ผมมีคำถามที่ยังคาใจอยู่ 2 ข้อ อยากให้ผู้ที่รู้จริงช่วยตอบ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย dangbirerey, 8 พฤษภาคม 2011.

  1. dangbirerey

    dangbirerey สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    คำถามเกี่ยวกับพุทธศาสนาของเรา
    ข้อ1. ผมอยากรู้ว่าทำไมคนเราต้องเกิดมา มีคนบอกว่าคนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม แล้วทำไมต้องเกิดมาเพื่อใช้กรรม เหตุใดจึงให้เราเกิดมาเพื่อใช้กรรม มีคนบอกอีกว่า มันเป็นกรรมที่มาจากชาติปางก่อน แล้วทำไมต้องมีชาติปางก่อน
    ก่อนที่จะมีชาติปางก่อน ให้เราเกิดมาทำไม หรือให้เราเกิดมาเพื่อเป็นหนี้ และชดใช้หนีกรรมของเรา อย่างนั้นหรือ
    ที่ผมอยากรู้คือ อดีตชาติ หรือ ชาติแรกที่ให้เราเกิดมาเราเกิดเป็นอะไร และเกิดมาเพื่ออะไร
    ข้อ2. ศาสนาสอนว่าทุกคนบนโลกล้วนมีกรรมเป็นของของตน และสอนให้เรารู้จักทำบุญ เพื่อที่บุญกุศลเหล่านั้นจะทำให้เรามีความสุขความสมบูรณ์ ผมอยากรู้ว่า ทำไมฝรั่งไม่เคยทำบุญ ทำไมเค้าถึงมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย และอีกอย่างเค้าไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกับเรา เค้ามีกรรมเหมือนเรารึเปล่า

    ปล. ผมเชื่อและนับถือศรัทธาในศาสนานะ แต่ผมไม่ใช่คนที่จะเชื่อโดยไม่มีเหตุผล คนเรามีสิทธิ์ที่จะคิดใช่มั้ยครับ และสิ่งที่ผมคิด ผมไม่ได้จะทำให้เกิดการแตกแยก แต่ผมก็อยากจะรู้ในสิ่งที่ผมคิด ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรู้ใช่มั้ยครับ ผมก็อยากจะรู้เช่นเดียวกัน
     
  2. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940
    เพราะตนยังมี"ตัณหา"อยู่ครับ

    สิ่งที่นำมาเกิดคือ"ตัณหา" ไม่ใช่"กรรม" คนที่ยังมีกรรมแต่ไม่เกิดอีกได้แก่พระอรหันต์ เพราะท่านสามารถกำจัดตัณหาออกไปได้หมดสิ้นเป็นสมุทเฉทไม่กำเริบอีกที่พูดว่าพระอรหันต์สิ้นกรรมก็เพราะเมื่อท่านไม่เกิดอีก ก็ไม่มีใครไปรับกรรม เท่านั้น..

    ที่ถูกต้องพูดว่าเกิดมาเพื่อ ๑ เสวยวิบากหรือผลกรรมของตนและ๒ ทำกรรมใหม่ต่อไป

    ตอบแล้วข้างบน อ่านทวนครับ

    เมื่อไม่ต้องการเกิดก็ทำเหตุเพื่อผลคือยุติการเกิด ที่จะเเค่คิดว่าไม่อยากเกิดนั้นก็เป็น"ตัณหา"อีกอย่างหนึ่งที่ยังพาไปเกิดได้อยู่ดี.. ในศาสนาอื่นไม่มีคำสอนเพื่อนำำไปสู่ความไม่ผุดไม่เกิดอีก แต่ในพุทธศาสนา มีครับ

    คงต้องรอถามพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป เพราะไม่ใช่วิสัยของใครอื่นจะตอบได้ ที่ตอบสุ่มเดากันไปก็เป็นเรื่องที่ไม่พึงถือเอาเป็นสาระ เพราะแม้พระพุทธเจ้ายังไม่ทรงตรัสสอน ใครจะเก่งสอนได้ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้..

    และท่านจขกท ก็ไม่ใช่เพิ่งถามปัญหานี้มาในเวลานี้ แม้ในอดีตชาตินับไม่ถ้วนก็สงสัยเช่นนี้มาแล้วเพราะการสั่งสมอุปนิสัยในเรื่องต่างๆจนชำนาญย่อมยังผู้นั้นให้ถึงการกระทำชนิดเดิมแบบเดิมแล้วๆเล่า และเมื่อทำอีก ก็สั่งสมอุปนิสัยนั้นให้กล้าขึ้นอีก หากไม่สามารถละความสงสัยนี้ได้ในเวลานี้ ย่อมปรารภถามใครๆอีกในภพต่อๆไป ความลังเลสงสัย ย่อมเป็นอุปสรรคขัดขวางศรัทธา เมื่อไม่มีศรัทธา ย่อมไม่เงี่ยโสตสดับธรรมของบัณฑิต ย่อมเป็นภัยแก่ตนเหมือนคนขุดหลุมดักตนไว้ในสังสารวัฏฉะนั้น..

    อีกประการหนึ่ง แม้ต่อให้พระพุทธเจ้ามาตรัสตอบเรื่องนี้ ก็ไม่อาจคะเนได้ว่าผู้ถามจะเชื่อหรือไม่ ดีไม่ดีนึกตำหนิท่านอีก นี่ก็ย่อมเข้าถึงความเสียหายแก่ตนเป็นอันมาก ..พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระสัพพัญญุตตญานที่ไม่ธารณะแก่คนอื่น ทรงทราบสิ่งทั้งปวงโดยไม่จำกัด และทรงทราบอัธยาศัยของสัตว์"ทุกภพภูมิ"ไม่มีเว้นเมื่อทรงสอนก็ด้วยพระปัญญา ว่ามีประโยชน์ ทั้งสิ่งใดที่ไม่ทรงตรัสบอกก็ด้วยพระปัญญา ว่าไม่มีประโยชน์ แก่สรรพสัตว์ มิได้ทำอะไรๆเพราะเขลาหรือเบลอเหมือนปุถุสรรพสัตว์..ดังนั้น ท่าน จขกท จึงพึงพิจารณาเถิดว่า ที่ท่านอยากทราบจุดเเรกเกิดนั้น เพราะ/เพื่อประโยชน์อันใด?

    ทราบได้อย่างไรว่าเขาไม่ทำบุญ? บุญที่ท่านเข้าใจคืออะไรครับ? ถ้าคิดว่าทำบุญคือการใส่บาตรหรือเอาข้าวของไปถวายพระเท่านั้น ท่านกำลังเข้าใจผิดมากมาย บางที ถวายพระนั่นแหละกลับไม่ใช่บุญเลยก็ได้..

    กรรมคือเจตนาที่ตนกระทำทางกายวาจาใจ เมื่อทำแล้วผลย่อมตั้งขึ้นทันที เพียงรอการส่งวิบาก ให้ได้เสวยเมื่อได้เหตุปัจจัยที่เหมาะสม เป็นความจริงสากลที่ไม่ขึ้นกับความเชื่อของใครหรือศาสนาใดหมายความว่า แม้ใครไม่เชื่อไม่รู้ไม่นิยม แต่ความจริงนี้ย่อมปรากฏแก่สรรพสัตว์โดยเท่าเีทียมกัน..เหมือนกับหลักความจริงว่า หากเราจะเห็นภาพก็ต้องอาศัยตาที่ดี ไม่ใช่เอาหูหรือคางดู เป็นต้น

    ถามว่าก็คนบางพวกไม่เชื่อเช่นนั้น แล้วความจริงข้อนี้จึงไม่ปรากฏกับเขาเหล่านั้นหรือ? คนเหล่านั้นสามารถใช้อวัยวะอื่นมีลิ้นหรือหน้าแข้งเพื่อมองเห็นภาพหรือ?..เปล่าเลย ก็ยังต้องใช้ตาดูภาพอยู่ดี...

    จึงเรียกว่านี้คือหลักความจริงสากล ไม่ได้เกิดเพราะพระพุทธเจ้าหรือใครมาแต่งตั้งบัญญัติกำหนดเอง ทรงค้นพบหลักนี้แล้วจึงนำมาบอกสอน เพื่อคนเขลาบอดทั้งหลายจะได้ทราบและหลีกเลี่ยงการทำตนให้เดือดร้อน เพราะใครที่ใหนก็ไม่อาจพาตนไปฉิบหายหรือเกษมปลอดภัยได้เลย ตนเท่านั้นทำทุกอย่างด้วยตนเอง นะครับ

    ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวในโลกที่สอนสิ่งที่เป็นเหตุผล สามารถตอบคำถามตามจริงได้..เป็นคำสอนเพื่อความมีปัญญา ไม่สอนเพื่อเน้นศรัทธา เพราะศรัทธาที่ไม่มีปัญญาประกอบเรียกว่าคลั่งลัทธิ..ไม่งมงายด้วยเรื่องที่ไม่จริงทั้งปวง คนมีธาตุแห่งปัญญาเท่านั้นจึงรับได้ ไม่ธารณะแก่สัตว์ทั้งปวงเพราะสัตว์ส่วนมากนิยมความบอดไม่ชอบความจริงอันเป็นเรื่องทวนกระแสกิเลส ผู้สั่งสมบุญเก่ามาดีแล้วจึงสามารถพบพระพุทธศาสนาและรับนับถือ ด้วยศรัทธาจริงได้ นอกนั้นยากแท้..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2011
  3. moshininja

    moshininja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +103
    ข้อ๑
    -รวมคำตอบที่อยากรู้ทั้งหมดไว้ในคำเดียวคือ อุปาทาน ซึ่งก็คือความยึดมั่นถือมั่นของจิตใจ เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั่นแหละเป็นตัวทุกข์

    "คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน"


    ข้อ๒
    -บุญนั้นคือความสุขสบายใจ การทำบุญจึงไม่ได้ยึดติดในรูปของพิธีการทางศาสนาเลย พระธรรมก็เช่นเดียวกัน ทุกสิ่งมันเป็นของมันอย่างนั้น ดีคือดี เลวคือเลว มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มีแต่คนที่หลงในอุปาทานทั้งนั้นแหละที่กะเกณฑ์ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ตราบใดที่ยังอยาก ตราบนั้นก็ใช้กรรมกันต่อไป
     
  4. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,882
    กรรมเหมือนกันหมดจ้า ให้ผลเท่ากัน ทุกเชื้อชาติ เรื่องอจินไตย อย่าไปคิดเลย

    คิดมากๆมันจะเป็นบ้าเอา มาคิดกันดีกว่า ว่าทำไงจะไม่ต้องมาเกิดอีก
     
  5. shanenaruto18

    shanenaruto18 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2011
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +1,081
    ข้อแรก อันนี้เคยศึกษามานะครับจริงๆแล้วทุกดวงจิตมาจากที่เดียวกันหมดแล้วก็เกิดความเสื่อมจนทำให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดความเสื่อมอีกจนเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นสัตว์นรก...โลกใบนี้มันมีของมันมานานแล้วโดยที่ธรรมชาติเป็นผู้สร้าง...ธรรมะก็คือการเข้าใจธรรมชาติครับ
    ข้อสอง สรรพสัตว์ล้วนมีกรรมเป็นของตน ภายนอกอาจจะเห็นว่าฝรั่งเค้ามีแต่สิ่งดีๆแต่สิ่งดีๆก็ไม่ได้มีตลอดหรอกครับ เกิดขี้น ตั้งอยู่ แล้วเสื่อมไปดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่เจตนา ทำจิตให้บริสุืทธิ์ ลองฝึกจิตดูสิครับแล้วคุณจะรู้ว่าปัจจัตตังมันมีจริงๆ
     
  6. PORNPIMOL

    PORNPIMOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +545
    ปล. ผมเชื่อและนับถือศรัทธาในศาสนานะ แต่ผมไม่ใช่คนที่จะเชื่อโดยไม่มีเหตุผล คนเรามีสิทธิ์ที่จะคิดใช่มั้ยครับ และสิ่งที่ผมคิด ผมไม่ได้จะทำให้เกิดการแตกแยก แต่ผมก็อยากจะรู้ในสิ่งที่ผมคิด ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรู้ใช่มั้ยครับ ผมก็อยากจะรู้เช่นเดียวกัน[/QUOTE]

    อยากรู้เรื่องจริงให้เริ่มให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเลยนะค่ะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่รู้ได้จากการปฏิบัติ การสอบถามจะได้แค่ข้อมูลตราบใดไม่ปฏิบัติก็ย่อมสงสัยไปเรื่อยๆค่ะ สงสัย สงสัย สงสัย ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาค่ะ การปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนย่อมพิสูจน์ข้อสงสัยได้ดีที่สุด เอาง่ายๆ พระพุทธองค์ทรงสอนว่าการให้ทานช่วยละความตะหนี่ ความโลภในจิตใจ การรักษาศีล5 เป็นเครื่องกั้นอบายภูมิทำให้เราไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น การภาวนาทำให้เราจิตใจสงบ สามารถคิดพิจารณาเห็นความจริงของโลก เรื่องของเวรกรรมมีจริงหรือไม่เวียนว่ายตายเกิดมีจริงมั้ย ปฏิบัติให้เข้าถึงเราจะได้คำตอบด้วยตัวเราเอง เห็นเองค่ะ จะหายสงสัย เพียงแค่ผู้ถามมีความเพียรแค่ไหนที่จะปฏิบัติให้ได้คำตอบ

     
  7. อัยยาภาส์

    อัยยาภาส์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +18
    อยากรู้เรื่องจริงให้เริ่มให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเลยนะค่ะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่รู้ได้จากการปฏิบัติ การสอบถามจะได้แค่ข้อมูลตราบใดไม่ปฏิบัติก็ย่อมสงสัยไปเรื่อยๆค่ะ สงสัย สงสัย สงสัย ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาค่ะ การปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนย่อมพิสูจน์ข้อสงสัยได้ดีที่สุด เอาง่ายๆ พระพุทธองค์ทรงสอนว่าการให้ทานช่วยละความตะหนี่ ความโลภในจิตใจ การรักษาศีล5 เป็นเครื่องกั้นอบายภูมิทำให้เราไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น การภาวนาทำให้เราจิตใจสงบ สามารถคิดพิจารณาเห็นความจริงของโลก เรื่องของเวรกรรมมีจริงหรือไม่เวียนว่ายตายเกิดมีจริงมั้ย ปฏิบัติให้เข้าถึงเราจะได้คำตอบด้วยตัวเราเอง เห็นเองค่ะ จะหายสงสัย เพียงแค่ผู้ถามมีความเพียรแค่ไหนที่จะปฏิบัติให้ได้คำตอบ

    [/QUOTE]
    เห็นด้วยกับคุณ..ตราบใดถ้ายังไม่ปฎิบัติด้วยตนเอง.. ตราบนั้นความสงสัยก็ยังไม่สิ้น
    อย่ามัวแต่หาคำตอบจากคนอื่น..คำตอบที่ถูกต้อง..อยู่กับตนเองนั่นแล...
     
  8. ตะหลิว

    ตะหลิว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2007
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +96
    เห็นด้วยกับคุณอัยยาภาส์ค่ะ หลายคนบอกว่าจะเชื่อเมื่อมีเหตุผลรองรับแต่มีน้อยคนที่จะกล้าเข้ามาพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถ่องแท้ เรื่องนี้เป็นปัตจัจตัง พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวคำผิด มันต้องเรียนรู้กันถึงการเกิด-ดับ ของจิต ปัญญาคือการหยั่งรู้ ไม่ใช่การจดจำ ยังดีค่ะที่ยังอยากรู้ คุณคงต้องหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง ตามแนวของศีล-สมาธิ-ปัญญา
     
  9. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    เห็นทีจะต้องถามกลับด้วยคำถามคุ้นๆ น่ะแหละ....ว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน

    ถ้าตอบคำถามนี้ได้เมื่อไหร่ ก็จะรู้คำตอบของเรื่องที่ถามเองทั้งหมดน่ะแหละ

    คนเรามีสิทธิ์อยากรู้ทุกอย่าง...แต่ว่าแล้วจะรู้ไปทำไม ให้ถามตัวเอง

    เหมือนไปห้างแล้วซื้อเสื้อมาตัวหนึ่ง จำเป็นไหมที่จะต้องรู้ว่า คนเย็บเสื้อชื่อนายหรือนางอะไร บ้านอยู่ไหน

    หรือถูกธนูยิง เจ็บจะตาย จำเป็นหรือเปล่า ที่จะต้องพินิจดูว่าลูกธนูทำด้วยไม้อะไร แล้วจึงค่อยไปหาหมอ

    หัวสมองคนเราเล็กนิดเดียวจ้า แถมยังเสื่อมไปตามวัยถ้าใช้งานมากเกิน เก็บไว้ใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ดีกว่าจ้า

    พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเพียงแค่ใบไม้กำมือเดียว จากใบไม้นับแสนแสน ล้านล้านใบในป่ากว้าง....ที่ท่านเลือกมาเพียงเท่านั้น เพราะมีแค่ใบไม้กำมือเดียวนี้เท่านั้น ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ ที่เหลือนอกนั้น เก็บเอามาก็รกเปล่า

    เดินตามพระธรรม แล้วจะมองเห็นคุณค่าด้วยตา "ใจ" ไม่ใช่ตา "กาย"

    สิ่งที่ "อยาก" รู้ จักไม่ได้รู้ พอ "ไม่อยาก" รู้ ก็มักได้รู้แล
     
  10. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287

    ความจริงเรื่องที่อยากรู้เป็นอจินไตยนะแต่เข้าใจความสงสัยผมจะเล่า
    เหมือนเป็นนิทานแล้วกันนะ แรกเริ่มเดิมทีเราอยู่บนดินแดนที่มีทุกคน
    มีความเท่าเทียมกันหมดไม่มีใครด้อยกว่าใครเลยคุณอาจจะเรียกบ้าน
    ก็ได้ ที่นี่เป็นที่ๆ เราไม่สามารถมีประสบการณ์เกี่ยวกับอะไรได้เลย
    เพราะความเท่าเทียม ถ้าทุกคนสูงเท่ากันหมดก็จะไม่มีใครสูงไม่มีใคร
    เตี้ย ถ้าทุกคนดีเท่ากันหมดก็จะไม่มีใครดีไม่มีใครเลวเพราะไม่มีอะไร
    ให้เปรียบเทียบ มันต้องมีโลกสัมพัทธ์ถึงจะมีประสบการณ์ได้ แล้วผู้ที่
    อยู่บนนั้นก้เกิดอยากรู้จักตัวเองในเชิงประสบการณ์ แต่พวกเขารู้ว่ามัน
    เป็นไปไม่ได้เพราะที่นั่นไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ บางคนอยากรู้จักการ
    ให้ บางคนอยากรู้จักการให้อภัย แต่จะให้อภัยกับใครทุกคนล้วนดีเลิศ
    แล้วจะให้อภัยกับใคร ทันใดนั้นก็มีคนผู้มีแสงสว่างไสวเข้ามาบอกว่า
    เราจะช่วยเธอเอง เราจะแสดงเป็นผู้ร้ายทำร้ายเธอเพื่อให้เธอรู้จักการ
    ให้อภัย แต่ขอสิ่งเดียวเมื่อเวลาที่เราทำร้ายเธอขอให้เธอจำให้ได้ว่า
    เราเป็นใคร (จำให้ได้นีคือสติหรือความระลึกได้) และในการทำอย่างนี้
    เราต้องลืมไปก่อนว่าเราเป็นใครเพราะเราจะรู้จักตัวเองในเชิง
    ประสบการณ์ได้อย่างไรถ้าเรารุ้อยู่แล้วว่าเราเป็นใคร บางคนอยากรู้จัก
    การให้ บางคนอยากรู้จักการวางเฉย บางคนอยากรู้จักศีล บางคน
    อยากรู้จักวิริยะ วิญญาณพวกนี้ลงมาเพื่อบำเพ็ญบารมี 10 นั่นเอง ลง
    มาเพื่อทำบารมี 10 ให้เต็ม แล้วเหล่าวิญญาณทั้งหลายก็ลงมาอยู่ใน
    จักรวาลสัมพัทธ์ที่ๆ มีความแตกต่าง ซึ่งความแตกต่างนี้ก็ถูกควบคุม
    ด้วยกฎแห่งกรรม เพราะกรรมจำแนกให้สัตว์ดีเลวและประณีตต่างกัน
    เมื่ออาศัยกฎแห่งกรรมเพื่อช่วยเหลือกันในการบำเพ็ญบารมีที่ตั้งไว้
    เพราะเมื่อเต็มเมื่อไหรพวกเขาก็จะได้กลับบ้าน พวกเขารู้ทุกสิ่งอยู่แล้ว
    เขาขาดแค่ต้องจำให้ได้หรือมีสติ (สติคือความระลึกได้) เพื่อที่จะทำ
    บารมีให้เต็ม วิญญาณที่อยากให้อภัยต้องจำให้ได้เมื่อถูกวิญญาณที่
    สัญญาไว้อีกดวงทำร้ายว่าเราต้องให้อภัยนะ เมื่อเขาจำได้ในสถาน
    การณ์ที่ถูกวางเงื่อนไขไว้เขาก็ทำสำเร็จ ทำสิ่งที่ต้องการสำเร็จเขา
    ได้ประสบการณ์ที่เขาเป็นฝ่ายให้อภัยบวกกับความรุ้ที่เขาจำได้สอง
    สิ่งนี้รวมกันก็คือบารมีที่เขาลงมาบำเพ็ญ แต่วิญญาณแต่ละดวงก็ลง
    มาเรียนรู้ไม่เหมือนกันยากง่ายต่างกันแต่สุดท้ายก็เหมือนกันคือเรา
    ต้องกลับบ้าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2011
  11. กังหันลม

    กังหันลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +693
    เราเกิดมาเพื่อเกิด ไม่มีอะไรที่ทำไปเพื่ออะไรทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเพื่อสิ่งใด แต่ทุกอย่างเกิดตามเหตุและปัจจัยของมันเอง
    เมฆไม่ได้ตั้งเค้าเพื่อให้ฝ<wbr>นตก แต่เมฆกำลังทำหน้าที่ของตนเ<wbr>อง
     
  12. กังหันลม

    กังหันลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +693
    เขาทำบุญครับเพียงแต่เขาไม่เรียกว่าบุญ อย่างเช่นกินข้าวแม้ว่าเราจะเรียกไม่เหมือนกัน การกินมันก็มีความอิ่มเป็นผลเหมือนกัน เป็นสากล กรรมจึงเป็นสากลเมื่อประกอบเหตุย่อมได้รับผลตามสมควรกับเหตุและปัจจัยแวดล้อม
     
  13. shaman loseless

    shaman loseless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +185
    ทุกคำถามมีคำตอบหมดในจักวาลนี้ เพียงแต่มันไม่สามารถเปิดเผยได้เท่านั้นเอง
    บารมีไม่ถึงพูดง่ายๆ ยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็ไม่สามารถบอกวิธีทำให้ทุกคนพิพานได้หมด เพราะท่านทรงรู้ตามบารมีของท่าน แค่นั้นเอง แต่พระพุทธเจ้าองค์ที่จะมานี้สามารถทำได้ เพราะบารมีสูงกว่า แต่ธรรมที่ตรัสรู้ก็เหมือนกัน แต่จะมีมากกว่าองค์ก่อนแค่นั้น เหตุผลง่ายๆ ถ้าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนทรงรู้วิธีทำให้ทุกคนนิพพานได้หมด ท่านคงทำไปแล้ว อีกกรณีคือรู้ แต่บารมีพระองค์ยังไม่ถึงหรือยังไม่ถึงเวลาเลยถูกห้ามเปิดเผย
    เอาเป็นว่าเรื่องที่ถาม คนๆอย่างเราไม่สมควรเอามาคิดเพราะจะเป็นบ้าเปล่าๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...