ปริศนาธรรม,วิทยาศาสตร์???

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย =B=a=n=k=, 5 มิถุนายน 2011.

  1. =B=a=n=k=

    =B=a=n=k= สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +10
    จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์
    ไฟจะติดได้ก็ต้องมีออกซิเจน
    เมื่อออกซิเจนค่อยๆหมด ไฟก็จะค่อยๆดับ
    เมื่อออกซิเจนหมดหรือไม่มี ไฟก็จะไม่ติด

    ดังนั้นแสดงว่า นอกโลกบริเวณรอบๆดวงอาทิตย์มีออกซิเจนอยู่ปริมาณมหาศาลเพื่อให้ไฟเผาไหม้ ถูกหรือไม่ถูกครับ???
     
  2. The Jude

    The Jude เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +109
    รอคนเก่งวิทยาศาสตร์มาตอบแล้วกันเนอะ

    แต่ขอชมคำถามหน่อย เป็นข้อสงสัยที่น่าคิดดีครับ เกิดมาตั้งนานแต่ไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้เลย

    นักวิทย์มาช่วยกันไขหน่อยเด้อ
     
  3. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    แนะนำคือคุณต้องเหาะขึ้นไปศึกษาเองครับ (ต้องเป็นเทพหรือไม่ก็อรหันก่อนถึงเหาะขึ้นไปได้)
    เพราะรอคำตอบที่ได้มีแต่ การคาดเดา และทิฤษดีเอาโน่นเอานี่มาอ้างเพื่อให้เข้าใจทางความรู้สึก

    แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง
     
  4. Learn from life

    Learn from life Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +46
    ผมขอตอบแบบวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ตามที่เข้าใจแล้วกันครับ

    ไฟนั้นจริงๆ ก็คือกลุ่มของพลังงานที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าครับ หมายความว่าต้องเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดความร้อนซักอย่างหนึ่ง ซึ่งถูกปล่อยออกมาในช่วงคลื่นที่มองเห็นได้ ดังนั้นไฟจึงมีได้หลายสีเช่นแดง น้ำเงิน เขียว ฯลฯ

    ดังนั้นการกระทำใดๆ ก็แล้วแต่ถ้าปล่อยพลังงานออกมาแล้วอยู่ในช่วงคลื่นที่เราเห็นได้แล้วมันเข้มข้นพอ เราก็จะเห็นเป็นเปลวไฟ

    ซึ่งไฟที่เราเห็นโดยทั่วไปเกิดจากปฏิกิริยาสันดาป คือการรวมตัวกับออกซิเจนแล้วได้พลังงานออกมา
    เช่น ถ่าน + ออกซิเจน ได้ คาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ + พลังงาน

    แต่ที่ดวงอาทิตย์เป็นปฏิกิริยานิวเคลียฟิวชันซึ่งไม่ต้องใช้ออกซิเจน
    ดังนี้ ไฮโดรเจน + ไฮโดรเจน ได้ ฮีเลียม + พลังงาน

    ตัวพลังงานที่เกิดขึ้นนี้มันออกมาในช่วงคลื่นที่ตาเราสามารถมองเห็นได้ครับ ดังนั้นรอบๆ ดวงอาทิตย์จึงไม่ต้องมีออกซิเจน
     
  5. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,065
    ค่าพลัง:
    +2,682
    อนุภาคพื้นฐานที่มีมากในจักรวาลคือ โปรตอน

    และที่น่าประหลาดใจ(แต่สำหรับนักปฏิบัติฟังจนหูแฉะ) คือ

    จำนวนโปรตอนที่ไม่เท่ากันทำให้เกิดเป็นธาตุที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    ส่วน ไฮโดรเจน เป็นธาตุที่มากที่สุดในจักรวาลซึ่งประกอบด้วย โปรตอนเพียง 1 ตัว

    ไฮโดนเจน 2 อะตอม = ฮีเลี่ยม
    โปรตอน 8 ตัว = ออกซิเจน
    โปรตอน 6 ตัว = ธาตุคาร์บอน

    ทั้งๆที่องค์ประกอบของโปรตอนเหมือนกันทุกประการ
    ที่ว่านักปฏิบัติธรรมฟังจนหูแฉะก็ตรงที่ว่าสรรพสิ่งเกิดจากการเข้ามาประชุมรวมกัน ประโยคนี้ฟังแล้ว อ๋อ.. ขึ้นมาทันทีพอได้ฟังการการบรรยายทฤษฏีควอนตัม
     
  6. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +91
    ปฏิกิริยาในดวงอาทิตย์ไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนครับ

    ทำไมนะหรือ
    การเกิดปฏิกิริยาในนั้นเกิดจากมวลมหึมาบีบอัดจนเกิดความร้อนแล้วประทุจนเกิดปฏิกริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น
    ส่งพลังงานออกมาให้โลกเรานิดนึง มาก มากที่สุด
     
  7. =B=a=n=k=

    =B=a=n=k= สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +10
    อนุโมทนาสำหรับทุกๆคำตอบนะครับ (smile)
    ผมขออนุญาติบอกในสิ่งที่ผมรู้จากอาจารย์นะครับ

    ดวงอาทิตย์=สถานที่ตั้งของนรก

    มีไฟที่ร้อนมากไม่สามารถมีคนเข้าไปได้ แม้กระทั่งมนุษย์ต่างดาวที่มีเทคโนโลยีสูงๆก็เช่นกัน

    ไฟนั้นคือไฟบัลลัยกันต์ เกิดขึ้นจากจิตที่เป็น โลภ โกรธ หลง

    ในกระทะทองแดงก็เป็นไฟบัลลัยกันต์ที่หมุนวนในกระทะ จิตที่มีความโลภ โกรธ หลง

    จะเป็นไฟบัลลัยกันต์วิ่งเข้าใส่เจ้าของจิตเอง แล้วออกมาทางทวารต่างๆ

    (จงอย่าเชื่อนะครับ พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เชื่ออะไรจนกว่าจะฝึกปฏิบัติได้เอง)

    ใครที่เป็นผู้รู้หรือมีอาจารย์ที่เป็นผู้รู้ ก็ถามดูนะครับว่าจริงหรือเปล่า ???
     
  8. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    คำถามดี คำตอบโดน :cool: ชอบๆ^^
    อีกอย่าง ขออนุญาติถามนะคะ อาจารย์ของคุณ จขกท คือใครอ่ะคะ? ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2011
  9. angel323

    angel323 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +6
    - -* คิดมากไปรึปล่าวครับ ดวงอาทิตย์ก็คือดวงอาทิตย์ มันไม่ใช่สถานที่ตั้งของนรก
     
  10. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +91
    ไม่เชื่อครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
     
  11. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    คุณคนนี้ตอบถูกต้องที่สุดแล้วค้าบบบบบบบ ^_^

    เพราะไฟที่ดวงอาทิตย์ไม่ใช่การเผาไหม้แบบใช้อ๊อกซิเจน .. แต่มันเป็นปฏิกิริยา ฟิวชั่น คร้าบบบบบบบ ^_^

    แล้วถ้ามีปฏิกิริยานี้บนโลกล่ะก็ โลกนี้ก็จะไหม้หมดคร้าบบบ ^^
     
  12. =B=a=n=k=

    =B=a=n=k= สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +10
    บอกในที่นี้คงไม่สะดวกครับ


    ท่านบอกเสมอว่า

    พระพุทธเจ้าท่านสอน "ให้รู้ใจตัวเอง แล้วจะรู้ทั้งโลก"

    ตัวเราต้องรู้ตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปรู้เรื่องอื่นๆครับ

    การรู้ใจตัวเองแล้วจะรู้ทั้งโลกก็คือ ?? (ถ้าคืนนี้นั่งสมาธิก็ลองไปพิจารณาตามนี้นะครับ)

    1.1พิจารณากายของเราเกิดขึ้นได้อย่างไร? โตได้อย่างไร?
    1.2รู้ให้แจ้งในการรับรู้จากกายอันได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ส่งไปสู่จิต

    2.1รู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ความชอบ ความไม่ชอบ
    (ความชอบและความไม่ชอบนั้นเกิดขึ้นได้เพราะความโลภ โกรธ หลง)
    ดังนั้น!!
    2.2 รู้ความโลภ โกรธ หลงที่เกิดขึ้นในจิต

    3.1รู้จิตของเราเอง เป็นจิตที่มีความโลภ โกรธ หลง
    3.2รู้จิตของเราเมื่อไม่มีโลภ โกรธ หลง เป็นจิตที่บริสุทธิ์

    4.1พิจารณาธรรมชาติรอบๆตัว พิจารณาความเป็นต่างๆ (อย่างเช่นความเป็นแม่ความเป็นลูก เขาจึงตีลูกเพื่อให้ได้ดี ความเป็นแม่ค้าต้องการกำไร ความเป็นคนซื้อต้องการของถูก พิจารณาไปเรื่อยๆในสิ่งที่เราพบเห็น แล้วแต่เราจะพิจารณา)
    4.2รู้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจ4 อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฯลฯ ประกอบกับการรู้มาตั้งแต่1.1ไล่มาเรื่อยๆจน4.2








    (ตัวอย่างการพิจารณา)พยายามตั้งใจอ่านช้าๆเพื่อความเข้าใจนะครับ

    พิจารณากาย กายนี้เกิดขึ้นด้วยเมถุนของพ่อและแม่ กายนี้เจริญได้
    ด้วยอาหาร กายมีการย่อยอย่างไรดูดซึมสารอาหารอย่างไร นึกไปตั้งแต่เป็น
    ทารกดูดนมแม่ จนมาถึงณ ตอนนี้ที่นั่งเล่นคอมอยู่ กายนี้มันโตได้อย่างไร

    รู้ให้แจ้งในการรับรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส รู้ว่าตอนนี้ตาเรารับรูปจากคอมอยู่และมันส่งไปที่จิตเพื่อให้เรารับรู้ รู้เสียงต่างๆรอบตัวแล้วมันวิ่งไปสู่จิต รู้รสอาหารที่เรากินแล้ววิ่งไปสู่จิต รู้กลิ่นรอบๆตัวฯลฯ รู้กายทั้งกายความเมื่อย,เจ็บ,หนาว,ร้อนแล้ววิ่งเข้าสู่จิต

    เมื่อรับรู้แล้วจะเกิดความชอบไม่ชอบขึ้นมา เช่นรู้รูปในคอมว่ามีคนมาคอมเม้นไม่ถูกใจเรา มันก็จะวิ่งเข้าสู่จิตเกิดความไม่ชอบขึ้นมา เราก็พิจารณาต่อว่า ความไม่ชอบนี้เกิดจากความหลง โลภ โกรธ หลงตัวเองว่าเป็นคนมีความรู้เป็นคนเก่งฯลฯ โลภอยากให้ผู้คนนับถืออยากให้คนเชื่อในสิ่งที่เราพิมที่เราบอกฯลฯ โกรธเมื่อเขาไม่เชื่อเราไม่ถูกใจเราฯลฯ

    รู้ว่าจิตเราที่ไม่ได้หมั่นฝึกอบรมควบคุมจิตใจนั้นมีความหลงโลภโกรธขึ้น
    ดังนั้นเราควรพิจารณาให้จิตเราไม่หลงโลภโกรธดีกว่าให้เป็นจิตที่บริสุทธิ์ดีกว่า

    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาให้เราไม่สบายใจนั้น เราควรปล่อยวางดีกว่า จะโกรธคนที่ว่าเราทำไม เราโกรธแล้วเราได้อะไร มีประโยชน์อย่างไร ความโกรธนั้นมันก็แค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นอนิจจัง คนที่มาคอมเม้นไม่ถูกใจเรามันก็อนิจจังเหมือนกันไม่แน่นอนบางครั้งเขาอาจจะคอมเม้นถูกใจเราให้ประโยชน์กับเราก็เป็นได้ ความหลงโลภโกรธมันจะทำให้เราทุกข์ เราควรปล่อยวางให้เป็นความว่างเปล่าดีกว่า ความโกรธในวันนี้ อีกอาทิตย์นึง เดือนนึง ปีนึง ความโกรธในวันนี้ก็จะเป็นความว่างเปล่าไป จิตเราไม่ได้โกรธอยู่ตลอด24ช.ม.เป็นแน่แท้(อนิจจัง) หลายๆปีเข้าไป ก็จำไม่ได้แล้วว่าวันนั้นวันนี้เล่นคอมแล้วโกรธคนนั้นคนนี้(กลายเป็นอนัตตาไปเสียแล้ว)

    ประมาณนี้ครับ สิ่งที่ผมพิมมาทั้งหมดนี้ก็คือ "สติปัฎฐาน4" ซึ่งเป็นธรรมที่มีคุณวิเศษยิ่งเหนือในคุณกาลก่อน (ภิกขุนีสูตร มหาวารวรรค สัง.) ไม่ว่าคุณจะเคยฝึกมากี่ภพกี่ชาติ ก็จะสู้ชาตินี้ที่มีจิตตั้งมั่นในสติปัฎฐาน4ไม่ได้

    ต้องหมั่นฝึกพิจารณาทุกขณะจิต ทุกลักษณะของกาย(รู้หัวรู้ตัวรู้แขนรู้ขา)และการรับรู้จากกายเข้าสู่จิต รู้ทันความโลภโกรธหลงที่เกิดขึ้น พิจารณาตอนใช้ชีวิตประจำวัน ตอนนั่งสมาธิ แล้วฌานจะไล่เป็นระดับไปถึงฌาน4เองครับ คนอื่นเขาฝึกมาเป็นปีๆ เราแค่ละเอียดในสติปัฎฐาน4เพียงเดือนเดียวก็ได้แล้วครับ


    ผู้ละเอียดใน1.1=โสดาปัตติมรรค
    1.2=โสดาปัตติผล
    2.1=สกทาคามีมรรค
    2.2=สกทาคามีผล
    3.1=อนาคามีมรรค
    3.2=อนาคามีผล
    4.1=อรหัตมรรค
    4.2=อรหัตผล

    ขออนุโมทนากับผู้ที่ตั้งใจอ่านจนเข้าใจด้วยนะครับ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...