์สาวกทั้งหลายก็เสด็จจากเมืองไพศาลี ไปพระนครสาวัตถี ประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหาร ฝ่ายข้างพระนครกบิลพัสดุ์ เมื่อพระนางเจ้ามหาปชาบดีโคตมี ทรงผนวชแล้ว บรรดามหาอำมาตย์และราชปุโรหิตทั้งหลาย ได้ประชุมพร้อมกันยก “เจ้าศากยะมหานาม” โอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอมิโตทนะ พระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ เสวยราชสมบัติสืบราชสันติวงศ์

    ต่อมา พระนางพิมพาเทวี มารดาราหุลกุมาร ก็เข้าเฝ้าพระเจ้ามหานาม ทูลลาออกบรรพชา แล้วทรงพาบรรดาขัตติยนารีทั้งหลาย เดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระเชตวันวิหาร ทูลขอประทานบรรพชาอุปสมบท สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงประทานบรรพชาอุปสมบทแก่พระนางเจ้า และบรรดาขัตติยนารีทั้งสิ้น ด้วยครุธรรม ๘ ประการนั้น

    "ก็ตาม ที่พระพุทธเจ้าบัญญัตินะ ไม่ได้เอาความเห็นของตัวเอง เพราะว่า พระพุทธองค์ย่อมรู้ดีกว่าสาวกนะ ส่วนใครจะทำอะไรให้เสื่อมเสียกับพระพุทธศาสนานั้น เป็นเรื่องส่วนบุคคลของท่าน ในเมื่อท่านอาศัยต้นไม้ใหญ่คือพระพุทธศาสนาแล้วท่านจะทำอะไรที่เป็นการบั่นทอน คำสอนของพระพุทธองค์ พระพุทธบัญญัติ ก็คงไม่มีใครจะห้ามท่านได้ เพราะบัวมี 4 เหล่า" เจริญพร
     
  12. พระจิรพนธ์

    พระจิรพนธ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +58
    ถ้าแม่ชี มีคุณวิเศษเห็นว่าตัวท่านดี เกินกว่าที่จะรับปฏิบัติตามพระพุทธองค์ที่ได้ทรงบัญญัติไว้ ก็ขออนุโมทนานะ เพราะว่าขนาดพระนางปชาบดีท่านได้เป็นพระมหาเถรี ท่านยังยึดถือพระพุทธวินัยของภิกษุณี ที่ทงบัญญัติไว้ 311 ข้อ หรือว่าแม่ชี มีศีลเยอะกว่า ภิกษุณี ??? ดังนั้นการตอบคำถามอะไรก็ตาม ควรที่จะยึดหลักพระวินัย แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าพระมีทิฎฐินะ แต่ขอให้ศึกษาก่อน
    อย่าตู่พระวินัย อย่าตู่พระธรรม อย่าตู่พระพุทธเจ้า เพราะท่านทั้งหลายเป็นเพียงพุทธบริษัทนะ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หากแม่ชีเป็นผู้สำเร็จธรรมขั้นต่าง ๆ อันเป็นโลกุตรธรรมนั้น แม่ชีท่านคงจะมีความละอายเองนะ เพราะถ้าหากว่าท่านเป็นอริยบุคคลจริง พระอริยเจ้าท่านมีความละอาย ท่านยึดมั่นในพระวินัย ท่านยึดมั่นในศีล ของท่าน ท่านคงจะห้ามพระแล้วหละ คงไม่ยืน หรือนั่งทื่อ ๆ ให้พระกราบไหว้นะ อันนี้ อาตมาขอพูดตามจริง เพราะวิสัยพระอริยเจ้าไม่ว่าจะเป็นบุคคลกลุ่มใดในพุทธบริษัท 4 ท่านเคารพ พระพุทธ พระธรรม และพระวินัย อันไหนที่จะทำให้พระศาสนาเสื่อมท่านคงจะไม่ทำนะ (แต่ทั้งนี้วิสัยพระอริยเจ้านั้นอาตมายังเข้าไม่ถึง จึงไม่อาจอธิบายได้มาก เพียงแต่อยู่กับหลวงพ่อ ท่านอบรม สอนกรรมฐาน ท่านพร่ำสอนอยู่เสมอ และอาตมาก็รับมาปฏิบัติตาม) ก็ให้ญาติโยม พิจารณาเอาแล้วกันนะ
    ดูก่อนอุบาลี บุคคล อันภิกษุทั้งหลายไม่ควรไหว้ แม้อื่นอีก ๕ ๕
    อะไร บ้าง คือ :-
    ๑. ภิกษุผู้อุปสมบททีหลัง อันภิกษุผู้อุปสมบทก่อนไม่ควรไหว้
    ๒. อนุปสัมบัน อันภิกษุทั้งหลายไม่ควรไหว้
    ๓. ภิกษุมีสังวาสต่างกัน มีพรรษาแก่กว่า เป็นอธรรมวาที อัน
    ภิกษุทั้งหลายไม่ควรไหว้
    ๔. สตรี อันภิกษุทั้งหลายไม่ควรไหว้
    ๕. บัณเฑาะก์ อันภิกษุทั้งหลายไม่ควรไหว้
    ดูก่อนอุบาลี บุคคล อันภิกษุทั้งหลายไม่ควรไหว้ ๕ นี้แล
     
  13. พระจิรพนธ์

    พระจิรพนธ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +58
    จ๊ะ แม่อริยบุคคลชั้นสูง ขอให้เธอเจริญในธรรมจนถึงที่สุดในธรรมนะ ที่เธอแก้บัญญัติของพระพุทธองค์ลงได้จ๊ะ
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    กราบอนุโมทนาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2010
  15. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ๓๓.ภิกษุที่ภิกษุด้วยกันไม่พึงไหว้ ๕ ประเภท
    พระอุบาลีกราบทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ภิกษุที่ภิกษุด้วยกันไม่พึงไหว้ มีกี่ประเภท ?" พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า " ดูก่อนอุบาลี ! ภิกษุที่ภิกษุด้วยกันไม่พึงไหว้ มี ๕ ประเภท คือ ...
    ๑ ภิกษุผู้เข้าไปสู่บริเวณบ้านเรือน
    ๒ ภิกษุผู้เดินทางไกล
    ๓ ภิกษุผู้อยู่ในที่มืด
    ๔ ภิกษุผู้ไม่ทันสนใจ(ในภิกษุผู้จะไหว้ คือมัวสนใจเรื่องอื่น ไม่ทันเห็น ไม่ ทันสนใจ ไม่ทันสังเกต แม้ไหว้ก็คงไม่รู้ว่าไหว้)
    ๕ ภิกษุผู้นอนหลับ

    ๓๔. ภิกษุที่ภิกษุด้วยกันไม่พึงไหว้อีก ๕ ประเภท
    " ดูก่อนอุบาลี ! ภิกษุที่ภิกษุด้วยกันไม่พึงไหว้ อีก ๕ ประเภท คือ
    ๑. ในขณะดี่มข้าวยาคู
    ๒. ในขณะอยู่โรงฉัน
    ๓. ภิกษุเป็นศัตรู (ในขณะกราบไหว้ อาจประทุษร้ายเอาได้)
    ๔. ภิกษุผู้ส่งใจไปที่อื่น
    ๕. ภิกษุผู้เปลือยกาย
    ๓๕.ภิกษุที่ภิกษุด้วยกันไม่พึงไหว้อีก ๕ ประเภท
    " ดูก่อนอุบาลี ! ภิกษุที่ภิกษุด้วยกันไม่พึงไหว้อีก ๕ ประเภท คือ...
    ๑. ภิกษุผู้กำลังเคี้ยว
    ๒. ภิกษุผู้กำลังบริโภค
    ๓. ภิกษุกำลังถ่ายอุจจาระ
    ๔. ภิกษุผู้กำลังปัสสาวะ
    ๕. ภิกษุผู้อันสงฆ์ประกาศยกเสียจากหมู่ (ถูกลงอุเขปนียกรรม)"
    ๓๖. บุคคลที่ภิกษุไม่พึงไหว้อีก ๕ ประเภท
    " ดูก่อนอุบาลี ! บุคคลที่ภิกษุไม่พึงไหว้อีก ๕ ประเภท คือ...
    ๑. ภิกษุบวชภายหลัง
    ๒. บุคคลที่มิได้บวชเป็นภิกษุ (อนุปสัมบัน)
    ๓. ภิกษุต่างนิกาย (นานาสังวาส) ที่แก่กว่า แต่พูดไม่เป็นธรรม
    ๔. มาตุคาม (ผู้หญิง)
    ๕. บัณเฑาะก์ (กระเทย)
    ๓๗. ภิกษุที่ภิกษุไม่ควรไหว้อีก ๕ ประเภท
    "ดูก่อนอุบาลี ! ภิกษุที่ภิกษุไม่ควรไหว้อีก ๕ ประเภท คือ...
    ๑. ภิกษุผู้อยู่ในปริวาส (ในการออกจากสังฆาทิเสส)
    ๒. ภิกษุผู้ควรแก่มูลายปฏิกัสสนา (การชักเข้าอาบัติเดิม ในการออกจาก สังฆาทิเสส)
    ๓. ภิกษุผู้ควรมานัตต์ (คือการสวดถอนจากอาบัติสังฆาทิเสส)
    ๔. ภิกษุผู้ประพฤติมานัตต์(ในการออกจากสังฆาทิเสส)
    ๕. ภิกษุผู้ควรแก่อัพภาน(คือการสวดถอนจากอาบัติสังฆาทิเสส ภายหลังที่ประพฤติกรรมดังกล่าว ในข้อต้น ๆแล้ว)
    (รวมความข้อนี้ คือภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ระหว่างทำพิธีออกจากอาบัติแม้จะมีพรรษาอายุสูงก็ไม่ควรกราบไหว้ เพราะเท่ากับกำลังต้องโทษ)...
    วินัยปิฏก ปรีวาร ๘/๕๐๖
    พระไตรปิฏกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๕๙- ๖๐
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 30108513.jpg
      30108513.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136 KB
      เปิดดู:
      149
    • 12169661.jpg
      12169661.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161.1 KB
      เปิดดู:
      111
    • 30108520.jpg
      30108520.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.2 KB
      เปิดดู:
      95
    • 12169319.jpg
      12169319.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.1 KB
      เปิดดู:
      149
    • 12169426.jpg
      12169426.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.2 KB
      เปิดดู:
      106
    • 30108534.jpg
      30108534.jpg
      ขนาดไฟล์:
      126.5 KB
      เปิดดู:
      113
    • 22358860.jpg
      22358860.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.6 KB
      เปิดดู:
      101
  16. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ต้องขอบคุณที่กล่าวคำชมในข้อความจากพระไตรปิฏกฉบับสำหรับประชาชน แต่
    พอเถอะๆ อย่าไปดุน้องแม่ชีเลย น้องแม่ชีอาจจะไม่คิดอะไรอย่างที่เราคิดก็ได้นะ ค่อยๆสอนน้องไปเมื่อน้องเข้าใจแล้วก็จะดีขึ้นเอง ที่ถามมาเนี่ยก็คงเพราะไม่รู้นั้นเอง อย่าไปปิดประตูด้านแสดงความคิดเห็นออกมาเลยยังไงๆเสียก็เพื่อนสมาชิกด้วยกัน ถ้าจะเตือนหรือจะสอนก็ขอให้เป็นไปด้วยจิตที่ประกอบไปด้วยความเมตตา และความหวังดี เพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นอย่าแท้จริง พระพุทธอง์ตรัสบอกกับภิกษุทั้งหลายว่าเรามีจิตกับพระราหุลเช่นไรเราก็มีจิตที่เสมอเหมือนกับพระเทวทัตเช่นนั้นเหมือนกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นเตะบอลไปโดนกำแพง พระพุทธองค์สอนไว้ว่าจิตที่เป็น โลภะ จิตที่เป็น โทสะ จิตที่เป็น โมหะ นั้นเป็นอกุศลจิต จิตพวกนี้เกิดขึ้นกับใครแล้วจะเป็นผู้ได้รับบาป พยายามทำตามพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเถิดแล้วความปลอดภัยจะเกิดขึ้นกับพวกเราเอง
     
  17. พระจิรพนธ์

    พระจิรพนธ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +58
    เจริญพร คุณแม่ชี
    การที่คุณแม่ชี จะพูด จะสอนหรือจะทำอะไรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานั้นอยากจะขอให้แม่ชี ช่วยคิด ไตร่ตรองให้ดีสักนิดเพราะการที่เราพูด เราสอนหรือเราทำอะไรไป มันกระทบกับองค์กร แล้วยิ่งเป็นองค์กรที่เรียกว่าพระพุทธศาสนาด้วย ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นของแม่ชีคนเดียว และในพุทธบริษัท 4 แม่ชีไม่ได้จัดว่าเป็นภิกษุณี แม่ชีถือศีล 8 นะ อย่าลืม อยู่ในกลุ่มอุบาสิกานะ ฉะนั้นอย่าเอาวิสัยของอุบาสิกามาตัดสินพระวินัย หรือวิถีของพระ ที่จริงถ้าคุณแม่ชีได้ศึกษามาเป็นอย่างดี ก็น่าจะรู้นะว่าโทษของการที่กล่าวตู่ พระวินัย เป็นอย่างไร อาตมาเข้าใจว่า แม่ชีคงจะได้ ปริญญา ตรี โท หรือเอก ในโลกปัจจุบันนี้ คนเขาก็ยอมรับกันที่ตรงนี้นะ แต่ในทางพุทธศาสนาแล้ว เรานับกันที่ความเป็นพระอริยบุคคล (ความรู้ในทางโลกที่ได้รับ มันเป็นการเพิ่มอัตตาให้กับบุคคลมากกว่า) ถึงได้คิดว่า ฉันดี ฉันเก่ง ถึงขนาดตัดสินพระวินัยได้ จะขอยกตัวอย่างเช่นว่า ในเรื่องการพยากรณ์บุคคลว่าใครจะเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดนั้น เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่วิสัยของสาวกที่จะพยากรณ์ใคร ฉันใด ฉันนั้น การที่จะกล่าวว่าพระภิกษุสามารถที่จะกราบแม่ชีที่เป็นอริยบุคคลได้หรือไม่นั้น
    ข้อนี้ที่จริงแม่ชีไม่ควรตอบนะ ควรจะกล่าวในลักษณะที่ว่า แม่ชีเป็นเพียงอุบาสิกาที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ส่วนเรื่องที่พระจะกราบแม่ชีที่เป็นอริยบุคคลได้หรือไม่นั้น แม่ชีไม่ขอตอบเพราะว่าเป็นวิสัยของพระภิกษุ แต่ถ้าอ้างตามพระวินัยแล้วนั้น พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ อย่างนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่านะ
    แม่ชีควรอ่านเรื่องนี้นะ
    เล่ากันมาว่า มีพระเถระเจ้าสำนักปฏิบัติแห่งหนึ่งท่านเป็นผู้ที่เคร่งครัดในพระวินัยยิ่ง นัก ด้วยเหตุดังกล่าวก่อนจะออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ประจำวัน ตอนฟ้าสางๆ ท่านมักจะยกบาตรขึ้นส่องกับแสงสว่าง เพื่อจะดูว่าบาตรลูกนี้มีรูรั่วหรือไม่ ? ส่วนพระลูกวัดไม่ทราบความมุ่งหมาย และมิได้ไต่ถามถึงเหตุผล ครั้นเห็นผู้นำยกบาตรขึ้นส่องดู พวกตนก็ยกบาตรขึ้นส่องดูตามไปด้วยเป็นแถว แต่มิได้ยกขึ้นดูรูรั่วของบาตร ครั้นล่วงกาลนานมา ประเพณีเถรส่องบาตรจึงระบาดไปทั่วในหมู่นักปฏิบัติกรรมฐาน มีผู้เล่าขานต่อๆ กันมาจนทุกวันนี้
    ตามพระวินัยแล้ว พระจะต้องเปลี่ยนบาตรใหม่เมื่อบาตรเก่ามีรอยร้าวแห่งเดียว หรือหลายแห่งรวมกันแล้วยาวถึง ๑๐ นิ้ว หรือมีรอยทะลุขนาดเมล็ดข้าวสุกลอดออกได้.

    ว่าแต่โยมแม่ชี ได้เคยไตร่ถามพระอาจารย์หรือเปล่าว่า ท่านมีวัตถุประสงค์อย่างไรที่ทำ เพื่อที่ว่าแม่ชีจะได้คำตอบที่ถูกต้อง โดยส่วนตัวแล้ว อาตมาเคารพครูบาอาจารย์ทุกท่านจึงไม่ขอก้าวล่วงวิสัยของท่าน เพียงแต่อยากให้ให้แม่ชีลองพิจารณาดูว่าแท้จริงครูบาอาจารย์ท่านทำเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่า ตาเราเป็นท่านทำอย่างนั้นก็เลยคิดว่าท่านมีเจตนาอย่างนั้น เจตนาท่านเป็นอย่างที่แม่ชีคิดหรือเปล่า หรือว่าท่านมีเจตนาอย่าอื่น

    ขออีกตัวอย่างนะ
    หลวงพ่อปานไหว้ศพ
    ตานี้เอาตอน ต่อไป ตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนหลวงพ่อปานไหว้ศพ นี่ลูกหลานทั้งหลายน่ะ ก็เคยฟังมาแล้วนา เล่าให้ฟัง แต่ว่ามันเล่าแล้วก็หายไปนี่ คราวนี้มาเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อปานไหว้ศพ ประเพณีของหลวงพ่อปาน แต่ความจริงท่านไม่ได้ทำเป็นประเพณี ท่านทำด้วยจิตเลื่อมใส คำว่าประเพณีกับคำว่าเลื่อมใสมันไม่เหมือนกันนะ ลูกหลานฟังให้ดีนะ ตานี้ว่ากันถึงการไหว้ศพ ไม่ว่าศพอะไรทั้งหมด จะเป็นศพเด็กศพผู้ใหญ่ ศพผู้หญิงศพผู้ชายก็ตาม เวลาเขานำมาที่วัดหลวงพ่อปานท่านก็คว้าธูปคว้าเทียน ถ้าเขามาตั้งเรียบร้อยแล้ว หยิบธูปหยิบเทียน ห่มจีวรคลุมผ้าสังฆาฏิว่ากันเต็มยศแล้วท่านก็ไปไหว้ศพ พวกพระทั้งหมดสมัยนั้นนะ พระสมัยนั้นกับพระสมัยนี้ไม่ค่อยเหมือนกัน ฉันดูพระสมัยนี้มันตื้อๆ เหมือนเรือเกลือยังไงไม่รู้ พระผู้หลักผู้ใหญ่พระหัวหน้าจะทำอะไรไม่ค่อยดู บางทีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่พระวัดไหนเขาดีบ้างฉันก็ไม่ทราบ เดี๋ยวนี้มันเห็นครูบาอาจารย์เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ เห็นคนแก่คนเฒ่า พระเก่าพระแก่ทำก็เฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ว่าระบบของที่นั่นเขาคอยดูกัน มีพระคอยจ้องหน้าคอยจ้องดู ก็มีพวกฉันแหละ ไอ้ลิง ๓ ตัวนี่ ไอ้ลิงดำ ไอ้ลิงขาว ไอ้ลิงเล็ก เพราะเป็นลิงหน้าพลับพลาประจำคอยสังเกตหลวงพ่อปาน ว่าหลวงพ่อปานจะขยับเขยื้อนอะไรก็ให้จังหวะแก่เพื่อน บรรดาเพื่อนพระทั้งหลายก็พร้อมพรึ่บพรั่บทันที นี่เขาเตรียมกันไว้ยังงี้นา เขาไม่ได้คอยให้ครูบาอาจารย์มาตะโกนโวยๆ พระสมัยนิวเคลียร์นี่ไม่เป็นเรื่อง เป็นเหยื่อลุงพุฒิหมด ไม่หมดก็เหลือน้อยเต็มที หรือว่าไงลุง ฮึ แกบอกว่าบวชน้อยๆ น่ะ บวชทันสมัยน่ะทุกรายแหละ บวชแบบทันสมัยนี่ทุกราย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควาย บวชกินเลี้ยงทุกราย ถ้าไม่ทำความดีรีบหนีละก็เสร็จ ลงอเวจีเป็นแถว ฟังให้ดี เวลาพระพุทธเจ้าท่านบวช ท่านไม่ได้มีแห่นะ เวลาที่ใครไปบวชกับท่านก็ไม่มีพิธีรีตองมาก ท่านเรียกเอหิภิกขุอุปสัมปทา ว่าเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เท่านี้แหละ เอหิภิกขุนะ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เท่านี้ ต่อมาให้ถึงติสรณาคม ก็ให้ว่าพุทธัง ธัมมัง สังฆัง ก็เป็นอันบวช ต่อมาให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้มีพระคู่สวด พระอันดับ ก็ไม่มีแห่อะไร ไม่ต้องทำพิธีมาก ที่ทำกันมากน่ะนอกเรื่องนอกราว ไม่เกี่ยวกับพระศาสนา ทำเลี้ยงต้องเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้ง ฆ่าเป็ดฆ่าไก่ บาปมันมากกว่าบุญจะไปสวรรค์กันได้ยังไง พวกแบบนี้เขาเรียกว่าลงทุนซื้อนรก เวลาบวชเข้าไปแล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติหรอกนะ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขาไม่เอา ไปคุยกันถึงเรื่องสาวบ้านนี้ จะทำงานบ้านโน้น จะหาลาภอย่างนี้ จะร่ำรวยอย่างนั้น อยากจะได้ยศแบบนี้ ยศขั้นนั้นหมดไป นรกหมดไม่มีเหลือ บวชแล้วไม่ได้เป็นพระหรอก เป็นพระแต่หัวกับผ้าเหลือง ใจไม่ได้เป็นพระ พระที่เขาบวชต้องถือ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา หรือว่าคำขอบรรพชาแบบธรรมยุตขึ้นต้นก็ขอพระนิพพานเลย เป็นอันว่า จิตเราจะบวชเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว บวชเข้าไปแล้วก็เริ่มปลดอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นฆราวาสทั้งหมดเริ่มปลดลงไป ปลดมันขาดไม่ได้ก็ยับยั้งไว้ชั่วขณะก็ยังดี อย่างนี้เรียกว่าบวชเล็ก ถ้าปลดได้เลยเป็นบวชใหญ่ ถ้าบวชสะสมทรัพย์ บวชปรารถนายศฐาบรรดาศักดิ์ เสร็จแล้วก็เมายศด้วย ลุงพุฒิว่าไง แกบอกว่าตอบแล้วนี่ เมื่อวาน เสร็จทุกราย ที่ใครได้ยศแล้วไม่เมายศ มีลาภแล้วไม่เมาลาภยังดี ได้ยศแล้วเอายศวางเสีย เวลาใช้ค่อยใช้กัน ไม่ถึงเวลาใช้ก็วางเก็บไว้ก่อน มีลาภสักการก็ทำเป็นสาธารณประโยชน์ แล้วก็เลี้ยงตัวพอสมควร เหลือก็เอาไปทำในส่วนที่เป็นสาธารณประโยชน์ ในเมื่อมีศพทุกศพ หลวงพ่อปานท่านถือดอกไม้ธูปเทียน พาดสังฆาฏิ ทำกันเต็มยศ ท่านไม่ชวนใคร ไม่ตีระฆัง ท่านก็ลงไปศาลาไหว้ศพ พระทั้งหมดพอศพมาก็ต้องเตรียมผ้าสังฆาฏิเหมือนกัน ไม่ต้องบอกกัน เห็นหลวงพ่อปานลุกจากหน้ากุฏิ กุฏิท่านอยู่ลึกเข้าไป ศาลาอยู่อีกด้านหนึ่ง มายืนจุกกันอยู่ทางปากทางหมด พอหลวงพ่อปานเดินออกหน้า ต่างคนต่างเดินเรียงกันตามลำดับอาวุโส ไม่ใช่ตามลำดับยศ ไอ้ยศน่ะพระศาสนาเขาไม่ใช้หรอก ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า ในศาสนานี้ถืออาวุโสเป็นสำคัญ ยศไม่เกี่ยว เป็นเรื่องข้างนอก ยศเป็นโลกธรรม ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงยกย่อง ไม่ใช้ ผิด เมื่อเดินกันตามลำดับอาวุโสไปถึงหน้าศพ หลวงพ่อปานก็จุดธูปเทียน พวกพระก็จุดบ้าง หลวงพ่อปานกราบ พระก็กราบบ้าง กราบแล้วท่านนั่งเฉย ประเดี๋ยวพระก็นั่งบ้าง เวลาท่านลุกกลับก็กลับบ้าง คนอื่นเขานึกยังไงฉันไม่รู้ สำหรับตัวฉันไม่รู้หรอก เห็นท่านกราบก็กราบ เห็นท่านนั่งก็นั่ง เห็นท่านกลับก็กลับ อย่างนี้เรียกว่าขี้ตามช้าง กราบแบบนี้ประมาณ ๑๐ ศพ คราวหนึ่งยายฟูแกตาย ยายฟูนี่นะเป็นคนที่มาทำงานวัดทุกวัน มาดายหญ้าบ้าง ถูกุฏิบ้าง อะไรบ้าง ตอนเย็นแกก็กลับ รู้สึกว่าตอนแก่นี้แกไม่เอางานบ้านเลย แกสนใจอยู่กับวัด เป็นคนรับใช้หลวงพ่อปาน ทำอาหารการบริโภค ทำครัว ถูกุฏิ กวาดวัด มีเรื่องตักน้ำตักท่าจิปาถะ ยายฟูนี่เอาทุกอย่าง แต่ว่าฉันเห็นว่าแกแก่แล้ว ฉันก็ไปช่วยแก ถ้าเวลาแกตักน้ำฉันก็คว้าหาบไปช่วยแก บอกแกว่าน้าฟูไม่ต้องทำ น้าฟูแก่แล้ว ทำตรงนี้ ทำตรงเบาๆ ตรงหนักๆ นี่ฉันทำแทน สงสารแก ตอนนั้นเห็นแกมีน้ำใจดี แล้วหลวงพ่อปานก็เรียกยายฟู ว่า อีฟู จะธุระอะไรก็อีฟูเอ๊ย ฟูเอ๊ย มาหาหลวงน้าหน่อยวะ นี่ท่านเรียกอีฟู แต่ฉันเรียกน้าฟู พอยายฟูตาย เขานำศพยายฟูจากบ้านมาขึ้นศาลา หลวงพ่อปานก็พาดสังฆาฏิอีกแล้ว ไม่ต้องห่วงละ กี่ร้อยศพก็ทำแบบนี้ แบบนั้นตอนที่ฉันเป็นหัวหน้าพระ ฉันก็ทำตามท่านเสมอ แต่ตอนนี้ขึ้นมาสายเหนือนี่ ทำไม่ได้หรอก ไม่เห็นเขาเอาท่าเอาทางกันนี่ เขาไม่เอาไหนกันเลยนะ เขาเอาอย่างเดียว บังสุกุลมาติกาหาสตางค์กินเท่านั้น ส่วนสาธารณประโยชน์เขาก็ไม่ค่อยทำกัน พระสายเหนือนี้เขามีอุเบกขาบารมีดีมาก ไม่เอาไหนหรอก เรื่องธัมมะธัมโมนี่รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยสนใจกัน ไม่ค่อยตรงกับพระไตรปิฎก ไปๆ มาๆ เขาบอกว่าทำเป็นประเพณีไป ก็ดีเหมือนกันนะลุงนะ เสร็จ ลุงพุฒิบอกแบบนี้เสร็จ จดแหง ไม่ได้จดหรอก มันขึ้นเอง ลุงพุฒินั่งยิ้ม วันนี้มานั่งพูดตรงนี้นะ หลวงพ่อท่านยิ้มใหญ่ บอก เออ พูดไป พูดไป ท่านว่ายังงั้น ตรงนี้ดีว่ะ ท่านว่ายังงั้น ตอนฉันอยู่น่ะท่านก็พูดยังงี้เหมือนกัน ไอ้ลิงดำเอ๊ยอย่างนี้ดีว่ะ อย่างนี้ไม่ค่อยดีนะ ไอ้ลิงดำเอ็งอย่าทำยังงี้นา อย่างนั้นเอ็งอย่าทำนะ ฮื่อ แล้วท่านว่าไง แกขโมยอะไรข้าบ้าง แกก็บอกเขาด้วยนะ แน่ะมาซ้อมไว้ นี่มาสั่งไว้เดี๋ยวนี้เอง แกขโมยอะไรข้าบ้าง แกบอกให้ชาวบ้านเขาฟังไว้นะ แกอย่าไปปกปิดเขานา แล้วก็ยิ้มหัวเราะชอบใจ หลวงพ่อท่านใจดี ปกติท่านใจดีเสมอ ท่านสงเคราะห์ฉันอยู่เสมอ แต่ฉันก็เป็นลูกศิษย์หัวรั้นไม่ใช่เล่นเหมือนกัน แบบฉันนี่อย่าตามมันนักนา ถ้าจะตามก็ตามแบบดี แบบเลวอย่าตามนะ มันไม่เกิดประโยชน์ ต่อไปพอศพยายฟูมาก็ไปกันตามเดิม ไม่ต้องพูดถึงเข้าแถวหรอกรำคาญหู หลวงพ่อปานท่านก็กราบ กราบแล้วท่านก็นั่งเฉยๆ นั่งตามแบบฉบับซี ตอนนั่งท่านนั่งปลง แต่ฉันไม่ได้ปลงหรอก ฉันไม่รู้นี่ ท่านนั่งฉันก็นั่งมั่งซิ ท่านหลับตา ฉันก็ทำตายิบๆๆๆ กลัวท่านจะลุกมาแล้วฉันไม่รู้ หลับเป็นตากระต่าย พอท่านนั่งเสร็จแล้ว ท่านลืมตาขึ้นมา ฉันหรี่ตาไว้นี่ ทำไมฉันจะไม่รู้ท่านลืมตา ฉันเลยถามว่า หลวงพ่อขอรับ ก็ยายฟูน่ะเวลามีชีวิตอยู่หลวงพ่อเรียกอีฟู แล้วเวลายายฟูตาย หลวงพ่อมากราบทำไมขอรับ ท่านหันมามองแล้วก็ยิ้ม ยิ้มแล้วก็มองพระทุกองค์คล้ายๆ กับท่านจะถามในใจของท่านว่า พระทุกองค์น่ะคิดเหมือนไอ้ลิงดำหรือเปล่า ท่านก็บอกว่า ไอ้ลิงดำ ที่มาไหว้ศพน่ะเขามาไหว้สัจธรรมของพระพุทธเจ้านะ คำว่าสัจธรรมน่ะเป็นแบบนี้ คือว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าร่างกายของคนน่ะ อย่าพูดเลยว่าขันธ์ ๕ มันยุ่งเปล่าๆ ขันธ์ห้าขันธ์เห้ออะไรนี่ยุ่ง มันฟังยาก ขันธ์น่ะแปลว่ากอง ไม่ใช่ภาษาไทยเสียอีก เอาร่างกายก็แล้วกัน ร่างกายของคนและสัตว์นี่น่ะมันเป็นอนิจจัง มีสภาพไม่เที่ยง เวลาอยู่ก็เป็นทุกข์ ทุกขัง แต่ในที่สุดก็เป็นอนัตตาคือตาย ใครบังคับบัญชาไม่ได้ เวลาที่เรามาไหว้กันนี่เขาไหว้พระสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า เวลากราบลงไปเขากราบพระพุทธเจ้ากันนะทีแรก กราบพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าเทศน์นี่นะถูก ทรงเทศน์ไว้ตรง ข้าพระพุทธเจ้าขอยอมรับนับถือ ขอเอาธรรมข้อนี้หรือคำสอนตอนนี้ไปคิดเป็นประจำใจ จะได้เป็นคนไม่ประมาท ตกอยู่ในคุณธรรมชั้นสูง เป็นมรณานุสสติกรรมฐาน แล้วก็กราบลงไปครั้งที่ ๒ ก็นึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนที่พระองค์ทรงหลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์ เหมือนดอกมะลิแก้ว เพราะแพรวพราวไปด้วยความจริง แพรวพราวไปด้วยคำประเสริฐ นี่พระธรรมที่หลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เป็นของจริงเป็นของประเสริฐ ทำบุคคลทั้งหลายไม่ให้เมามัน ให้เข้าถึงความสุข กราบครั้งที่ ๓ ก็กราบพระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ทั้งหลายที่ท่านอุตส่าห์ร้อยกรองพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรง สั่งสอนไว้แล้ว ไม่ปล่อยให้อันตรธานสูญไป รวบรวมเข้าไว้ นี่กราบความดีของพระ ๓ พระนา เขาไม่ได้กราบผีกราบศพ แกจะเห็นว่าคนที่ตายแล้วฉันมากราบ แม้แต่เด็กฉันก็กราบ นี่ความจริงฉันไม่ได้กราบเด็ก ไม่ได้กราบคนตาย ฉันกราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ และเอาคนตายนี่เป็นครูฉัน ว่าเขาเกิดมาแล้วตาย จริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัส แล้วท่านก็หันมาถามว่า เออ เจ้าลิงดำ แล้วเอ็งกราบอะไร ก็เลยกราบเรียนท่านว่า ที่ผมกราบไม่ใช่กราบอะไรหรอกครับหลวงพ่อ ผมก็กราบผี ท่านก็เลยถามว่านี่ล่อมากี่ผีแล้วพ่อคุณ บอกว่าสิบกว่าผีแล้วขอรับ ท่านว่าแล้วกันไอ้ลิงดำ กราบผีเข้าให้แล้ว ดีเหมือนกัน ไอ้คนอย่างแกมันก็โง่น้อย ไม่ใช่โง่มาก หมายความว่าโง่แล้วพอพูดแล้วมันก็เกิดความฉลาด โง่แล้วยังดีกว่าไอ้คนโง่แล้วไม่พูดไม่ถาม พูดแล้วก็ยิ้มๆ มองกวาดไปทางพระองค์อื่น บอกว่า ไอ้ที่โง่แล้วไม่ถามมันอาจจะมีเยอะนา ในกลุ่มที่นั่งนี่น่ะ บวชก่อนพวกแกตั้ง ๑๐ พรรษา ๒๐ พรรษาก็มี เข้าใจกันหรือเปล่า ฉันทำให้ดูไม่เข้าใจก็ถามซิ ถ้าไม่ถามขี้ตามช้างมันก็ดีเหมือนกัน แต่ประโยชน์น้อย เอาเถอะก็ดี ทีนี้ท่านก็เลยบอกว่าการกราบศพเขากราบคุณพระรัตนตรัย กราบสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า ทีนี้เวลาเผาศพก็เหมือนกันนะ อย่าตั้งหน้าตั้งตาเผาเขา เวลาเราไปเผาศพก็เผากิเลสในใจของเราเสียด้วย กิเลสส่วนใดที่มันสิงอยู่ที่เรา คิดว่าเราจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายน่ะ เผามันเสียให้หมดไป เราคิดว่าวันนี้เราเผาเขา ไม่ช้าเขาก็เผาเรา คนเกิดมาแล้วมาตายอย่างนี้เราจะเกิดมันทำไม ต่อไปข้างหน้าเราไม่เกิดดีกว่า เราไปพระนิพานนั่นละดีที่สุด เรื่องอัตภาพร่างกายสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่มีอะไรเป็นความหมาย ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ตายแล้วหาสาระหาแก่นสารไม่ได้ หาประโยชน์ไม่ได้ นี่ท่านสอนอย่างนี้ก็จำไว้นะลูกหลาน เผาผีก็มุ่งไปนิพพาน ไปกราบศพไปเคารพศพก็ไปนิพพาน อย่าทำกันเป็นประเพณีนะ ประเพณีที่เขาจัดทำทำไปเถอะ แต่ใจอย่าเป็นประเพณี ไหนๆก็ลงทุนเสียเวลาไปในงานศพแล้ว เอากำไรกลับมานะ เอากำไรกลับมา คิดว่าเราต้องตายอย่างเขา เมื่อเขาอยู่ก็มีทุกข์อย่างเรา เราเกิดอย่างเขาเราก็แก่อย่างเขา เราป่วยไข้ไม่สบายอย่างเขา เราจะต้องตายอย่างเขา ถ้าหากว่าเราจะต้องตายอย่างนี้ จะต้องป่วยอย่างนี้ ต้องลำบากอย่างนี้ ต้องมีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เราจะเกิดมันทำเกลืออะไรอีก เกิดเป็นเกลือยังดีมันรักษาความเค็มของมันได้ ไอ้เกิดมีร่างกายนี่รักษาไว้ไม่ได้ระยำกว่าเกลือตั้งเยอะ เอ้า เรื่องยายฟูนี่ผ่านไปนะ ฉันมานึกดูเสียก่อน



    ด้วยความปรารถนาดี อาตมาก็ขอรบกวนให้แม่ชีช่วยสอนเฉพาะที่เป็นพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า และแนวทางที่ถูกต้องตามพระธรรมก็พอแล้ว เพราะเรื่องพระวินัย เป็นเรื่องของพระ คุณแม่ชี ก็รักษา กาย วาจา ใจ และปฏิบัติศีล 8 ให้สมบูรณ์ก็พอแล้ว จะได้ไม่เป็นอกุศลกรรมติดตัวไป โดยส่วนตัวแล้วไม่มีอคติกับโยมนะ แต่ว่าต้องการให้เป็นไปตามครรลองพระพุทธศาสนา แม้กระทั่งครูบาอาจารย์ท่านเห็นพระภิกษุท่านบวชชั่วคราว แต่ยังไม่ละทิ้งนิสัยฆราวาส ท่านยังเตือนว่า "พวกท่านมาบวชอยู่เพียงชั่วคราว จะมาคิดว่าไม่ต้องทำไม่ต้องปฏิบัติตนเหมือนพระนั้นไม่ถูก เพราะถึงพวกท่านไปแล้ว แต่พระรูปอื่นท่านยังอยู่ ฉะนั้นจะเอาความคิดของตนเป็นใหญ่นั้นไม่ได้" จริงอยู่ว่า แม่ชี อาจกล่าวด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ ในเมื่อกล่าวไปแล้ว พูดไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันก็ทำให้กระเทือนกับวงการพระศาสนานะ เพราะบางท่านเขาไม่รู้ เขามาอ่านบทความของแม่ชี เขาก็คิดว่าเออ นี่ใช่ จริง ทำได้ แล้วเขาก็เอาไปพูดต่อ บอกต่อ สานต่อ ซึ่งแม่ชีอาจเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่มันไม่เล็กนะสำหรับความเสื่อมสลายของพระศาสนา หากเรารักพระพุทธศาสนาจริง ก็ช่วยกันรักษานะ อย่าทำลาย เราทั้งหลายอย่าทำตัวเองเป็นกาฝาก ที่อาศัยพระศาสนาอยู่ แต่ทำลายพระศาสนา เหมือนกาฝากทำลายต้นไม้ฉันนั้น

    เจริญพร


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  18. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ธรรมสวัสดีค่ะ...

    แหม...ไปกันใหญ่โตแล้ว แม่ชีไม่ได้มาแก้ตัวหรือแก้ต่าง แต่อยากจะขอให้ผู้อ่านทุกท่าน อ่านด้วยใจเป็นกลางก่อนและก็อ่านทำความเข้าใจให้หมดก่อนน่าจะดีกว่านะคะ


    ส่วนเรื่องการกราบนั้นหากดูเผินๆภายนอกก็รู้ว่าก้มกราบ คือใช้มือกราบ
    แต่ในทางธรรมนั้นท่านหมายเอาจิตนอบน้อมก้มกราบบุูชาไม่ใช่หรือคะ

    นี่แหละที่พระพุทธองค์ไม่ทรงให้แสดงธรรมกับผู้ที่ถืออาวุธในมือ คำว่า อาวุธ ก็คือ ทิฐิ นั่นเอง

    ต้องขอบอกว่า แม่ชียังยึดมั่นในความดีงามและจะเดินรอยตามคำสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดไปรวมทั้งยังทำหน้าที่พุทธศาสนิกอยู่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วย

    ที่สำคัญ แม่ชีไม่เคยดูถูกคำพูดหรือความคิดเห็นของผู้อื่นเลย ชอบฟังและชอบดูจะได้รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีความคิดเป็นอย่างไร ไม่ต้องมาชมกันหรอกค่ะ แต่ถ้าจะด่าก็ด่าไป ก็เท่านั้นเองล่ะค่ะ

    มัวคิดมากกันอยู่ทำไม เดี๋ยวก็ตาย ทำอะไรที่ดีๆฝากไว้ในโลกาดีกว่าค่ะ
    เขียนอย่างนี้จะคิดเป็นอย่างอื่นกันอีกหรือเปล่านะ

    บุญรักษา/ธรรมสวัสดีค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2010
  19. TIGERs

    TIGERs Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +28
    สวัสดีครับแม่ชี

    ไม่ได้เข้ามากระทู้นี้เสียนาน กลับมาอีกทีแม่ชีโดนยำอีกแล้ว
    ต้องขอบอกว่าบ้านผมอยู่ติดวัด เห็นและพูดคุยกับพระมามาก เวลาที่แม่ชีไปหาพระกราบพระก็เห็นพระเจ้าอาวาสยกมือรับตอบ (มือเดียวนะ)

    และที่อ่านการตอบของแม่ชีผมก็อ่านอย่างละเอียด
    ได้ใจความว่า การเคารพผู้เป็นอาจารย์นั้นทำได้จะด้วยการร้องทักทายหรือนอบน้อมในใจก็ได้

    ไม่เห็นแม่ชีบอกให้พระก้มกราบฆราวาสตรงไหนเลย
    ผมว่าอ่านข้อความให้หมดกันก่อนดีกว่า ไม่ใช่อ่านแค่หัวข้อความแล้วตีความหมายไปคนละเรื่อง ไม่มีเรื่องมันจึงเป็นเรื่องนั่นเอง

    พระพุทธองค์ทรงสอนให้คนเราชำระจิตใจของตนให้ผ่องใส ละสังโยชน์ 10 ได้ ผู้ปฏิบัติย่อมมีจิตเบิกบานแจ่มใส มีภาวะทางจิตใจและอารมณ์เท่ากับ อริยะเบื้องต้น คือ พระโสดาบัน ไปจนถึงพระอรหันต์

    แต่ถ้ายังติดอยู่ในศีลและหลงศีลคุณไม่ผ่านสังโยชน์ 10
    ข้อของสีลัพพตปรามาส

    พระโสดาบันเบื้องต้นต้องสลัดสังโยชน์ได้ 3 ข้อแรก คือ
    สักกายทิฐิ - ความมีตัวตน ยึดมั่นในตนว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกง่ายว่า เจ้ายศเจ้าอย่าง
    วิจิกิจฉา - ความลังเลสงสัยในสิ่งที่ทำอยู่นั้นว่าดีจริงหรือไม่ หรือปักใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่ดีกว่าใคร ทำให้เกิดตัวหลง
    สีลัพพตปรามาส - ผู้ที่ติดประเพณี คือทำตามๆโดยไม่ไต่ถามว่าอะไรเป็นอะไร ทำมาก็ทำไปและติดใจในสิ่งที่ทำอยู่นั้น

    3ข้อนี้ถ้าทำได้คุณก็เป็น พระโสดาบันแล้ว พูดง่ายเขียนง่าย แต่ว่าทำยาก
    ผมกำลังทำอยู่เหมือนกันครับผม

    สวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2010
  20. พอชูเดช

    พอชูเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,285
    ค่าพลัง:
    +4,339
    -ปกติเป็นธรรมเนียมของพระภิกษุ ที่จะต้องรับการกราบจากภิกษุที่มากราบ

    -ในกรณีนี้ ไม่ทราบว่า ท่านเจ้าอาวาส รู้จักหลวงตาหรือไม่ครับ ถ้ารู้จักก็น่าจะเคารพตามอาวุโส ครับ

    สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...