หลวงปู่ดูลย์สอนวิธีไล่ผี

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 21 เมษายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    ผมจะขอเล่าเรื่อง "ผี" ให้ฟังสักเรื่องหนึ่งครับ เรื่องที่เล่านี้มี "หลวงปู่ดูลย์ " อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
    เป็นเรื่องเล่าที่ผมได้ฟังจากครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านได้เล่าว่า


    [​IMG]



    "สมัยหลวงปู่ดูลย์ยังคงแข็งแรง (คิดว่าประมาณอายุสัก 50-60ปี) หลวงปู่ได้พาพระหนุ่มๆ สองรูปออกเดินธุดงค์ ในการเดินธุดงค์ครั้งก็เพื่อพาพระหนุ่มไปหาประสบการณ์เกี่ยวกับการเดินธุดงค์และปฏิบัติธรรม เดินมาถึงป่าแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากหมู่บ้านมาก คือในละแวกใกล้เคียงที่ปักกลดนี้จะไม่มีบ้านคนหรือหมู่บ้านอยู่เลย

    เมื่อมาได้ที่เหมาะแก่การปฏิบัติศาสนกิจแล้ว ทั้งสามรูปก็ได้ทำการจัดแจงที่พักอาศัย ซึ่งก็ต้องแยกย้ายกันไปตามทิศต่าง ๆ จะไม่พยายามปักกลดใกล้กัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของพระป่าผู้แสวงหาโมกขธรรม จะลดความคลุกคลี นอกจากจะมีกิจที่จะต้องทำร่วมกัน

    การปฏิบัติก็เป็นไปตามปกติ แต่แล้วมีอยู่วันหนึ่ง พระหนุ่มรูปหนึ่งที่ไปด้วยกัน ได้นำเรื่องราวที่ตัวเองได้พบในขณะที่ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ให้หลวงปู่ฟัง ว่า
    "เมื่อกระผมนั่งสมาธิอยู่นั้น จิตได้สงบนิ่ง ในขณะนั้นก็เกิดภาพผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วกล่าวกับผมว่า ในอดีตชาติที่แล้วนั้น ดิฉันกับท่านนั้นเป็นสามีภรรยากันมาก่อน และชาติเราทั้งสองก็ได้มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ก็จะขอท่านได้ลาสิขาแล้วมาอยู่ร่วมกันดังในชาติที่แล้วเถิด และผู้หญิงนั้นก็เล่าต่อไปว่า เมื่อชาติที่แล้วเราทั้งสองได้อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ปักกรดนี้ และเมื่อเราทั้งสองได้ตายไป ก็ได้ฝั่งศพทั้งสองไว้ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าท่านไม่เชื่อก็สามารถไปพิสูจน์ได้ แล้วผู้หญิงนั้นก็จากไป" (ลืมบอกไปว่าในขณะที่พระรูปนั้นเจอผู้หญิงนั้น เป็นเวลากลางคืน)

    เมื่อหลวงปู่ดูลย์ได้ฟังเรื่องราวที่พระหนุ่มรูปนั้นเล่าให้ฟังแล้ว หลวงปู่ก็ไม่ได้กล่าวหรือสอนอะไร คือรับฟังเฉยๆ
    พอคืนที่สอง เหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นกับพระหนุ่มรูปนั้นอีก ตอนเช้าก็มาเล่าให้หลวงปู่ฟัง ดังต่อไปนี้ ...........
    "ผู้หญิงคนเดิมที่มาในคืนแรก ก็มาอีก และก็สาธยายเรื่องราวในอดีตชาติที่แล้วให้ฟังเดิม เพื่อจะต้องการให้พระหนุ่มรูปนั้นใจอ่อนลาสิกขาออกไปครองเป็นสามีภรรยาให้ได้ ในขณะที่เล่าก็ร้องสะอึกสะอื้นไป ก่อนกลับผู้หญิงนั้นก็บอกเพิ่มเติมว่าอีกสองวันข้างหน้าจะมีหนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาสู่ขอตัวเองไปเป็นภรรยา ขอให้ท่านรีบพิจารณา เพื่อจะได้ไปสู่ขอก่อนหนุ่มคนนั้นเสีย ถ้าท่านไม่ลาสิกขา ดิฉันก็จะไม่ยอมแต่งงานกับหนุ่มคนนั้นเด็ดขาด จะขอยอมตายโดยจะฆ่าตัวตายเสีย พูดจบผู้หญิงนั้นก็จากไปพร้อมกับน้ำตา และทิ้งความลังเลสงสัยให้กับพระหนุ่มรูปนั้นให้ขบคิดว่าตัวเองกับเผชิญอยู่กับอะไร ! และจะทำอะไรต่อไป ?"

    เมื่อหลวงปู่ดูลย์ฟังจบ ...วันนี้ท่านอดสงสารลูกศิษย์ไม่ไหว ก็เลยแนะนำวิธีการให้พระหนุ่มนั้นนำไปปฏิบัติ..โดยวิธีการดังนี้
    "ฟังนะ...ท่านไปหาถ่านฝืนมาสักก้อนหนึ่ง (ถ่านหุงต้ม) แล้วป่นให้ละเอียด และคืนนี้เมื่อผู้หญิงคนนั้นมาอีก ท่านตั้งสติให้ดี ให้ถอยออกจากฌานในระดับที่ละเอียด (ซึ่งในขณะที่พระหนุ่มรูปนั้นเจอผู้หญิงนั้นจะอยู่ในภาวะของฌานที่ละเอียด) ให้ลดมาอยู่ในระดับที่สามารถเคลื่อนไหวกายได้ (ผมก็ไม่มีความรู้เรื่องฌานได้ จึงไม่สามารถอธิบายเรื่องฌานให้ฟังโดยละเอียดได้ครับ) เมื่อผู้หญิงนั้นมา ก็ให้ท่านใช้นิ้วแตะที่ถ่านที่เตรียมไว้ และลุกขึ้นไปป้ายที่หน้าผากของผู้หญิงคนนั้น"

    หลวงปู่ก็เมตตาแนะนำพระหนุ่มรูปนั้นแต่เพียงเท่านี้
    คืนที่สาม
    ผู้หญิงคนเดิมก็เดินมาข้างหาพระหนุ่มรูปนั้น พร้อมกับน้ำตา แล้วก็พูดขึ้นว่า พรุ่งนี้แล้วที่หนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาสู่ขอตัวเอง กับพ่อแม่ ก็ขอให้ท่านรีบตัดสินใจลาสิกขา และรีบไปสู่ขอก่อนหนุ่มคนนั้น ถ้าท่านไม่ลาสิกขาดิฉันเองก็จะไม่ย่อมแต่งงานกับหนุ่มคนนั้นเหมือนกัน จะขอยอมตายจะไม่ยอมแต่งงานกับใครนอกจากท่านเท่านั้น (รักแท้ หายาก)

    พระหนุ่มรูปนั้นเมื่อเห็นว่าผู้หญิงนั้นมาอีก ก็ตั้งสติและปฏิบัติตามวิธีที่หลวงปู่แนะนำไว้ คือถอยจากฌานที่ละเอียดมาอยู่ในระดับที่เคลื่อนไหวกายกาย แต่อยู่ในฌานอยู่ แล้วใช้นิ้วแตะที่ถ่าน แล้วค่อยลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินไปที่ผู้หญิงคนนั้น พอถึงตรงหน้า ท่านก็ทำตามวิธีที่หลวงปู่แนะนำไว้ ก็คือเอานิ้วที่แตะถ่านนั้นป้ายที่หน้าผากผู้หญิงคนนั้น หลังจากที่ป้ายเสร็จทันใดนั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องกรีดดังลั่นป่า แล้วก็วิ่งหายไปในป่า สร้างความตกตะลึงให้พระหนุ่มรูปนั้นเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง และผู้หญิงคนนั้น ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องร้องกรีด และวิ่งหนีหายไปในป่าด้วย !?"

    ทุกท่านที่อ่านอยู่ คิดสงสัยเหมือนอย่างที่พระหนุ่มรูปนั้น หรือไม่ครับ ?
    ตอนเช้าพระหนุ่มรูปนั้นก็ได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าให้หลวงปู่ดูลย์ฟัง ดังที่เคยกระทำมาแล้วในสองวันที่ผ่านมา เมื่อพระหนุ่มเล่าเรื่องราวจบ หลวงปู่ก็ยังคงเฉย ๆ เมื่อกับว่าท่านได้รับรู้เรื่องราวและทราบเรื่องราวนั้นอย่างละเอียดแล้ว จึงไม่ตื่นเต้นกับเรื่องราวที่พระหนุ่มนั้นเล่า เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นเล่าจบ หลวงปู่ก็หยิบฝาบาตร ส่องไปที่หน้าพระหนุ่มรูปนั้น แล้วบอกให้พระหนุ่มนั้นมองไปที่หน้าตัวเองที่อยู่ในฝาบาตร เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นมองไปฝาบาตร ก็ยิ่งสร้างความตกตะลึงสงสัยให้กับพระหนุ่มรูปนั้นขึ้นอีก เพราะว่าที่หน้าผากของตัวเองนั้น มีรอยถ่านดำติดอยู่ในหน้าผาก ดังที่ตัวเองนำไปป้ายกับผู้หญิงคนนั้น ในคืนที่ผ่านมา แล้วทำไม่รอยถ่านนั้นจึงมาอยู่ในหน้าผากเราได้อย่างไร ?
    ทุกท่านก็คงยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีกหรือเปล่ามั้ยครับ ว่าทำไม่รอยถ่านดำจึงมาติดอยู่ที่หน้าผากพระหนุ่มรูปนั้น ?

    ผู้หญิงนั้นคือใคร ? ทำไมรอยถ่านจึงมาติดอยู่ที่หน้าผากพระหนุ่มรูปนั้นได้อย่างไร ?
     
  2. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    [​IMG]
     
  3. tassanai_k

    tassanai_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,518
    เป็นบททดสอบที่เข้มข้นจริงๆครับ ประมาทไม่ได้เลยจิตใจของคนเรา
     
  4. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    จิตหลอกจิต ร้ายจริงๆ *_*
     
  5. themoon

    themoon สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +4
    เมื่อเปรียบเทียบกัน ก็เหมือนกับที่เวลาเรานอนแล้วเกิดฝันถึงเรื่องต่างๆซึ่งเหมือนจริงมาก
     
  6. รสิตา

    รสิตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +474
    ข้อสอบของนักปฏิบัติธรรมแต่ละท่าน แตกต่างกันไปตาม กิเลสที่หยั่งรากลึกภายในจิตใจ ข้อไหนยิ่งพบบ่อย ๆ แสดงว่าฝังกิเลส / อนุสัยตัวนั้น ๆ มามาก

    ตราบใด .. ที่ยังหักกิเลสข้อนั้น ๆ ไม่ลง สถานการณ์นั้น ๆ ก็จะวนเวียนมาเกิดขึ้นซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ไม่จบไม่สิ้น จนกว่าเราจะสามารถ คลายอาการความยึดมั่นถือมั่น ในกิเลสข้อนั้น ๆ จากจิต..ลงได้ ข้อสอบนั้นก็จะหายไปจากชีวิตได้
     
  7. chue27

    chue27 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,358
    น่ากลัวจริงๆ ขนาดตัวเองยังตามจิตตัวเองไม่ทันเลย พระพุทธองค์จึงสอนให้เรารู้เท่าทันและฝึกจิตเราให้เชื่องนั้นเอง
     
  8. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    ขออนุโมทนาค่ะ
    ............
    สิ่งที่เห็น นะจริง
    แต่เรื่องที่เห็น อาจไม่จริง
    เฝ้า ดูจิต แต่ อย่าหลง ตามจิต
     
  9. Mr.tom

    Mr.tom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    269
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,185
    ผมว่าน่าจะเป็นวิปัสนูกิเลส ซึ่งคือกิเลสที่ละเอียดอ่อนที่สุดในบรรดากิเลสทั้งหลาย (กิเลสจะมี 3 ระดับ) เป็นกิเลสที่ทำให้เราหลงไปต่างๆนานา และอาจจะทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเราบรรลุธรรมในขั้นต่างๆ แล้วก็ได้ (ผมอ่านมาจากโอวาทปาติโมกข์นะครับ ส่วนตัวยังปฏิบัติไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ ใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมก็หาอ่านในโอวาทปาติโมกข์ได้นะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 เมษายน 2006
  10. kittiratgolf

    kittiratgolf Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +25
    โห !! ถ้างั้นสิ่งที่เราเห็นในนิมิตบางทีก็เป็นตัวหลอกด้วยซิครับ งั้นเราจะแยกแยะยังไงครับ ผมเคยฝันว่า อยู่พื้นที่ว่างป่าว และมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพนมมืออยู่ หันไปด้านหน้า เห็นเป็นพระพุทธเจ้า องค์ท่านเหลืออร่ามเหมือนทอง เศียรเป็นก้นหอย และได้เรียกผมเข้าไป เมื่อผมเข้าไป ผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
    ผมมานั่งนึก ก็ไม่รู้ว่าเป็นนิมิตหลอกหรือป่าว อย่างนี้เราจะรู้ได้ไงคับ
     
  11. skyboy

    skyboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +592
    ...พิจารณาจิตที่จิต แล้วจิตจะเห็นจิต...
    ถ้าจิตเห็นปลายฟ้า แสดงว่าจิตเห็นกิเลส อิอิ
     
  12. Mr.tom

    Mr.tom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    269
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,185
    ขออภัยนะครับ ที่ผมตอบไปเมื่อกระทู้ที่แล้วยังไม่ถูกต้องทั้งหมด และที่เขียนเรื่องวิปัสนูกิเลส ที่ถูกก็คือ วิปัสสนูปกิเลส ครับ ในเรื่องของวิปัสสนูปกิเลสนั้น ผมได้คัดรายละเอียดมาจาก หนังสือโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเรียบเรียงโดย วศิน อินทสระ หน้า 222 - 224 ครับ คงจะทำให้ท่านต่างๆเข้าใจมากขึ้นนะครับ โดยเนื้อหาจะอยู่ในเรื่องของ ญาณ 16 ซึ่งวิปัสสนูปกิเลส จะพบเมื่อเข้าสู่

    ญาณที่ 4 อุทยัพพยญาณ คือญาณเห็นความเกิดและดับรูปนามชัดเจน

    "วิปัสสนูปกิเลส" แปลว่า เครื่องเคร้าหมองของวิปัสสนา บางทีก็เรียกอุทยัพพยานุปัสสนา บางทีก็เรียก ตรุณวิปัสสนา คือวิปัสสนาอ่อนๆ

    วิปัสสนูปกิเลสจะเกิดขึ้นในญาณนี้ เฉพาะท่านที่ปฏิบัติถูกตรงตามแนววิปัสสนา ถ้าปฏิบัติผิด วิปัสสนูปกิเลสจะไม่เกิด

    ถ้าเทียบกับวิสุทธิ 7 อันนี้ก็ตรงกับมัคคามัคคาญาณทัสสนวิสุทธิ คือความหมดจดของญาณทัสสนะที่พิจารณาว่าเป็นทางหรือไม่ใช่ทาง เหมือนกับทาง 2 แพร่ง ว่าจะไปทางซ้ายหรือทางขวา ว่าใช่ทางหรือไม่ใช่ทางถ้าละวิปัสสนูปกิเลสได้ ไม่ติดในวิปัสสนูปกิเลสคราวนี้ก็จะเข้าทางที่ถูกต้อง แลัววิปัสสนาก็จะดำเนินไปด้วยดีถ้าหลงอยู่ในวิปัสสนูปกิเลส ก็ติดอยู่ในวิปัสสนูปกิเลส มันเป็นสิ่งยั่วยวน ให้ผู้บำเพ็ญภาวนาเข้าใจผิด
    ผู้เจริญในวิปัสสนาในทางที่ถูกไม่ใช่เดินผิดทางและก็ยังไม่ได้สำเร็จมรรคผล ทำไปๆ วิปัสสนูปกิเลส คือธรรมที่เป็นเครื่องเศร้าหมองของวิปัสนาจะเกิดขึ้น

    วิปัสสนูปกิเลส มี 10 ข้อด้วยกัน คือ

    1.โอภาส แสงสว่าง บางท่านก็เกิดขึ้นเพียงแต่ใกล้ๆ ที่นั่ง บางท่านแสงสว่างก็ไกลออกไปทั่งห้อง บางท่านก็ไกลหลายกิโล บางท่างก็สว่างมากกว่านั้น อันนี้ไม่เหมือนกัน

    2.ปีติ ความอิ่มเอิบใจ

    3.ปัสสัทธิ ความสงบกาย กายสงบ นุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง ไม่เหน็ดเหนื่อย

    4.อธิโมกข์ ความน้อมใจเชื่อ ศรัทธาแรงกล้าเกิดขึ้น

    5.ปัคคาหะ ความเพียรรุดไปข้างหน้า ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ทำความเพียรไปเรื่อย

    6.ญาณ ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้น โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่ก็เกิดความรู้ใหม่ๆขึ้น จากการทำวิปัสสนาอย่างนี้

    7.สุข ความสบายกาย สบายใจ

    8.อุปัฏฐาน อันนี้วิสุทธิมรรคได้บอกว่าสติที่แรงกล้า สติแรงกล้าหรือว่าสติชัดเจน มีความปรากฏให้เห็น เหมือนกับท่านที่ได้ทิพยจักษุเห็นปรโลก อันนี้หลุมพราง ทำให้สนุกสนานเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งที่ได้เห็น

    9.อุเบกขา ความวางเฉย

    10.นิกันติ ความใคร่ ความพอใจ พอใจในวิปัสสนานั้น

    เมื่อวิปัสสนูปกิเลสทั้ง 10 ประการนี้เกิดขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรมักเข้าใจผิดคิดว่าตนได้บรรลุมรรคผลแล้ว และมักจะหลงใหลเพลิดเพลินอยู่กับวิปัสสนูปกิเลส ในที่สุดก็พลาดจากทาง

    มีพระบางรูปเปรียบไว้ว่า วิปัสสนูปกิเลสเหมือนดอกไม้ริมทาง เดินทางไป พอเห็นดอกไม้สวยๆ ก็เพลินกับดอกไม้ ทำให้เสียโอกาส สำหรับผู้ที่เดินทางถูก คือ ถนนที่จะไปนั้น ต้องไปทางนั้นแหละ จึงจะเห็นสิ่งนี้ แต่ถ้าไม่ไปทางนั้นก็ไม่เห็น ฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญเพียรวิปัสสนา เมื่อมาถึงตรงนี้ ต้องพยายามมีสติสัมปชัญญะให้ดี คือต้องรู้ไปก่อนว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง นี่คือความสำคัญของปริยัติ หรือมีอาจารย์ใกล้ชิดตอบว่าสิ่งนี้คืออะไร มิฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาทำวิปัสสนา พอมาเจอสิ่งต่างๆ เข้าก็หลงใหลในสิ่งเหล่านี้ คือคิดว่าบรรลุแล้ว ก็พลาดสิ่งดีงามที่มีอยู่ข้างหน้าอีกเยอะแยะ

    ฉะนั้น ก็ต้องบำรุงสติสัมปชัญญะให้ดีขึ้น และคอยพิจารณาอยู่เสมอว่านี้ไม่ใช่ทาง และพยายามละวิปัสสนูปกิเลสนั้นเสีย ทำความเพียรรุดหน้าต่อไป"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2006
  13. เกจิหนุ่ม

    เกจิหนุ่ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,516
    ขอโมทนาครับ...
    จิตคนมันดิ้นคงต้องค่อยๆปลอบไปทีหละนิดๆหละครับ
    อ่านแล้วดีจังเลยครับ
    ^_^
     
  14. artwhan

    artwhan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ดีครับ ที่นำมาแบ่งปัน
     
  15. กังหันลม

    กังหันลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +693
    กราบอนุโมทนาครับ

    มายาการของจิตในแต่ละคนมันจะหลอกล่อเราด้วยความน่าพึงพอใจไม่มีประมาณเสมอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...