วิเคราะห์กระทู้เตือนภัยพิบัติรอบ2เดือนนี้

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ดาวบุ๋น5, 13 พฤษภาคม 2011.

  1. hanky

    hanky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +176
    ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านครับ สิ่งใดที่ผมเคยล่วงเกินไป ก็ขออโหสิด้วยครับ สาธุ
     
  2. จาคา

    จาคา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +27
    เข้ามาหาข้อมูล ทั้งสองฝ่ายค่ะ
    "แบบไม่เลือกข้าง เน้นเก็บเกี่ยวข้อมูลค่ะ"

    ถ้าสละ... ราคะ โทสะ โมหะ ถือว่าลดระดับภาวะโลกร้อน
    ทางอ้อมค่ะ "นิด...หนึ่งก็ยังดี"

    ปล.เชื่อตามหลัก กาลามสูตร ตามสายนักปฏิบัติ จิตภาวนาค่ะ
    (เพิ่งเริ่มคลาน)
     
  3. กัลกิ

    กัลกิ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +5
    ทุกท่านแสดงทัศนะได้ดีครับ ครับ...การจะเชื่อสิ่งใดควรพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนว่าสิ่งที่รับรู้นั้นเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน เรื่องภัยพิบัตินั้นมันมีโอกาสเกิดขึ้นได้แต่จะเกิดขึ้นอย่างไร เมื่อไรนั้นมันมีเหตุและปัจจัยเป็นตัวควบคุม ยกตัวอย่างเช่น เราทราบว่าถนนข้างหน้ามีหลุมบ่อ เราจะไปยังจุดหมายก็อาจเลี่ยงหลุมนั้นโดยไปทางอื่น แต่ถ้าเรารีบเร่งจนลืมเรื่องหลุมข้างหน้าอาจตกบ่อได้ครับ นั่นหมายถึงว่า เราสามารถจะตกบ่อหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย ผมเองนะโดนประจำเมื่อก่อนผมขี่รถจักยานยนต์ไปทางไกลประจำ และทราบว่ามีหลุมอยู่ข้างหน้า จึงพยายามขับช้าลงและผ่านไปได้ มีอยู่หลายครั้งที่ผมลืมนึกถึงหลุมเกือบรถคว่ำซะแล้วครับ ดังนั้นบางเรื่องก็ไม่น่าใช่ เช่น เรื่องการเตือนภัยจากมนุษย์ต่างดาว เป็นต้น ส่วนเรื่องการรับรู้ความผิดปกติของธรรมชาติ มักจะมีข้อมูลอยู่บ้าง แต่ไม่ทุกกรณีไป ขอบคุณสำหรับการติชมครับ เนื่องจากผมอธิบายผ่านตัวอักษรไม่ถนัด บางครั้งสนทนาด้วยคำพูดแลกเปลี่ยนทัศนะน่าจะมีผลดีกว่าการพิมพ์นะครับ บางทีต้องอธิบายยาว ขออภัยที่อาจกล่าวข้อความไม่ดีไปบ้าง แต่ผมก็เห็นว่าควรมีสติ และอย่าปล่อยให้ "วัวหายแล้วล้อมคอก" อยู่เหมือนกันครับ
     
  4. ปธ6

    ปธ6 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +292
    สังคมคงกำลังมองดูอยู่ว่า...ใครคือแกะตัวจริง...แต่ผมเห็นแล้ว
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    จะมัวแต่ไปถามผู้อื่นไปทำไมครับ?...ถ้าอยากรู้จริงคุณต้องลงมือปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยตัวของคุณเองเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้...โดยเฉพาะกรรมฐานของวัดท่าซุงสายมโนมยิทธิ...เมื่อคุณได้ฤทธิ์ทางใจเมื่อไหร่...คุณก็สามารถใช้กายทิพย์ของคุณไปท่องเที่ยวได้ทั่วทั้งจักรวาลครับ...

    อ่านรายละเอียดได้ที่ลิ้งข้างล่างนี้นะครับ

    วัดจันทาราม (ท่าซุง) - การ์ตูน "จุไรท่องเที่ยวดวงดาว" ตอนที่ 1 - 2

    ตอนที่ 3 จุไรท่องเที่ยวดวงอาทิตย์

    ตอนที่ 4 จุไรท่องเที่ยวดวงจันทร์

    ตอนที่ 5 จุไรท่องเที่ยวดาวอังคาร

    ตอนที่ 6 จุไรท่องเที่ยวดาวพุธ

    ตอนที่ 7 จุไรท่องเที่ยวดาวพฤหัส

    ตอนที่ 8 จุไรท่องเที่ยวดาวศุกร์

    ตอนที่ 9 จุไรท่องเที่ยวดาวเสาร์และดาวสูตู<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สนทนากับเทวดา สวรรค์มีจริง มนุษย์ต่างดาวมีจริง!!!

    [​IMG]

    สวรรค์มีจริง
    โดย : อ้อง เขาค้อ / สำนักพิมพ์ Think Beyond

    สวรรค์มีจริง เล่มนี้มีคำตอบให้หายสงสัยด้วยเหตุและผลในการฝึกอบรมพัฒนาตนอย่างเปิดเผย ด้วยความสุจริตใจเป็นที่ตั้ง กาย ทิพย์ โลกทิพย์ อาหารทิพย์ ผัสสะอันเป็นทิพย์ เสวยทิพย์ด้วยอำนาจแห่งกุศลในกามคุณ ๕ อันเป็นทิพย์ สิ่ง เหล่านี้ผู้เขียนจะชี้แจงออกมาในรายละเอียดจากประสบการณ์ที่ได้ศึกษา และเข้าไปรู้ในโลกแห่งมิติภพภูมิ (ภพแห่งใจ) ที่เรียกว่า สวรรค์ ซึ่งเป็นมิติภพภูมิในห้วงเวลาอวกาศที่ซ้อนเหลื่อมกับมิติโลกมนุษย์

    เป็นดินแดนที่เข้าไปได้ พิสูจน์ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้วันตายมาถึงแล้วค่อยไปพิสูจน์ ภายในเล่มจะมีแต่สาระธรรมที่ง่ายๆ อ่านเข้าใจแบบมีเหตุมีผล โดยการแนะนำให้พึ่งตนและพิจารณาพิสูจน์ในความจริง เนื้อหาส่วนใหญ่จึงมีแต่สาระสำคัญ รวมถึงขั้นตอนในการที่จะเข้าไปรู้ว่าสวรรค์มีจริงต้องทำอย่างไร เนื้อหาภายในเล่มทั้งหมดไม่ใช่จินตนาการที่จะแสดงออกมาได้ จึงต้องใช้ความจริงที่ได้พิสูจน์มาเพื่อเขียนออกมาอย่างเปิดเผย

    ผมขออนุญาติคัดลอกการสื่อสารกับเทวดาของคุณ อ้อง เขาค้อ(ชัชวาล เพ่งวรรณธนะ) ในหนังสือเล่มนี้ มาให้อ่านกันเป็นบางส่วน ถ้าท่านใดสนใจก็ไปซื้อหามาอ่านกันได้ครับ

    เทวดามีอายุขัยยาวนานมหาศาล ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำอะไร?

    “คงต้องบอกท่านก่อนว่า ความน่าเบื่อหน่ายในการมีชีวิตที่ยืนยาวนั้นไม่มีปรากฏ เพราะจิตที่เสวยแต่ปีติสุขอิ่มเอิบอันเป็นทิพย์นั้น ปรากฏขึ้นอยู่ตลอดเวลา จิตจึงไม่มีสภาพหดหู่แลเศร้าหมอง เวลาในแต่ละวันของพวกเรานั้น ถ้าเป็นผู้แสวงหาปัญญาก็จะไม่หยุดนิ่งในการแสวงหา ส่วนท่านที่เพลิดเพลินยินดีในกามคุณ 5 อันเป็นทิพย์ก็มักจะใช้เวลาของท่านท่องไปในมิติภพภูมิที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนแห่งความสุขนั้นๆ ที่เต็มไปด้วยหมู่มิตร ปวงญาติ คนที่รู้จักมากมายและใช้เวลาในการสร้างความสุขส่วนตัวที่พึงพอใจ

    ท่านใดที่พึงพอใจในงานชนิดไหนก็จะไปทำงานชนิดนั้นๆ ดินแดนแห่งสวรรค์จึงมีแต่ความผาสุก สดชื่น ยืนยาว และคงบอกท่านได้ว่ามีอะไรที่ทำมากมาย มีอะไรที่ท่องเที่ยวไปอย่างมากมาย มีอะไรที่อยากรู้ก็ได้รู้อยากเห็นก็ได้เห็น เพราะแต่ละท่านต่างก็นำเอาภูมิความรู้มาใช้กันอย่างไม่ปิดบัง บางท่านที่ทรงภูมิธรรมก็จะแสดงความรู้อย่างเต็มความสามารถ นี่แหละท่านที่เรียกว่า ดินแดนแห่งความสุข ที่ไม่ต้องไปทำงานหาเงินเช่นเดียวกับมนุษย์ เพราะยามเป็นมนุษย์ก็ได้สร้างเหตุสร้างปัจจัยในความดีมาอย่างมากมาย พวกเขาเหล่านั้นจึงมารับผลแห่งกรรมดี ที่แม้แต่สมบัติแห่งกษัตริย์ใดๆ ในโลกหล้า สมบัติแห่งเศรษฐีใดๆ ก็หามาเทียบเท่ากับปวงเทพในดินแดนแห่งความสุขเช่นนี้ไม่”

    ท่านมีความถนัดในสิ่งใดในดินแดนของท่าน?

    “ความถนัดในช่วงนี้คือ การชมชอบดวงดาว การได้ศึกษาดาราศาสตร์ ท่องไปดวงดาวต่างๆ กาแล็กซี่อื่นๆ หรือทวีปอื่นๆ หรือการไปพบปะปวงเทพในทวีปอื่นๆ คงต้องบอกท่านก่อนว่า ความถนัดจะเปลี่ยนไปเสมอเมื่อมีเหตุจูงใจใหม่ๆ หรือได้พบปะมิตรใหม่ มีประสบการณ์ใหม่ๆ และคงต้องบอกท่านอีกอย่างว่า อายุขัยของเราในมิติภพสวรรค์ยาวนานมหาศาลเป็นอย่างยิ่ง

    มนุษย์ไม่ใช่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เดียวในหมื่นโลกธาตุแห่งนี้ ยังมีสวรรค์ นรก มนุษย์ อีกมากมายเป็นพันๆ ทวีปในระบบสุริยะอื่นๆ ที่ท่านสงสัยว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ ดวงดาวอื่นๆ ที่ยังไม่มีวิทยาการก็สงสัยเช่นนี้ แต่ดวงดาวที่มีอากาศยาน มีความเจริญก้าวหน้าก็ได้มาเยือนที่โลกมนุษย์แห่งนี้เช่นกัน

    มนุษย์เหมือนดังหิ่งห้อยตัวน้อยๆ ที่ผุดขึ้นมาฉายแสงในห้วงแห่งกาลเวลาและก็ดับสลายหายไป อายุขัยแห่งมนุษย์ การเสวยอารมณ์แห่งมนุษย์ การเสพสุขแห่งมนุษย์ ไม่ว่าจะเลอเลิศพิศดารมหาศาลขนาดไหน จะมีค่าอันใดเมื่อไปเปรียบเทียบกับดินแดนแห่งความสุขที่มีอิสระเสรี ในความสุขทางกายสัมผัสอันละเอียด ในสุขแห่งการท่องเที่ยวไปอย่างอิสระที่ไม่ต้องกลัวว่า ทิพยกายจะสลายเพราะได้รับอันตราย ไม่ต้องกลัวโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ต้องกลัวความแก่ ความชรา มีแต่ความหนุ่มสาว เข้าขั้นเหมือนหนุ่มสาวหมื่นล้านปี นี่คือเพียงแค่ดินแดนแห่งความสุขสวรรค์ ๖ ชั้นแรกของเทวโลกเท่านั้น"
    <DD>
    ************************************************
    <!-- google_ad_section_end --></DD><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
     
  7. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    ของฝากวันวิสาขบูชา...สำหรับทุกๆท่าน

    ทุกท่านเคยฟังนิทานเรื่องนี้ไหมคะ...อ่านให้จบก่อนแล้วพิจารณาด้วยสติ อย่าเพิ่งโกรธก่อนอ่านจบนะคะ..

    <TABLE cellSpacing=5 width="100%"><TBODY><TR><TD>ปล. วันนี้วันวิสาขบูชา ที่จริงไม่ควรมาเข้าเวบ (น่าจะปฏิบัติธรรมดูจิตทั้งวัน แต่วันนี้อยู่บ้านไม่ได้เข้าวัดเพราะเตรียมเดินทางพรุ่งนี้) ...
    ได้อ่านความคิดเห็นโต้แย้งกันมาหลายกระทู้ ... ทำให้นึกถึงนิทานเรื่องนี้ค่ะ ^___^

    ........................

    มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเกิดที่ประเทศอินเดีย มีเด็กขอทานสองคนในชนบทเป็นเพื่อนรักกันอีกคนตาบอดอีกคนตาดี
    ปกติเด็กตาดีจะพาเพื่อนตาบอกเดินออกขอทานทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งเด็กขอทานตาบอดไม่สบายจึงเดินออกขอทานไม่ได้
    เด็กขอทานตาดีจึงบอกเพื่อนขอทานตาบอดว่า "เดี๋ยวฉันจะออกไปขอทานนะถ้าได้อาหารแล้วฉันจะเอามาแบ่งเธอด้วย"
    และแล้วเด็กขอทานตาดีก็เดินออกขอทานเข้าไปในเมือง ไปพบบ้านคนรวยมีน้ำใจบ้านหนึ่งได้ให้อาหารชั้นเลิศกับเด็ดขอทานตาดี
    ซึ่งอาหารชั้นเลิศเรียกว่า "ขนมคี" ซึ้งทำมาจากข้าวสาลีผสมนมเนยอย่างดี
    เด็กขอทานตาดีนึกถึงเพื่อนขอทานตาบอด จะเอาขนมไปฝากเพื่อนแต่ก็ไม่มีภาชนะใส่จะเอาไปฝากอย่างไร เด็กขอทานตาดีก็เลยกินเข้าไปหมดเลย
    พอกลับมาถึงที่พักเด็กขอทานตาดีก็เล่าให้เด็กขอทานตาบอดว่า
    "วันนี้ฉันโชคดีจังเลยฉันเจอคนรวยใจดีได้ให้ ขนมคี กับฉัน ฉันไม่มีภาชนะใส่มาให้เธอฉันเลยกินเข้าไปหมดเลย"
    เด็กขอทานตาบอดบอกว่า "ไม่เป็นไร ขอเธอเล่าให้ฉันฟังก็แล้วกันว่า ขนมคี เป็นอย่างไร"
    เด็กขอทานตาดีก็เล่าว่า "ขนมคี นะมันมีสีขาวรสหวานอ่อนนุ่น"
    "สีขาวเหรอ มันเป็นอย่างไร"
    สีขาวนะมันเป็นอย่างไร เด็กขอทานตาดีบอกว่า
    "สีขาวมันก็เป็นสีขาวนะสิ มันจะเป็นสีอื่นไปได้อย่างไร อะไรกันเธอเป็นคนเช่นไรทำมัยไม่รู้จักสีขาว"
    "ก็ฉันไม่รู้จักสีขาวนี่หน่า" เด็กขอทานตาบอดบอก!
    วันหนึ่งเด็กขอทานตาดีเห็นนกกะเรียนสีขาวเลยรีบวิ่งไปจับมาให้เพื่อนขอทานตาบอดบอกว่า "นี่ไงสีขาวเป็นอย่างนี้เธอลองจับดูสิ"
    เด็กขอทานตาบอดบอกว่า "อ้อ!สีขาวนุ่มๆอย่างนี้นี่เอง"
    เพื่อนขอทานตาดีบอกว่า "สีขาวมันจะนุ่มได้อย่างไร"
    เด็กขอทานตาบอดบอกเพื่อนขอทานตาดีว่า
    "ก็เธอบอกว่าให้ฉันจับดูสีขาวเป็นอย่างนี้ฉันก็จับดูมันนุ่มเธอก็ยังบอกว่าไม่ใช่ แล้วสีขาวมันเป็นอย่างไร"
    เด็กขอทานตาดีบอกว่าเธอเป็นคนเช่นไรไม่เข้าใจสีขาวสักที...
    และอยู่มาวันหนึ่งในขณะที่เด็กขอทานทั้งสองคนกำลังเดินขออาหารอยู่ตามปกติ
    เด็กตาดีเกิดมองไปเห็นช้างตัวหนึ่งซึ้งกำลังหากินอยู่กับคนเลี้ยงช้าง เด็กตาบอดก็บอกเพื่อนขอทานตาดีว่า "เธอพาฉันไปหาช้างทีสิ"
    เด็กตาดีก็พาเด็กตาบอดเข้าไปหาช้าง เด็กตาบอดเข้าไปจับส่วนหางของช้าง "อ้อ!ช้างเป็นเส้นๆแข็งอย่างนี้นี่เอง"

    เด็กขอทานตาดีบอกว่า "มันไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจ"
    "จะไม่ใช่อย่างไร ! ฉันจับดูแล้วมันเป็นอย่างนี้นี่"
    เด็กขอทานตาดีพาเด็กขอทานตาบอดมาจับตรงขาช้าง "อ้อ !ช้างเป็นแท่งใหญ่ๆอย่างนี้นี่เองฉันเข้าใจล่ะ"
    เด็กขอทานตาดีพยายามจะบอกว่าช้างเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น แต่เด็กขอทานตาบอดก็ไม่เข้าใจสักที...
    เราเองล่ะตาบอดอยู่หรือเปล่าเราถึงเวียนวนอยู่ในวัฏฏะอยู่อย่างนี้ตลอด
    พระพุทธองค์ทรงได้หาหนทางให้เราว่ายออกจากมหาสมุทรแห่งความทุกข์นี้แล้ว
    อย่ามัวลงไหลอยู่กับความสุขจอมปลอมที่ให้ผลแสนสาหัส คือความเจ็บ ความแก่ ความตาย ไม่รู้จบ ....
    .....................................................
    ที่มา : ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า
    เราจะเดินให้สุดทาง VIPASSANA MEDITATION WEBSITE

    ครั้งหนึ่ง...ข้าพเจ้าก็เคยเป็นดังเช่นเด็กขอทานตาบอด เวลาคนอื่นเขาพูดเรื่อง ขันธ์ 5 จนกระทั่งปฏิบัติและรู้เห็นเอง จึงเข้าใจ...
    แต่เรื่องเกี่ยวกับภพภูมิอื่นๆ เราก็ยังเป็นเด็กขอทานตาบอดอยู่ดี เปล่าประโยชน์ที่จะไปเถียงกัน...
    มีวิธีเดียวคือ ปฏิบัติจนรู้แจ้งเห็นด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะเข้าใจ
    ส่วนการอ่านข่าวสารต่างๆ ก็จงมีสติพิจารณา...ไม่กระต่ายตื่นตูม วิตกกังวลเกินเหตุจนไม่เป็นอันทำอะไร...
    รู้แล้วก็ไม่ประมาทเป็นพอ..เมื่อเหตุการณ์มันไม่เป็นดังคาดหมาย ก็อย่าพาลโกรธเคืองต่อผู้หวังดีกับเราเลย
    พยากรณ์อากาศก็ยังผิดพลาดได้เลยนี่นา ^___^



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  8. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    ทุกท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นก็ไม่เคืองโกรธกันอยู่แล้ว กระทู้นี้เป็นประชาธิปไตยไม่คิดรวบอำนาจแต่อย่างใดให้เสนอความเห็นได้ เพียงแต่อาจจะมีความเข้าใจผิดกันไปบ้าง มีความขัดแย้งกันบ้างก็ถือว่า เป็นธรรมดาอยู่แล้วครับ
    ---------------------------------------------
    เอาล่ะขอต่อเรื่องที่ได้บอกไปเมื่อวานเลยดีกว่า ไม่ค่อยมีคนออกความเห็นเรื่องมนุษย์ต่างดาวกับภัยพิบัติบ้าง ผมก็จะขอวิเคราะห์ก่อนเลยก็แล้วกันครับ

    ขอใช้ตัวย่อ เพื่อความสะดวกในการพิมพ์ จากมนุษย์ต่างดาวเป็น มตด.ก็แล้วกันครับ

    ในเมื่อเรากล่าวถึงมตด.ก็จำเป็นว่าต้องถือว่า มตด.มีจริงก็แล้วกันครับ

    มตด.คืออะไร หลายๆคนคงไม่รู้ว่าปรกติชีวิตประจำวันมตด. นั้นทำอะไร
    และปรกติมตด. มีอารยธรรมอย่างไรเลย เพราะบางทีมตด.ก็ยังไม่ได้หมายแค่มตด.ที่มีแค่ดาวดวงเดียว แต่ยังมีอีกหลายดวงก็ได้

    ตรงจุดนี้จะเห็นว่าโดยทั่วไปแทบไม่มีคนล่วงรู้ได้เลยว่ามตด.นั้นมีอุปนิสัยอย่างไรเลยก็ว่าได้ ไม่มีรูปถ่ายการใช้ชีวิตประจำวันอะไรเลยออกมา

    ส่วนมากนั้นก็จะเห็นเป็นลักษณะเป็นยานบินเสียมากกว่า หรือก็มีรูปถ่ายออกมาก็ไม่ได้มีมาก และยืนยันไม่ได้ว่าเป็นรูปตัวจริงหรือไม่

    สรุปทั่วๆไปที่ทุกคนรู้กันนั้นถือว่ามตด.เป็นกลุ่มบุคคลลึกลับนอกโลกก็แล้วกัน

    เมื่อกล่าวว่าเป็นบุคคลลึกลับ ..ถ้าเป็นมนุษย์ทั่วไป ไม่มีที่อยู่ ไม่รู้ว่าอุปนิสัยใจคอ ไม่เคยเห็นการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่รู้ว่ามีวัฒนธรรมแบบไหน

    คุณคิดว่ามตด.นั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ น่าไว้ใจหรือเปล่า น่าสงสัยหรือไม่ ???

    ถ้าเป็นมนุษย์โลกก็ถือว่าบุคคลแบบนี้ไม่น่าไว้ใจ ไม่มีความจริงใจ ถึงพยายามปกปิดอะไรต่อมิอะไรมากมาย ... ถึงจะเอ่ยบอกว่ามาช่วยเหลือ ส่วนมากคนที่ทำตัวลึกลับแบบนี้ ถ้ามองจากเหตุจากผล ย่อมต้องหวังอะไรจากเราแน่ๆ ไม่น่าจะประสงค์ดีกับเรา

    ถ้าให้เราจินตนาการถึงมนุษย์ต่างดาวที่เราทราบกันทั่วไปๆ ก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีหัวโต ตาโต ปากเล็ก ขา แขนลีบ ผิวขาวเผือก นี่คือลักษณะกายภาพที่เราเห็นๆรู้ๆกัน

    และถ้าเรามองถึงภาพการใช้ชีวิตของมนุษย์ต่างดาวโดยที่เราไม่เคยพบ เคยเห็น รู้จักกัน ..ส่วนตัวผมจะเห็นว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่ในเครื่องสั่งการ อยู่หน้าจอบัญชาการควบคุมต่างๆ

    ตรงจุดนี้คุ้นๆหรือเปล่าว่ามนุษย์เราสมัยนี้ก็เริ่มอยู่หน้าจอสั่งการเหมือนกัน และเทคโนโลยีต่างๆที่บ่งบอกไปถึงอนาคตต่อไป ก็จะช่วยให้ชีวิตสะดวกสะบายแค่อยู่หน้าเครื่องสั่งการเท่านั้น

    ถ้ามตด.มีจริงก็คงมีหลายๆท่านเชื่อว่าสิ่งที่ทันสมัยทางด้านเทคโนโลยีนั้นได้รับถ่ายทอดมาจากมตด.

    เทคโนโลยีที่รวมทุกอย่างไว้ในสิ่งเล็กๆทำอะไรได้หลายๆอย่าง ..ในขณะที่เราเสนอความคิดเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์สั่งการ ก็เป็นไปได้ว่าเป็นสิ่งที่ได้รับถ่ายถอดมาจากมตด.:boo:

    นอกจากคอมพิวเตอร์ ..อะไรบ้างที่ทำให้เกิดการสั่งการต่างๆ ก็เป็นเครื่องใช้ที่มีพวกชิปต่างๆ ล้วนเป็นไปได้ว่าเกิดจากมตด.ถ่ายทอดมา

    มือถือ ดาวเทียม ยานอวกาศ จรวดนิวเคลียร์ เครื่องซักผ้า พัดลม เรือรบ เครื่องบิน รถยนต์ แอร์ คอมพิวเตอร์ ระบบวงจรต่างๆ ...ก็มีแนวโน้มว่ามาจากเทคโนโลยีที่มตด.มอบให้เรา

    แต่เอ้ ..แล้วในเมื่อมตด.มอบอะไรดีๆให้เราตั้งมากมาย เราจะมากล่าวหาว่า มตด.มาไม่ดีได้ยังไง

    ตรงจุดนี้ถ้ามองทางด้านความสะดวกสบายแล้ว ก็ถือว่าดี ..แต่ถ้าเรามองสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ที่มตด.ให้มา ..จะเห็นว่าโดยรวมแล้วเป็นสิ่งที่ทำร้ายธรรมชาติ
    ทั้งนั้น พวกชิปที่เหลือก็เป็นขยะ ที่กำจัดยาก แถมสารเคมี สารผิดตามมาด้วยในอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติไม่ต้องการทั้งนั้น

    ถ้าเรามองดูทางด้านจิตใจ จิตวิญญาณด้านธรรมชาติ สิ่งที่มาเกื้อทางด้านเทคโนโลยีจะเป็นสิ่งที่สวนทางกับธรรมชาติทั้งนั้น ..แล้วช่วงนี้ธรรมชาติมันผิดปรกติมั้ย???

    อีกนิดนึงมตด.นั้นชำนาญเกียวกับพวกคลื่นเสียง คลื่นรังสี ต่างๆด้วย สิ่งเหล่านี้ปรกติเรามองไม่เห็นกันหรอกครับ

    ..แต่เมื่อมีคลื่นที่ผิดธรรมชาติเกิดขึ้นมาจะส่งผลกับตัวมนุษย์หรือเปล่า???
    โรคร้ายต่างๆจะมีส่วนเกิดจากคลื่นรังสีต่างๆเหล่านี้หรือไม่???

    ประเด็นนี้แสดงอีกอย่างว่ามตด.สามารถจู่โจมเราได้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ตาเรามองไม่เห็นนี้..

    นอกจากนั้นสิ่งที่เทคโนโลยีสร้างให้กับมนุษย์คืออะไร ทำให้มนุษย์สะดวกสบายมากขึ้น จนเราอาจจะไม่ต้องการความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ไม่ต้องเจอกันทำอะไรก็ผ่านทางหน้าคอม หน้าเครื่องสั่งการ

    เทคโนโลยีทำให้มนุษย์ห่างกันมากขึ้น อีกหน่อยก็สร้างหุ่นยนต์มาไว้ที่บ้านเป็นเพื่อนกันแทน ให้มนุษย์ห่างไกลจากธรรมชาติ ต้นไม้ สัตว์ต่างๆ มาอยู่ในเครื่องสั่งการ หน้าจอกันหมด อยากเห็นอะไร ไม่ต้องออกไปไหน อยู่แต่กับห้องกับบ้าน สิ่งบันเทิงเกมส์ กีฬา สร้างเป็นเกมส์ เครื่องเล่นขึ้นมาแทน

    จะเห็นว่าเทคโนโลยีนั้นทำให้ธรรมชาติต่างๆ นั้นผิดเพี้ยนไปหมด..แล้วตอนนี้ธรรมชาติเป็นอย่างไรเอ่ย แบบนี้เรียกว่าภัยเงียบหรือเปล่าครับ

    ถ้ามีมตด.มาบอกว่า มนุษย์จะเกิดภัยพิบัติแรงช่วงเดือน2เดือนนี้ มตด.จะรู้อยู่แล้ว เพราะว่าเหตุผลข้างบนหรือไม่???

    แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเกิดภายในเดือน2เดือนนี้
    1.มีเทคโนโลยีสุดยอดรู้ว่าจะเกิดอะไรที่ไหนหรือข้ามอนาคตไปเลย แล้วรู้ว่าเป็นแบบนั้น แต่ไม่มีเทคโนโลยีในการช่วยเหลืออะไรบ้างเลยหรือ นอกจากมาบอกคำเตือน ..เพราะมีแผนอะไรหรือเปล่า จริงใจหรือเปล่า

    ถ้าจริงใจมาช่วยเหลือคิดว่าด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากก็น่าจะทำให้เราไมมีผลกระทบกระเทือนอะไรมากมายได้อยู่..ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น

    2.ถ้าลงมือเองย่อมต้องรู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่..นี่ถ้ามาเตือนเองแล้วลงมือเอง มนุษย์เราจะใช้คำว่า ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลยนะครับ

    ผมขอวิเคราะห์ไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน หากท่านใดมีความคิดเห็นก็เสนอแนะได้ตามสบายครับ
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    “กมฺมุนา วตฺตตีโลโก....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”

    พระพุทธศาสนสุภาษิตบทนี้เป็นคำตอบที่ชัดแจ้ง สำหรับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นมากมาย ว่าทำไมโลกทุกวันนี้จึงร้อนนัก เต็มไปด้วยความเลวร้ายต่างๆ นานาที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ทั้งมรสุมใหญ่ ทั้งน้ำไฟทำลาย ทั้งโจรร้ายเข่นฆ่า ทั้งความเมตตากรุณาสิ้นจากจิตใจ ทั้งความขาดแคลนทุกข์ยากทั่วไปทั้งแผ่นดิน ความกตัญญูก็สิ้นสูญหมด ลูกหลานทรยศแม่พ่อพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายาย ถึงทุบตีเข่นฆ่าทำทารุณกรรม ครูอาจารย์ก็ทำร้ายได้ทั้งร่ายกายและจิตใจศิษย์น้อยๆ ทำชีวิตให้พลอยสิ้นสุด จนถึงเกิดเป็นปัญหาว่า....

    ทำไมเมืองพระพุทธศาสนาจึงเป็นเช่นนี้ได้ ?
    ทำไมความเดือนร้อนชั่วร้ายจึงมากมายนัก ?
    ทำไมผู้คนจึงลำบากยากแค้นนัก ตกอยู่ในสภาพที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก
    “กมฺมุนา วตฺตตีโลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” นี่คือคำตอบ

    O กรรม..คือการกระทำทั้งที่ดีและไม่ดี

    กรรมหมายถึงการกระทำ ซึ่งมีความหมายเป็นกลาง คือ มีทั้งที่ดีและที่ไม่ดี
    การกระทำที่ดีเป็นกรรมดี การกระทำที่ไม่ดีเป็นกรรมไม่ดี แต่ที่นำมาใช้นั้นเข้าใจว่า กรรม คือ ความไม่ดีสถานเดียว เช่น เมื่อมีอะไรร้ายๆ เกิดแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็จะกล่าวว่ากรรมของเขา คือ ความไม่ดีของเขา

    “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ที่เป็นคำในพระพุทธศาสนสุภาษิต มีความหมายว่า คนและสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นไปต่างๆ นานา ทุกข์ก็มี สุขก็มี ดีก็มี ชั่วก็มี มิได้เกิดแต่ผู้ใดอื่น มิได้เกิดแต่อะไรอื่น มิใช่เกิดแต่เหตุใดทั้งนั้น นอกจากกรรมที่ตนได้กระทำแล้วเองเท่านั้น

    O อำนาจแห่งกรรมของตนเอง

    ผู้ที่เป็นมนุษย์ในชาตินี้ อาจเกิดเป็นสัตว์ในชาติหน้าได้ ด้วยอำนาจแห่งกรรมของตนเอง ที่เพียงพอแก่ความเป็นสัตว์ ซึ่งมีต่างๆ ประเภท ทั้งหมู หมา กา ไก่ วัว ควาย ช้าง ม้า ที่อำนาจกรรมอาจนำให้มนุษย์ไปเกิดได้ประเภทนั้นๆ

    ในพระพุทธศาสนามีเรื่องเล่าถึงพระภิกษุรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ที่ประพฤติดี ประพฤติชอบมาตลอด ก่อนแต่จะมรณภาพได้จีวรมาผืนหนึ่งซักตากไว้บนราว ด้วยมีใจผูกพันยินดีที่จะได้ครองจีวรใหม่

    เกิดมรณภาพในช่วงเวลาก่อนจะทันได้ใช้จีวร เพื่อนภิกษุจะถือจีวรนั้นเป็นของตน สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ มีพระพุทธดำรัสให้รอก่อน ๗ วัน เพราะขณะนั้นพระภิกษุผู้เป็นเจ้าของได้ไปเกิดเป็นเล็นเกาะติดอยู่กับผ้าจีวร

    อายุของเล็นอยู่นานเพียง ๗ วัน จากนั้นจะได้ไปเสวยผลแห่งกรรมดีที่พระภิกษุรูปนั้นได้ประกอบกระทำไว้เป็นอันมาก นี้เป็นเรื่องแสดงอำนาจของกรรมทางใจที่ใหญ่ยิ่ง อาจนำให้พระภิกษุไปเกิดเป็นสัตว์ได้

    O ทุกสิ่งเป็นไปตามอำนาจแห่งใจ

    ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ มนุษย์ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ก็เพราะอำนาจแห่งใจ มีเรื่องของพระภิกษุสำคัญองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา ท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ

    ได้เล่าไว้และมีผู้นำมาเขียนให้ได้อ่านกันต่อมา ท่านเล่าว่า ท่านต้องไปเกิดเป็นไก่หลายชาติ เหตุเพราะมีใจผูกพันในแม่ไก่ กว่าจะรอดกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็นานนักหนา

    ต่อมาเมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความรู้สึกรู้ไกลไปในอดีตหลายภพชาติ จึงประจักษ์ในอำนาจของจิต ว่ายิ่งใหญ่นัก สามารถทำให้มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้ และทำให้สัตว์วนเวียนอยู่ในภพภูมิที่ต่ำนักหนาได้ ควรจะสลดสังเวชและควรจะกลัวอำนาจของจิตที่ตั้งไว้ผิดยิ่งนัก

    O ความไม่เข้าใจในเรื่องของกรรม

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แม้จะเป็นจริงเช่นนี้ แต่มีผู้ที่เชื่อว่าเป็นจริงเพียงจำนวนน้อยนัก เพราะไม่มีภาพให้เห็นว่า เมื่อชีวิตออกจากร่างของคนคนหนึ่งไป ก็ไปเป็นอีกร่างหนึ่งได้ เช่น หมู หมา กา ไก่ ความไม่ได้เห็นชัดๆ ด้วยตาเนื้อเช่นนี้ทำให้คนส่วนมาก ยากจะเชื่อว่าคนก็เกิดเป็นสัตว์ได้

    สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้ คนฐานะสูงก็เกิดเป็นคนฐานะต่ำได้ คนฐานะต่ำก็เกิดเป็นคนฐานะสูงได้ คนร่างกายดีๆ ก็เกิดเป็นคนแขนด้วนขาด้วนได้ คนพิการแขนด้วนขาด้วนก็เกิดเป็นคนมีแขนมีขาดีได้ คนหน้าตาน่าเกลียดผิดพรรณเศร้าหมอง ก็เกิดเป็นคนสวยคนงามได้ คนสวยคนงามก็เกิดเป็นคนน่าเกลียดน่าชัง ผิดพรรณเศร้าหมองได้ ยิ่งกว่านั้นคนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และเทวดาก็เกิดเป็นคนได้

    ความไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ประกอบกับความไม่มีความเข้าใจในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรม ที่ทำให้คนส่วนมากไม่กลัวการเกิดใหม่ ว่าจะนำไปสู่สภาพหรือภพชาติที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เช่นเป็นสัตว์นรก

    O ผู้ไม่เชื่อเรื่องมโนกรรม..น่าสงสารที่สุด

    ใจสำคัญที่สุด ใจต้องคิดไปก่อน เป็นมโนกรรม...กรรมทางใจ อะไรๆ จึงจะเป็นผลตามมา จะดีหรือจะชั่วก็แล้วแต่ใจจะคิดดีหรือคิดชั่ว ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องกรรมที่เกิดจากใจคิด เป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด

    เพราะเขามีโอกาสที่จะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย น่าสลดสังเวชยิ่งนัก สภาพที่เกิดแต่ใจคิดนำไปนั้น เกิดได้ทั้งในภพชาติปัจจุบันนี้ ตลอดไปจนถึงภพชาติข้างหน้า อย่างที่ว่าแม้คนก็เกิดเป็นสัตว์ได้ แม้คนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และแม้สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้ แม้สัตว์ก็เกิดเป็นเทวดาได้

    O การระวังใจ สำคัญยิ่งนัก

    การระวังใจจึงสำคัญยิ่งนัก ปล่อยใจให้คิดสูงส่งงดงามไปด้วยบุญกุศล ชาตินี้ก็เป็นสุขเบิกบานด้วยอำนาจของบุญกุศลที่ใจคิดถึง ละชาตินี้ไปแล้วจะได้มีชาติใหม่ที่งดงาม ควรแก่ความงดงามของความคิดที่อยู่ในจิตใจ

    ผู้พรั่งพร้อมด้วยสมบัติทั้งกายและทางใจที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน คือ ผู้ที่เป็นไปตามอำนาจของใจในอดีต อันย่อมมีผลสืบเนื่องถึงอำนาจของใจในภพชาติใหม่ด้วย

    ส่วนผู้ที่ปล่อยใจให้คิดต่ำทราบชั่วร้าย ด้วยบาปอกุศล ชาตินี้ก็เป็นทุกข์เร่าร้อนด้วยอำนาจของบาปอกุศลที่ใจคิดถึง ละชาตินี้ไปแล้วจะได้มีชาติใหม่ที่ต่ำทรามบกพร่อง ควรแก่ความต่ำช้าของความคิดที่มีอยู่ในจิตใจ

    ผู้ขาดแคลนทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ที่เห็นกันอยู่ไม่น้อยในปัจจุบัน คือ ผู้เป็นไปตามอำนาจของใจในอดีต อันย่อมมีผลสืบเนื่องถึงอำนาจของใจในภพชาติใหม่ด้วย จึงพึงระวังความคิดให้อย่างยิ่ง ให้งดงามด้วยบุญกุศลไว้เสมอ จะได้ไม่ต้องมีสภาพที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนา

    O ความคิด เป็นเหตุแห่งสุขและทุกข์

    ความคิดเป็นเหตุแห่งความทุกข์ และความคิดก็เป็นเหตุแห่งความสุขได้ พึงรอบคอบในการใช้ความคิด คิดให้ดี คิดให้งาม คิดให้ถูก คิดให้ชอบ แล้วชีวิตในชาตินี้ก็จะงดงาม สืบเนื่องไปถึงภพชาติใหม่ได้ด้วย

    ระวังความคิดให้ดีที่สุด เพราะความคิดที่ผูกพันในสิ่งไม่สมควรที่ทำให้พระภิกษุองค์หนึ่งต้องไปเกิดเป็นเล็น อีกองค์หนึ่งต้องไปเกิดเป็นไก่อยู่หลายภพหลายชาติ เราทั้งหลายหาได้มีบุญสมบัติเสมอพระภิกษุทั้งสองนั้นไม่ ความคิดที่ผิดพลาดของเราจะมินำเราไปเป็นอะไรที่น่ากลัวเหลือเกินหรือ

    O ความคิดเปรียบเช่นดังร่างกาย

    ความคิดก็เหมือนร่างกาย เหมือนต้นหมากรากไม้ ต้องการความดูแลรักษา ไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่เติบโตเจริญงอกงาม หรือเติบโตก็อย่างระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบงดงามเป็นคนก็ไม่เรียบร้อย ไม่เป็นที่เจริญตาเจริญใจ ใครที่ไหนเล่าจะชื่นชมคนเช่นนั้น

    ความคิดหรือจิตใจก็เช่นเดียวกัน ต้องให้ปุ๋ยเสมอ คือ ให้ความถูกต้องด้วยปัญญา ด้วยสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ว่าความดีหรือบุญกุศล เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับที่จะประคับประคองชีวิตไปสู่ความถูกต้องดีงามนานาประการ

    อย่าอยู่อย่างประมาท อย่าปล่อยความคิดให้วุ่นวายเปะปะไปเหมือนปล่อยเด็กเล็กๆ ให้เดินโซซัดโซเซไปตามลำพัง ย่อมมีทางหกล้มหกลุกแขนขาหัก หรือหัวร้างข้างแตก หรือถึงพิกลพิการได้ ถึงเป็นถึงตายก็ได้ ความคิดที่ไม่ได้รับความประคับประคองให้ดำเนินไปถูกทำนองคลองธรรม ย่อมมีทางเดินไปสู่ความหายนะได้อย่างแน่นอน

    O เกิดเป็นคน เร่งรักษาจิตให้จงดี

    เกิดมาเป็นคน มีอวัยวะครบถ้วนไม่พิกลพิการ ไม่ไร้สติ เป็นบุญนักหนาแล้ว เร่งรักษาจิตให้จงดี ให้อาหารที่เป็นประโยชน์ที่สุด อย่าปล่อยให้เปะปะไปแสวงหาอาหารตามชอบใจ จะต้องหลงไปพบอาหารที่เป็นพิษแน่นอน

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคนี้สมัยนี้มีอาหารที่เป็นโทษเป็นพิษร้ายแรงแก่จิตใจมากมาย เต็มไปทั่วทุกหนทุกแห่ง โอกาสที่ใจจะหลบหลีกให้พ้นพิษภัยเหล่านั้นยากมาก สติปัญญารักษาใจที่เพียงพอเท่านั้น ที่จะทำให้แลเห็นช่องทางหลบหลีกพิษภัยเหล่านั้นได้ สามารถรักษาใจให้พ้นพิษภัยร้ายแรง มีความสวัสดีได้ แม้พอสมควร

    O การตายทั้งเป็นนั้น น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

    ใจที่มีความคิดอาบยาพิษร้าย เป็นใจที่ทำให้ตายได้ทั้งเป็น อันการตายทั้งเป็นนั้น น่าหวาดกลัวยิ่งกว่ามากมายนัก ผู้ที่ตายทั้งเป็น คือ ผู้เป็นคนเลวในสายตาของคนดี เป็นที่รังเกียจของสังคมคนดี ไปสู่ที่ใดจักไม่มีความหมาย เหมือนเป็นความว่างเปล่า ปราศจากการต้อนรับ

    ที่ท่านเปรียบว่าตายทั้งเป็นก็เช่นนี้ด้วย คือ ไม่อยู่ในสายตาในความสนใจของผู้ใด เห็นก็เหมือนไม่เห็น จึงเป็นเหมือนวิญญาณที่ไม่มีร่าง ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ตายทั้งเป็นคือผู้ที่เป็นดั่งซากศพที่เน่าเหม็น เป็นที่ยินดีพอใจเข้าห้อมล้อมหนาแน่นของเหล่าแมลงวันหรือหนอนน้อยใหญ่เท่านั้น

    นั่นก็คือ คนตายทั้งเป็นด้วยกัน หรือคนไม่ดีด้วยกันเท่านั้นที่จะยินดีต้อนรับพวกเดียวกัน “คนดีจักไม่รังเกียจคนไม่ดี...ไม่มีเลย”

    O กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง

    “กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง”

    “กรรมดีให้ผลดีจริง กรรมชั่วให้ผลชั่วจริง”

    “ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น ผู้ไม่ได้ทำหาต้องได้รับไม่”
    ความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มีอยู่ให้ได้ยินได้ฟังเนือง ๆ เช่น มารดาบิดาทำไม่ดีต่างๆ นานาให้เห็น เกิดเหตุการณ์รุนแรงแก่ชีวิต บุตรธิดา ก็มักจะกล่าวกันว่าลูกรับเคราะห์แทนมารดาบิดาบ้าง หรือลูกรับกรรมแทนมารดาบิดาบ้าง ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น กรรมของผู้ใด ผลย่อมเป็นของผู้นั้น จะรับผลกรรมแทนกันไม่ได้ ไม่มี

    มารดาบิดาทำไม่ดี ทำบาปทำอกุศล ยังอยู่ดีมีสุขเพราะผลของบาปอกุศลยังส่งไปไม่ถึง แต่บุตรธิดาที่ไม่ทันได้ทำบาปทำอกุศล กลับต้องมีอันเป็นไปต่างๆ นั้น นั่นเป็นเรื่องการรับผลของบาปอกุศลที่ทำไว้ในภพชาติก่อน ที่ตามมาส่งผลในภพชาตินี้แน่นอน

    บุตรธิดาผู้ได้รับผลไม่ดีต่างๆ นานา ต้องทำกรรมไม่ดีไว้ในภพชาติหนึ่งแน่นอน แต่เราไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น ไม่ใช่บุตรธิดารับผลกรรมแทนมารดาบิดา

    ผู้ที่จะเกิดร่วมกัน เป็นแม่เป็นพ่อเป็นลูกกัน ต้องมีกรรมดี กรรมชั่วในระดับเดียวกัน ไม่แตกต่างห่างไกลกัน จึงทำให้เหมือนลูกรับกรรมแทนแม่พ่อผู้ทำบาปอกุศล

    ลูกที่มารับผลไม่ดีต่างๆ ขณะที่แม่พ่อเป็นผู้ประกอบกระทำกรรมไม่ดี นั่นเพราะกรรมไม่ดีของลูกส่งผลทันในระยะนั้น จึงทำให้ยากจะเข้าใจได้ จึงทำให้เกิดความเข้าใจสับสนกันมาก กรรมของคนหนึ่ง ผลจะไม่เกิดแก่อีกคนหนึ่งแน่นอน..

    จำนวนอ่าน: 24,240 ครั้ง

    ที่มา http://www.dhammajak.net/book-somdej4/10.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2011
  10. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน สึนามิตามสถิติที่เกิดมาแต่อดีต จะมีระยะห่างของการเกิดค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดถี่ไม่ได้ เพราะกลไกของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ฤดูกาลก็เปลี่ยน ฤดูร้อนปลายมีนา ต้นเมษาฯ ยังหนาวจับขั้วหัวใจได้ ทางที่ดีเราควรไม่ประมาทดีที่สุด
     
  11. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    -ให้ฝึกเองเลยหรือท่านเกษม ..กว่าจะสำเร็จไม่รู้กี่ปีกว่าจะรู้คำตอบ ถ้าโลกแตกก่อน จะทำยังไงล่ะครับ

    ได้อ่านบทความท่านพระอาจารย์เล็ก ท่านก็กล่าวไว้ว่าคนฝึก100ละ99 มองอะไรผิดหมด คิดไปเอง ...จนคนจะหาว่าบ้ากันไปหมด

    สิ่งที่ผมเห็นอาจจะเป็นอีกเรื่องที่คนอื่นเห็นก็ได้จริงมั้ยครับ
     
  12. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    -ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะครับ
     
  13. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    -ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
     
  14. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    -สิ่งที่คุณบอกพระคุณเจ้าท่านได้บอกในเอกสารแล้วว่าจะเกิดได้แบบนั้น
    ส่วนสิ่งที่ผมได้บอกไป คือสิ่งที่ยังไม่มีคนบอก เหรียญมี2ด้านครับ
     
  15. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +81
    ใครๆก็โทษความเลวร้ายของมนุษย์ว่า เป็นสาเหตุแห่งภัยพิบัติ ซึ่งผมว่าไม่ใช่ทั้งหมดแต่ทุกคนก็มีส่วนร่วมในการย่ำยีโลกใบนี้ หรือว่าไม่จริง ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นตัวเร่งน่าจะเข้าเค้ากว่า
    มนุษย์บางกลุ่มคิดว่าตัวเองดีกว่าอีกพวก และเที่ยวป่าวร้องว่า ภัยทั้งหลายล้วนมีสาเหตุมาจากพวกคุณนั้นแหละ เพราะพวกคุณมันไม่ดี พวกคุณเลว พวกคุณทำร้ายโลก พลอยให้คนดีๆอย่างพวกฉันต้องพลอยรับกรรมไปด้วย
    ผมว่าคนที่มีทรรศนะคติแบบนี้ อยู่องค์กรไหน หมู่บ้านไหน ครอบครัวไหน จะหาความสงบสุขได้ยาก
    หลวงพ่อรูปหนึ่งกล่าวว่า คนที่ประนามคนอื่นว่าเลว แท้จริงคนประนามนั่นแหละเลวยิ่งกว่า ผมเลยคิดว่า คงเลวกันเกือบหมดโลกนั่นแหละ
    ถ้าเราคิดว่าภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น และเกิดขึ้นมาแล้ว เป็นผลมาจากมนุษย์ เราก็ต้องศึกษาถึงเหตุและผลของการเกิดนั้นๆ ไม่ใช่หรือ ไม่ต้องไปกล่าวว่า เพราะกรรมๆๆๆๆ
    เบื้องบนจึงลงโทษ การกล่าวเช่นนี้ มันลัดวงจรแห่งหลัก เหตุ-ผล ไปเสียสิ้น
    ทำไมเราไม่มองว่า เพราะเราตัดไม้มาใช้มาก ภูเขาจึงโล้น ไม่มีรากไม้คอยอุ้มน้ำ ไม่มีต้นไม้คอยดูดฝน ดังนั้นจึงทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก โคลนถล่ม และน้ำท่วม จนกระทั่งแห้งแล้ง ก็เพราะเราตัดไม้มากไปใช่ไหม
    เราใช้น้ำมันและแก๊สมากเกินไปหรือเปล่า เราจึงเจาะ จึงขุด พื้นโลกไปทั่วทั้งทะเล ทั้งพื้นดิน เมื่อน้ำมันและแก๊สในบ่อแห้งไป มันย่อมเกิดโพรงมหึมาใช่ไหม เป็นไปได้ไหมที่โพลงมันจะยุบ เปลือกโลกก็เคลื่อน แผ่นดินก็ไหว สึนามิก็ตามมา ได้ข่าวว่าน้ำมันจะหมดไปในเร็ววันนี้ โลกคงไม่ยอมให้ถึงวันนั้นหรอก ก็เจาะเสียพรุนมาเป็นร้อยปี เราก็หนึ่งในนั้นที่มีส่วนร่วมในการเจาะ เพราะเราก็ใช้น้ำมันและแก๊สไงหล่ะ
    เราพ่นควันจากการสันดาปน้ำมัน แก๊ส หรือผลิตภัณฑ์จากปิโตร มันเกิดก๊าสหลายชนิดที่เป็นเหตุให้เกิดภาวะเรือนกระจก เมื่อชั้นบรรยากาสมันอมความร้อนมากๆ อุณหภูมิก็มากขึ้น พลอยให้ ลมฟ้า มหาสมุทร แปรปรวนไปหมด เขาเรียกว่า ลานินญ่า-เอลนิลโย่ ใช่ไหม
    คนมากขึ้น ขยะมากตาม สุขอนามัยก็ด้อยลงไป โรคภัยจากเชื้อโรคก็มากตาม โรคระบาดก็จะตามมาใช่ไหม
    เสรีภาพมากขึ้น เห็นต่างมากขึ้น แต่สติลดลง นำมาซึ่งความแตกแยก แล้วเข่นฆ่า พยาบาทกันเอง เห็นๆอยู่มนุษย์นั่นแหละฆ่ากันเอง เอาเปรียบกันเอง ตายเกลื่อนกลาด ก็เพราะขาดสติใช่ไหม

    เรามีส่วนร่วมไม่มากก็น้อยในปรากฏการณ์ภัยพิบัติต่างๆทั่วโลก เพราะเราอยู่ในโลกใบนี้ เราจึงได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ใครเล่าจะช่วยเรา เมื่อเราทำเสียเอง
    หรือถ้าจะช่วย มีเหตุผลอะไรต้องทำเช่นนั้น และช่วยโดยสอดแทรกตัวเข้าไป ณ ที่ใด
    ลืมแล้วหรือ คำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้ายังมีที่พึ่งอื่นอีก ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าตรัสไม่ถูกต้องใช่ไหม
    ลืมไปหรือเปล่า เรามีกรรมเป็นที่อาศัย เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นผู้รับผล ฯ ไม่เห็นมีบอกเลยว่า ใครสามารถช่วยได้ แม้พระพุทธเจ้าท่านก็บอกได้เพียงชี้ทาง หาได้มาถางทางให้มนุษย์ก็หาไม่
    ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ยังจะมีคำทำนายอันชวนให้ผู้สติไม่เข้มแข็งตระหนกตกใจไปเพื่ออะไร ท่านแน่ใจแล้วหรือว่า สิ่งที่ท่านนำมาบอกมันเป็นกุศลหรืออกุศลกันแน่
     
  16. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    อ่านกระทู้ ต้องอ่านด้วยสติ และปัญญา ครับ

    ผมอ่านทุกเรื่อง ตั้งแต่วิทยาศาสตร์ จนคำทาย ความเชื่อ นิมิตร อ่านหมด

    อ่านแล้วต้องมาชั่งน้ำหนัก ระหว่าง วิทยาศาสตร์ (สถิติ) กับ ไสยศาสตร์ (คำทำนาย , ความเชื่อ นิมิตร)

    ให้มันเป็นเหตุและผล มีความเป็นไปได้ ความสอดคล้องกัน

    ส่วนเรื่องอื่น คนดี ไม่ดี จริงๆ หรือ เจตนาดี หรือ เจตนาไม่ดี อันนี้บางทีก็พูดยากอยู่ ต้องเจอตัวเป็นๆ จะดีกว่า คุยกันในนี้ ลำบากนัก
     
  17. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    ขอบคุณ จขกท. ที่อ่านจนจบแล้วไม่โกรธเช่นเดียวกันนะคะ...(ยังคิดเลยว่าจะแรงไปไม๊เนี่ย...)

    ฝ่ายหนึ่งเค้ามีเครื่องรับพิเศษ...รู้เห็นอะไร เกินธรรมชาติมนุษย์...ก็เขาเห็นของเขาแบบนั้นนี่นา (เหมือนเรื่องกาลิเลโอ สมัยโบราณเลย อิอิ ... ในอนาคต 100 ปี มนุษย์พันธุ์ใหม่อาจเป็นแบบนี้หมดก็ได้ใครจะรู้เนอะ)
    ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นคนธรรมดา...ไม่สามารถพัฒนาประสาทสัมผัสการรับรู้ได้เหมือนฝ่ายแรก
    แม้ฝ่ายแรกจะพยายามอธิบายอย่างไร...แต่ดูเหมือนว่าพูดกันไปกันมา...เรื่องเดียวกัน...แต่เข้าใจต่างกัน...ต่างมุมมอง...
    (การโต้เถียงนี้ อาจได้ประโยชน์สำหรับบางกลุ่ม แต่ว่าทำให้ฝ่ายตรงข้ามดูงมงาย ไร้เหตุผล ไปโดยปริยาย... )

    หากภาษาที่ใช้ทำให้ผู้ใดระคายเคือง ก็ขออโหสิกรรมด้วยนะคะ ^__^
     
  18. CopperOxide

    CopperOxide เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    321
    ค่าพลัง:
    +289
    อ่านเล่นๆ-เพราะผมก็แต่งขึ้นมาเล่นๆ-อ่านแล้วทำใจเย็นๆ-จะเห็นว่า(สุดท้าย) ผมอยากบอกอะไร ...
    (เป็นเรื่องราวนอกกระทู้นี้)

    ลองจินตนาการถึง สถานการณ์แบบนี้กันดูนะครับ

    คนหลายสิบอยู่รวมกันในบ้านพักติดริมภูเขา
    ... ใน คืนเดือนมืด-ฝนตกหนัก-ลมพายุแรง-ไฟฟ้าดับ...
    มองอะไรก็ไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าของกันและกัน
    ต่างคนต่างคิดต่างจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา
    จากนั้นไม่นาน...เสียงดังกัมปนาทครืนใหญ่ดังฝ่าเสียงฝนและลมพายุ เข้ามา

    ก็มีชายคนหนึ่งบอกเลยว่า
    "นั่นไง! เสียงดินจากภูเขาเริ่มถล่มมาแล้ว ผมเคยได้ยิน มันคงกำลังเคลื่อนถล่มมาทับบ้าน เราจะตายกันหมด"

    ทันทีที่ชายคนนี้พูดจบ...ก็มีเสียงอื้ออึงก็มีคนจำนวนหนึ่ง "ท่าทางจะจริงงั้นเดี๋ยวเตรียมของหนีก่อน ไม่อยู่มันแล้วบ้าน หนีดีกว่า"

    ทันใดนั้นเองชายอีกคน บอกว่า "เฮ้ย ขอร้องอย่ามั่ว เอะอะจะหนี ขืนออกไปจากบ้านตอนนี้ ก็พาลจะตายเปล่า เสียงยังนี้ ฟ้าผ่า ชัดๆไม่มง ไม่มีหรอก ดินถล่มนะ ไม่ต้องหนี อยู่ในบ้านปลอดภัยดีแล้ว วิทยาศาตร์กันหน่อยขอร้องๆ"

    สักพัก ก็มีก็มีเสียงอื้ออึงทำนองเห็นด้วย
    หลังจากนั้นสองฝั่ง เริ่มทะเลาะโต้เถียงกัน ดังขึ้นๆ (บางครั้ง ดังกลบเสียงฝน ซะอีก)

    ท่าม กลางความมืด เสียงของชายชราอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้น น้ำเสียงของเขาหนักแน่นมั่นใจในตัวเอง เสมือนว่าได้เคยผ่านร้อนหนาวประสบการณ์อันโชกโชนมาแล้ว

    "อย่ามัวเถียงกันเองหลานๆเอ้ย เลย เอางี้ ลุงมีเทียนกับไม้ขีดอยู่ เดี๋ยวลุงจะจุดเทียนแล้วเดินออกไปส่องดูเองว่าเกิดอะไรขึ้น"
    หลายเสียงสนับสนุน พูดทำนองว่านั่นไง คนมีของดีในตัว มันต้องอย่างนี้ ต้องทำความจริงให้ปรากฏ/ ยอดเยี่ยมมาก

    พอชายชราจุดเทียนพยายามส่องไฟออกไปข้างนอกบ้าน แต่เนื่องจากลมพายุที่แรง เทียนก็ดับทุกครั้งไป จนกระทั่งไม้ขีดหมด

    ชายอีกคนในกลุ่มโพล่งออกมา "ตกลงเห็นอะไรบ้าง ลุง"

    ชายชราบอก "เห็นลางๆนะหลาน เห็นไม่ค่อยชัดเลย
    แต่ลุงคิดว่า คงจะเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่โค่นลงมา เพราะมองไกลๆเห็นเหมือน กิ่งไม้ใหญ่ไหวๆ"

    เริ่มมีเสียงบ่น อุบอิบ ว่า "จะเชื่อลุงดีมั้ยเนี่ยเห็นไม่ค่อยชัด แถมใช้คำว่า "ลุงคิดว่า" อีกต่างหาก"

    ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหญิงสาวก็ดังขึ้น "เรามีโทรศัพท์ เดี๋ยวเราจะโทรไปถาม เพื่อนเราที่ตั้งแคมป์อยู่บนภูเขา เขาต้องรู้แน่นอนเลยว่าเกิดอะไรขึ้น"

    มีหลายเสียงสนับสนุน (เหมือนเดิม)และพูดในทำนองว่า มีคนที่สามารถสื่อสารกับคนที่อยู่สูงกว่าได้ อีกไม่นานเราก็จะรู้ความจริง นี่แหละของจริง ฟันธงเลยพวกเรา

    หญิงสาวเริ่มโทรหาเพื่อนที่อยู่ข้างบน เนื่องจากฝนฟ้าคะนองเสียงฝนดังมาก จึงทำให้การสื่อสารโดยใช้โทรศัพท์ติดขัด เสียงขาดๆหายๆ

    หญิงสาวเลยบอกทุกคนว่า " เสียงมันดัง ซ่าๆ ขาดๆหายๆ คิดว่า เขากำลังบอกรหัสลับหรือมีเหตุจำเป็นสื่อสารโดยตรงไม่ได้ แต่เราเชื่อนะ มันต้องเป็นรหัสลับสัญญาณเตือนภัย"

    พอหญิงสาวพูดจบ เริ่มมีคนบ่นอุบอิบ เบาๆ ว่า "เสียงขาดๆหายๆ มันก็เอามาคิดว่าเป็นรหัสสัญญาณ เชื่อกับคุณเธอเลย"

    สักพัก มีคนบอกดังๆว่า "ง่วงแล้ว ติดตาม ฟังข้อมูลมานาน
    นอนละนะ ไม่อยากสนใจแล้ว เบื่อ"

    เวลาผ่านไปไม่นาน...คนในบ้านก็ได้ยินเสียงเคาะประตู พอมองออกไปก็ เจอชายคนหนึ่งสวมเสื้อกันฝนเดินถือไฟฉายแรงสูง

    มีคนเปิดประตูให้ชายคนดังกล่าวเข้ามาในบ้าน

    ชายเข้ามาในบ้าน ถอดเสื้อกันฝน เริ่มทำความสะอาดเนื้อตัวที่เปียกปอน อย่างใจเย็น

    จากนั้น เริ่มมีคนในบ้านถามขึ้นว่า "มา ได้ไงเนี่ย? ถามหน่อยข้างนอกเป็นไงบ้าง? ดินถล่มใช่มั้ย? น้ำป่ากำลังมาใช่มั้ย?เสียงฟ้าผ่าต้นไม้ใช่มั้ย? เรากำลังจะตายกันใช่มั้ย? ...

    ชายคนที่เข้ามาใหม่ ปรับหรี่แสงไฟฉายลงแล้วส่องไปที่ใบหน้าของทุกคน แล้วเขาก็ยิ้มๆ จากนั้นก็เดินหันไปหามุมหนึ่งบ้านแล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนอน ................
    จบ(แบบห้วนๆ)

    ขอให้มีชีวิตที่ดีงามทุกท่านครับ
     
  19. CASIO12

    CASIO12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,133
    อ่านไปเรื่อยๆ ได้ข้อคิดดีครับ
    เป็นเวทีของผู้มีปัญญา
    ไม่ได้เป็นเรื่องทะเลาะขัดแย้งอะไร
    สนับสนุนวิวาทะแบบนี้ครับ
     
  20. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    สนุกดีค่ะ...อ่านแล้วสถานการณ์คุ้นๆ แฮะ
    สรุปแล้ว...คนที่พูด คือ คนที่ไม่รู้ความจริงสักคน (เดาเอาเองหมด อิอิ)
    แต่คนที่รู้ความจริง กลับไม่ยอมพูด (เหมือนเบื่อที่พูดหรือเปล่า)
     

แชร์หน้านี้

Loading...