อีกหลายด้านมุมของแม่ชีทศพร ที่อยากให้รู้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย งูขาว, 30 เมษายน 2011.

  1. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    1พาญาติธรรมออกโรงทานตลอดทั้งปี ครั้งนึงทำอาหารเป็นสิบๆตัน
    2ในหลวงพระราชทุนสนับสนุนแม่ชี จัดอบรมพระวิปัสนาจาร ตั้งแต่พระนิสิตป.ตรี โท เอก ร่วมร้อยๆรูป จัดมา 6-7 ปี (พระที่นี้ และ ผู้บวชเนกขัมมะบารมี ล้วนแต่เจริญ สติปัฎฐานสี่ กันทั้งหมด
    3 โครงใหญ่ๆ อีก 12 เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
    - โครงการปลูกป่า
    - โครงการซื้อที่ดิน
    - สร้างอาคารปฏิบัติธรรม
    - ศาลาปฏิบัติธรรม
    - กุฎิกรรมฐาน
    - อาคารเรียนพระปริยัติธรรม
    - อาคารปฏิบัติธรรม
    - โรงครัว-อาหาร
    - สร้างห้องสุขา
    - บูรณะกฎีทรงช่วย
    - สร้างคัมภีร์ตำรา
    - ตั้งกองทุนเพื่อการศึกษา
    4 เผยแพร่ธรรมะออกไปทั่วโลก
    5 สร้างสะพาน
    6 แม่ชีไม่เคยเรียกร้อง เงินเดือนก็ไม่มี ท่านทำให้ มีแต่ให้
    7 บิณฑบาตร ขอข้าวโยม
    8 เปิดศาลากรรม เพื่อช่วยคน ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่เคยแบ่งแยก
    ยังมีอีกมากมาย ที่พวกเรายังรู้จักแม่ชีท่านไม่หมดและท่านยังคงทำให้แก่พระพุทธศาสนา ประเทศชาติ และพระมหากษัตริย์ มากกว่า 10 ปีแล้ว และยังคงดำเนินต่อไป ขอเป็นส่วนนึงที่สนับสนุนคนดี ให้เกิดให้มีไปทั่วแผ่นดินไทย ให้เป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
     
  2. naron

    naron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2,515
    ค่าพลัง:
    +3,573
    อนุโมทนาสาธุบุญกับคุณแม่ชีทุกๆกองบุญนะครับและทุกๆท่านครับ
     
  3. วโรดม

    วโรดม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +47
    แม่ชีเป็นหนึ่งในครูอาจารย์ของผมในชาตินี้ครับ
    ผมขออนุโมทนาบุญ และมีโอกาสปัจจัยจะไปร่วมบุญที่วัดตลอดไปครับ
     
  4. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    [FONT=arial,sans-serif]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะพระโสณะและพระอุตตระ) [/FONT]


    [FONT=arial,sans-serif][FONT=arial,sans-serif]1. หลวงปู่พระอุตตรเถระเจ้า [/FONT][/FONT]​



    [FONT=arial,sans-serif][FONT=arial,sans-serif]2. หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า [/FONT]



    [FONT=arial,sans-serif]3. หลวงปู่พระมูนียเถระเจ้า [/FONT]

    [FONT=arial,sans-serif](หลวงปู่อิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์) [/FONT]





    [FONT=arial,sans-serif]4. หลวงปู่พระฌาณียเถระเจ้า [/FONT]

    [FONT=arial,sans-serif](หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จ.ลพบุรี) [/FONT]





    [FONT=arial,sans-serif]5. หลวงปู่พระภูริยเถระเจ้า [/FONT]
    [FONT=arial,sans-serif](หลวงปู่หน้าปาน หรือหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด วัดโอภาสี กรุงเทพฯ)[/FONT]




    [/FONT]
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></B>
    [FONT=arial,sans-serif]ประวัติ สมเด็จพระบรมครู หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา[/FONT]​

    หลวงพ่อกบ เป็นใคร ? มาจากไหน ? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ไม่มีใครรู้แน่ชัด เพราะท่านไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว ใครถามมักตอบเพียงว่า กูไม่มีอดีต กูมีแต่ปัจจุบันและอนาคต" และหากใครถามถึงอายุ ท่านจะว่า กูจำไม่ได้" แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย
    คนใกล้ชิดและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเขาสาริกาเล่าว่า หลวงพ่อกบ น่าจะเป็นพระธุดงค์ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว คาดว่าน่าจะมีเชื้อสายจีน ท่านเดินด้วยเท้าเปล่ามาจากไหนไม่มีใครเห็น คาดว่ามาจากทางแม่น้ำน้อยหรือทางทิศตะวันตกของ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มีท่าทีประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป ชาวบ้านพบครั้งแรกในสภาพนุ่งห่มจีวรเก่าคร่ำคร่า แบกไม้คานหาบกระบุงเปล่าไว้บนบ่า 2 ใบ เดินผ่านมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชาวบ้านร้องทักว่า หลวงพ่อหาบกระบุงเปล่าไปทำไมท่านก็พูดว่า กูหาบมาใส่เงินใส่ทองโว้ยว่าแล้วก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปพำนักในวัดเขาสาริกา หมู่ 6 ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ซึ่งสมัยนั้นเป็นวัดเก่า ๆ เกือบจะเป็นวัดร้าง ราวปี พ.ศ. 2430
    หลวงพ่อกบมาถึงวัดเขาสาริกาไม่พูดจากับใคร นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างเดียว ไม่ทำความรู้จักกับใครทั้งนั้น แม้พระภิกษุด้วยกันในวัดก็ไม่เคยพูดด้วย ท่านฉันภัตตาหารแต่น้อยไม่กี่คำก็เลิก ข้าวปลาอาหารที่ญาติโยมนำมาถวายก็โกยมากองรวมกันโยนให้สุนัขและแมวกินเป็นประจำ ใครนำเงินทองมาถวายก็โยนเข้ากองไฟหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว
    แรก ๆ หลวงพ่อกบนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัดเขาสาริกา ตากแดดตากฝนอยู่เพียงลำพัง ชาวบ้านสงสารปลูกเพิงพักหลังคามุงแฝกหลังเล็ก ๆ ให้พอหลบแดดฝน ท่านก็ไม่ว่าหรือทักท้วงอะไร ยอมขึ้นไปพำนักในเพิงพักโดยดี
    นานหลายปีที่หลวงพ่อกบนั่งบำเพ็ญเพียรเพียงรูปเดียวอยู่เช่นนั้น ก็เริ่มมีคนต่างถิ่นและคนแปลกหน้าเดินทางมากราบไหว้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์เล่าเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดเขาสาริกามากขึ้นทุกที สร้างความแปลกใจให้ชาวบ้านและพระในวัด เพราะท่านไม่เคยออกจากวัดไปไหน สอบถามทุกคนจะตอบว่า เคยใส่บาตรกับท่าน รู้สึกศรัทธาก็เลยมาหา" บางคนมาจากเชียงใหม่บ้าง กรุงเทพฯบ้าง สุราษฎร์ธานีหรือภูเก็ตก็มี ไม่เว้นแม้สงขลา ยะลา ปัตตานี ยิ่งทำให้ชาวบ้านกังขามากขึ้น ซึ่งนับวันผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท่านก็ไม่ค่อยพูดกับใครเหมือนเดิม ยกเว้นลูกศิษย์ใกล้ชิดไม่กี่คน
    ต่อมาเพิงหลังคามุงแฝกของหลวงพ่อผุพังลง ลูกศิษย์และชาวบ้านที่ศรัทธารวบรวมเงินบริจาคสร้างกุฎิไม้ถวาย 1 หลัง มีขนาดกว้างขวางกว่าเดิม ใช้เป็นที่พำนักของหลวงพ่อและลูกศิษย์ที่บ้านอยู่ไกล เผื่อเดินทางมาหาหลวงพ่อจะได้ไม่ลำบากเรื่องที่นอน
    นับวันวัดเขาสาริกาจะกลายเป็นศูนย์รวมผู้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ ทำให้ถูกทางการสมัยนั้นจับตามองกล่าวหาว่าเป็นแหล่งมั่วสุมผู้คน พ.ศ. 2450 ทางการส่งเจ้าหน้าที่มาสอบถามและตรวจสอบ แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย พบเพียงผู้คนมาปฏิบัติธรรมและไม่ได้เป็นที่ซ่องสุมผู้คนจึงกลับไป
    ต่อมามีคณะพระผู้ใหญ่เดินทางมาหา หลวงพ่อกบ อีกครั้ง เพื่อสอบสวนประวัติความเป็นมา เนื่องจากกลัวเป็นพวกลัทธิใหม่หรือพวกนอกรีต เนื่องจากพฤติกรรมของท่านค่อนข้างประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าเป็นใครและใครเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงมีการทดสอบความรู้เรื่องธรรมะกันขึ้น ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าอะไร หัวข้อเท่าไหร่ หลวงพ่อกบตอบถูกทั้งหมดและท่านถามกลับไปว่าหัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไรปรากฎว่าไม่มีใครหรือพระเถรผู้ใหญ่ตอบได้แม้แต่รูปเดียว เงียบกันหมด ท่านจึงเฉลยให้ฟังว่าหัวใจพุทธศาสนาก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญาเพราะเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์
    เท่านั้นเองกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่พระผู้ใหญ่ไม่พอใจ สั่งให้ หลวงพ่อกบ ลาสิกขาบท กล่าวหาว่าเป็นพระเถื่อนไม่มีใบสุทธิบัตร พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านก็ไม่สนใจหรือเถียงอะไรยอมถอดจีวรออกลาสิกขาบทโดยดี หันมานุ่งขาวห่มขาวแทน ตอนนั้นลูกศิษย์ร้องไห้ระงมทั่ววัดเขาสาริกา เพราะสงสารท่าน จนหลวงพ่อบอกว่า พวกมึงจะร้องทำไมกันวะ พระก็คือพระวันยังค่ำ จะใส่อะไรก็เป็นพระ เหมือนทองจมขี้โคลน ยังไงก็เป็นทองนั่นแหละทำให้ลูกศิษย์คิดได้ว่า พระไม่ได้หมายถึงการนุ่งห่มผ้าเหลือง แต่หากสามารถลดละกิเลสได้ ไม่ว่าแต่งกายชุดอะไรก็ถือว่าเป็นพระอยู่วันยังค่ำ พระแท้พระดีจึงมิไช่อยู่ที่ผ้าเหลืองด้วยประการฉะนี้
    หลวงพ่อกบมรณภาพและสังขารในวันที่ 17 ธ.ค. 2497 ท่ามกลางความเศร้าโศกของศิษยานุศิษย์ทั่วหน้า และน่าแปลกใจที่ว่าเช้าวัดถัดไปคือวันที่ 18 ธ.ค. หลวงพ่อโอภาสีเดินทางมาถึงวัดเขาสาริกาเพื่อมาเป็นธุระในการทำพิธีฌาปนกิจศพของหลวงพ่อกบ ผู้เป็นอาจารย์ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความงุนงงให้ผู้คนและลูกศิษย์ เนื่องจากสมัยก่อนการสื่อสารไม่รวดเร็วเหมือนปัจจุบัน การส่งข่าวไปหากันแต่ละครั้งใช้เวลาหลายวัน บ่งบอกได้ว่า หลวงพ่อโอภาสี ก็เป็นพระอภิญญาเหมือนอาจารย์ทุกประการ เพราะสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปในโลกและรับรู้ว่าอาจารย์ละสังขารแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

    ที่มาของชื่อ หลวงพ่อกบ"

    ชั่วชีวิตของ หลวงพ่อกบ ท่านไม่เคยบอกว่าชื่ออะไร ? มาจากไหน ? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? เกิดเมื่อไหร่ ? บวชเมื่อไหร่ ? ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ? ลูกศิษย์ลูกหาจึงต้องหาชื่อมาเรียกกันไปต่าง ๆ นานา เช่น หลวงพ่อใหญ่บ้าง หลวงพ่อ เฉย ๆ บ้าง
    วันหนึ่งฝนตกหนัก ฟ้าผ่าเสียงดังและลมพายุพัดแรงมากจนกุฎิสั่นคลอน ชาวบ้านและลูกศิษย์กลัวกุฏิพังชวนท่านหนี ท่านบอกว่า มึงกลัวอะไรกัน เดี๋ยวก็หยุดตกแล้ว"พักเดียวฝนหยุดจริง ๆ และมีเสียงกบร้องดังลั่นทุ่งนา ชาวบ้านและลูกศิษย์ดีใจพากันไปจบกบมาแกงกิน แต่ไม่เจอสักตัวเดียว หลวงพ่อเลยอาสาไปจับมาให้เอง ปรากฎว่าจับมาเต็มข้องส่งให้ไปทำกินกันและท่านกำชับว่า กินไม่หมดให้เอาไปปล่อยอย่าให้เหลือ" แต่มีชาวบ้านและลูกศิษย์บางคนแอบใส่ไหซ่อนไว้ รุ่งเช้ามาดูกลายเป็นใบสะแกและใบไม้อื่น ๆ อีกมากมาย สร้างความตกตะลึงให้ทุกคน ต่างขนานนามของท่านว่าหลวงพ่อกบ" ด้วยเหตุนี้
    แต่ในบรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ได้รับการสอนธรรมะมักจะเรียกท่านว่า สมเด็จพระบรมครู" หมายถึง ครูคนแรกในการสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน แต่ภายหลังกลายมาเป็น สมเด็จพระบรมครู หลวงพ่อเขาสาริกา หรือ หลวงพ่อเขาสาริกา แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จนทุกวันนี้
    หลวงปู่พระฌาณียเถระเจ้า
    (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จ.ลพบุรี)
    ปรมาจารใหญ่ สหธรรมมิกพระภูริยะ หรือหลวงปู่หน้าปาน เป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างสร้างบารมีต่อ โดยอาศัยร่างท่านพระมหาชวนหรือหลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด ผู้เป็นอาจารย์หลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต หลวงพ่อปรีชา ผู้เป็นอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ แม่ชีทศพร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.5 KB
      เปิดดู:
      979
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2011
  5. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    -ทุกวันอาทิตย์ นำพาผู้ปฎิบัติธรรมพร้อมด้วยบุคคลทั่วไปร่วมถวายสังฆทาน แด่พระภิกษุสงฆ์ครั้งนึงไม่ต่ำกว่า200ถึง400ถัง
    -จัดให้มีการปฎิบัติธรรมบวชเนกขัมมะบารมี ทุกวัน ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย มีชุดให้พร้อมเครื่องนอน ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย
    - บวชพระ ทุกวันสำคัญ ตลอดทั้งปี ทุกปีฟรีค่าใช้จ่าย
    - ได้รับมอบหมายดูแล เรื่องภัตตาหาร ถวายพระนับพันรูป ในแต่ละเดือน ที่มหามกุฎราชวิทยาลัย
    - เงินขายหนังสือทั้งหมด ที่ทำมา นำมาอุปถัมป์พระศาสนาทั้งหมด
    - สร้างวัดที่ต่างประเทศ
    - นำพาญาติโยมบูรณะ พระปรางห้ามสมุทร(หน้าวัด) เพื่ออธิษฐานจิตไม่ให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ
    -นำพาญาติโยมถวายผ้าไตรจีวร ภัตตาหาร น้ำปานะ และอีกหลายอย่างแด่พระสุปฎิบันโน(พระที่เจริญสติปัฏฐานสี่ทุกอิริยาบท ในโครงการที่แม่ชีเป็นแม่งานใหญ่จัดมา5-6ปี) เพื่อให้ญาติโยมได้อานิสงค์มหาศาล
    (ท่านมักจะบอกเสมอว่าอย่ามาทำกับท่าน ให้ทำกับพระสงฆ์ บุญมากมายมหาศาล)
    - วันที่ 5 พค 2554 นี้ ที่วัดพิชัยญาติ มีงานหล่อ แม่พระธรณี จึงขอเรียนเชิญญาติธรรมทั้งหลาย มาร่วมบุญกันนะ)
     
  6. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    เราต้องใส่ใจ ในบุญที่เราทำ

    คำว่าไม่ใส่ใจในบุญ คือ เวลาทำบุญอะไรไม่ค่อยใส่ใจในบุญที่ทำ
    สมมติว่าทำบุญกระเบื้อง อธิษฐานกระเบื้องเสร็จ อาจจะไปใส่ตู้อื่น
    หรือที่ตู้เขามีอะไรเขียนไว้ ไม่เคยอ่านกัน...
    แล้วอธิษฐานแล้ว บางทีไม่เข้าใจในคำอธิษฐานนั้นๆ ไปหยอดตู้ผิด
    เช่น ทำบุญดอกไม้ธูปเทียน ไปหยอดเงินทำบุญตู้ผ้าไตรจีวร

    แม่บอกว่าอย่างนี้คือ ไม่ใส่ใจในบุญ แล้วทำให้บุญตกหล่น
    พอเวลาเราจะอธิษฐานอะไร มันก็ไม่เกิดผล
    เพราะเราอธิษฐานไม่ตรงกับจุดประสงค์ที่เราจะอธิษฐาน

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะทำบุญที่ไหน....
    แม่บอก เขามีอะไรอยู่หน้าตู้อ่านหน่อย
    เขามีอะไรที่จะเขียนบอกบุญไว้ คือให้สังเกตุ ให้อ่าน
    คือเหมือนกับว่าให้เราใส่ใจ และให้ละเอียดกับการทำบุญนิดนึง

    สิ่งที่แม่อยากจะบอกอีกเรื่องคือ
    เวลาทำบุญเราก็ไม่เคยเอ่ย
    ชือ-นามสกุล เกิด วันเดือนปี ของเราเหมือนกัน
    ส่วนใหญ่จะไม่เคยใช่ไหม ?
    ทำบุญอะไรก็ยกมือจบ แล้วอธิษฐานเลย

    เดี๋ยวจะบอกว่าทำไมต้องเอ่ย
    เวลาทำบุญเนี๊ย ถ้าเป็นแม่ แม่จะเอยเลย
    ตัวอย่าง ข้าพเจ้า นาย นาง ชื่อ-นามสกุล เกิด วันเดือนปี
    แม่บอกว่าเอ่ยชื่อ-นามสกุลแล้วทำไมต้องมีวันเดือนปีเกิด
    ชื่อ-นามสกุล เวลาพูดอาจจะพร้องกันได้เพราะเราไม่ได้สะกดตัวอักษร
    แต่วันเดือนปีเกิดไม่มีซ้ำแน่นอน...
    คนเราเกิดมาชื่อนี้ นามสกุลนี้ วันเดือนปีนี้ คนเดียวเท่านั้น

    เมื่อวันเคาดาว์นวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ช่วงบ่ายโมง
    แม่ได้บรรยายธรรมให้ญาติโยมฟัง
    แม่พูดถึงเรื่องว่า... แม่มีโอกาสได้ไปกับครูบาอาจารย์ข้างล่าง
    แม่ไปเจอกับคนที่ดูแลบัญชีบุญกับบัญชีบาป
    แม่บอกว่าเชื่อไหมว่าบัญชีที่แม่ไปเห็น
    ความกว้างของสมุดนั้นหนะใหญ่เท่าลานพระปรางค์วัดพิชัยญาติ
    เป็นสมุดทองคำ แล้วตัวบัญชีข้างหน้าขึ้นเลยว่า "วัดพิชัยญาติ"
    แล้วในขณะที่แม่พูดไปก็จะมีแสงสว่างเกิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นระยะ

    ความสว่างที่เกิดขึ้น คืออะไร โยมเขาทำบุญที่นี่
    ทุกๆ ครั้งที่คำอธิษฐานเกิดขึ้น มีเอ่ยชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด ออกมา
    ก็จะมีชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิดออกมาเช่นเดียวกัน ถูกบันทึกไว้ตามที่เราอธิษฐาน

    พอเปิดสมุดไปจะมีรายชื่อเลย
    เห็นชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด อธิษฐานอะไรมันขึ้นมาเลย

    แม่เลยอยากจะบอกเล่าให้โยมฟังว่าเวลาทำบุญที่ไหนก็ตาม
    เอ่ยชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิดของเราด้วย
    แม่บอกว่ามันจะได้สำเร็จ เพราะเรามีบุญเรามีทุน
    เรามีเงินหนะ เราก็ใช้เงินของเราได้...
     
  7. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    953
    ค่าพลัง:
    +3,165
    จริงแล้วครั้งหนึ่งผมเคยดูคลิปหนึ่ง แม่ชีเองท่านก็กล่าวว่า จริงแล้วท่านแก้กรรมให้ใครไม่ได้ แต่เนี่ยเพราะถึงเวลาเองแล้วต่างหาก
    ผมเองก็เห็นเป็นอย่างนั้น คนที่หาแม่ชี จะทุกข์มาทั้งนั้น แม่ชีจะถามว่า พูดได้ไหม คนที่มาหาที่ทุกข์มาไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ก็จะยอม ให้แม่ชีหาอุบายแก้ทุกข์ ก็ทุกข์ที่เกิดจากจิตที่ติดขัดในกรรม หรือจะเรียกว่าแก้ทุกข์ที่เกิดจากกรรม หรือจะเรียกแก้กรรมอย่างไรดีละ เสร็จแล้วแม่ชีก็จะถามว่า สบายใจขึ้นมั้ย (หรือจะแปลอีกอย่างว่า ทุกข์น้อยลงไหม จิตใจไม่ติดขัดขึ้นไหม) ซึ่งแน่นอนถ้าเราเป็นผู้ปฏิบัติ เราจะรู้ได้เองว่า เราต้องทำอย่างไรกับจิต กับทุกข์ กับกรรม ที่ติดขัดนั้น (แต่คนที่เขาปฏิบัตรมาไม่พอ กำลังใจไม่พอที่จะปฏิบัตร แต่รอการฉุดดึงละ จะทำอย่างไร)

    สำหรับผม คิดว่าแม่ชีเองก็คงไม่ได้ต้องการให้ใครมาแก้ตัวแทนท่าน(เพราะถ้าท่านรู้จริง ท่านคงรู้แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น) แต่ผมเองก็เพียง 1 ทำหน้าที่ ที่ตอบแทนท่านที่ได้ประโยชน์จากท่านมา(จากการที่ เมื่อมีการสนทนาธรรม แน่นอนเมื่อมีผู้พร้อมจะรับธรรมแบบจริงจัง อย่างผู้พร้อม ผมจะเน้นคุยเรื่องการปฏิบัติแก่ตน เพื่อให้ตนดับทุกข์ให้ได้แก่ตน ตามสายพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัตรชอบทั้งหลาย ตามที่ตัวเข้าใจตามที่ได้ศึกษามา แต่หากเห็นว่ายังไม่พร้อมไม่ตั้งมั่นไม่จริงจังในการปฏิบัตรพอแล้ว ก็จะให้รู้จักเกรงกลัวบาปบุญคุณโทษเพื่อเป็นกำลังใจแก่ตนต่อไปในวันข้างหน้า วิธีหนึ่งที่ง่ายสำหรับผมทำให้ผมเบาแรงพอสมควร ก็จะแนะนำให้ไปพิสูจน์ก่อน เช่นที่แม่ชี หรือสถานที่อื่นตามจะสะดวก ที่จะทำให้เขาสำนึกได้ถึงบาปบุญคุณโทษวิญาณผลกรรม สิ่งเหนือการรับรู้อย่างปกติที่เขาเองยังรับรู้ไม่ได้ว่ามีจริงไม่อย่างไร) 2 ถือโอกาสสร้างบุญบางอย่างให้กับตัวเองบ้าง

    คุณธรรมของผู้รับธรรม ไม่เท่ากัน คนมีระดับไม่ไม่เท่ากัน การรับคุณธรรมก็ไม่เท่ากัน
    1-2-3-4-5 มีระดับ ที่จะต้องชักลากช่วยเหลือต่างกัน มีหน้าที่ต่างกัน ตามหน้าที่ ตามฐานะ (ที่ตนปารภไว้)

    สมัยนี้บางคน เชื่อว่า ต้องไม่เชื่อไว้ก่อนไม่งมงาย ไม่เชื่อไว้ก่อนฉลาด ไม่รู้ว่าเชื่อว่าต้องไม่เชื่อไม่งมงายไว้ก่อนโดยไม่ทดลองไม่พิสูจน์ให้ชัด เป็นการเชื่อโดยตามๆกันมาหรือเปล่า
    ส่วนตัวผม จะเชื่อหรือ จะเชื่อว่าต้องไม่เชื่อ ก็ต้องพิสูจน์ทดลองให้ชัดแก่ใจ ไปพิสูจน์ ไปลองให้สาแก่ใจ ก่อนจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อ
    ผิดก็ว่าตามผิด เกิดผลตามผิด ถูกก็ว่าตามถูกเกิดผลตามถูก
    โลกมันเป็นอย่างนั้นเองหนอ กฏของกรรม ทำหน้าที่เสมอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2011
  8. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
    เป็นกำลังใจให้แม่ชีใหญ่ด้วยค่ะ สาธุ
     
  9. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    อนุโมทนา สาธุกับคุณงูขาวด้วยครับ


    ความดีที่แม่ชี ฯ ท่านสร้าง รอท่านสื่อสารมวลชน มาเสนอข่าวอยู่ครับ


    [​IMG]


    <TABLE class=tborder id=post4627212 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">24-04-2011, 10:25 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#9 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->เฮียปอ ตำมะลัง<!-- google_ad_section_end --> [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4627212", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิตพิเศษ

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Mar 2007
    สถานที่: ตำมะลัง ไม่ใช่ ประตูน้ำ
    ข้อความ: 21,878
    พลังการให้คะแนน: 6798 [​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_4627212 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->"><IFRAME title="YouTube video player" src="http://www.youtube.com/embed/afbOIkNpwmI" frameBorder=0 width=480 height=390 allowfullscreen></IFRAME>



    ...<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    ขอบพระคุณพี่ใหญ่แห่งเวป เฮียปอ ตำมะลัง ที่ได้นำสิ่งดีๆมาให้น้องๆได้ชม ด้วยความเคารพอย่างสูงพี่
     
  11. ๒ อัฐ

    ๒ อัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +140
    ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ ผมว่าที่เห็นในการเสนอทางข่าวนั้น ข่าวก็คือข่าวไม่มีใครตัดสินได้ว่าจริงหรือไม่จริง ผมเสนอแบบเป็นกลางนะครับว่า ข่าวที่ออกมาคือไม่ได้ศึกษาค้นคว้าให้ดีก่อนแล้วค่อยออก เชื่อได้เลยครับว่าพอรู้เข้าจริงๆ ข่าวก็ไม่ออกมาแก้ให้หรอกครับ คนเราทั่วไปก็เหมือนกันชอบข่าวทางลบมากกว่าทางดี ผมคนหนึ่งที่ไม่นิยมเสพข่าวเท่าไหร รายการอื่นๆ ก็เหมอนกัน เพราะผมคิดว่า อะไรก็ช่างอยู่ที่เราพิจารณาและตัดสินโดยต้องคำนึกถึงความเป็นกลาง อาจเพราะเหตุนี้ครับ พ่อแม่ครูอาจารย์จึงสอนไม่ให้ไปสนใจกับเรื่องพวกนี้ ผมคิดว่า ทองแท้ไม่แพ้ไฟหรอกครับ
    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. starcom1

    starcom1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +726
    เป็นคนนึงที่เครพแม่ชีท่านนี้ครับ แต่ไม่เห็นด้วยกับการดูกรรมแบบหมิ่นเม ที่ทำอยู่ เดิมไม่มากแต่นานหลายปีมีคลิบออกมามากมาย และเริ่มจะเลยเถิดครับขออภัยไม่ได้ว่าท่านครับ แต่อยากให้ท่านวางตัวให้ดีเหมือนเดิมครับ ผมเคยศรัทธาท่านไปเพื่อจะดูกรรม แต่เห็นคนแย่งกันมากเลยนั้งฟังกรรมของคนอื่นๆอยู่2ครั้ง จนมีการจัดเทศมหาชาติที่วัดพิชัยญาติ และผู้ที่จะเป็นเจ้าภาพท่านบังคับว่าต้องสองหมื่นบาท ผมก็เป็นเจ้าภาพกัณทศพรครับ ปี2552 รวมกับท่านอื่นด้วย ได้ฟังเทศน์มหาชาติที่นั้นและได้นั้งติดกับธรรมมาสที่พระเทศ ฟังทั้ง2วันเช้าจนมืด เกิดรักนิพานมากจนขอบวชตลอดชีวิตกับพระประธานไว้ครับ เป็นอยู่2-3วัน ก็ปกติรู้สึกจิตใจสงบขึ้นนิดหน่อย อยากรู้ตัวเป็นอะไรได้ไปดูกับคุณซัน แก่บอกเป็นโสดาบันแล้ว ก็ดีใจแต่ก็ยังไม่เคยดูกรรมกับแม่ชีเลยเพราะคนมากคลอด ผมเป็นคนที่ไม่ได้อยากดูมากถ้าหากดูวุ่นวาย ตั้งแต่2ปีมานี้พระอยู่ในใจ ไม่ได้อยากเห็นสวรรค์-นรกเลย ไครๆก็ทำได้ ถ้าจะทำ อยากสงบมากกว่า ปฏิบัติอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปวัดพิชัยญาติอีกเลย อยากไปและคิดจะไปอยู่ตลอด แต่พอมีข่าวอย่างนี้ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี เพราะวัดรองรับผู้คนไดไม่พอ ที่วัดก็มีสิ่งดีๆแล้วแต่ไครจะไปเก็บมาได้ แต่คนนำสิ่งไม่ดีเข้าไปในวัดทำให้ศิล ที่พระและชีที่นี้ลดลงหรือเปล่า ไม่ได้ว่านะครับกลัวบาป แต่ผมเกิดมาเพื่อพุทธศาสนา หวังว่าทุกคนจะเข้าใจพระอยู่ที่ตัวเรา ดีชั่วอยู่ที่ใจ ทำดีไว้จะมีสิ่งศักดิ์สิทธ์มาคุ้มครองท่านแน่นอนครับ ที่อ่านกระทู่ทำไมทุกอย่างออกแนววัตถุ ต้องเหนื่อยวุ่นวาย ถึงจะบอกว่าได้ทำบุญครับ ทำบุญทำดี แบบไม่มีการประกาศจะได้ไหมหนอ สุขกับการละไปทีละอย่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2011
  13. ครูแหม่ม

    ครูแหม่ม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +35
    ขออนุโมทนาบุญทุกๆบุญที่ท่านได้สร้างขึ้น เคารพและเลื่อมใสแม่ชีคะ
     
  14. ต้า จง ฉือ

    ต้า จง ฉือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +160
    วันนี้ได้ดู รายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์นี้ เเล้วมีข่าวเเม่ชี
    ผมฟังเเล้ว ได้เเต่ถอนหายใจ
    เอาเถอะน่า รายการที่ผมเคยติดตามมานาน วันนี้ผมขอที่ไม่ดูไม่ติดตามอีกต่อไป
    เพราะพิธีกร ได้เอาเเต่คลิปที่เป็นกระเเสมาออก พิธกรคือ คุณ ส.เองได้บอกว่าขออนุญาตตัดมาเเค่บางตอนนะครับ เเล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
    คือ มันเป็นช่วงคำพูดที่หมิ่นเหม่ ว่าเเม่ชีขอเบอร์ เเล้วว่าจะโทรไปหา หากได้ดูคลิปทั้งหมด ทุกคนต่างรู้ดีว่าเเม่พูดเล่น ติดเเต่ให้กำลังใจชายคนนั้นมากกว่า
    ไม่มีเจตนาชู้สาวใดๆ เเต่รายการก็ยังดื้อดัน ออกเเนวนี้มา 3-4วันติด โดยไม่ได้เป็นกลาง
    ไม่ได้นำคนที่เอาคำสอนของเเม่ชีด้านดีมาออกทีวี เจาะลึกไปเลย เอาเเต่คนมาด่า มานำเสนอในเเง่ลบ พูดคำบางคำ ต่อเติมให้ฟังดูเเย่
    เช่นคลิป เปรตในร่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่งใครได้ดูคลิปนี้จะรู้เลยว่า ข้อดีมากกว่าข้อเสีย เพราะคนเป็นพ่อเเม่ นำเด็กมาหาเอง
    เเละที่เเม่ชีบอกว่าเป็นเปรต เพราะอะไร เพระเด็กคนนี้ เถียงพ่อด่าเเม่ อยู่ทุกวัน เมื่อการกระทำของความเป็นมนุษย์มันต่ำลง
    มันก็เลยทำให้วิญญาณกรรมหนักที่ มีกรรมไม่ต่างกัน เขามาอาศัยร่างกิน ข้าว กินปลา ด้วยความทุกข์ทรมาน น้องผู้หญิงคนนั้นก็ร้องไห้เเละรู้สำนึกทั้งที่มีอาการกระตุก คอยืดคอยาว ซึ่งน่าสงสารมาก เจตนาของเเม่ชี คือช่วยน้องเขา เเล้วที่เเม่ชีท่านบอกว่าจะเอาไฟช๊อตนะ
    คือ เเม่จะช๊อตเปรตตนนั้น ที่มาอาศัยร่างน้องเขาอยู่ หากไม่ยอมออกไป เเม่ชีก็ไม่ได้ทำจริงหรอกครับ คนที่ไม่รู้เขาก็เชื่อเพระคำที่คุณพูดนำเสนอออกไปนี่ล่ะ

    เเต่คุณ ส.ก็ได้เเต่อ่านเเล้วทำเสียงหมิ่นเหม่เเม่ชี ที่ไปมีคำสอนอย่างนั้น

    นี่ละครับ ผลที่ได้ก็มาจากสื่อ ที่ไปตัดต่อเอาคลิปมาออก เเล้วก้ไม่นำเสนอด้านดีของเเม่ชีเลย....
    เเล้วwebsite ของเเม่ชีทศพร เองตอนนี้ถูกปิดตัวลงเเล้วนะครับ ซึ่งไม่รู้ชั่วคราวหรือถาวร
    ขอบอกได้เลยว่า รายการเป็นส่วนหนึงของการสร้างวิบากกรรมครั้งนี้เพราะผู้ปฎิบัติธรรมหลายคนได้ข้อคิด ในชีวิตเพราะได้ดูคลิปที่ดีมากมายในเวบไซต์นี้ อีกทั้งคนที่จะติดตามข้อมูลข่าวสาร การทำบุญ ในที่ต่างๆของเเม่ชีของวัด ในเเต่ละเดือน เป็นอันว่าจบกัน เลยไม่รู้เลยว่ามีทำบุญเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเพลพระที่ไหน เจ้าภาพสร้างศาลา สร้างโบสถ์ที่วัด โครงการสร้างห้องน้ำ เลี้ยงโรทาน ไม่รู้เบอร์บัญชีที่จะโอนไปทำบุญเลย
    เอาเถอะครับ รายการนี้คงได้เจอวิบากกรรมที่ไปทำเเบบนี้กับผู้ที่ศึกษาปฎิบัติธรรม เท่ากับว่าพวกคุณเเละทีมงานไปตัดทางบุญที่คนจะมาร่วมงาน...
    ขอให้พวกคุณได้เจอผลเหล่านั้นโดยเร็ววัน ไม่ขอเเช่งชักใคร เพระมันคงเป็นบาปเเน่นอน ถือว่าเป็นวิบากกรรมหนักที่พวกคุณเลือกกระทำด้วยเจตนาเเล้วนะครับคุณ ส.เเละทีมงาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • bicyclen.gif
      bicyclen.gif
      ขนาดไฟล์:
      39 KB
      เปิดดู:
      38
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2011
  15. tuboscope

    tuboscope สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +14
    เฮียสอแกชอบสร้างกระแส ทำได้ทุกเรื่องไม่กลัวบาปกรรม

    ทำไมไม่มีใครออกมาชี้แจงให้แม่ชีบ้างเลยล่ะ ปล่อยให้พวกตัดคลิ๊ปมาดิสเครดิตกระจายเลย
     
  16. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    อย่าไปสนใจเลย ต้า จง ฉือ และญาติธรรมทั้งหลาย ทั่วโลก สิ่งนั่น สำคัญฉะไหน กับความดีของแม่ชีท่าน ที่ท่านทำอย่างเปิดเผย พูดจริง ทำจริง ให้คนเห็นเป็นประจักษ์พยานนับร้อย นับล้านดวงตา ญาติธรรมท่านใดเคยพบเคยเห็นสิ่งดีๆที่ท่าน สร้างไว้บนพื้นแผ่นดินไทย ขอให้หยิบยกนำมาเสนอ ให้ผู้ที่มองอะไรแค่ด้านใดด้านนึงให้เห็น กิจของแม่ชีท่านในหลายๆด้าน
     
  17. salesss

    salesss สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +6
    การให้อภัยทาน(ธรรมทาน)ย่อมชนะเสียซึ่งทานทั้งปวง <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>

    <HR align=center color=white SIZE=1 width="100%" noShade>

    "อภัยทานัง อามิสทานังชินาติ" <O:p></O:p>
    ซึ่งแปลว่า"การให้อภัยทานย่อมชนะเสียซึ่งการให้ทั้งปวง"ดังนี้

    คำว่าทาน แปลว่า การให้
    การให้นี้มีอยู่ ๒อย่างด้วยกันที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสไว้
    ให้สรรพสิ่งของต่าง ๆอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าอามิสทาน ได้แก่ การให้วัตถุจะเป็นเงินหรือวัตถุสิ่งของ เครื่องใช้ เครื่องบริโภคก็ตาม เรียกว่าอามิสทานทั้งนั้น

    ทานอีกส่วนหนึ่งที่องค์สมเด็จภควันต์ทรงกล่าวก็ได้แก่ ธรรมทาน ธรรมทานในที่นี้ก็ได้แก่ การบอกธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ชี้เหตุผลให้รุ้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อย่างนี้เป็นต้นอย่างหนึ่ง อย่างนี้เขาเรียกว่า ธรรมทาน

    ธรรมทานอีกส่วนหนึ่งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าสำคัญที่สุดจัดว่าเป็นปรมัตถทาน คือ เป็นทานที่ไม่ต้องลงทุนคือ อภัยทาน

    ทานทั้งสองอย่างนี้ คือ อามิสทานกับอภัยทานนี้มีผลต่างกันอามิสทานนั้นให้ผลอย่างสูงก็แค่กามาวจรสวรรค์ตามนัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสไว้ว่า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    "ทานัง สังคคโสปาณัง"คือว่าการให้ทานย่อมเป็นปัจจัยเป็นบันไดไปสู่สวรรค์นี่สำหรับ อามิสทาน แต่สำหรับธรรมทาน กล่าวคือ ให้ธรรมเป็นทานก็ดีให้อภัยทานก็ดี ให้อภัยทานก็ดี ทานทั้งสองประการนี้เป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน

    สำหรับธรรมทาน ทานที่ ๒ นี่มีความสำคัญมาก การให้ธรรมเป็นทานกล่าวคือนำพระคำคำสั่งสอนของสมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเทศน์เองไม่เป็นก็ไปหาคนอื่นมาเทศน์แทนอย่างนี้ก็ชื่อว่า เจ้าภาพเป็นผู้เทศน์เหมือนกัน เรียกว่าเอาคนมาพูดแทน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    การให้ธรรมทานเป็นปัจจัยใหญ่ เพราะการให้ธรรมทานบุคคลได้ฟังแล้วจะเกิดปัญญาสิ่งใดที่ไม่เคยรู้มาแล้วก็จะได้มีความรู้ขึ้น เมื่อมีความรู้แล้วก็เกิดความมั่นใจมีปัญญาเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ใด บุคคลผู้นั้นก็เป็นผู้หลีกความทุกข์ได้ ถ้าปัญญามีมากก็หลีกความทุกข์ได้มาก ปัญญาน้อยก็หลีกความทุกข์ได้น้อย ดีกว่าคนที่ไม่มีปัญญาเลยไม่มีโอกาสจะหลีกความทุกข์ได้ นี่ว่ากันถึงธรรมทาน

    ธรรมทานอีกส่วนหนึ่งที่มุ่งหมายจะเทศน์กันในวันนี้ก็คือ อภัยทานอภัยทานนี้เป็นการให้ทานที่ไม่ต้องลงทุนด้วยวัตถุแล้วก็เป็นทานสูงสุด<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้ากล่าวว่าใครเป็นผู้มีอภัยทานประจำใจ คนนั้นก็เป็นผู้เข้าถึงปรมัตถบารมีแล้ว คำว่าปรมัตถบารมีนี้ เป็นบารมีสูงสุดเป็นบารมีที่จะทำให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    คำว่าอภัยทาน ก็ได้แก่ การให้อภัยซึ่งกันและกัน หมายความว่า คนใดก็ตามเขาทำให้เราขุ่นเคือง ทำให้เราไม่ชอบใจ ด้วยกรณีใดๆก็ตามถ้าหากเราคิดพิจารณาเข่นฆ่าจองล้างจองผลาญ ถ้าเขาด่าเราเราคิดว่าโอกาสสักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะด่าตอบ เขาลงโทษเรา เราจะลงโทษเขาตอบเขาตีเรา เราคิดว่าเราจะตีตอบ แต่โอกาส มันยังไม่มี คิดเข้าไว้ในใจว่าเราจะทำอันตรายตอบ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อย่างนี้พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นอาฆาต คือ พยาบาทเป็นไฟเผาผลาญดวงจิต เพราะคนที่เรากำลังคิดจะฆ่าก็ดี คิดจะประทุษร้ายก็ดีนี่เขายังไม่ทันรู้ตัว เขามีความสุข เราคนที่คิดจะทำเขานั่นแหละตั้งแต่แรกหาความสุขไม่ได้ คบไฟแห่งความพยาบาทมันเข้าเผาผลาญมีแต่ความร้อนรุ่มกลุ้มใจ คิดวางแผนการต่าง ๆ ว่า เราทำยังไงถึงจะแก้มือเขาได้โดยคนอื่นเห็นว่าไม่มีความผิด <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อารมณ์ที่คิดอยู่อย่างนี้ ยังตัดสินใจไม่ได้ยังทำไม่ได้ มันเป็นไฟเผาผลาญคนคิดนี่แหละ กินไม่ได้ นอนไม่หลับเพราะอำนาจโทสะเข้าสิงใจ นี่เอำนาจโทสะหรือพยาบาทมันเริ่มเผาผลาญตั้งแต่คิดแต่คนที่ถูกคิดประทุษร้ายนั้น เขายังมีความสุข <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ทีนี้ถ้าเราไปทำเขาเข้าอีกไอ้โทษมันก็จะหนักขึ้น ทำเขาเข้าอีก เขายิ่งจะแก้มือใหญ่ ถ้าเขาไม่แก้มือทางกฏหมายก็จะยื่นมือมาช่วยเหลือ ความทุกข์ใหญ่ก็จะเกิดขึ้น

    (คำเทศนาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จากหนังสื ธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๐๖ หน้า ๗๕-๗๘)
    ------------------------------------------------- <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ทำไมองค์สมเด็จพระมหามุนีจึงไม่มีความโกรธในพระเทวทัตเพราะเขาแกล้งในทีนะ ที่เป็นคนทำความถูก <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ท่านเลยบอกว่าไอ้การโกรธไม่มีประโยชน์การพยาบาทไม่มีประโยชน์ มันเป็นไฟเผาผลายเพราะเราบำเพ็ญบารมีมาก็ปรารถนาให้ถึงซึ่งพระโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าถ้าเราไปคบกับความโกรธอยู่ก็ดี ความพยาบาทก็ดีกรรมทั้งหลายเหล่านี้มันจะกำจัดต่อความดีของเราแม้แต่สวรรค์ชั้นกามวจรสวรรค์ก็จะไม่ได้พบ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จะพบแต่อบายภูมิทั้ง ๔ ประการ กล่าวคือตกในนรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้างหรือว่าเป็นคนที่เกิดมาเต็มไปด้วยความทุกข์บ้าง<O:p></O:p>

    พระพุทธเจ้าจึงทรงปรารภแก่ภิษุทั้งหลายว่า เธอจงปรารภอภัยทานเป็นสำคัญเมื่อบุคคลผู้ใดก็ดีที่เขาทำให้เราไม่ชอบใจจงคิดเสียว่าเรามีกรรมเก่าที่เคยทำให้เขาไม่ชอบใจไว้มาชาตินี้เขาจึงได้จองล้างจองผลาญเรา เราคิดให้อภัยเสีย มันก็จะปลอดภัย แล้วอิกประการหนึ่งถ้ามีการให้อภัยเกิดขึ้น ความเร่าร้อนของจิตก็จะไม่มี มีแต่ความผ่องใส

    (คำเทศนาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๐๖ หน้า ๘๑)<O:p></O:p>
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ทำดีก็ส่วนทำดี พูดไม่ถูกก็ส่วนพูดไม่ถูก
    สอนผิดก็คือสอนผิด จะเอามาเหมารวมกันได้อย่างไร
    แบบนี้ จะเอาอะไรไปปรับปรุงตัว
    แต่ถ้า รู้จักแยกว่า แบบนี้เราทำถูก แบบนี้เราทำผิด ไม่ได้ไปตีอกชกลมเหมาไปว่า คนนั้นดี คนนั้นเลว
    นั่นแหละ จึงจะปรับปรุงเป็นส่วนๆ ไปได้
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ก็คนสอนผิด พูดผิดหลักธรรม จะให้ไปเข้าข้างอย่างไร

    เราต้องหัดยอมรับความจริงกันบ้างว่า แม่ชี ไม่ได้เป็น พระอริยบุคคล

    เมื่อแม่ชียังไม่เป็นพระอริยะบุคคล ท่านก็หลงได้เป็นเรื่องธรรมดา

    ยิ่งมีศิษย์ มากเท่าไร แกก็ยิ่งหลงเท่านั้นแหละ

    ทีนี้ ญาณที่เคยมี ก็เสื่อมได้ เพราะไม่ใช่ โลกุตตระญาณ

    ยังเป็น ญาณที่ไม่พ้นโลกนี้เลย ยังวนเวียน ไปตามกระแสกรรม ยังหลงไป ตามเรื่องตามราว

    ไม่ได้มีการฉุกคิด ด้วยสติปัญญา ว่า ปัจจุบันธรรม นี้แหละมีพลานุภาพสูง ที่จะตัดกรรมต่างๆลงไป

    คนที่มีชีวิตไม่ดี ก็ลองคิดได้ในปัจจุบันสิ ลองปล่อยวางได้สิ ดูซิจะทุกข์ไหม คนทุกข์ร้อนต่างๆนาๆ ตายไปเดี๋ยวนี้ เรื่องต่างๆ ดับลงไป มันจะเอาอะไรมาคิด แก้ไขหรือ

    แต่ทีนี้ ตัวที่ยากมันก็อยู่ตรงที่ จะทำอย่างไรให้เรามีสติปัญญา เพียงพอจนปล่อยวางได้

    มันก็ต้อง เจริญ สติ ทาน ศีล ภาวนา นี้แหละ

    ทีนี้มาดูว่า แล้ววิถีชีวิตที่มันมีปัญหา ก็เรานั่นแหละ เป็นผู้ผูกมันขึ้นมาเอง โดยมีกรรมหลายทอดสนับสนุนกัน

    แต่ การผูกในปัจจุบันนี้แหละ มีอำนาจมาก เช่น ว่า เรามีปัญหาชีวิตคู่ ไม่สมหวัง มันก็ต้องดูตัวเราว่า เราทำอะไรไม่ดี ดูตรงนี้ต้องสำรวจกันจริงๆ เพราะเราทำดีหรือไม่ดี เราไม่เคยสังเกตุตัวเอง ด้วยสติ แล้วเราก็สรุปไปเองว่า เราดีแล้ว แบบนี้ไม่ได้

    พระศาสดา จึงสอนว่า ให้สำรวจตัวเอง ด้วยมหาสตินี้ เราจึงจะรู้ได้ว่า เราทำอะไรผิด ทำอะไรถูก

    ลองถามแม่ชีซิ แม่ชีแก รู้ไหมว่าแกทำผิดอะไร จึงส่งผลให้เกิดเรื่องแบบนี้

    ถ้าแกไม่สำรวจตัวเอง พร้อมกับมี สานุศิษย์สนับสนุน แกก็คิดว่าแกทำดี แต่จริงๆ แล้ว ยังไม่ดีซี ถ้าดีมันจะไม่มีเสียงกระแส จากทั้งฝ่าย พระ ฝ่ายฆราวาส พูดขนาดนี้
    เราต้อง ยอมรับ สิว่า เราทำผิดพลาด ก็แก้ไขปรับปรุงซะ

    ถ้ายังดื้อ ก็เป็นม้าฝึกไม่ได้
     
  20. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ทำสิ่งที่มีประโยชน์ก็ดี แต่คำสอนที่บิดเบือนสอนไปในแนวทางที่ผิดกับพุทธศาสนา มันยิ่งพาเข้ารกเข้าพง สู่ความฉิบหาย สิ่งต่างๆที่แม่ชีทำโดยไม่มีปัญญากำกับ กำลังย้อนกลับมาทำลายแม่ชีเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...