ทำบุญกับพระอรหันต์แต่ละองค์ได้บุญเท่ากันหรือไม่

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย peerayuth, 8 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. peerayuth

    peerayuth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,003
    อันนี้ดูสมเหตุสมผลครับ
     
  2. jibakun

    jibakun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +204
    มารับทราบรับฟัง ขอบคุณทุกความเห็นครับ
     
  3. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ถ้าตัวแปรคงที่
    จะได้อานิสงส์เท่ากันครับ

    และถ้าเจาะจงท่านใดท่านหนึ่ง จะได้น้อย
    แต่ถ้าไม่เจาะจง(ถวายสังฆทาน แม้ไม่เป็นพระอรหันต์)จะได้มาก
     
  4. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ ครับ

    ท่านเองต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่า ที่ท่านกล่าวมาทั้ง ๒ อย่างนั้น
    เป็น กาลทานที่มีผมมาก ไม่มีให้ทำบ่อยๆๆๆ เหมือนบิณฑบาตรทั่วๆๆๆ ไปนะ มีโอกาสได้ทำแค่ ๒ ครั้งเองนะครับ

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า...


    อานนท์
    ถ้าใครจะตำหนินายจุนทะเกี่ยวกับเรื่องถวายสุกรมัทวะแก่พระองค์
    ขอให้ช่วยกันชี้แจงปลอบโยนนายจุนทะให้สบายใจนายจุนทะได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่แล้ว

    ได้ตรัสเรื่องการถวายอาหาร ๒ อย่าง มีผลเสมอกัน คือ
    ๑. อาหารบิณฑบาตที่เสวยแล้วตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ (นางสุชาดาถวาย)
    ๒. บิณฑบาตที่เสวยแล้วปรินิพพาน (นายจุนทะถวาย)

    บิณฑบาตสองกาลนี้มีผลมาก กว่าบิณฑบาตรในกาลไหน ๆ
    เพราะว่าเป็นอานิสงส์แห่งการเข้าถึงพระนิพพานเหมือนกัน ด้วยว่าบิณฑบาตรที่ถวายโดยนางสุชาดา
    เป็นเหตุให้พระองค์เข้าถึงด้วยสอุปาทิเสสนิพพานคือการดับกิเลสโดยมีเบญจขันธ์อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา
    สังขาร และวิญญาณ


    ส่วนที่นายจุนทะถวายนั้นเป็นเหตุให้พระพุทธองค์เข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน
    คือการดับกิเลสโดยไม่มีเบญจขันธ์นั้นหลงเหลืออยู่

     
  5. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ขอบคุณ ท่านต้นละที่ช่วยขยายความครับ
     
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    อนุโมทนาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. ลมรำเพย

    ลมรำเพย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +503
    เห็นด้วยกับคุณถิ่นธรรม

    อันนั้นท่านกล่าวถึงพระพุทธเจ้า

    พระอรหันต์ก็เช่นเดียวกัน

    คือถวายพระอรหันต์องค์เดียวกัน

    แต่ต่างเวลากันยังได้ไม่เท่ากันเลย

    ยกตัวอย่าง

    พระมหากัสสปะที่พระอินทร์

    มาดักถวายอาหารบิณฑบาต

    ตอนที่ท่านออกจากนิโรธสมาบัติ

    ด้วยการถวายทานนั้นจึงได้มีรัศมีเพิ่มขึ้น

    ถ้าถวายเวลาื่อื่นจะไม่ได้อานิสงส์นี้

    ถ้าถวายพระอรหันต์แล้วได้อานิสงส์เท่ากันแล้ว

    พระอินทร์จะมาดักถวายพระมหากัสสปะทำไม

    ในเมื่อในสมัยนั้นก็มีพระอรหันต์อยู่มากมาย

    ใส่องค์อื่นก็ได้นี่ครับ

    และพระอรหันตก็์เข้านิโรธสมาับัติไม่ได้ทุกองค์

    เฉพาะท่านที่ได้สมาบัติแปดและปฏิสัมภิทาญาณเท่านั้น
     
  8. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่แสดงความเห็นตามภูมิของตน ว่าไม่น่าจะเท่ากัน เพราะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก ล้วนถือเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น และผมก็ไม่ได้ปรามาสพระอรหันต์ด้วยครับ เรื่องพระสังกัจจายกับพระสีวลีคนธรรมดาทั่วไปเขาก็รู้กันครับ ก่อนที่จะว่าอะไรใครควรจะศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนนะครับ อย่าว่าไปตามอารมณ์ กิเลสของตนเอง เข้าตัวเองเปล่าๆ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
     
  9. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ความจริงของพระอรหันต์

    โดยพระราชพรหมยานหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
    พระอรหันต์
    1) พระอรหันต์มี 4 แบบ คือ สุขวิปัสสโก หมดกิเลสแล้ว แต่ไม่มีความรู้พิเศษ เห็นผีเห็นเทวดา
    ไม่ได้ ได้แต่ปลงสังขาร ให้อารมณ์หยุดอยาก คือ ไม่อยากเกิด ไม่อยากมี ไม่อยากเอาดีกับชาว
    โลก เพราะเห็นว่าเมื่อยังเกิด ตราบใด ก็ยังต้องทุกข์ตราบนั้น ท่านเลยเบื่อเกิด ทั้งเกิดเป็นมนุษย์
    เทวดา พรหม ท่านไม่เอาด้วยทั้งนั้น สิ่งที่ท่านต้องการก็คือ พระนิพพาน
    2) พระอรหันต์อีกแบบหนึ่งก็คือ พระอรหันต์ที่เรียกว่า เตวิชโช คือ ท่านทรงวิชชาสาม ได้แก่
    - ทิพยจักขุญาณ มีอารมณ์จิตเป็นทิพย์ รู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคต ท่านรู้ได้คล้ายตทิพย์
    - อันดับที่สอง สามารถระลึกชาติในอดีตได้ทุกชาติที่ท่านเกิดมาแล้ว
    - สาม ท่านละกิเลสหมดทุกอย่างเหมือนท่านสุกขวิปัสสโก

    3)
    พระอรหันต์อันดับที่ 3 ได้แก่ท่านผู้ทรง อภิญญา 6 คือ
    - แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง เพราะอำนาจกสิณ
    - มีหูทิพย์ เพราะอำนาจกสิณ
    - มีทิพยจักขุญาณ
    - มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
    - รู้ความรู้สึกนึกคิดของคนและสัตว์ได้
    - ทำกิเลสให้สิ้นไป

    4) พระอรหันต์ประเภทที่ 4 ท่านมีอำนาจฤทธิ์เหมือนท่านผู้ทรงอภิญญา แต่มีญาณพิเศษกว่า คือ
    มีปัญญาฉลาดเฉียบแฉลม สามารถคิดคำนวณพยากรณ์เหตุการณ์ทุกอย่างได้โดยฉับพลัน มีฤทธิ์
    คล่องแคล่วกว่าอภิญญา 6ท่านอันดับที่ 4 นี้แหละ ที่ท่าน
    ปิณโฑลภารทวาชะ และท่านโมคคัลลาน์ ท่านทรงได้

    ได้ บรรยายเรื่องพระอรหันต์พอให้ท่านผู้อ่านทราบไว้เพียงย่อ ๆ จะได้ไม่เข้าใจผิด เพราะคนส่วน

    มากก็คิดว่าพระอรหันต์จะต้องเป็นพระมีฤทธิ์เหมือนกันหมดทุกองค์ ความจริงพระอรหันต์ไม่ใช่จะมี
    ทธิ์มีเดชเหมือนกันหมดตามที่บอกมาแล้ว

    ผมมองว่าจากเหตุที่แตกต่าง ผลจึงแตกต่างด้วยครับ
     
  10. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    พระเกียรติคุณของท่านพระมหากัสสปเถระ
    พระมหากัสสปะเถระ ได้รับการยกย่องให้เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของพระพุทธองค์ ว่าโดยลำดับแล้วก็จัดอยู่ในลำดับที่สามของหมู่พระมหาสาวก รองจากพระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย สมดังที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระปทุมุตตระพุทธเจ้า ท่านจะเป็นพระสาวกที่ ๓ ของพระโคดมพุทธเจ้า แต่ในทางปฏิบัติ ในสมัยพุทธกาลนั้น พระอัครสาวกทั้งสองต่างก็ได้นิพพานไปก่อนพระพุทธองค์ทั้งสิ้น ส่วนพระมหากัสสปะมีอายุยืนต่อมาหลังพุทธปรินิพพาน จึงนับได้ว่าท่านเป็นประธานของเหล่าภิกษุหลังพุทธปรินิพพาน
    ท่านได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์เป็นอันมาก รวมทั้งการสถาปนาเป็นเอตทัคคะ เป็นยอดของภิกษุผู้ทรงธุดงค์ ๑๓ ซึ่งตามอรรถกถาได้กล่าวไว้ว่า โดยปกติมหาสาวกผู้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเอตทัคคะทางด้านใดด้านหนึ่งนั้น ก็ย่อมจะต้องได้มาด้วยเหตุ ๔ ประการคือ ๑. โดยเหตุเกิดเรื่อง ๒.โดยการมาก่อน ๓. โดยเป็นผู้ช่ำชองชำนาญ และ ๔. โดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ ในเหตุ ๔ อย่างนั้น พระเถระบางรูป ย่อมได้ตำแหน่งเอตทัคคะ โดยเหตุอย่างเดียว บางรูปได้โดยเหตุ ๒ อย่าง บางรูปได้โดยเหตุ ๓ อย่าง บางรูปได้ด้วยเหตุ ทั้ง ๔ อย่าง ท่านพระมหากัสสปเถระก็เป็นท่านหนึ่งที่ได้ตำแหน่งดังกล่าวด้วยเหตุครบทั้ง ๔ อย่าง
    ๑. โดยเหตุเกิดเรื่อง เรื่องที่เป็นเหตุก็คือเรื่องพระศาสดาทรงทรงเปลี่ยนจีวรกับพระมหาเถระ ด้วยทรงพิจารณาว่า อันว่าจีวรที่เก่าเนื่องเพราะใช้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ ถึงเก่าแล้วคนที่มีคุณเพียงนิดหน่อยไม่อาจครองได้ จีวรเก่าดังกล่าวนี้ เฉพาะบุคคลผู้อาจสามารถในการบำเพ็ญข้อปฏิบัติ ผู้ถือผ้าบังสุกุลมาแต่เดิม เช่นพระมหาเถระจึงจะควรรับเอา และไม่เคยมีการประทานจีวรที่ทรงห่มแล้วแก่พระสาวกองค์ใดเลย
    ๒. โดยการมาก่อน ก็คือ ท่านพระเถระนี้มิใช่เป็นผู้ทรงธุดงคคุณมาก แต่ในปัจจุบันเท่านั้น ถึงในอดีต แม้ท่านบวชเป็นฤาษี ท่านก็เป็นผู้บำเพ็ญบารมีในทางทรงธุดงคคุณมาก มาถึง ๕๐๐ ชาติ
    ๓. โดยเป็นผู้ช่ำชองชำนาญ ก็คือ เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔ เมื่อแสดงธรรม ย่อมไม่ละเว้นที่จะแสดงกถาวัตถุ ๑๐ ซึ่งเป็นธรรมที่ชักนำให้พุทธบริษัท มีความปรารถนาน้อย มีความสันโดษ มีความสงัดกาย สงัดใจ ชักนำให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ชักนำให้ปรารภความเพียร ฯลฯ ซึ่งเป็นคุณของการทรงธุดงควัตรทั้งสิ้น
    ๔. โดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ ก็คือ เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย สาวกอื่นผู้เสมอเหมือนพระมหากัสสปะ ด้วยธุดงคคุณ ๑๓ ไม่มี เพราะฉะนั้นพระเถระได้โดยยิ่งด้วยคุณอย่างนี้.
    นอกจากจะได้รับการสถาปนาเป็นเอตทัคคะแล้ว ท่านยังได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์อีกหลายประการดังที่ท่านได้ปรารภเมื่อครั้งสุภัททะภิกษุกล่าวจาบจ้วงพระพุทธองค์เมื่อทราบข่าวการเสด็จดับขันธปรินิพพานว่าและปรารถนาจะกระทำสังคายนาว่า
    “ทรงยกย่องเราเป็นกายสักขี (มีวิหารธรรมเสมอด้วยพระองค์) ทรงมอบความเป็นสกลศาสนทายาท ๓ ครั้ง” (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑)
    ตัวเราอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนกัสสปะ เธอจักห่มได้หรือไม่ ซึ่งผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้เก่าแล้วของเรา ดังนี้ ทรงอนุเคราะห์ด้วยสาธารณบริโภคในจีวร และด้วยการสถาปนาไว้เสมอกับพระองค์ในธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ต่างโดยอนุปุพพวิหาร ๙ และอภิญญา ๖ เป็นต้น โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราต้องการสงัดจากกาม ทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌานอยู่เพียงใด ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย แม้กัสสปะต้องการสงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรม ทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌานอยู่เพียงนั้น ดังนี้ (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑)
    ยิ่งกว่านั้นยังสรรเสริญ ด้วยความเป็นผู้มีจิตไม่ติดอยู่ในตระกูล เหมือนสั่นมือในอากาศ และด้วยปฏิปทาเปรียบด้วยพระจันทร์ ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัสสปะเปรียบเหมือนดวงจันทร์ เข้าไปหาตระกูล ไม่คะนองกายไม่คะนองจิต เป็นผู้ใหม่เป็นนิตย์ ไม่ทะนงตัวในตระกูล” (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔)
    และในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่พราหมณ์ว่า
    ในหมู่มนุษย์ทั้งปวง ผู้ใดเป็นกษัตริย์ หรือเป็น พราหมณ์สืบวงศ์ตระกูลมาเป็นลำดับ ๆ ตั้ง ๑๐๐ ชาติ ถึงพร้อมด้วยไตรเพท ถึงแม้จะเป็นผู้เล่าเรียนมนต์ เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งเวท ๓ การกราบไหว้ผู้นั้นแม้บ่อย ๆ ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ ซึ่งจำแนกออก ๑๖ ครั้ง ของบุญที่ ไหว้พระกัสสปะนี้เพียงครั้งเดียวเลย”
     
  11. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    สำหรับความคิดของเรา
    เราคิดว่าเท่ากันนะคะ
    ไม่งั้น พระที่ไม่ได้เป็นเกจิอะไรก็ไม่มีใคร ไปทำบุญเลยสิ
    เพราะแต่ละคนก็แห่แหนไป ทำบุญกับพระที่มีบารมีสูงๆ จะได้บุญเยอะๆกัน
    นี่แหละคะ เป็นการยึดติดดีๆ นั่นเอง
    ดูได้จากวัดดังๆมีศรัธาเยอะแยะมากมาย แต่ในคราเดียวกันวัดในถิ่นทุรกันดาล
    มีหลายวัดที่ยังขาดปัจจัยมากมายคะ

    สำหรับเราแล้วดูที่ความตั้งใจของผู้ทำบุญมากกว่าคะ
    คุณคิดว่าหากทำบุญหวังผลให้ชาติหน้ามั่งมีศรีสุข กับ ทำบุญเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
    แบบไหนจะได้บุญเยอะกว่ากัน ?

    จำได้ไหมคะ มีตอนหนึ่งในพุทธประวัติกล่าวว่า
    มีเทวดาลงมาแปลงกายเป็นคนขอทาน ยากจน แต่คนอื่นที่ไม่เข้าใจธรรมะ กลับมองคนขอทานนั่นน่ารังเกียจ แต่พระพุทธองค์กลับรู้ด้วยว่า ขอทานผู้นั้น คือ เทวดาจำแลงมา

    นั่นแหละคะ ทำให้เราเชื่อว่าไม่ว่าจะทำบุญกับพระองค์ใด แม้ว่าจะไม่ใช่พระจริงก็ช่าง
    ขึ้นอยู่กับจิตใจและความตั้งใจของผู้ทำบุญมากกว่าคะ

     
  12. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ขอเหตุกับผล อธิบายอีกสักนิดจะได้ไหมครับ มันสั้นไปนะครับ คุณหญิง

    สมมติคนธรรมดา เป็นคนเหมือนกัน คนหนึ่งเป็นรัฐมนตรี อีกคนเป็นชาวบ้าน เป็นคนเหมือนกันใช่ไหมครับ พื้นฐานของการเกิดเป็นคนได้ต้องมีศีลห้าครบสมบรูณ์ แบบนี้คุณจะมีความเห็นว่ายังไงครับ คนธรรมดาตีสีตาสา มีความสามารถ มีกำลังเท่ารัฐมนตรีใช่ไหมครับ จริงอยู่ครับที่เป็นคนเหมือนกัน แต่กำลัง ความสามารถมันแตกต่างนะครับ

    ถ้ายากไปก็ นักกีฬาโอลิมปิคเหรียญทองก็เป็นคน ผมก็เป็นคนทำไมผมเล่นกีฬาสู้เขาไม่ได้ละครับ เป็นคนเหมือนกันแท้ๆ

    อีกนิด คนเรียนจบปริญญาตรีเหมือนกัน ฉลาดเท่ากันหมดทุกคนใช่ไหมครับ ถ้าฉลาดเท่ากันทำไมทำงานได้เงินเดือนไม่เท่ากันล่ะครับ

    ขอย้ำอีกครั้งผมไม่เคยคิดปรามาสนะครับแม้แต่สักนิดเดียว ผมรู้ในคุณอันวิเศษอันหาที่สุดไม่ได้ของพระอรหันต์
    พระพุทธเจ้า ท่านตั้งอัครสาวกซ้ายขวา พระโมคคัลลา พระสารีบุตร และอสีติมหาสาวก(80 มหาสาวก) ท่านเพราะเหตุใดครับ คำว่าอัครสาวก กับ มหาสาวก มีไว้เพื่อการณ์ใด
    เคยทราบกันบ้างไหมครับว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย นิยมไปฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าไม่อยู่หรือไม่ว่าง ก็จะไปฟังจากพระสารีบุตรแทนเพราะเหตุใดครับ แม้แต่พระโมคคัลลาก็นิยมมาฟังธรรมกับพระสารีบุตรนะครับ
     
  13. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
  14. H D Playground

    H D Playground สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +8
    ทําบุญอย่าหวังผล

    เเม้จะทํากับขอทานยังได้บุญ
     
  15. jeenus

    jeenus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,513
    ค่าพลัง:
    +3,576
    จะบุญมาก บุญน้อย ใจ คุณ บริสุทธิ์ แค่ไหน
     
  16. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    อนุโมทนา สาธุกับคำตอบของคุณ khomeraya ด้วยจริงๆครับ
    ท่านมีแนวหลักการคิดที่เป็นไปในแนวทางโลกุตระอย่างแท้จริง
    วิสัยแห่งสมณะนั้นเรียบง่าย มีเมตตา ละวางจากโลกธรรมแปดแล้วอย่างสิ้นเชิง
    ขอให้ท่านมีความเจริญในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  17. คนข้างหลัง

    คนข้างหลัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +28
    คิดว่าน่าจะขึ้นอยู่กับบุญของผู้ที่จะทำด้วยนะค่ะ ที่จะประสบพบเจอผู้ที่มีบุญมากมาโปรด
     

แชร์หน้านี้

Loading...