น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ที่เรียกว่า จิต กับ ใจ ก็อันเดียวกันนั่นแหละ
    ในการปฏิบัติธรรมนั้นสำคัญที่ใจ เพราะเรามีใจเป็นประธาน
    ที่เราตัดกิเลสๆ ก็ตัดมันออกจากใจนี่แหละ
    ถึงความเป็นอรหันต์เมื่อไหร่ ใจ ดวงนี้ก็หมดจดจากกิเลสในทันใด
    คนล่ะส่วนกับคำว่าวิญญาณ(กลับไปอ่านข้อความเรื่องวิญญาณใหม่)

    คนเรามองเห็นการเกิดการตายได้เป็นเรื่องธรรมดา
    แต่ยากนักที่จะมีใครในโลกมองเห็นการเกิดดับของจิต
    ก็จิตเกิดดับตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องเป็นสันตติ
    เปรียบกับดวงไฟ เราต่างก็เห็นว่าไฟนั้นติดตลอดเวลา

    พระพุทธองค์ไม่เคยกล่าวว่า จิต นี้เป็นรูปธรรม หรือ จิต นี้เป็นธรรมชาติ อันมีรูปปรากฏ ดังนั้น จิตหาใช่สมองไม่ สมองทำหน้าที่รับรู้ เป็น วิญญาณ หนึ่งในขันธ์ 5 หนึ่งในกายนี้, ตา เป็นอวัยวะรับภาพ มีจักษุประสาท มีจักษุวิญญาณ , แต่พระพุทธองค์ ไม่เคยกล่าวว่า จิต เป็นวัตถุ ใดๆ ดังมีพุทธวจนะว่า คนเราประกอบด้วยรูปธรรม นามธรรม หาได้กล่าวว่าคนเรามีแต่รูปธรรมไม่ ก็จิต ดวงนั้นแหละ ยึดเอารูปธรรมทั้งหลายว่าเป็นเราเป็นตัวเรา เป็นภพเป็นชาติ เมื่อกายแตกดับ จิตไม่สามารถทรงอยู่ในกายเช่นนี้ได้ ก็เที่ยวแสวงหากายใหม่อยู่เรื่อยไป ตามอำนาจแห่งกิเลส และเป็นไปตามกฏแห่งกรรม ไม่สามารถหาต้นสายปลายเหตุแห่งการเกิดการตายได้

    ก็ในเมื่อการเกิดการตาย ล้วนนำมาแต่ความทุกข์ อันเนื่องมาจากความไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีความโสกเศร้า รำพัน คร่ำครวญ เจ็บปวด ทรมาน เห็นปานนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตายกายดับไปแล้ว จิตดวงนี้เข้าสู่ภพแห่งสัตว์นรก ด้วยแรงกรรมอันบุคคลได้ทำไว้ เมื่อนั้นความทุกข์ก็ถาโถมเข้าใส่อย่างหาประมาณมิได้ ก็โทษแห่งความเกิดความตายมีมากมายเห็นปานนี้ ท่านจะให้มนุษย์โลกเราทั้งหลาย เฝ้ารอชาติหน้าอยู่ทำไม ในเมื่อชาตินี้ก็มีมือมีเท้า มีสติปัญญากันทุกคน เราก็ควรทำความดีให้ถึงพร้อม ทำใจให้สะอาดเสียในชาตินี้ อย่าได้ประมาทว่าชาติหน้ายังมี ไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ ค่อยทำนั้นมันวิสัยแห่งคนโง่ คนที่คิดเช่นนี้ชาติหน้ามักไม่ได้ไปสู่สุคติภพ มักจะไปสู่ทุคติภพ ดังนั้นพระพุทธองค์ผู้ทรงสวัสดิ์ จึงกล่าวตรัสว่า สังขารทั้งหลายเป็นขยะ ไม่เที่ยง เป็นทุก ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา อย่าได้ยึดติดกำมันเลย จงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ทำกิจที่ควรทำ คือทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ซะในเดี๋ยวนี้ (เพราะวันพรุ่งนี้อาจไม่มีแล้วสำหรับเรา เราจะตายเมื่อไหร่ไม่มีนิมิตหมาย อย่าคิดว่าตนจะเป็นคนที่ไม่ตาย ความตายนั้นมาถึงเราได้ทุกเมื่อ)

    เมื่อบรุษผู้มีศีลเป็นปกติ ยังสมาธิให้บังเกิด ข่มไว้แล้วซึ่งกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย จิตดวงนี้มีอำนาจ มีประภาส มีอานิสงฆ์ ย่อมยังอาทิสมานกายให้บริบูรณ์ มีอายตนะทั้ง 6 ในอาทิสมานกาย ฯ ย่อมสามารถไปสู่ดินแดนต่างๆ ได้ด้วยอาทิสมานกายนั้น เรียกว่าอภิญญาวิธี ดังที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกนั้นเอง

    อย่าเข้าใจผิดว่า คิดว่าสมองเป็นจิต,
    อย่าเข้าใจผิดว่า คำว่าจิตกับวิญญาณเป็นสิ่งเดียวกัน,
    อย่าเข้าใจผิดว่า ตายแล้วสูญ,
    อย่าเข้าใจผิดว่า นิพพานไม่เที่ยง,
    อย่าเข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด,
    อย่าเข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่องกฏแห่งกรรม,
    อย่าเข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่องอภิญญาวิธี,

    ดังนั้น ขอทุกท่านปฏิบัติเอาตามในพระไตรปิฎก อันเป็นศาสดาเอกของเราด้วยความตั้งใจจริง จะสำเร็จผลทราบตามความเป็นจริงทุกประการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2006
  2. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    วันนี้มีความสุขดีได้สนทนาธรรมกับท่านยาย
    ให้พระโพธิสัตว์ท่านหนึ่ง วัดภูมิธรรมของเราเล่นๆ
    เมื่อเขาปรารถนาจะดูภูมิธรรมเช่นนั้น ก็ให้เขาให้เห็นเถิด
    ...........................................................................


    หนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นตรงกับท่านยาย จิตนี้ไม่ใช่สมอง จึงได้เขียนว่าเป็น
    "กระบวนการทำงานของสมอง" (ส่วนหนึ่งเท่านั้น)

    สอง "จิต" นี้ก็มีคำว่า "เจตสิก" อีก สองคำนี้ใช้ในความหมายที่แตก
    ต่างกัน ข้าพเจ้า เลยแยกคำว่า "ใจ" ออกมา เพื่อจะใช้หมายรวม ถึง
    "จิต" และ "เจตสิก" ดังนี้ ข้าพเจ้าเพียงใช้ สมมุติบัญญัติมาอธิบาย
    เรื่องราวของ "จิต", "เจตสิก" และ "ใจ" เท่านั้น เพื่อไม่ให้สับสนนั่นเอง

    สาม จิตกับวิญญาณ นี้คนละส่วนกัน ข้าพเจ้ามิได้เห็นขัดแย้งกับท่าน
    จึงได้กล่าวว่า "วิญญาณ" นี้เป็นส่วนลึกก้นบึ้งในใจ แทนที่จะพูดว่าเป็น
    ส่วนเดียวกับ "จิต" เช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงแยก "จิต" และ "ใจ" ออกจากกันเสีย
    เพื่อไม่ให้สาธุชนสับสน


    นิพพาน นี้ไม่เที่ยงดอกท่าน อย่าได้ยึดติดเลย แต่นิพพานนี้ ก็หลุดพ้นทุกข์
    ทั้งมวล ไม่เกิดใหม่อีก แต่ "อนิจจัง" เช่นกัน


    หาสิ่งใดเป็นเที่ยงได้เล่าท่าน?

    สาธุ....................................................................
     
  3. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    คุณพรเทพ

    คุณยังไม่เข้าใจคำว่า "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
    สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ควรยึดถือเอาว่าเป็นตัวเป็นตน

    "รูปัง อนิจจัง, เวทนา อนิจจา, สัญญา อนิจจา, สังขารา อนิจจา, วิญญาณัง อนิจจัง, รูปัง อนัตตา, เวทนา อนัตตา, สัญญา อนัตตา, สังขารา อนัตตา, วิญญาณัง อนัตตา, สัพเพ สังขารา อนิจจา - สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ"

    สัพเพ สังขารา อนิจจา - สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ
    สังขารใดใด นั้นไม่เที่ยง - ธรรมชาตินั้นๆ ย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

    - อย่าเหมารวมว่า ธัมมา นั้นหมายถึง สิ่งทั้งปวง รวมถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า รวมถึงนิพพาน ว่าไม่เที่ยง ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ว่าสูญ

    - สวาขาตธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวแล้ว จริงแท้แน่นอนทีเดียว เป็น 1 ไม่มี 2 ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมะแท้ๆ พิสูจน์ได้ทุกเมื่อ ธรรมนี้ไม่ได้สูญไปไหนไปจากโลก ธรรมนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นโดยพระพุทธเจ้า ธรรมนี้เป็นของมีอยู่แล้ว อันพระองค์เป็นผู้คนพบ แล้วนำมาสั่งสอนเวนัยสัตว์ทั้งหลาย ส่วนพระวินัยนั้นบัญญัติเพื่อหมู่สงฆ์สาวกของพระองค์ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อมิให้ชาวบ้านติเตียน เพื่อขจัดเสียซึ่งมลทินในกาย วาจา ใจให้เบาบาง เป็นทางแห่งสมาธิ และปัญญา มรรค ผล แลนิพพาน

    - ธัมมา ในที่นี้หมายถึง ธรรมชาติใดที่ไม่เที่ยง ธรรมชาตินั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรยึดติด





    นิพพาน นี้เที่ยงแน่นอนเต็มประตู
    (verygood) ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2006
  4. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    เรียนท่านยายทองประสา
    ............................................................................


    ท่านกล่าวว่า "สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์"
    อันสิ่งต่างๆ นั้นไม่เที่ยงอยู่แล้ว ส่วนจะเป็นทุกขังหรือไม่
    ก็ขึ้นอยู่กับจิตนั้นจะยึดมั่นถือมั่น ออกแรงบีบเค้นฝืนธรรมชาติ
    หรือไม่ มิได้เหมารวมว่า สิ่งใดไม่เที่ยงจักต้องเป็นทุกข์


    จิตของผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ออกแรงบีบเค้นฝืนธรรมชาติ จึง
    ไม่ทุกข์ แม้นว่าสิ่งนั้น "จะไม่เที่ยง" เหตุนี้ จึงไม่สามารถกล่าว
    ได้ว่า "สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์"


    เพราะความไม่เที่ยงนี้เป็นลักษณะธรรมอยู่
    ส่วน "ทุกข์" นี้ มิใช่เกิดจากความไม่เที่ยง
    เป็นเหตุปัจจัย

    แต่ทุกข์นี้เกิดจากจิต ยึดมั่น บีบเค้น ฝืนธรรมชาติไว้
    จึงทุกข์ ความไม่เที่ยงก็เป็นธรรมชาติอย่างนั้น เป็นธรรม
    อย่างหนึ่ง แต่หาได้เป็นเหตุปัจจัยแห่งทุกข์ของทุกคนไม่

    หากบุคคลนั้นถบรรลุธรรมถึงอรหันต์ ไยจะทุกข์เพราะไม่เที่ยง?
    เพราะจิตนี้ไม่บีบเค้น ไม่ฝืนธรรมชาติ และยอมรับความไม่เที่ยง
    แห่งธรรมชาติ จึงหาได้ทุกข์อีกไม่

    ส่วนบุคคลที่แสวงหาความ "เที่ยง" โดยยึดเอาว่า พระนิพพาน
    นี้เที่ยงแท้ ไม่แปรเปลี่ยน จักได้ยึดมั่นไว้ได้มั่น นั้น ก็จักเชื่อว่า
    พระนิพพานนี้เที่ยง แล้วยึดเอานิพพานไว้

    แล้วกล่าวว่า "อันพระนิพพานนี้หนอ เป็นของเที่ยง ที่ตนจะยึดเอาไว้ได้
    เป็นของที่ไม่ทุกข์ เพราะมีความเที่ยง ส่วนของอื่นๆ มีความไม่เที่ยงเป็นเหตุ
    แห่งทุกข์ จึงไม่ยึดของอื่น จึงจักยึดพระนิพพาน เพราะแสวงหาความเที่ยง"


    ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่พ้นทุกข์ไปได้
    พิจารณาดูเอาเถิดท่านยายฯ



    สาธุ.......................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2006
  5. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    [​IMG]เชิญร่วมร้องเรียนเรื่องพุทธทาสสอนบิดเบือนพุทธดำรัสลบหลู่ดูถูกดูหมิ่นปรามาสพระพุทธเจ้า [​IMG]



    [​IMG]คำสอนของพุทธทาสเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ คือพระพุทธศาสนา[​IMG]

    [​IMG]กล่าวหาว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั้นเชื่อไม่ได้[​IMG]

    พุทธทาส:-พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น เชื่อไม่ได้

    หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์

    [​IMG]สอนสัตว์เดียรฉานให้เป็นพระอรหันต์หน้าตาเฉย[​IMG]

    พุทธทาส:-สำหรับสัตว์เดียรฉาน ก็คือสัตว์เดียรฉานที่ไม่มีความร้อน ความร้อนของสัตว์เดียรฉานก็คือความร้ายกาจที่เป็นอันตรายแก่มนุษย์ นี่เรียกว่าความร้อน ถ้าสัตว์เดียรฉานนั้นได้รับการฝึกดี จนเป็นสัตว์ที่ดีไม่มีอันตรายอีกต่อไป หมดพยศร้ายแล้ว เช่น ช้างป่า วัวป่า ที่เอามาฝึกจนหมดพยศร้ายแล้ว ก็เรียกว่ามัน นิพพาน

    นิพพานในชีวิตประจำวัน

    สัตว์ป่าจับมาจากในป่า เช่น ป่า ช้างป่า อะไรป่านี่ มันดุร้ายเหลือประมาณ อันตรายเหลือประมาณ; เขาเอามาเข้าคอกเข้าที่ บังคับฝึกหัดไปจนสัตว์เหล่านั้นเชื่องเหมือนกับแมว จนช้างป่านั้นเชื่องเหมือนกับแมว ทำอะไรก็ได้; อย่างนี้ก็เรียกว่า มันนิพพาน

    นิพพานสำหรับทุกคน

    [​IMG]คนโง่ยังสามารถบรรลุนิพพานได้โดยไม่รู้สึกตัว หุหุ[​IMG]

    พุทธทาส:-แม้คนโง่ไม่รู้จักพระนิพพานเอาเสียเลย เขาก็ยังลงไปกินไปอาบในสระแห่งนิพพานนั้นได้โดยไม่รู้สึกตัว ข้อนี้ก็เพราะว่า พระนิพพานเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในที่ทั่วไป เมื่อบุคคลไม่มีความร้อนใดๆ ก็หมายความว่า กำลังดื่มกินพระนิพพาน

    [​IMG]ทำลายพระอภิธรรม และพระสูตรต่างๆมากมาย[​IMG]

    พุทธทาส:-ให้โกยอภิธรรมทิ้งไปให้หมด อภิธรรมตามที่รู้กันนั่นแหละ อภิธรรมปิฏก อภิธัมมัตถสังคหะ อภิธรรมอะไรก็ตาม ที่ระบุไปยังอภิธรรมเฟ้อนี้โกยทิ้งไปเสียให้หมด

    บางสูตรก็ตัดออกไปหมดเลย บางสูตรก็ต้องตัดออกไปบางส่วน บางสูตรก็ตัดออกไปราว 40%

    [​IMG]ผู้คัดค้านพระอภิธรรมชื่อว่า ทำลายชินจักร[​IMG]

    "บุคคลเมื่อคัดค้านพระอภิธรรม ชื่อว่า ย่อมให้การประหารในชินจักรนี้ ย่อมคัดค้านพระสัพพัญญุตญาณ ย่อมหมิ่นเวสารัชชญาณของพระศาสดา ย่อมขัดแย้งบริษัทผู้ต้องการฟังย่อมผูกเครื่องกั้นอริยมรรค จักปรากฏในเภทกรวัตถุ ๑๘ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ควรแก่อุกเขปนิยกรรม นิยสกรรม ตัชชนียกรรม เพราะทำกรรมนั้น จึงควรส่งเธอไปว่า เจ้าจงไป จงเป็นคนกินเดนเลี้ยงชีพเถิด ดังนี้ "

    พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล มหามกุฏราชวิทยาลัย
    ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 75 อภิธรรมปิฎก หน้า 60-63 อรรถกถาธรรมสังคณี


    กรรมอันเนื่องมาจากการสอนบิดเบือนพระพุทธดำรัส สอนย่ำยีลบหลู่ดูถูดูหมิ่นปรามาสพระพุทธเจ้าอย่างร้ายแรงนี้ ตามหลักของกรรมแล้วย่อมมีโทษหนักถึงโลกันตนรก
     
  6. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    พูดอย่างหนึ่ง

    มาเป็นพุทธทาสกันเถิด

    พุทธทาส:-มีการเป็นทาสชนิดหนึ่ง เป็นทาสที่ไม่ต้องเลิก ยิ่งมีมาก ยิ่งดี ยิ่งเป็นทุกคน ด้วยแล้ว โลกยิ่งมีสันติภาพ ไร้วิกฤตกาล นั้นคือ การเป็น ทาส ของ พระพุทธองค์ เรียกว่า "พุทธทาส"
    พุทธทาส แปลว่า ผู้รับใช้พระพุทธองค์อย่างถวายชีวิต ในฐานะเป็นหนี้ ในพระมหากรุณาธิคุณด้วย เพราะความกตัญญูด้วย และเพราะ เห็น ประโยชน์แก่ เพื่อนมนุษย์ด้วย จึงสมัคร มอบกาย ถวายชีวิต หมดสิ้น ทุกประการ เพื่อรับใช้พระพุทธองค์ เพื่อกระทำ สิ่งที่เชื่อว่า เป็น พระพุทธประสงค์




    แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง


    พุทธทาส:-พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น เชื่อไม่ได้

    หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์

    กรรมอันเนื่องมาจากการสอนบิดเบือนพระพุทธดำรัส สอนย่ำยีลบหลู่ดูถูดูหมิ่นปรามาสพระพุทธเจ้าอย่างร้ายแรงนี้ ตามหลักของกรรมแล้วย่อมมีโทษหนักถึงโลกันตนรก
     
  7. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    เรียนท่าน บรรพต อ.
    ..........................................................................

    ขออนุโมทนาบุญ ที่เป็นห่วงพระพุทธศาสนาด้วยจิตอันบริสุทธิ์ อันการ
    สังคายนาพระธรรมนี้ จักต้องมีขึ้นแน่นอน แต่หลังจากมีพระอรหันต์เกิดขึ้น
    จำนวนมากพอแล้ว หาได้เกิดได้เพราะผู้ใดผู้หนึ่งเก่งกล้าสามารถคนเดียว
    ได้ไม่

    อันพระโพธิสัตว์ที่มาจุติสะสมบุญในชาตินี้มีมากมาย บ้างก็ทะนงตนว่า
    เก่ง มีอภิญญามาก เลยไม่มีความสามัคคี ไม่ยอมรวมตัวกันเสียที

    บ้างก็ขี้ขลาดตาขาว จะเอาแต่ลาภยศ เงินทอง ลืมกิจอันพึงกระทำที่
    ได้รับมอบหมายมาจากพระพุทธเจ้าสมณะโคดม มัวแต่หาเงินหาทอง
    อยู่นั่น



    สักวันหนึ่งย่อมต้องมี "สังคายนา" แน่นอน

    สาธุ....................................................................
     
  8. noone

    noone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +392
    เฮ้อ ความไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยินเป็นเหมือนอีกประเทศหนึ่ง ได้ยินเค้าว่ามา ไม่รู้วิธีไป ก็สรุปว่าไม่มี
     
  9. Mr Kebab

    Mr Kebab Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +28
    กราบเรียนหลวงพี่ เตชปัญโญ และผู้อ่านทุก ๆ ท่านครับ

    กระผมเป็นผู้หนึ่งที่ได้อ่านข้อความในเวปพลังจิตผมไม่ต้องการจะเขียนอะไรให้ยาวมากครับเพราะไม่มีเวลาเท่าไรแค่อ่านก็เหนื่อยแล้วครับ สรุปเป็นข้อ ๆ ดังนี้นะครับ
    <O:p</O:p</O:p
    ๑ ผมเข้าใจประเด็นของท่านอ.พุทธทาสและของหลวงพี่เองนะครับว่าเราสนใจในปัจจุบันเป็นพอครับ ไม่ต้องสนอะไร นรก สวรรค์ .....อะไรร้อยแปดและจากข้อความที่หลวงพี่ตอบมานั้น มีประโยชน์มาก ๆ ครับผมได้ศึกษางานของท่านอ.พุทธทาสมาพอสมควร ก็ชอบครับเพราะไม่งมงายดี
    <O:p</O:p</O:p
    ๒. ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่บอกว่าพระไตรปิฎกไม่ถูกต้องทั้งหมดนั้นผมก็เห็นด้วยครับ (อันนี้มีผู้รู้บอกมา ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ถ้าผู้ที่อ่านหมดแล้วพิจารณาได้ จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลง และการเติมแต่งอยู่หลายจุด และพิจารณาเหตุผลแล้ว คงจะจริง) แต่อย่างไรก็ตามจริงไม่จริงนั้นผมไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมาก เอาเฉพาะหลักปฏิบัติ ที่เห็นผลในปัจจุบัน เป็นพอครับ
    <O:p</O:p</O:p
    ๓. ผู้ที่เข้ามาในเวปพลังจิตนั้น ส่วนมากจะเป็นพวกที่มีจริตไปทางอภิญญากันทางเรื่องลึกลับกัน ศรัทธากันหนักมากเป็นธรรมดาที่เมื่อพูดจากกันด้วยหลักเหตุผลแล้วก็จะไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไรถึงอย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องอภินิหารเหล่านี้เพราะมันเป็นเรื่องที่ผมต้องพิสูจน์ไปเรื่อย ๆ แล้วเห็นเองเท่านั้น ผมถือว่าผมไม่ควรจะปฏิเสธสิ่งที่ผมยังปฏิบัติไม่ถึงก็เท่านั้นเองส่วนเรื่องที่ว่ามันเป็นอุปทานทั้งหมดนั้นผมก็ไม่เห็นด้วยเช่นกันหรือว่าเชื่องมงายหัวปักหัวปำ ผมก็ไม่เอา เพราะอย่างที่หลวงพี่บอกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร สำหรับผมหลัก ๆ แล้วก็แค่ละกิเลสให้ได้เท่านั้นเอง
    <O:p</O:p</O:p
    ๔. ผมพึ่งได้คุยกับพระท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นนักปฏิบัติและท่านได้แนะนำว่าให้อยู่เหนือ สิ่งที่มีสิ่งตรงข้ามทั้งปวง<O:p</O:p

    เช่น ขาวกับดำ สวยกับไม่สวย โชคดีกับไม่โชคดี ดีกับเลว ก็คือ รู้เหนือสิ่งทั้งปวง และเท่าที่ผมได้เรียนรู้มานั้นเมื่อยู่ในภาวะเหนือรูปกับนามได้แล้ว ก็ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลเช่นกัน ฉะนั้นตรงนี้นี่ผมคิดว่า ในเวปบอร์ดที่กำลังถกเถียงกันนั้น คงจะเถียงกันในคนละประเด็นหลวงพี่ก็ถูกอย่างในเรื่องของเหตุผลซึ่งอยู่ในขอบเขตของรูปและนามแต่ผมคิดว่า(ความคิดก็คือความคิดนะครับ ไม่ใช่ได้รู้) นอกเหนือขอบเขตแห่งรูปนามแล้วเรื่องปฏิหารเหล่านี้อาจจะมี และอธิบายไม่ได้ ซึ่งการปฏิบัติให้ถึงเท่านั้นจะพิสูจน์ได้ที่บอกนี้ไม่ได้เบี่ยงไปนะครับ แต่ต้องปฏิบัติเท่านั้นจริง ๆซึ่งผมก็อยู่ในระหว่างทางเท่านั้นสำหรับผู้อื่นแล้วนั้นก็คงเป็นปัจจัตตัง
    <O:p</O:p</O:p
    ๕. เท่าที่ผมเข้าใจ หลวงพี่จะเน้นว่า เมื่อเราไม่มีตัวตนแล้วอะไรจะไปเกิดใช่ใหมครับ โดยการพิจารณาขันธ์ ๕ ทั้งปวงแล้ว ไม่มีตัวตนตามที่ผมเข้าใจ จากหนังสือของ ดร.ราหุล (What the Buddha taught เขียนโดย Dr. Rahula ภาษาไทยของให้ติดต่อ พระเมธีวรยาน วัดราชโอรส เบอร์ 02 893 7979) และ Historical Buddha (H. W. Schumann) คือผมอ่านไว้นานแล้วนะครับ เลยคิดว่าสรุปง่าย ๆ ไปเลย เอาภาษาแบบง่าย ๆ ด้วยแล้วกันนะครับ เทียบเคียงกับคำสอนของมท่าน อ.โกเอนก้า และอาจารย์ท่านอื่น ๆ
    <O:p</O:p</O:p
    ขันธ์ห้าทั้งหมดนี่มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ในทุกขณะนี้เราเกิดดับ ๆ ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยถ้าพิจารณา Paticca-Samuppada หรือปฏิจจสมุทบาท (ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเพราะเขียนไทยไม่ถูกนะครับ ข้างล่างก็คงเขียนไม่ถูกเช่นกัน) แล้วนั้น
    <O:p</O:p</O:p
    ๑ อวิชชา ปัจจยา สังขารา<O:p</O:p
    ๒ สังขาร ปัจจยา วิญญาณ<O:p</O:p
    ๓ วิญญาณ ปัจจยานามรูป<O:p</O:p
    ๔ นามรูป ัจจยา สายายัตนะ<O:p</O:p
    ๕ สายายัตนะ ปัจจยาผัสสะ<O:p</O:p
    ๖ ผัสสะปัจจยาเวทนา<O:p</O:p
    ๗ เวทนาปัจจยาตัณหา<O:p</O:p
    ๘ ตัณหาปัจจยาอุปทาน<O:p</O:p
    ๙ อุปทานปัจจยา ภาวะ<O:p</O:p
    ๑๐ ภาวะปัจจยาชาติ<O:p</O:p
    ๑๑ ชาติปัจจยา ชารา มรณา ..........<O:p</O:p
    </O:p
    เรื่องนี้หลวงพี่คงชำนาญแล้วนะครับ ผมไม่สามารถอธิบายได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า การบอกเป็นอนัตตาแล้วหมายความว่าเราไม่มีตัวตนเลยนี่ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะนั้นจะหมายความว่าจะไม่มีอะไรไปเกิดใหม่เลย ซึ่งพูดนัยหนึ่ง ถูกต้องครับ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การจะบอกว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่นั้นเป็นตัวเรานั้นก็ไม่ถูก เพราะสิ่งที่เราบอกว่าเป็นตัวเราได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เช่น เราในอีกสิบนาทีต่อไปนี้ก็ไม่ใช่เราแล้ว แต่นั่นก็คือตัวเราอยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นผลของเราในปัจจุบันเช่นกัน และนี่ก็เป็นเราตัวใหม่แล้ว ในวินาทีนี้ที่อ่านจบข้อความนี้
    <O:p</O:p</O:p
    จริง ๆ แล้วนั้น เราไม่ต้องมาถกเถียงกันว่าอะไรไปเกิดในชาติต่อไปหรือไม่หรอก เพราะว่าแค่ในชาตินี้นั้น เราเกิดใหม่อยู่ทุกขณะ ทุกเสี้ยววินาทีด้วยแรงของตัณหาเป็นตัวผลักดัน ตามข้อ ๘ ถึง ๙ นั่นเอง
    <O:p</O:p</O:p
    การที่หลวงพี่บอกว่า เพราะไม่มีเรา จึงไม่มีอะไรไปเกิดใหม่ (ไม่ทราบว่าหลวงพี่บอกเช่นนี้หรือป่าวนั้น ถ้าผิดขออภัยโทษด้วยนะครับ) จึงกลายเป็นขั้วสุดอีกขั้วหนึ่งไปเลย คือ ตายแล้วสูญนั่นเอง แต่ตามความเข้าใจของผมแล้วนั้น สิ่งที่ไปเกิดใหม่นั้นมี แต่เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เป็นผลพวงของปัจจุบันขณะเท่านั้นเอง ซึ่งสามารถพูดได้ว่า เป็นทั้งตัวเราหรือไม่ใช่เป็นทั้งตัวเรานั่นเอง หรือทางภาษาวิทยาศาตร์ก็คือ <O:p</O:p
    </O:p
    ชีวิตใหม่ในเสี้ยววินาทีถัดไป = ฟังค์ชั่น ของ ชีวิตในเสี้ยววินาทีนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หรือคล้าย ๆ กับว่า ชีวิตใหม่ของเรา คือ ผลของเราในขณะนี่นั่นเอง
    <O:p</O:p</O:p
    การที่มีสิ่งของเราที่ไปเกิดใหม่ โดยที่ไม่ใช่ตัวเราเพราะไปยึดถือไม่ได้ เปลี่อยนแปลงตลอด จึงถูกบัญญัติว่าอนัตตา นั่นเองครับ เมื่อเราตายก็เช่นกัน สิ่งที่ถูกส่งไปก็เป็นสิ่งเดียวกันแต่แค่เปลี่ยนร่าง และสิ่งที่ถูกส่งไปก็ไม่ใช่เรา แต่ก็เป็นเรานั่นเอง
    <O:p</O:p</O:p
    ๖. ผมอยากแนะนำให้หลวงพี่และท่านผู้อ่านอื่น ๆ เข้าปฏิบัติธรรมกับท่าน อ. โกเอนก้า มาก ๆ ครับ เพราะท่านเป็นผู้ที่สอนให้ฝรั่งเชื่อได้ ศรัทธาได้ และการปฎิบัติเข้มข้น เห็นผล มีหลักการสูงและเข้าใจในทุกขั้นตอนการปฏิบัติได้อย่างไม่มีที่ติ ผมคิดว่าสิ่งที่หลวงพี่ต้องการ ก็คือ พุทธศาสนาแบบวิทยาศาตร์นั้นก็ถูกอธิบายได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นสากล เป็นกฏของธรรมชาติ ในค่ายปฏิบัติแน่นอนครับ (www.thai.dhamma.org หรือ www.dhamma.org) ตอนนี้มีกว่า ๑๒๐ แห่งทั่วโลก มีคนทุกเผ่าพันธุ์ ศาสนา เข้าปฏิบัติ เพราะธรรมะเป็นกฏของธรรมชาติ เป็นของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพุทธหรือไม่ก็ตาม ความโกรธ เกลียด รัก โลภ ต่าง ๆ นั้น ก็เป็นสากล ไม่ได้ต่างกันเลย และผมเชื่อว่านี่แหละครับ คือสิ่งที่หลวงพี่กำลังมองหาอยู่ในปัจจุบัน ไปแล้วไม่เสียใจแน่นอนครับ
    <O:p</O:p</O:p
    สุดท้ายนี้ ผมขอบพระคุณมากครับ ที่หลวงพี่ได้กรุณาสั่งสอนญาติโยมทั้งหลาย ในเวปพลังจิต เพราะหลักคำสอนต่างๆ ที่สำคัญ หลวงพี่ได้เน้นย้ำนั่นสำคัญจริง ๆ ครับ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของผู้อ่านเท่านั้นเอง ที่จะพิจารณาได้หรือไม่
    <O:p</O:p</O:p
    กราบเคารพเป็นอย่างสูง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2006
  10. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,652
    เข้ามาดู......ดูแล้วก็ปลงว่า.....มนุษย์นั้นรู้จักพระพุทธเจ้าแล้ว.....ทำเหมือนไม่รู้จัก......ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พุทธบริษัททั้งหลายต้องรักษาพระศาสนาเอาไว้ให้ได้
     
  11. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    ไม่เข้าใจว่าคุณจะไปปรามาสพระพุทธเจ้าทำไม ให้เปลืองตัว


    พุทธดำรัสตอบ
     
  12. aui ang ja

    aui ang ja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +446
    แล้วแต่คนจะเชื่อ ก็แล้วกันนะครับ แล้วแต่บุญแต่กรรมของแต่ละคน ผมก็เคยเจอคนมาชวนไปที่ไหนก็ไม่รู้......... เขาบอกว่าที่นี่นะดีที่สุด ไม่ต้องนั่งสมาธิ สมาธิไม่มีจริง เราต้องไปที่นี่แล้วจะดี อย่าไปนั่งสมาธินะ ไม่มีจริงนะ.....เราต้องรออย่างนี้ๆนะ เดี๋ยวจะมีคนมาโปรด..... ผมฟังปุ๊ปผมก็นึกในใจว่า โธ่ๆๆๆป้า คนเขานั่งคุยกับเทวดาเป็นแสนๆเป็นล้านๆคนแล้ว ยังมาทำอะไรอยู่ได้ แถมกลายเป็นปรามาสองค์สมเด็จพระจอมไตรไปแล้ว อยากบอกแต่ไม่รู้จะพูดยังไง ก็เลยต้องวางเฉยทำไม่รู้ไม่ชี้ไป ในใจก็คิดว่า..... ป้า...ขอให้โชคดี...ก่อนตายขอให้มีสุขคติภูมิ เป็นที่ไปแล้วกันนะ

    กัมมัง หโว ภิกขเว ------- สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    ป.ล. ป้าคนนี้สีหน้าหม่นหมอง แววตาหาราศีไม่ได้ ผมก็พอจะเดาภพภูมิได้เนืองๆ ไม่รู้ป่านนี้จะเลิกทางนี้หรือยังก็ไม่รู้ ชวนไครไปอีกหรือป่าว ของดีๆไกล้ๆตัวเยอะแยะ ไม่รู้จักหา ชวนกันไปนั่งกำถ่านไฟแดงๆกันอยู่ได้ กำคนเดียวไม่พอจะชวนคนอื่นไปนั่งกำด้วย .......โธ่ กว่าจะรู้ว่าร้อนก็สายเสียแล้ว

    อย่างว่า......กิเลส ตัณหามันพาไป ไม่รู้จะทำไง บางคนยังไม่รู้เลยว่าผิด(สงสัยต้องกำอีกนาน)
     
  13. den_siam2523

    den_siam2523 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    594
    ค่าพลัง:
    +2,267
    ....กรรม...
     
  14. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ...เวร...
     
  15. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    สำหรับท่านที่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และมีวิทยาศาสตร์จริต
    ..................................................................

    อุปมา รถยนต์ใส่น้ำมัน เหตุใดจึงวิ่งมิได้?
    อุปมา ไวรัส เมื่อเกิดแล้วก็ขยับเขยื้อนกายได้?


    อุปมาเช่นนี้แล้ว สิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต มีสิ่งใดขับเคลื่อน?
    ย่อมต้องมีสิ่งหนึ่ง ที่สิ่งมีชีวิตมี แล้วขับเคลื่อนร่างกายต่อไป
    และสิ่งไม่มีชีวิตไม่มี จึงไม่สามารถขับเคลื่อนไปเองได้ แม้น
    มีพลังงาน มีน้ำมันหล่อเลี้ยงเข้าไปก็ตาม


    อุปมานี้ คือ "วิญญาณ" นี่เอง


    อันวิญญาณนี้ เมื่อคนตายลง ดับสูญหรือไม่?
    อุปมาก็เหมือน ไม้ถูกไฟใหม้ พลังงานความร้อนจากไม้
    ก็แผ่ออกไป ถามความพลังงานนั้น สูญหายหรือไม่?
    ท่านผู้เรียนวิทยาศาสตร์มา ย่อมตอบได้ว่า พลังงานย่อมไม่สูญหายไป


    ทีนี้ หากวิญญาณ นี้คือ พลังงานขับเคลื่อนร่างกายของสิ่งมีชีวิต
    ถามว่า เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งไม่มีชีวิต อย่างไหน จะมีวิวัฒนาการ
    มากกว่ากัน?


    แน่นอนว่า "วิญญาณ" ของสิ่งมีชีวิตนี้ พัฒนาการมาไม่รู้กี่ล้านปี
    ย่อมต้องมีวิวัฒนาการสูงกว่า ในเมื่อ แม้นแต่สิ่งไม่มีชีวิต เช่น
    ถ่านหิน เมื่อเผาไฟแล้วยังเกิดพลังงานที่ไม่สูญไปจากโลก

    ไฉนเลย วิญญาณ นี้จักสูญได้อย่างง่ายดาย?


    อันวิญญาณนี้ก็ย่อมสูญสภาพในวันหนึ่ง เพราะเป็น "อนิจจัง" หาสิ่งใด
    อำมตะก็หาได้ไม่ แต่ย่อมต้องต้องมีช่วงเวลา ที่ทรงสภาพได้ แม้นว่า
    ออกจากร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ไปแล้วก็ตาม


    เช่นนี้ วิญญาณที่ทรงสภาพจักไปไหนต่อ?


    ก็ไปตามที่วิญญาณนั้นคุ้นเคย อุปมาก็เหมือน กระแสไฟฟ้า
    ย่อมต้องมีการรับได้ กับสิ่งที่รองรับอยู่ จึงไปทรงสภาพนั้น
    เพราะความสอดคล้องต้องกันนี่เอง


    เมื่อวิญญาณอยู่ในร่างกายที่มีชีวิต วันๆ เอาแต่กินเหล้า
    กรอกเหล้าเข้าปากแล้ว ถามว่าเมื่อตายลงจะไปอยู่ที่ใด?

    ก็ย่อมไปในสิ่งที่วิญญาณนั้นสอดคล้องต้องกัน คือ
    สภาพน้ำพิษอันเคืองขุ่นนั้นเอง หรือ หากจะคุยกันให้เห็น
    ภาพก็นรก กะทะทองแดงนั่นแล

    แต่นรกกะทะทองแดงอะไรนี่เป็นแค่ "สมมุติบัญญัติ"
    หากแต่ในวิมุตินี้ก็มีจริง และทุกขเวทนาจริง แต่มิได้
    เห็นได้เป็นแบบนั้นตรงๆ ตัวดอก บุคคลที่มีจิตบริสุทธิ์
    ถอดจิตไปดูนรกสวรรค์ จะเห็นอย่างนั้น เพราะอาศัย
    สมมุติบัญญัตินำทางไป ย่อมไม่แปลก แต่ในวิมุติแล้ว
    ไม่ต่างกันเลย


    ฉันใดฉันนั้น นรก สวรรค์ ก็เป็นดังนี้แล


    ปัจจุบัน หากท่านที่สนใจวิทยาศาสตร์ และได้เรียนสูงพอ (ข้าพเจ้า
    เคยเป็นตัวแทนเขตในการแข่งขันเคมีโอลิมปิก และชีววิทยาโอลิมปิก)
    ท่านจะทราบว่ามีเทคโนโลยีที่ถ่ายภาพ "วิญญาณ" ได้แล้ว เรียกว่า
    ออร่า ซึ่งเทคโนโลยีนี้ ใช้ในการสำรวจอวกาศขององการนาซ่า เพื่อ
    ดูว่า พื้นผิวดาวดวงนั้นๆ มีรังสีสิ่งมีชีวิตอยู่หรือไม่

    แต่หากท่านศึกษาไม่ก้าวหน้าพอ ย่อมไม่รู้ว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีทาง
    วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปถึงไหน เมื่ออ้างวิทยาศาสตร์ ก็ได้แค่ "ชั้นต่ำ"
    คือ คิดว่า สิ่งมีชีวิตไม่มีพลังชีวิต (วิญญาณ) แล้ว ไม่มีพลังชีวิต (หรือ
    เรียกว่าออร่านี้) มันจะใช้อะไรขับเคลื่อน? อุปมาก็เหมือนรถยนต์ที่มี
    พลังงานน้ำมันเต็มถัง แต่ทำไมวิ่งไม่ได้นั่นแล แต่ทำไม ไวรัสตัวจิ๋ว
    เกิดปั๊บก็สามารถขับเคลื่อนกายได้เองทันใด?


    หากท่านเชื่อในวิทยาศาสตร์จริง ขอให้ท่านศึกษาให้ก้าวหน้ากว่านี้
    จะได้ไม่งมโข่ง งมงายคิดว่า ตายแล้วสูญ ทันทีทันใด อีกต่อไป

    ตายแล้ว จะทรงสภาพอยู่ ไปที่ๆ หนึ่งที่สอดคล้องกับสภาพคลื่น
    พลังงชีวิตนั้นๆ หรือที่เราเรียกกันว่า นรก สวรรค์ แต่หากก่อนตาย
    ได้นิพพานก็ไปนิพพาน แต่ปัจจุบัน ความรู้วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง
    ก็จับได้แต่คลื่นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าวิญญาณแค่นั้น การทดลองเกี่ยว
    กับวิญญาณต่างๆ มีมาก ท่านลองเสริชดูเอา อนาคตจะกลายเป็น
    ศาสตร์ใหม่ที่คนสนใจกันมาก อย่างไรก็ตาม แม้นวิญญาณจะไปนิพาน
    แล้ว ก็หาจะเป็น "อำมตะ" ได้ไม่ พระอรหันต์ท่านใช้คำว่า ไม่สูญ
    แต่ท่านไม่ได้บอกนี่ว่า "นิจจัง" พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่สรรเสริญให้
    กล่าวถึง พระพุฒาจารย์ โต ท่านยังกล่าวว่า อุปมาเหมือน หญิง
    แต่งงานแล้วย่อมรู้เองว่ารสชาติของการมีผัวเป็นเช่นใด

    อย่างไรก็ตาม เมื่อจักรวาลสิ้นสูญ เกิดบิ้กแบ้งค์อีกรอบ ท่านว่าจะ
    เหลืออะไรที่ทรงสภาพได้อีก แม้นกระทั่งไอ้วิญญาณ ที่เป็นคลื่น
    พลังงานในสิ่งมีชีวิต อันแสนจะพิสดารนี้ก็ตาม มันจะเหลือซากอะไร
    ให้ท่านทั้งหลายยึดมั่น ถือมั่นไว้ได้อีกเล่า?

    สาธุ.......................................................................<!-- / message -->
     
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดยเตชปญฺโญ ภิกขุ

    ขอถามปัญหาคุณโยมยายทองประสาสักนิด<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ก่อนอื่นอาตมาต้องขออภัยที่ทำให้คุณโยมทุกท่านเกิดปฏิฆะ ก็ขออภัยอย่างยิ่ง แต่ก็ขอให้ใจเยน.......เยน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้โกรธเกลียดใครนี่นา ถึงเขาจะเป็นศัตรูเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไม่ไปโกรธเกลียดเขานี่ จริงใหม? เราควรช่วยให้เขามีความเห็นที่ถูกต้องด้วยเมตตา จริงใหม? หรือเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า???<o:p></o:p>
    อาตมาได้อ่านคำตอบที่คุณโยมตอบมาแล้ว ก็ทำให้รู้ว่าได้พบคนที่รู้จริงของทางฝ่ายคุณโยมแล้วซินะ แต่ก็อยากถามต่ออีกดังนี้ <o:p></o:p>
    ๑. คำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน ใช่หรือไม่? <o:p></o:p>
    ๒. ช่วยอธิบายคำว่า
     
  17. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    เรียนท่าน เตชปญโญ ภิกขุ
    ท่านตั้งกระทู้ธรรมได้ยอดเยี่ยมมาก นับเป็นปัญหาธรรมที่ลึกซึ้งดีเยี่ยม
    .............................................................................


    ข้าพเจ้าขอตอบเท่าที่พอจะรู้ ดังนี้


    ๑. คำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน ใช่หรือไม่?

    ไม่ใช่ จะกล่าวว่า อนัตตา มีตัวตนนั้นผิดแน่นอน จะว่าไม่มีตัวตนก็หาไม่
    การที่เรารับรู้สภาพมี "ตัว" นี้ เพราะจิตยึดมั่นตัวไว้ เมื่อ เห็นว่ามีตัวอยู่ก็บอก
    ว่ามีตัว แต่เมื่อเห็นตัวหายก็บอกไม่มีตัวตน เช่นนี้ กล่าวมิได้ว่า "อนัตตา"
    นั้นมีตัวตน หรือ ไม่มีตัวตน หากแต่เป็นสภาพที่จะยึดมั่นเป็นตัวเป็นตนไว้
    ก็หาได้ไม่ต่างหาก อุปมาเหมือน ฝุ่นผงในอากาศมากมาย ท่านคิดว่า ตรงไหน
    ที่จะนับเป็นตัว? ตรงไหนที่จะนับได้ว่า ไม่มีตัว? เพราะตัวคนเรานี้ แค่ลมหาย
    ใจเข้าออก ก็แลกเปลี่ยนกันยุ่งเหยิง ตลอดเวลาอยู่แล้ว อาหารนี้กินเข้าไป แล้ว
    ถ่ายออกมา จะนับเอาตรงไหนว่าเป็นตัว หรือไม่มีตัว? เพราะอุปมา ดั่งฝุ่นผง
    ที่ล่องลอยผสมกันมั่วไปหมด จนไม่อาจจะกล่าวได้ว่า มีตัว หรือไม่มีตัว

    ๒. ช่วยอธิบายคำว่า
    ไม่ใช่ตัวตนให้สักนิดว่าไม่ใช่ตัวตนของอะไร?

    "ไม่ใช่ตัวตนของธรรม" อันธรรมนั้น ก็คือ ทุกสรรพสิ่ง เมื่อไม่อาจจะนับได้
    ว่าเป็นตัวตนในทุกสรรพสิ่งแล้ว จึงได้กล่าวว่า ไม่ใช่ตัวตนของธรรม ดังนี้
    หากจะกล่าวเต็มประโยคคือ "อัตตา" ไม่ใช่ตัวตนของธรรม นั่นเอง แต่จะว่า
    อนัตตาเป็นตัวตนของธรรมก็หาได้ไม่ ดังที่กล่าวข้อแรก


    ๓. อะไรบ้างที่ไม่ใช่ตัวตน?

    คือ สรรพสิ่ง ล้วนมิใช่เป็นตัวเป็นตนได้ ดั่งที่กล่าวแล้ว หากท่านเรียน
    วิทยาศาสตร์มา ขอถามกลับท่านว่า "ระบบปิด" ในจักวาลนี้มีหรือไม่?
    ต่อให้ท่านทำหีบทองฝังดิน วันหนึ่งจักวาลระเบิด หีบนั้นจักทรงสภาพ
    ตลอดไปได้หรือไม่ นี่ก็ "อนิจจัง" ก่อให้เกิด "อนัตตา" สองธรรมนี้ เกื้อ
    หนุนกัน หากไม่ใช่ "อนิจจัง" แล้ว ก็ไม่ใช่ "อนัตตา" ด้วย ท่านก็ลอง
    จินตนาการดูเอาเองว่า หากระบบเปิด นั้น หยุดการแปรปรวนไหลเข้าออก
    (อนิจจัง) ก็สามารถกล่าวได้ใช่หรือไม่ว่า แม้นระบบเปิดจะเปิด แต่หากไม่มี
    อะไรไหลเข้าออกแล้ว สิ่งที่อยู่ภายในย่อมเป็นตัวตนของมัน เช่นนี้ จึงกล่าว
    ว่า "อนิจจัง" เป็นธรรมที่เกื้อหนุน "อนัตตา" และ "อนัตตา" ก็เป็นธรรมที่เกื้อ
    หนุน "อนิจจัง"

    ๔. เมื่อไม่ใช่ตัวตนแล้วสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหลายนี้จะเป็นอะไร?

    หาได้เป็นอันใดได้ไม่ ที่เรียกว่าเป็นนั่นนี่ เพราะจิตเรานี้ยึดมั่นถือมั่นไว้
    เราจึงแยกว่า รูปขันธ์นี้ เป็นอย่างนั้น เรียกกันว่านามนี้ เกิดเป็นรูป-นาม
    ให้เรียกกัน หากจิตมิได้ยึดมั่นถือมั่นแล้ว สรรพสิ่งก็เป็นหนึ่งเดียวกัน
    เป็นธรรมชาติ เป็นธรรม สรรพสิ่งล้วนเป็นธรรม ซึ่งถูกในระดับสมมุติ
    บัญญัติ แต่ก็หาได้เป็นอันใดได้ไม่ ในระดับ "วิมุติ" เหตุเช่นนี้เพราะ
    อันคำว่าธรรมนี้ ก็เป็นเพียงสมมุติบัญญัติมาอธิบายเท่านั้น หาได้ยึดมั่น
    ไว้ว่าเป็นอันใดได้ไม่

    ๕. คำว่า อัตตา แปลว่า ตัวตน ใช่หรือไม่?

    นั่นเป็นคำระดับตื้น ที่อธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆ แต่ "อัตตา" นี้เป็นสภาพที่
    จิตรับรู้ภายหลังการยึดมั่น หรือเกิดอุปทานแล้วนี่เอง เมื่อจิตอุปทานยึดมั่น
    ไว้ ก็จะเห็นสิ่งนั้น เป็นนั่นนี่ มีตัวมีตน ของบางอย่างไม่มีตัวตนให้ยึด
    เช่น เกรียติยศ แบบนี้ คนบางคนไปยึดไว้ ก็อาจบอกว่า "เกียรติยศนี้
    ไม่มีตัวตนดอกท่าน แล้วกล่าวว่า โอเรานี้ไม่มีอัตตาแล้ว" ดังนี้ ท่าน
    ว่าจะกล่าวว่า "อัตตา" แปลว่า ตัวตนได้อีกหรือไม่? ก็ย่อมหาได้ไม่
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ๖.อะไรบ้างที่เป็นอัตตา?

    หาสิ่งใดเป็นอัตตาได้เล่า นอกจากจิตหลงผิดอุปทานยึดมั่นไว้ก็คิดว่าเป็น
    "อัตตา" แต่แท้แล้ว ธรรมนั้น ไม่มีสภาพแห่ง "อัตตา" เลย

    ๗ .อัตตา กับ อนัตตา เป็นสิ่งตรงข้ามกันใช่หรือไม่?

    ด้วยภาษาที่ใช้ก็ถือได้ว่าใช่ เพราะหากไม่ใช่สมมุติบัญญัติ แบบนี้
    ก็ไม่รู้จะอธิบายกันอย่างไร แต่ในระดับวิมุติแล้ว หาใช่สิ่งตรงข้ามกัน
    "อัตตา" เป็นสภาพการรับรู้ที่หลงผิดโดยอุปทานยึดมั่นไว้ แต่ "อนัตตา"
    นั้น จะกล่าวว่าเป็นสภาพการไม่หลงผิดโดยไม่ยึดมั่นเป็นอุปทานไว้ ก็
    หาได้ไม่ เพราะอธิบายเพียงจิตผู้หลุดพ้นเท่านั้น แท้แล้ว แม้นจิตไม่หลุด
    พ้น สรรพสิ่งก็ล้วนมีลักษณะแห่ง "อนัตตา" ทั้งสิ้น ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า
    "อัตตา" หาได้กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งตรงข้ามกับ "อนัตตา" เพราะแท้แล้ว
    สภาพ "อัตตา" นี้ไม่มีอยู่จริงเลย จึงไม่รู้จะมาเปรียบเอาว่าตรงข้าม "อนัตตา"
    ได้อย่างไร


    ท่านเอาคำตอบเราไปสอบเปรียญธรรมชั้นเอกได้เลย
    ฮ่าๆๆ
    สาธุ...............................................................................................................
     
  18. Tewadhol

    Tewadhol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +694
    อายแทนวุ้ย....!!??
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,672
    ค่าพลัง:
    +51,946
    ในวันหน้า ท่านจะรู้ว่า " หลักสัจจะธรรม ที่พระพุทธเจ้า กล่าวไว้ คือ ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน "
     
  20. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    บวกดอกเบี้ย และไม่มีวันเลือนหาย ลืมเลือน และไม่มีการให้ผลผิดตัวผิดตน(i)
     

แชร์หน้านี้

Loading...