ปรามาสในใจห้ามเท่าไหรก็ห้ามไม่อยู่ ใครเคยเป็นบ้างครับ-*-

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย czbz, 28 มีนาคม 2011.

  1. czbz

    czbz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +7
    พยายามไม่คล้อยตาม มันเหมือนกับว่าเราน้อมใจไปหาชื่อๆหนึ่งแล้วมันก็จะปรามาสให้ได้อ่ะ ห้ามเท่าก็ห้ามไม่อยู่ ต้องกระโดดโลดเต้นหรือทำอยางอื่นเปลี่ยนความคิด ถึงพอจะทำได้ ถ้าอยู่เฉยๆนี้เสร็จ เห้อ เคยเป็นกันบ้างไหมครับ
     
  2. ศรีสุทโธ

    ศรีสุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +461
    ใจเย็นน้อง....มันเป็นเพียงการเริ่มต้น
     
  3. czbz

    czbz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +7
    ฮาๆๆ ครับ :cool:

    ปล.อากาศหนาวอีกแย้ว
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เป็นผมนะครับ ถ้าเป็นความคิดที่เกิดจากจิตผมจะดับทันทีคือไม่คิดคับ ..ช่วงแรกๆที่ฝึกดับเค้าจะมาบ่อยคับ
    แต่มาตอนไหนก็ดับตอนนั้นคับ.ดับเรื่อยๆมาอีกก็ดับอีก..อย่างมากเรื่องนั่นเต็มที่ไม่เกิน 3 วันครับในช่วงแรกคับ ..
    อนุโมทนาคับ
     
  5. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    ผมเคยผ่านมาก่อนครับ

    เมื่อเราห้ามปรามาส ไม่ได้

    ให้เราหยุดคิดทันทีครับ เพราะความคิด + ปรุงแต่ง = ปรามาส

    เมื่อเราหยุดคิด ทุกอย่างจบเลย ไม่มีเชื้อให้ปรุงแต่งแล้ว

    เมื่อหยุดคิดแล้วให้ทำอะไร ?

    ก็หางานให้จิตทำ เพราะหากจิตไม่มีงาน ก็อาจวกกลับไปคิดเรื่องเดิมอีก

    การหางานให้จิตมีหลายวิธี ให้จิตพิจารณาลมหายใจก็ได้

    ให้จิตพิจารณาร่างกายก็ได้ ให้จิตภาวนาพุทโธก็ได้ ให้พิจารณาความตายก็ได้

    หรือจะเป็นงานทางโลก เช่น งานอดิเรกต่างๆ เล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง

    อย่าให้จิตอยู่ว่าง ให้จิตมีงานทำ ทำอะไรก็ได้ครับ หรือแม้แต่การนอนหลับก็ช่วยได้
     
  6. ธรรมญาณี

    ธรรมญาณี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +18
    มีสติ ระลึกรู้ และดูมันไป ซื่อๆ (แต่ต้องหยุดคิด และ ปรุงแต่ง)
    จิต จะมีงานทำ ท่ามันไม่หยุด แปลว่า กำลัง สติยังมีไม่พอ จึงรู้ตามไม่ทัน จิต
    ให้หางานให้จิตทำ เช่นบริกรรม พุทโธ, ดูลมหายใจ หรือ ดำเนิน อย่าง ที คุณ อภิราม แนะนำข้างบน ซึ่งจะเป็นการทำสมาธิ และเพิ่มกำลังสติให้ทันจิต
    ทำให้มาก เจริญให้มาก ค่ะ
     
  7. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ตอบ คุณczbz

    คุณกำลังถูกมารทดสอบจิตใจหรือบารมีอยู่
    ถ้าคุณผ่านไปได้ ก็จะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นอีกมาก

    วิธีแก้ของผม คือ ทรงสมาบัติ8 อยู่ตลอดเวลา และถ้าเผลอเมื่อไร ก็ขึ้นไปกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย กับ พระพุทธเจ้าท่าน บนพระจุฬามณีเจดีย์สถาน
     
  8. purivat

    purivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +254
    ผมก็เป็นครับ พอจบองค์กสิณก็ดีขึ้นครับ
     
  9. สมเด็จปฐม

    สมเด็จปฐม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0

    ต้องขอขมาซึ่งกันและกัน มีชาติหนึ่งคุณรักผู้หญิงคนเดียวกันกับเขา แต่เธอคนนั้นรักเขาคนนั้น จิตก็เลยเกลียดอาฆาตพยาบาทตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พอเจอกันในชาติไหนๆก็ตามจะไม่ถูกชะตาทันที
     
  10. ?????

    ????? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +239
    การคิดเป็นธรรมชาติของเขาใครก็ห้ามไม่ได้ คิดดีหรือคิดชั่ว(ส่วนใหญ่กิเลสพาคิดชั่วหมด)ก็ไม่ใช่ของเรา อย่าไปเอาความคิดนั้นมาเป็นของเราก็พอ ให้ภาวนามีสติติดแนบกับจิต ความคิดคุณจะน้อยลงเป็นลำดับ หากภาวนายังไงก็ไม่มีสมาธิเลย ให้พิจารณาความคิดนั้นๆแทน(ความคิดอกุศล)พิจารณาว่าสังขาร(ความคิดปรุงแต่ง)นี้เป็นของเราจริงๆหรือไม่ ถ้าเป็นของเราจริงทำไมเราสั่งให้มันไม่คิดไม่ได้ ค่อยๆพิจารณาไป นี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ หากทำได้อย่างต่อเนื่องไม่นานจิตคุณจะสงบลงและเป็นสมาธิต่อไป ขออนุโมทนาสาธุกับการเริ่มต้นปฏิบัติที่ดีของคุณด้วย
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    อย่าเอา อารมณ์ไปใส่ให้มัน อย่าเอาความรู้สึกไปใส่ให้มัน

    กิเลส มันยิ่งว่ายิ่งยุ คราวต่อไป ถ้ามันปรามาส ก็ช่วยมันเสริมต่อไปเลย

    ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นบาปเพิ่ม เพราะเราไม่ได้มีเจตนา ตัวสังขารบ้ามันปรุงไป เราก็ช่วยเสริมมัน มันจะได้หายบ้า

    หลักการคือ เมื่อมีเวทนาไปใส่ให้มัน มันย่อมมี ตัณหาและอุปาทาน ซึ่งนำไปสู่ การยึดการติดข้อง ในวิถีเดิมๆ

    ให้ดับ การไปรู้สึกว่ามันดี หรือไม่ดี ดับตรงนั้นพอ
     
  12. devilishmom

    devilishmom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +135
    ผมก็เคยเป็นเหมือนกันครับ เอาหนักๆๆ พยายามไม่คิด แต่มันก็จับได้เป็นครั้งคราว แต่ที่นี้มาลองทำ ถ้าคิดหรือรู้สึกตัวว่าคิดก็พยายามที่จะขอขมา นึกถึงท่านแล้วก็คิดว่าเราเข้าไปกราบแทบเท้าท่าน ทำไปบ่อยๆ อารมณ์นี้มันก็จะเริ่มหายไปเองครับ
     
  13. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    ผู้ปฏิบัติหลายคนเคยเจอปัญหานี้ครับ ผมเองก็เป็นครับ

    ใช่วิธีคิดในใจทางที่ดีสักเรื่องขณะสวดมนต์หรือปฏิบัติธรรม

    ผมเองเป็นตอนแรกๆเครียดมากเลยครับ ไม่รู้จะแก้อย่างงัยดี

    เพราะสวดไปคิดไม่ดีกับพระไปด้วย รู้สึกบาปและแย่มาก

    ตอนหลังพอรู้ว่าคิดก็จับความคิดให้อยู่กับอารมณ์ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    หรือไม่ก็คิดว่า เดียวเราก็ตายแล้ว เดียวเราก็ตายแล้ว แบบนี้แหละครับ

    คิดอยู่แบบนี้แล้วก็สวดมนต์ไป ตอนนี้หายแล้ว สวดมนต์ได้สะบายใจขึ้นเยอะเลย

    ครับ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2x1.jpg
      2x1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.2 KB
      เปิดดู:
      61
  14. ข้าน้อยๆ

    ข้าน้อยๆ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +17
    เรื่องอย่างนี้ผมเคยเป็น...
    ไปเที่ยวต่างจังหวัด ปักกลดไม่เรื่อยตามวัด แถวเมืองกาญจนบุรี ตกค่ำก็เดินจงกรม
    จิตเกิดปรามาสพระพุทธเจ้าขึ้นมา เกือบทั้งคืน ภาวนาพุทโธ ได้ครั้งสองครั้งเอาอีกแล้ว
    นี่..มาแสวงหาความดีหรือมาเอาไฟเผาตัวเอง ...เอาไงดี เดี๋ยวเป็นบ้านะเนี่ย

    ผมใช้วิธีนี้ครับ ..ขอขมากรรม

    รัตตะนะตะเย ประมาเทนะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเมภันเต
    อุกาสะ ขะมามิภันเต (สามจบ)

    ถ้าเป็นพระองค์ใดองค์หนึ่ง ก็ใช้..

    มหาเถเร ปะมาเทนะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเมภันเต
    อุกาสะ ขะมามิภันเต (สามจบ)

    ท่องทั้งคืน บางครั้งมากกว่าสามจบก็มี บังคับให้จิตอยู่กับคำสวดขอขมานั้น ใจที่ร้อนรุ่มก็สงบลง ไม่วุ่นวายอีก
    นานๆ มาที ก็ท่องอีก เอาให้เข็ด.. ตอนนี้พอจะเกิด.. สติรู้ทัน ความคิดนั้นดับลงทันที..

    เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ..ท่านอื่นอาจใช้วิธีที่ต่างกันออกไป..
    เรียกว่า แล้วแต่อุบายความแยบคายของใครของมัน..


    :d
     
  15. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    เอามือตีหัวตัวเองเเรงๆสิครับ
     
  16. czbz

    czbz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +7
    อืมครับ ถ้าคิดตามรู้สึกตามเมื่อไหรเสร็จเลย ต้องหยุดทันที ต่างคนก็มีวิธีของตนเองกันทั้งนั้นเลย เดวผมจะหาวิธีของผมมั้งละ ขอบคุณทุกคนสำหรับคำแนะนำดีๆครับ

    ปล.บางทีมันพลาดดันไปปรุงว่า นี้เรามันเลวขนาดนั้นเลยหรอ เราตกนรกหมกไหม้แน่ เราไปปรามาสท่านแบบนี้(อันนี้เสร็จเลยครับ เศร้าไปอย่างแรง)

    ปล2.คือความคิดพวกนี้เราห้ามมันไม่ได้ใช่ไหมครับ แล้วเราจะทำไงกับมันดีเมื่อห้ามไม่ได้??

    สงสัยเลือดคลั่งในสมองแน่ เพราะมันเป็นบ่อยแถมห้ามไม่ได้ ฮาๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2011
  17. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +705
    กำไฟแช๊คไว้คิดเมื่อไหร่จฺดไฟรนทึ่คางเลยทนได้ให้มันรู้ไป
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    คุณ เจ้าของกระทู้ ก็ทราบชัดแล้วว่า หากจับ สภาพธรรมที่จรมา
    ก็จะเกิดการสำคัญ

    1. ตนว่าเลว(กรณีคนที่เป็นนิมิตเป็น คนมีฐานะสูงกว่า)
    2. ว่าดี(กรณีคนที่เป็นนิมิตเป็น คนที่มีฐานะต่ำกว่าตน)

    หลังจาก จิตไม่ตั้งมั่นต่อการเห็น กิเลสจรมา

    ปัญหา จึงไม่ได้อยูที่ จิตปรามาส ที่มันจรมา

    ปัญหา มันไปอยู่ที่ ไปคว้าเอากิเลสที่จรมา คิดว่ามันเป็นของตน

    พอสำคัญว่า กิเลสที่เศร้าหมองจรมาเป็นของตน ก็เกิดการร้อยรัดด้วยสังโยชน์

    เมื่อถูกร้อยรัดด้วยสังโยชน์ ก็สาระวนอยู่กับ การขอขมาบ้าง การสมใจที่ได้
    ปรามาสบ้าง แล้วแต่ ฐานะของสภาพที่เหมือนจะเป็นบุคคล ที่ลวงตา อำพราง
    เอาไว้ในกิเลสจร

    วิธีที่ควรใส่ใจคือ ให้รู้ว่า จิตไม่ตั้งมั่นต่อการเห็น กิเลสจร

    หากจิตตั้งมั่น ไม่ไปคว้ามาสำคัญว่า ตนมี ตนทำ กิเลสจรเหล่านั้น
    จะแสดง สัจจ คือ เผยให้เห็นถึงการดับไปเป็นธรรมดา

    เมื่อมันแสดงสภาพความเป็นจริง ณ ปัจจุบันขณะให้เห็นต่อหน้าต่อตา
    โดยมีจิตตั้งมั่น เป็นกลางต่อการเห็น กายและใจ ก็จะเข้าใจ จุดที่
    จิตหนึ่งแยกออกมาจาก อุปกิเลส ไม่เข้าไปส่วนสุด คือ 1.จมกิเลส
    (สำคัญว่ากิเลสเป็นของตน) และ 2.จมสมถะ(สำคัญอยู่กับการทำ
    ความสงบ) ก็จะเห็น สุขอย่างยิ่งที่อยู่ตรงทางสายกลาง

    ก็จะเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นเพียง เครื่องมือ หรือ อุบาย ในการฝึก
    ให้เข้ามาเห็นสิ่งที่เรียกว่า ทางสายกลาง

    ที่เหลือคือ ทำการเห็นให้มากๆ จนกว่า จิตจะยอมรับถึงการมีอยู่
    ของทางสายกลาง จนกระทั่งจิตตัดสินความรู้ ไม่ใช่เราไปคว้า
    ว่าเป็นผลงานของตัวเอง(อุปทานขันธ์ ทำให้ติด ไม่ไปไหน)

    สิ่งที่พึงสังเกตุ โดยแยบคาย

    1. การเห็น อุปทานขันธ์ ตรงนี้จะต้องเห็นตามความเป็นจริง ซึ่งจะรู้สึกว่า
    เราไม่ได้เป็นผุ้เข้าแทรกแซง หรือ กระทำ ทั้งการเห็นการดับ และการเห็น
    การข้ามอุปทาน

    2. กรณีที่เป็น การคิดคาดคะเนไปว่า เห็น อุปกิเลสดับ การคาดคะเนนั้น
    หากมันมี ตนเข้าไปแทรกแซง จะเกิดความรู้สึกว่า กูเก่ง กูทำได้ ทันที
    ที่ข้ามได้จะเกิดการกระเดิด ดีใจ หากรู้สึกว่าข้ามไม่ได้ ก็จะเสียใจ แต่
    หากมันข้ามได้จริงๆ จะรู้สึกว่า ไม่มีตัวเองเป็นผู้ข้ามได้ มีแต่ สภาพธรรมเกิดดับ

    3. ระวังการคิดว่า "โดนทดสอบ" จะโดนมันหลอกซ้ำซ้อน ทำให้ติด
    ส่วนที่ไม่ใช่เราติด แต่ไปเห็นว่า เขาเอามาทดสอบ จะผลิกไปสู่ศาสนาพระเจ้า
    ดลบันดาลอย่างน่าเสียดาย ซึ่งจะออกลูก กูผ่านการทดสอบ หรือกูไม่ผ่าน
    การทดสอบ มันจะมี กู ซึ่งจะอาจะอ้อมแอ้มนิดหน่อยเพราะว่า ไปเห็นว่า
    มีผู้มาทดสอบที่อยู่เหนือกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2011
  19. นาคานาวี

    นาคานาวี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +14
    555 อันนี้แล้วแต่ครับ ผมไม่ทราบว่าคุณปรามาสอะไรในใจ สิ่ที่คุณปรามาสในใจอยู่นั้นเป็นสิ่งสักการะ หรือ สรณะของคุณหรือไม่ก็ไม่ทราบ เพราะคุณไม่บอก แต่ถ้าเป็นสิ่งที่คุณบูชาหรือเป็นที่พึ่งของคุณแล้วคุณคิดปรามาสอยู่ มันไม่ใช่คุณคิดครับ มันเป็นไปอย่างนั้น ๆ ของมันเอง แต่คุณเผลอคิดว่าเป็นคุณ บางทีคุณอาจถูกทดสอบอยู๋ หรือ อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมเคยอ่านเจอในคำสอนของสุปฏิปัณโณท่านหนึ่ง ไม่ใช่ผมคิดเองนะ ส่วนคุณพิจารณาเองว่าตรงกันไหม กับสิ่งที่เรียกว่า กิเลสละเอียด ซึ่งมันอาจเกิดขึ้นได้ถ้าคุรเริ่มทำไรจริงจังขึ้นมา มาทดสอบคุณ ถ้าคุณผ่านไปได้ คุณใกล้เจออะไรดีๆๆ แล้ว เป็นกำลังในให้นะครับ *** ถ้ามันเข้ามาอีกบอกตัวเองว่าไม่ใช่กู กูรู้ทันมึง มึงคือกิเลสละเอียด *** ลองดุนะเอาอย่างนี้ก็ได้ ปรับใช้นะครับ คนเราทำกรรมาไม่เหมือนกัน/// แต่ถ้าเป็นกิเลสละเอียดจริง ผมว่าคุณใกล้ของดีแล้ว แค่ผ่านตรงนี้ไปก่อน เป็นกำลังใจนะครับ//นาคานาวี
     
  20. ไผ่แดง

    ไผ่แดง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +1
    ห้ามได้คร้าบบบ...ถ้าห้ามไม่ได้ เราคงไม่สามารถทำสมาธิได้

    จิต คือผู้คิด ผู้นึก
    เมื่อสติรู้เท่าทันจิต จิตก็หยุดคิด หยุดนึก สงบเป็นสมาธิ
    การทำสมาธิ หมายถึง ทำให้จิตเป็นเอกคตา เป็นอุเบกขา

    โอเคป่ะ...สาธุ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...