วิธีการแผ่เมตตา โดยหลวงพ่อจรัญและคุณดังตฤณ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Scorpius, 15 มิถุนายน 2011.

  1. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    วิธีแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล โดยหลวงพ่อจรัญ


    ท่าน เถรานุเถระและพระนวกะทั้งหลายวันนี้ผมจะเรียนถวายวิธีแผ่เมตตาและอุทิศส่วน กุศล ท่านเป็นพระบวชใหม่ยังไม่เข้าใจ ขอให้ตั้งใจฟัง อย่าวอกแวก ทำใจให้สงบ ตั้งสติก่อน ผมทำได้ผลแล้วนะ จะสอนถวายอุทิศให้ตั้งสติหายใจยาว ๆ ตอนที่กรวดน้ำเสร็จแล้วอธิษฐานจิตไว้ก่อน อธิษฐานจิตหมายความว่า ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ที่ลิ้นปี่ สำรวมกาย วาจา จิต ได้ตั้งมั่นแล้ว จึงขอแผ่เมตตาไว้ในใจสักครู่หนึ่ง แล้วก็ขออุทิศให้บิดามารดาของเราว่าเราได้บำเพ็ญกุศล ท่านจะได้บุญได้ผลแน่ ๆ เดี๋ยวนี้ด้วย ผมเรียนถวายนะ มิฉะนั้นผมจะอุทิศไปยุโรปได้อย่างไรท่านทั้งหลายไม่สนใจไม่เป็นไรนะ ผมทำของผมได้ผลเองโดยแผ่เมตตาก่อน บางทีสอนกรรมฐานกัน อุทิศกันแล้วทำอะไรก็ไม่ได้ผล กรรมฐานก็ไม่ได้ ประโยชน์อานิสงส์ก็ยังไม่ได้ แผ่ไม่ออกนะ ไม่ได้ผล เป็นบาปเปล่า ๆหายใจยาว ๆ ตั้งสติก่อน หายใจลึก ๆ ยาว ๆ แล้วก็แผ่เมตตาก่อน มีเมตตาดีแล้ว ได้กุศลแล้ว เขาก็อุทิศเลย อโหสิกรรม ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่พยาบาทใครอีกต่อไป และเราจะขออุทิศให้ใคร ญาติบุพเพสันนิวาสจะได้ก่อน ญาติเมื่อชาติก่อนจะได้มารับ เราก็มิทราบว่าใครเป็นพ่อแม่ในชาติอดีตใครเป็นพี่น้องของเราเราก็ไม่ทราบ แต่แล้วเราจะได้ทราบตอนอุทิศส่วนกุศลนี้ไปให้ เหมือนโทรศัพท์ไป เขาจะได้รับหรือไม่ เราจะรู้ได้ทันที

    ขณะที่ท่านสวดมนต์อุทิศให้ว่า ยาเทวตา...., อิมินา.... เป็นต้น ท่านจะรู้นะว่าย้อนกลับมา เหมือนเราโทรศัพท์ไป อ๋อ มีคนรับ เขาจะย้อนตอบเราว่าฮัลโหล เป็นต้นนี่ก็เช่นเดียวกัน เราจะปลื้มปีติทันทีนะ เราจะตื้นตันขึ้นมาเลย ถ้าท่านมีสมาธิ น้ำตาท่าจะร่วงนะ ขนพองสยองเกล้าเป็นปีติเบื้องต้นถ้าท่านมาสวดมนต์กันส่งเดช ไม่เอาเหนือเอาใต้ ท่านไม่อุทิศ ท่านจะไม่รู้เลยนะ ขอฝากท่านนวกะไว้ด้วย วันนี้ท่านทำบุญอะไร สร้างความดีอะไรบ้าง ดูหนังสือ ท่องจำบทอะไรได้บ้าง ก็อุทิศได้เมืองฝรั่งเขาไม่มีการทำบุญ เราไปทอดกฐิน ผ้าป่า ถวายสังฆทาน เขาทำไม่เป็น แต่ทำไมเขาเป็นเศรษฐี ทำไมเขามีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ทำไมถึงเจริญด้วยอารยธรรมของเขา เพราะเขามีบุญวาสนา เขาตั้งใจทำ มีกิจกรรมในชีวิตของเขา

    จะยกตัวอย่าง วันนี้เขาค้าขายได้เป็นพันเป็นหมื่นด้วยสุจริตธรรม เขาก็เอาอันนั้นแหละอุทิศไป วันนี้เขาปลูกต้นไม้ได้มากมาย เขาก็เอาสิ่งนี้อุทิศไปว่าได้สร้างความดีในวันนี้ ไม่ได้อยู่ว่างแต่ประการใด เขาก็ได้บุญ ไม่จำเป็นต้องเอาสตางค์มาถวายพระเหมือนเมืองไทย ถวายสังฆทานกันไม่พัก ถวายโน่นถวายนี่แต่ใจเป็นบาป อุทิศไม่ออก บอกไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น จะไม่ได้อะไรเลยนะเมืองไทยนี่ผมพูดมานาน ส่วนใหญ่ปากเป็นบุญใจเป็นบาปทั้งนั้น รับศีลแล้วก็ไปดื่มเหล้า รับศีลแล้วก็ไปเล่นการพนัน นี่ ใจไม่ยอมรับ ดื้อด้าน เพราะไม่ได้ปฏิบัติธรรมฝรั่งเขามีธรรมะ ผมไปยุโรปมา ๕ ประเทศ เขามาถามธรรมะกันมาก แต่คนไทยมาขอบุญช่วย มาวัดแต่ละรายมีแต่ให้ช่วยทั้งนั้น แต่เขาไม่มีโอกาสจะช่วยตัวเองเลยนะ ขอฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วย ที่ผมไปประสบมา
    ที่ผมแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล ไปเข้าบ้านลูกสาวญวนที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ทำอย่างนี้นะ เวลาสวดมนต์ อิติปิโส... ยาเทวตา... ตั้งใจสวดด้วยภาษาบาลีเช่นนี้ ที่หยุดเงียบไปน่ะ ผมสำรวมจิตตั้งสติแผ่เมตตา จิตสงบดีแล้วจึงอุทิศไปบางองค์ไม่เอา เอามือลง ไม่อธิษฐาน ท่านจะไม่ได้อะไร แล้วสวดกันก็ได้ด้วย ที่ท่องจำโคลงให้ได้น่ะเพื่อให้คล่องปาก ว่าให้คล่องปากแล้วก็จะคล่องใจ คล่องใจแล้วถึงจะเป็นสมาธิ เป็นสมาธิแล้วถึงจะอุทิศได้ ไม่อย่างนั้นไม่ได้นะเอาตำรามาดูกันก็ไม่ได้ผล แต่ดูตำราเพื่อให้ถูกวรรคตอน และให้คล่องปาก แล้วจะได้คล่องใจ เป็นสมาธิ ถึงจะมีกำลังส่งอุทิศ ไม่อย่างนั้นไม่มีกำลังส่งเลยนะท่านบัณฑิตทั้งหลาย ที่ท่านมาบวชกันสนใจเอาไปเลยครับ ผมจะถวาย ไม่สนใจเอาของผมทิ้งไว้ ท่านจะไม่ได้ผลอะไรเลย เสียเวลาการมาก ผมคิดเสมอว่า หนึ่งนาทีเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง ชีวิตของท่านมีค่าไหม ที่ผมพูดมานานท่านจะตีความหมายไม่ออกชีวิตท่านมีค่ามากยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา ท่านจะรู้ว่าเวลามีประโยชน์ บวชเก่าบวชใหม่ถ้าไม่ได้ทำประโยชน์ของตนก็ไร้ประโยชน์พวกฝรั่งคาทอลิก ไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าพุทธ เขานั่งกรรมฐานเยอะและได้ผลนะ ผมไปเห็นอารยธรรมของประเทศต่าง ๆ เขาเจริญจริง ๆ เขาสะอาดจริง ๆ เขาไม่มีการถวายสังฆทาน กฐินผ้าป่าเขาก็ไม่มี คนไทยทัวร์กฐิน ทัวร์ผ้าป่าไปตามสภาพ มากันเป็นพัน มาทานข้าวแล้วยังด่าเราเสียอีก นี่แหละปากเป็นบุญ ใจเป็นบาป

    การอุทิศส่วนกุศล นี่สำคัญนะ แต่ต้อง แผ่เมตตา ก่อน แผ่เมตตาให้มีสติก่อน แผ่เมตตาให้มีความรู้ว่าเราบริสุทธิ์ ใจมีเมตตาไหม และอุทิศเลย มันคนละขั้นตอนกันนะแผ่เมตตากับอุทิศมันต่างกัน ทำใจให้เป็นเมตตาบริสุทธิ์ก่อน ไม่อิจฉา ไม่ริษยา ไม่ผูกพยาบาทใครไว้ในใจ ทำให้แจ่มใส ทำใจให้สบาย คือเมตตา แล้วเราจะอุทิศให้ใครก็บอกกันไป มันจะมีพลังสูง สามารถจะอุทิศให้คุณพ่อคุณแม่ของเรากำลังป่วยไข้ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ เช่น วีโก้ บรูน ชาวนอรเวย์ ที่เคยมาบวชที่วัดนี้ เป็นต้น
    วันนี้ผมจะถวายความรู้เกี่ยวกับการอุทิศส่วนกุศล โปรดฟังต่อไป

    เรา มาสวดมนต์ไหว้พระกันว่า โยโสภะคะวา....ใจเป็นบุญไหม สวากขาโต... สุปฏิปันโน...ใจเป็นบุญไหม ท่านจะฟุ้งซ่านไปทางไหน สำรวมอินทรีย์ หน้าที่คอยระวัง เอาของจริงไปใช้ อย่าเอาของปลอมมาใช้เลย ท่าจะเอาบุญหรือเอาบาป คืนหนึ่งกับวันหนึ่ง ท่านคิดนอกออกในอย่างไร จะรู้ได้ด้วยตัวของท่านเองนะ ท่านทำประโยชน์อะไรในวันนี้ เอามาตีความ สำรวมตั้งสติไว้ก่อน ว่าขาดทุนหรือได้กำไรชีวิต และจะไปเรียงสถิติในจิตใจเรียกว่าเมตตา แปลว่าระลึกก่อน เมตตาแปลว่าปรารถนาดีกับตนเอง สงสารตัวเองที่ได้สร้างความดีหรือความชั่วเช่นนี้ วันนี้เราดูหนังสือได้อะไรบ้าง ไม่จำเป็นต้องเอาสตางค์ไปทำบุญเลย วันนี้เราอ่านหนังสือ ท่องนวโกวาทได้ วันนี้ดูธรรมะได้ วันนี้ท่องสวดมนต์ไหว้พระได้ นั่นแหละท่านจะตื้นตัน ท่านจะปีติ ท่านจะยินดี ที่อ่านหนังสือ ท่องบ่น ท่องจำนวโกวาทได้ นั่นแหละเป็นบุญ เป็นคุณประโยชน์ของท่านเอง ในเมื่อเป็นคุณประโยชน์ของท่านแล้ว ท่านจะได้อะไรต่อไป เกิดปีติตอบแทน ปลื้มใจ ดีใจ อันถูกต้องเป็นมงคล มงคลเรียกว่า การปลื้มปีติยินดีในธรรม ได้ผลสมคาดปรารถนา เป็นการสร้างกุศลให้แก่ชีวิตของตนใช่หรือไม่

    ท่านทั้งหลายอย่าสร้าง อกุศลกรรม สร้างมงคลไว้เถอะ อย่าสร้างอัปมงคลทุกวัน ทำอะไรไม่เชื่อฟัง นั่นแหละเป็นอัปมงคล เป็นอกุศลกรรม เอาดีไม่ได้หรอกครับ ขอเรียนถวายว่า ไม่จำเป็นต้องมีสตางค์เอาไปถวายพระ ไปถวายโน่น ถวายนี่ แล้วก็เป็นบุญ ไม่จริงแน่ ๆ บุญต้องสะสมไว้ในจิตใจของท่าน นะครับ พระนวกะที่รักทั้งหลาย โปรดคิดความหมายและเครื่องหมายแห่งความดีนี้ก่อน ความดีเป็นเครื่องหมายของคนดี ความชั่วเป็นเครื่องหมายของคนชั่ว เครื่องหมายของคนดี ดูลักษณะอย่างการบวชนี้เป็นต้น เราชายชาติเชื้อดีครั้งเดียวนะครับคือบวช เราจะไม่มีโอกาสทำดีเชียวหรือ ท่านออกแขกไม่ดีแล้ว ท่านจะเล่นตลอดชีพเลวร้าย ในยามแก่ก็จะแย่ซิ จะเป็นอัมพาต นอนร้องครวญครางในภายหลังนะ และอกุศลจะย้อน ทำให้สร้างความดีไม่ได้ ท่านจะไม่ได้อะไรเลย นอกเหนือจากไม่ได้แล้วต้องขาดทุนด้วย เสียหายด้วย ถ้าเสมอตัวไปก็ดี แต่เสมอตัวมีทางขาดทุน ถ้าได้กำไรชีวิตแล้วกำไรก็จะได้งาม ท่านมีความประสงค์สิ่งใดท่านจะได้ผลนี้เป็นประโยชน์มาก

    ท่านนวกะ วันหนึ่งและคืนหนึ่ง ท่านได้สะสมบุญ ดีใจในความสุข ที่ท่านได้ท่องหนังสือได้ ท่องสวดมนต์ไหว้พระได้ ดีใจไหม ปลื้มปีติยินดี จิตใจของท่านก็เบิกบานได้ท่องหนังสือ ได้พิจารณาปัจจัย ๔ ได้ท่องสวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตรเช้าเย็น ได้หมดแล้ว นั่นแหละบุญ ปลื้มปีติยินดีในจิตใจของท่าน ถ้าท่านจะคิดว่าบวชเดี๋ยวเดียวก็สึกไป อย่าคิดอย่างนั้นนะท่านจะขาดทุนนะ คิดแล้วขาดทุน ท่านจะเสียใจในขณะนั้น ถ้าท่านมีสติดี ท่านจะรู้ได้ว่า ท่านขาดทุนหรือได้กำไร ชีวิตนี้คืออะไร ท่านจะตีความหมายของท่านได้ ไหน ๆ มาบวชกันไกลแสนไกลแล้ว ให้มันได้อะไรไปบ้าง ฟังอุปัชฌาย์พูดบ้าง อย่าเอาแต่อารมณ์ อย่าเอาแต่สิ่งที่ไร้สาระ อุปัชฌาย์ชอบอะไรหรือ ชอบเอาของดีให้ อย่าเอาของชั่วมาปนของดี ของดีจะเสีย ท่านเป็นบัณฑิตแล้ว มีปริญญากันทั้งนั้น และเป็นผู้มีอายุไม่ใช่เด็กแล้ว เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทุกรูป ผู้ใหญ่คือผู้มีคุณธรรมแล้ว คุณธรรมของท่านผู้ใหญ่จะเต็มไปด้วยเมตตา เต็มไปด้วยความปรารถนาดี และสงสารสรรพสัตว์ สงสารตัวเอง มีมุทิตาจิต ส่งกระแสจิตด้วยความดีใจ และวางอุเบกขาบางประการที่ไม่ต้องประสงค์ วางตนให้เป็นกลาง ไม่ปล่อยอารมณ์ไปเข้าข้างโน้น เข้าข้างนี้ และไม่เข้าข้างตัวเองด้วย เรียกว่า อุเบกขาของท่านผู้ใหญ่ เราก็เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทุกรูปแล้วไม่ใช่เด็ก มีคุณธรรมสูงทุกองค์ มีสมบัติมนุษย์ทุกองค์ และมีคุณค่าทุกองค์ ค่าของชีวิติมนุษย์ มันตีค่าราคาไม่ได้เลย มันสูงที่สุด ชีวิตมีค่าอย่างนี้ ท่านจะคิดว่าเวลาน่ะมีประโยชน์เหลือเกินนะครับ ท่านโปรดตีความหมาย ไม่ใช่มาบวชกันเล่นสนุกสนาน เราเป็นชายชาติเชื้ออย่าเหลือวิสัย ได้ชีวิตครั้งแรกคือการบวช ท่านจะอวดเขาได้ไหม นี่ชีวิตครั้งเดียวนะ ไม่ใช่ผลุบเข้าผลุบออกเหมือนอย่างเก่า บวชแล้วบวชอีก เหมือนบวดกล้วยบวดฟักทองใช้ไม่ได้

    การบวชเป็นชีวิตครั้งแรกของลูก ผู้ชาย ที่เรามาชุบตัวเอง เหมือนเงาะป่าโดดลงไปในบ่อทองฉะนั้น และเราก็เอาทองเกลือกกลั้วในจิตใจ เงาะป่าจะได้ดีเพราะพูดไม่เป็น มันเป็นใบ้ มันสวนเงาะ

    กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรมาก คือ เงาะป่า

    ต่อ ไปจะถอดเงาะเป็นพระสังข์ทองนะ รูปตัวเป็นทองหล่อหลอมด้วยจิตใจ มีประกายด้วยธรรมะ แสงระยิบระยับทั่วโลก จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองไม่เหมือนหกเขยหน้าโง่ ตาก็โง่ หูก็โง่ จมูกก็โง่ ปากก็โง่อีก ทวารหกโง่หมด เรียกว่าหกเขย สู้เงาะป่าผู้เดียวไม่ได้เลย รจนายาใจ อยู่หลายไร่ปลายนา ยังมีความสุขความเจริญ เป็นมหามงคลชีวิต อยู่ตรงนี้นะ แต่ทุกคนไม่เข้าใจที่มาบวชกันนี้ ท่านเก็บหน่วยกิตไว้เถอะ ทีละหยดทีละหยาดเป็นบาปหรือเป็นบุญ เป็นคุณหรือเป็นประโยชน์ ประโยชน์จะถึงได้กับท่านตรงไหน ท่านรู้ตัวของท่านเองนะครับ ผมไม่ไปรู้ของท่านหรอก ไม่อยากรู้ของใคร อยากรู้ของตัวเองว่าทำอะไรบ้าง มีกำไรชีวิตอะไรบ้างในวันนี้ ทำประโยชน์ต่อวัดวาอารามตรงไหน กิจวัตรอย่างไร เรารู้ตัวของเรา แจ้งแก่ใจทุกรูปทุกนามแล้ว ไม่มีใครตีตราให้ท่าน ท่านต้องตีตราของท่านเองนะ เรือจะออกระวัง เรือจะจอดระวัง แต่วิ่งเสียแล้วมันก็ไม่เป็นไร เหมือนเครื่องบิน เวลาจะขึ้นจะลงต้องรัดเข็มขัด การบวชนี้ก็เช่นเดียวกัน จะบวชจะสึกต้องดูให้ดีนะ คิดให้ยาว จะอยู่แค่หัวบันไดหรือประการใด โปรดท่องคำคมนี้ไว้ จะเห็นสั้นดีกว่ายาว หรือเห็นยาวดีกว่าสั้น ต้องคิดแล้วคิดอีกนะ ใน โยนิโสมนสิการ นี้ ผมยังไม่เคยเห็นใครแผ่เมตตาได้ผลเป็นตัวหนังสือเลยนะ ลมหายใจเข้าออกนี่เป็นตัวหนังสือได้ จะสอนครูกรรมฐานก็ยังทำกันไม่ได้ ยืนหนอ ๕ ครั้งก็ทำกันไม่ได้ ยังเคลือบแคลงสงสัยว่าตรงไหนเป็นอะไร ขอเรียนถวายว่า การแผ่เมตตานี่สำคัญมาก

    เวลาเราสวดมนต์ตั้งแต่ โยโสภควา... อรหัง… โปรดตั้งใจครับ เพ่งกระแสจิตไปที่พระปฏิมากรรม แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยจิตเป็นสมาธิ แล้วรำลึกถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยสมาธิ ข้าพเจ้าประพฤติธรรม นึกถึงพระสังฆะ แปลว่า หมู่สงฆ์อยู่ด้วยความสามัคคี เรียกอาวุโส ภันเต มีการเคารพพระอาวุโส มีการเคารพนบนอบพระธรรมคำสอนอันนี้เป็นประจำข้าพเจ้าขอไหว้พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระธรรมคำสอน พร้อมด้วยพระสังฆะแห่งอริยสงฆ์สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั่วหน้ากัน แล้วน้อมจิตเป็นดวงหทัย แก้วใสสะอาดหมดจดในการสวดมนต์ภาวนา
    พุทโธ สุสุทฺโธ
    รูปํ อนิจฺจํ เวทนา อนิจฺจา สญฺญา อนิจฺจา...
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณในร่างกาย ไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน และเราก็พิจารณาในการสวดไปด้วย จะได้บุญจะได้คุณประโยชน์และเราก็รวบรวมบุญขณะสวดมนต์ในวันนี้ เอามาเป็นพลวปัจจัย เวลาสุดท้ายก็มี
    ยาเทวตา...
    อิมินา.... เป็นต้น
    และ เราก็ว่าไปด้วยเสียงดังฟังชัด และน้อมนึกสรุปจบลงก็นั่งสมาธิ สำรวมจิตภาวนา หลับเนตรร่ายเวทย์พระคาถา ภาวนาอุทิศ เรียกว่า แผ่เมตตา หายใจยาว ๆ ตั้งกัลยาณจิตไว้ที่ลิ้นปี่ ไม่ใช่พูดส่งเดช จำนะ ที่ลิ้นปี่เป็นการแผ่เมตตา จะอุทิศก็ยกจากลิ้นปี่สู่หน้าผาก เรียกว่า อุณาโลมา ปจชายเต
    นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ นะอยู่ที่ไหน ตามเอามา แล้วก็อุทิศทันที จึงถึงตามที่ปรารถนา ไม่ว่าเป็นโยมพ่อ โยมแม่ จะให้น้องเรียนหนังสือ จะให้พี่เรียนหนังสือ หรือจะให้บุตรธิดาของตน จะได้ผลขึ้นมาทันที
    ลูกว่านอนสอนยาก ลูกติดยาเสพติด ถ้าทำถูกวิธีแล้ว มันจะหันเหเร่มาทางดีได้ พ่อแม่กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน ลูกจะไปสอนพ่อแม่ไม่ได้ มีทางเดียวคือ เจริญพระกรรมฐาน สำรวมจิต แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล
    นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ นะอยู่ที่ไหนตามเอามาให้ได้ หมายความว่ากระไร ถ้าท่านทำกรรมฐาน ท่านจะทายออก นะตัวนี้สำคัญ
    นะ มีทั้งเมตตามหานิยม
    นะ แปลว่า การกระทำอกุศลให้เป็นกุศล
    นะ แปลว่า ทำศัตรูให้เป็นมิตร สร้างชีวิตในธรรม
    แล้ว ก็อุทิศส่วนกุศลไป ท่านทำได้หรือยัง ท่านเถรานุเถระท่านทำได้ไหม อย่าทำด้วยอารมณ์ อย่าทำด้วยความผูกพยาบาท อาฆาตต่อกัน ละเวรละกรรมเสียบ้าง แล้วจิตจะโปร่งใส ใจก็จะสะอาด แล้วก็อุทิศไป
    จิตมันไม่ติดไฟแดง จิตไม่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา จิตมันทะลุฝาผนังได้ ท่านเข้าใจคำนี้หรือยัง จิตมันตรงที่หมาย จิตไม่มีตัวตน จิตคิดอ่านอารมณ์ มีจิตโปร่ง ท่านจะทำอะไรก็โล่งใจ สบายอกสบายใจ นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ เอานะไปอุทิศให้ได้
    ถ้าท่านมีครอบครัวแล้วโปรดตั้งปฏิญาณในใจว่า ให้บุตรธิดาของเรารวยสวยเก่ง เร่งเป็นดอกเตอร์ อย่างนี้ซิถึงจะถูกวิธีของผม
    ท่าน จะสะสมว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง เช่น วันนี้ข้าพเจ้าท่องหนังสือได้ ท่านจะดีใจไหม วันนี้ปลูกมะม่วงไปได้ร้อยต้น ปลูกกล้วยไปได้ร้อยต้น ดีใจมาก นั้นแหละอุทิศได้ ไม่ต้องนำสตางค์ไปถวายวัดโน้นวัดนี้หรอกนะ ถวายตัวเอง ทำความดีให้กับตัวเอง และเอาความดีแพร่ขยายไปถึงจะถูกต้อง

    ขอฝากพระ นวกะไว้ด้วย ท่านต้องการอะไร เตรียมการ ณ บัดนี้ เข้าพรรษามา ๑ วันพระแล้ว จะเรียนหนังสือหรือไม่เรียน ท่านคิดเอาเองนะ มีไหมที่ผมให้ความชั่วท่าน มีแต่ให้ระเบียบวินัย ทำอะไรให้เรียบร้อย ทำอะไรให้คล้อยตาม ปฏิบัติตาม จะสวยน่ารัก ขอเรียนถวายไว้ ผมก็คำนวณให้ท่าน แผ่เมตตาให้ท่านทุกวัน ผู้รู้นะว่าท่านบาปหรือบุญ แต่ไม่พูด ใครอยากพูดก็พูดไป ไม่กล่าวขวัญกันอีกต่อไป

    ท่านสรุปกำไรชีวิตแต่ละวันเวลาของท่านไว้ บวกลบคูณหารตอนออกพรรษา ท่านจะได้กำไรหรือขาดทุน ท่านจะได้บุญมากหรือบาปมาก ท่านจะรู้เอง ไม่มีใครไปบอกท่านหรอก ท่านเป็นพระภิกษุผู้ประเสริฐแล้ว เป็นอุดมเพศสูงสุดแล้ว ไม่ต้องไปนับคะแนนกันว่าสอบได้หรือสอบตก ท่านตรองดูเองเถอะครับ ว่า ทำอะไรเป็นประโยชน์แก่วัด อำนวยประโยชน์แก่ประชาชน สร้างกุศลอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ญาติโยมบ้าง อย่าเข้าข้างตัวเองนะครับ ท่านจะเสียศักดิ์ศรี
    ท่านปฏิบัติกรรมฐานอย่าง ที่ผมเรียนถวายได้หรือไม่ รู้กฎแห่งกรรมจริงไหม รำลึกชาติของชีวิตได้ไหม และ แก้ปัญหาได้ไหม มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า มันมาจากเหตุผลประการใด ท่านทราบหรือไม่ ท่านรู้อย่างนี้จะเหลือกินเหลือใช้นะ เป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายแล้ว วันนี้เป็นวันธรรมสวนะ เป็นวันพระ เป็นวันที่เราจะบำเพ็ญกุศลกันให้มาก และเป็นวันที่เขาหยุดเมืองสวรรค์นรก ขอให้ท่านนวกะโปรดแผ่เมตตาอุทิศให้ บรรดาญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว สู่สัมปรายภพ มาปรารภสามัคคี เรียกว่า สามัคคีธรรมนำสันติสุข เป็นการปรองดองเป็นญาติพี่น้องท้องเดียวกัน ท่านจะเกิดประโยชน์เอง

    อย่า ลืม กฎแห่งกรรม นะครับ ผมช่วยท่านไม่ได้หรอก มีฟ้าเหนือฟ้า อะไรจะเหนือกฎแห่งกรรมนะครับ ต่อหน้าทำอย่างไร ลับหลังให้ทำอย่างนั้น ทำอะไรให้มีประโยชน์ต่อส่วนรวม รับรองได้เลยว่า ท่านจะได้อานิสงส์เป็นสังฆทาน เป็นสาธารณประโยชน์ร่วมกัน ได้อานิสงส์มาก ท่านไปขุดน้ำกินเสียบ้านเดียว ท่านจะได้อะไรหรือ ขุดบ่อน้ำสาธารณะกินได้ทุกบ้าน ใครมาก็กิน ใครมาก็ใช้ ท่านได้บุญมาก มีถนนส่วนบุคคล ท่านเดินได้เฉพาะบ้านเดียว ไม่สาธารณะแก่คนทั่วไป ท่านจะได้บุญน้อยมาก มีอานิสงส์น้อยมาก นี่เปรียบเทียบถวาย เรื่องจริงเป็นอย่างนั้น ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อกัน อย่าหวงกัน จะได้ช่วยกันต่อไป เราจะได้มีสมัครพรรคพวกมากขึ้น ได้พี่น้องมากขึ้น ทำอะไรถึงจะสำเร็จ ได้บรรยายให้ท่านฟังว่าแผ่ส่วนกุศลทำอย่างไร อุทิศตรงไหน ทำใจตรงนั้น และวางจิตไว้ตรงไหน ถึงจะได้ อย่าลืมนะ ที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ สำรวมเวลาสวดมนต์นั้นน่ะได้บุญแล้ว ไม่ต้องเอาสตางค์ไปถวายองค์โน้น องค์นี้หรอก แล้วสำรวมจิตส่งกระแสจิตที่ หน้าผาก อุทิศส่วนกุศล เวลาแผ่เมตตาเอาไว้ที่ ลิ้นปี่ สำรวมอินทรีย์ หน้าที่คอยระวัง นะ อุ อุอะมะ อุอะมะ อะอะอุ นะอยู่ตรงไหน เอามาไว้ตรงไหน จับให้ได้แล้วอุทิศไป
    เวลา จะอุทิศส่วนกุศลตรงไหน ทำอย่างไร ท่านจะได้นะครับ อย่าทำโดยคลุมเครือ เดาสุ่มไป ท่านจะไม่ได้ผล ทำอะไรไม่มีหลักฐานะ ทำอะไรไม่มีผลงาน ไหนเลยล่ะจะเป็นกิจกรรมของชีวิตได้ ผมทำมา ๔๐ กว่าปีแล้ว ทำได้ผล ขอถวายความรู้เป็นบุญ เป็นกุศล ให้ท่านได้บุญอย่างประเสริฐไป จะได้อุทิศให้โยมเขา เขาเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่เหลือวิสัยมันก็หายได้
    วันนี้ ก็ขอจบรายการที่ได้อุตส่าห์ถวายความรู้ท่าน โดยที่ผมก็อาพาธมากมาย แต่ก็จะไม่ให้ขาดการถวายความรู้ท่าน เพื่อไม่ให้เสียเวลาที่ท่านมาบวช ก็ได้โปรดเห็นใจ อย่าลืมว่า ความเรียบร้อย ต้องคล้อยตามนะ ถ้าอย่างนั้นไม่เรียบร้อยเลย

    ขอความสุขสวัสดีจงมีงอกงามไพบูลย์แก่ ท่านพระเถระนวกะ ขอท่านเจริญรุ่งเรือง เจริญธรรมสัมมาปฏิบัติในพระกรรมฐาน งอกงามไพบูลย์ในพระพุทธศาสนา มีความสุขโดยทั่วหน้ากัน และจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด ให้สมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกรูป ทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ.
     
  2. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    โดย คุณดังตฤณ

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการแผ่เมตตานั้น มีจุดประสงค์เพื่อละพยาบาท เช่นที่พระพุทธองค์ตรัสสอนพระราหุลในราหุโลวาทสูตรมีความว่า…

    ดูกรราหุล เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาทได้

    และ เมื่อเข้าใจแล้วว่าเราต้องการละพยาบาท ก็ต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดต่อไปอีกชั้นหนึ่ง ว่า "ความโกรธ" กับ "ความพยาบาท" นั้นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร สำหรับความโกรธนั้นคือตัวโกธะ ซึ่งอาจหมายถึงความขุ่นเคืองที่เกิดจากผัสสะกระทบใดๆ อาการทางจิตโดยทั่วไปจะเหมือนไฟไหม้ฟาง คือวูบหนึ่ง หรือระยะหนึ่งแล้วดับหายไป ส่วนความพยาบาทนั้นจะหมายเอาความแค้นใจ ความเจ็บใจ ความคิดร้าย ซึ่งเป็นตรงข้ามกับเมตตาโดยตรง พฤติของจิตจะเป็นไปในทางผูกใจคิดแก้แค้นเอาคืน หรือแม้ไม่ถึงขั้นลงมือเอาคืน ก็มีอาการขัดเคือง ขุ่นข้องค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น

    เมื่อเข้าใจตรงนี้ ก็จะเห็นว่าตัวความโกรธอาจพัฒนาเป็นความพยาบาท หรืออาจจะหายไปเสียเฉยๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายต่อหลายประการ ดังนั้นเราเอาจแผ่เมตตาเพื่อระงับความโกรธ ตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อมิให้ลุกลามเป็นพยาบาทก็ได้ หรืออาจแผ่เมตตาเพื่อทำความพยาบาทที่ครอบงำจิตอยู่แล้วให้สูญไปก็ดี ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าการแผ่เมตตามิใช่การทำเชื้อแห่งความโกรธให้ดับลงสนิท เพราะนั่นเป็นงานวิปัสสนา เราแผ่เมตตาเป็นงานสมถะ เพื่อทำจิตให้มีคุณภาพพอจะต่อยอดเป็นวิปัสสนาในภายหลัง

    และเมื่อทำ ความเข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่าจุดประสงค์ของการแผ่เมตตาเป็นไปเพื่อละพยาบาท อันเป็นของครอบงำจิตระยะยาว ก็ต้องเห็นซึ้งยิ่งขึ้นไป ว่าการแผ่เมตตาเป็นเรื่องของการ "เปลี่ยนนิสัย" คือต้อง "ละพยาบาท" ให้ขาดจากจิต แม้โกรธขึ้นก็เหมือนจุดไฟดวงน้อย เรามีน้ำกลุ่มใหญ่ไว้สาดให้ดับพร้อมอยู่แล้ว

    เมื่อแผ่เมตตาเป็น จะเกิดกระแสจิตอีกแบบหนึ่งที่ทำให้รู้ว่ากรรมฐานข้อนี้ต่างกับข้ออื่น คือถึงจุดหนึ่งแล้วเหมือนจิตฉายรัศมีเมตตาออกมาเองโดยไม่ต้องกำหนด เนื่องจากเมตตาเป็นธรรมชาติของจิตที่เปล่งประกายได้โดยปราศจากเจตจำนงบังคับ ตรงนั้นจะเห็นอานิสงส์ของการแผ่เมตตาตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในเมตตาสูตร

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นโดยลำดับ สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการคือ ย่อมหลับเป็นสุข, ย่อมตื่นเป็นสุข, ย่อมไม่ฝันลามก, ย่อมเป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย, ย่อมเป็นที่รักแห่งอมนุษย์ทั้งหลาย, เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา, ไฟ ยาพิษ หรือศาตราย่อมไม่กล้ำกรายได้, จิตย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว, สีหน้าย่อมผ่องใส, เป็นผู้ไม่หลงใหลทำกาละ, เมื่อไม่แทงตลอดคุณอันยิ่ง ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก

    สำหรับ งานภาวนาในสติปัฏฐาน 4 คงหวังผลเด่นประการหนึ่งจากบรรดาอานิสงส์ทั้ง 11 ข้อข้างต้นนี้ นั่นคือ "จิตย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว" ซึ่งสำหรับอานิสงส์ดังกล่าวย่อมรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เสียก่อน ใช้เหตุผลตามจริงที่ว่าเมื่อจิตสงบ อ่อนโยน มีความสุข ปราศจากการคุมแค้นอาฆาตใคร ไม่คิดจองเวรใคร ก็ย่อมปราศจากคลื่นความฟุ้งในหัว และพร้อมพอใจะเข้าสู่ความตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่ต้องการได้ง่ายๆ แน่นอน

    การเจริญเมตตาภาวนานั้นแบ่งออกได้เป็นสองลักษณะใหญ่ๆตามวิธี ดำเนินจิต แบบแรกคือใช้จิตที่ยังคิดนึกส่งความปรารถนาดี ปรารถนาให้บุคคล สัตว์ หรือสิ่งของอันเป็นเป้าหมายมีความสุข แบบที่สองคือกำหนดจิตอันตั้งมั่นแล้ว แผ่กระแสเมตตาออกตามรัศมีจิต เริ่มต้นอาจจะเพียงในระยะสั้นเพียงสองสามเมตร ต่อมาเมื่อล็อกไว้ได้นาน ก็อาศัยกำลังอันคงตัวนั้น ยืดขยายระยะ หรือตั้งขอบเขตออกไปไกลๆ กระทั่งถึงความไม่มีประมาณ ทิศเดียวบ้าง หลายทิศพร้อมกันบ้าง ตลอดจนครอบโลกโดยปราศจากทิศคั่นแบ่งบ้าง เป็นผลพิสดารในภายในอันรู้ได้ด้วยตนเองเมื่อสามารถทำสำเร็จ

    เมื่อ ทราบว่าการเจริญเมตตาภาวนาแบ่งออกเป็นสองวิถีทางอย่างนี้ ก็พึงทราบว่าการเจริญเมตตาไม่ได้ขึ้นอยู่กับจริตนิสัย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครมีปัจจัยใดๆหนุนหลังหรือถ่วงรั้งเอาไว้ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนสมควรฝึก สมควรทำให้เกิดขึ้นในตน เพื่อขจัดวัชพืชออกไปจากพื้นที่เพาะพันธุ์มรรคผลในจิตเรา

    การฝึกเจริญเมตตาโดยอาศัยจิตสามัญ
    ก่อน อื่นต้องสำรวจด้วยความตระหนักแบบไม่เข้าข้างตนเอง ว่าเป็นคนมักโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟง่าย กับผูกโกรธไว้เผาเราเผาเขาได้นานหรือเปล่า หากรู้ตามจริงว่าเป็นบุคคลเคราะห์ร้าย คือจัดอยู่ในพวกโกรธง่ายหายช้า ก็ให้ทราบว่าอย่างนั้นเป็นคนเมตตาอ่อน มีทุนน้อย จะเอามาใช้เจริญเมตตาเป็นภาวนาทันทีทันใดคงยาก

    หลายคนได้รับคำแนะนำ ให้ภาวนา สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ ขอสัตว์โลกทั้งหลายอย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย ภาวนาอยู่เกือบสิบปี ยังหน้าตาเหี้ยมเกรียมอยู่เหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะตั้งความเข้าใจไว้ผิดพลาด ว่าแค่ท่องบ่นไปก็คือการเจริญเมตตาภาวนาแล้ว หรือหนักกว่านั้นคือนับเป็นการแผ่เมตตาแล้ว ขอให้เข้าใจว่าการเจริญเมตตานั้น เป็นอาการของจิตที่ส่งความปรารถนาดี ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขด้วยใจจริง การท่องบ่นสาธยายมนต์นั้น ไม่ต่างกับนกแก้วนกขุนทองที่พูดได้คำสองคำ แต่หามีความเข้าใจหรือรับรู้ในภาษาที่ตนพูดไม่

    ในมหาสีหนาทสูตรท่าน ตรัสกะชีเปลือยชื่อกัสสปะว่าเมตตาจิตนั้นคือจิตอันไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ซึ่งหมายถึงการคิด การพูด และการทำอันไม่มีเวรกับใคร ไม่ได้เบียดเบียนใครให้เดือดร้อน ดังนั้นการ "สร้างทุน" คือเมตตาจิตนั้น ก็ต้องอาศัยการหมั่นสำรวจอย่างเข้มงวด ว่าชีวิตเราล่วงไปวันต่อวัน ขณะต่อขณะอยู่อย่างนี้ ด้วยอาการผูกเวร ด้วยอาการเบียดเบียนใครหรือไม่

    หาก สำรวจตามจริง พบในขณะแห่งการคิด การพูด หรือการทำ ว่าเราเอาแล้ว ก่อเวรแล้ว เบียดเบียนใครเข้าแล้ว ก็ต้องรีบเปลี่ยนท่าทีให้เป็นตรงข้าม คือไม่แม้คิดก่อเวร ไม่แม้คิดเบียดเบียนใครๆด้วยประการใดๆเลย พูดง่ายๆคือถ้าถามตัวเองว่าตอนนี้คิดไม่ดีกับใครหรือเปล่า รู้ตัวแล้วก็เปลี่ยนให้เป็นตรงข้ามเสีย ด้วยความระลึกว่าการคิดไม่ดีย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อเมตตาจิต ระลึกไว้เพียงเท่านี้ก็จะเป็นบาทฐานอันมั่นคงไว้รองรับเมตตาจิตอันจะมาถึง เองข้างหน้าแล้ว

    แรกๆเมื่อทำให้เมตตาจิตเกิดขึ้นในเรานั้น จะเป็นเรื่องของการฝืนใจ อาจไม่เห็นผลเป็นความสุขความเย็นทันใด บางทีถึงกับต้องสู้กับความรู้สึกได้เปรียบเสียเปรียบ อันนี้ถ้าเห็นว่ายากหรือเหลือบ่ากว่าแรงนัก ก็อาจเอาแค่ถือศีล 5 ให้ครบ ให้จิตใจสะอาด นั่นก็เรียกว่าสร้างเมตตาจิตอยู่กลายๆแล้ว เพราะเมื่อตีกรอบไว้ กำหนดเจตนาไว้ว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดลูกเขาเมียใคร ไม่มุสา และไม่ร่ำสุรา ก็คือระงับเหตุแห่งเวรและการเบียดเบียนทั้งปวงนั่นเอง สำรวจใจที่สะอาดด้วยรั้วคือศีล พอเห็นผลตามจริงก็จะเกิดโสมนัสขึ้นมา

    หลัง จากเจริญเมตตาจิตด้วยการคิด การพูด การทำเป็นร้อยครั้งพันหน กระทั่งรู้สึกถึงกระแสฝ่ายดี กระแสเย็นใจชุ่มชื่นอันเกิดจากการระงับเวรทั้งปวงแล้ว ชนิดที่สามารถระบายยิ้มอ่อนๆออกมาได้เองโดยไม่ต้องฝืน พอกระแสนั้นเอ่อขึ้นมาเมื่อใดขณะไหนก็ตาม อยู่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม ให้ฝึกล็อกอยู่กับความรู้สึกภายในชนิดนั้นไว้ คือรู้ว่าเป็นสุขเย็น และความสุขไม่เคลื่อน ไม่เลื่อนไหลแปรปรวนเป็นอื่นง่าย กระทั่งชัดเต็มอยู่ในอกในใจ มีความตั้งมั่นไม่ต่างกับขณะแห่งการจ่อจิตไว้ที่ลมหายใจหรืออารมณ์ภาวนา อื่นๆ ถึงขั้นนี้เรียกว่ามีทุนไว้ต่อทุนในระดับต่อไปแล้ว

    ยิ่งถ้าหาก มีพื้นนิสัยอ่อนโยน มีลักษณะแห่งเมตตาอยู่ในตัว คือนอกจากไม่ก่อเวรแล้ว ยังเป็นผู้ชอบสร้างสุขผูกไมตรีกับคนอื่น และนอกจากไม่เบียดเบียนแล้ว ยังเป็นผู้ชอบเอื้อเฟื้อเจือจานให้คนอื่นมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น ก็อาจใช้ทุนประจำตัวได้เลยทันที คือสังเกตว่าขณะที่ไม่ฟุ้งคิด จิตใจสงบสุขอยู่กับตนเอง บอกตนเองว่านี่เพราะเราไม่มีเวร ก็ไม่มีใครเบียดเบียนตอบ ให้ล็อกเอาความรู้สึกนั้นไว้ในใจ เป็นองค์ภาวนาเดี๋ยวนั้น

    หากใครนึกเถียงอยู่ในใจว่าเมตตาแล้ว แต่ยังถูกเบียดเบียนอยู่ดี ก็ให้ตัดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบทิ้ง ยิ่งต้นเหตุยั่วยุให้เหมือนคลั่ง ก็ยิ่งเป็นแบบฝึกชั้นสูง เราจะเอาเป้าหมายเดียวคือเมตตาจิต ฉะนั้นต้องละจากการจองเวร ด้วยความคิดว่าแค่โกรธก็เป็นเวรทางใจแล้ว ให้อภัยเป็นทานเสีย ผ่านขั้นยากได้เท่าไหร่ยิ่งเป็นอภัยทานชั้นเลิศขึ้นเท่านั้น เมื่อสำรวจแล้วว่าเราให้ทานเป็นการอภัยออกมาจากแก่นแท้ภายในแล้วมีความสุข ความสงบเย็นทันตาเห็น ก็ดูตามจริงว่านี่ก็คือลักษณะของเมตตาจิต ล็อกไว้อย่างนั้นเป็นองค์ภาวนาได้เช่นกัน

    สรุปคือใช้ชีวิตประจำวัน นั่นแหละ ในการเจริญเมตตาภาวนาเบื้องต้น ตราบใดเรายังต้องคิด ต้องเจรจา ต้องมีกิจกรรมตอบโต้กับชาวโลก ตราบนั้นคือโอกาสในการเจริญเมตตาภาวนาของเราทั้งหมด ลองระลึกในทุกขณะว่าเมตตาเป็นด้านหัวของเหรียญ พยาบาทเป็นด้านก้อยของเหรียญ เราพลิกด้านหนึ่งขึ้นมา อีกด้านหนึ่งก็หายไปทันที ตัวที่พลิกจากคิดไม่ดีเป็นคิดดีกับผู้อื่นนั่นแหละตัวเมตตาอันเป็นที่รู้สึก ได้ชัด ระลึกไว้ง่ายๆอย่างนี้จะสำรวจความคิด คำพูด และการกระทำของตนเองถนัดขึ้น

    การเจริญเมตตาโดยอาศัยสมาธิจิต
    ใน เตวิชชสูตร พระพุทธองค์ตรัสกะวาเสฏฐะตอนหนึ่งมีความว่านิวรณ์เป็นทุกข์ เป็นโทษ และอุบายลัดทางอย่างง่ายที่สุดคือให้ "รู้" เข้ามาตรงๆถึงภาวะของนิวรณ์ อย่างเช่นเมื่อตระหนักว่าพยาบาทกำลังครอบงำจิต ก็ให้พิจารณาเปรียบเทียบว่า…

    ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนผู้ป่วยหนัก บริโภคอาหารไม่ได้และไม่มีกำลังกาย สมัยต่อมาเขาพึงหายจากความป่วยไข้นั้น บริโภคอาหารได้ และมีกำลังวังชากลับคืนมา เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นผู้ป่วย ถึงความลำบาก เจ็บหนัก บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย บัดนี้ เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภคอาหารได้และมีกำลังกายเป็นปกติ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส โดยความไม่มีโรคนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

    เพียงคิด เทียบเสียได้ด้วยใจอันซื่อ ว่าความพยาบาทนั้นเหมือนโรค เหมือนความป่วย จิตก็เห็นโทษแห่งพยาบาทอย่างแจ่มชัด ถ้าเลิกพยาบาทได้ก็จะปลอดโปร่งโล่งสบาย กินอิ่มนอนหลับเหมือนหายป่วย พอเห็นข้อดีชัดเจนเข้า จิตก็ละพยาบาทอย่างไม่เสียดายเหมือนถ่มเสลดทิ้งจากปากคอ เมื่อทิ้งได้ ก็บังเกิดโสมนัสอันพร้อมน้อมมาใช้แผ่เมตตาขั้นสูงต่อไป

    อีกนัยหนึ่ง เมื่อภาวนาจนจิตตั้งมั่น ผ่องใส อ่อนควรเพียงพอแล้ว ก็อาจพิจารณาว่าจิตมีลักษณะเช่นนั้นอยู่ได้ก็ด้วยเพราะปราศจากความพยาบาท หากมีความพยาบาทครอบงำจิตอยู่ ก็คงถึงซึ่งลักษณะตั้งมั่น ผ่องใส อ่อนควรเช่นนี้ไม่ได้ นี่ก็จะเป็นชนวนให้เกิดความโสมนัสในผลอันเป็นปัจจุบันเช่นกัน พระพุทธองค์ตรัสว่าเมื่อสำรวจได้เช่นนั้น พึงแผ่เมตตาออกดังนี้

    เมื่อ เธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปิติ เมื่อมีปิติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เธอมีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องเฉียง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ ทุกเหล่าในทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่

    กล่าวโดยวิเคราะห์เพื่อดำเนินจิตเข้าสู่การแผ่เมตตาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้ดังนี้
    1) สำรวจว่าจิตยังมีพยาบาทอันเป็นนิวรณ์ชนิดหนึ่งหรือไม่ หากรู้แก่ใจว่ายังมีพยาบาท ให้ละเสียด้วยความคิดเปรียบเทียบพยาบาทเหมือนโรค คิดว่าถ้าจิตเป็นอิสระจากพยาบาท ก็เหมือนหายจากโรค คิดให้น้อย แต่รู้ตามจริงให้มาก
    2) หากผ่านข้อก่อนได้สำเร็จ ก็จะมีกระแสสุขแบบที่เป็นเมตตาเกิดขึ้นทันที ดังกล่าวแล้วว่าของแบบนี้มีแต่ด้านหัวกับด้านก้อย คว่ำพยาบาทลงได้ก็เท่ากับหงายเอาเมตตาขึ้นแทน ให้ประคองรู้จิตอัน "ประกอบด้วยเมตตา" นั้นไว้สักครู่หนึ่ง แล้วจึงเริ่มแผ่เมตตาออก เริ่มจากทิศหนึ่งคือเบื้องหน้า ทิศสองคือเบื้องขวา ทิศสามคือเบื้องซ้าย ทิศสี่คือเบื้องหลัง แล้วจึงแผ่ไปยังเบื้องบน เบื้องล่าง ด้านทะแยง จากนั้นเมื่อชำนาญแล้ว จึงกำหนดจิตแผ่ครอบไปทุกทิศพร้อมกัน คือแผ่ไปตลอดโลก เป็นการแผ่สุขให้อย่างไม่เลือกหน้า ไม่เลือกภพเลือกภูมิว่าเป็นมนุษย์ สัตว์ เทวดา หรืออื่นๆ ลิ้มรสความวิเวกอันเกิดจากความไร้เวรภัย ตั้งมั่นในระดับที่เรียกว่า "อัปปมัญญาสมาบัติ"

    บางคนอาจสงสัยว่า อุบายวิธีแผ่เมตตาของพระพุทธเจ้าคงต้องรอให้โกรธหรือคิดพยาบาทมาดร้ายใคร เสียก่อนกระมัง จึงจะถือเอามาใช้เป็นบทเริ่มต้นได้ ความจริงแล้วก็เหมือนคนเริ่มทำสมาธิด้วยวิธีสำรวจศีลของตนเองทีละข้อ วันไหนทราบชัดว่าศีลของตนสะอาดบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ก็ย่อมเกิดปราโมทย์ เกิดปีติ สงบสุขอยู่กับความผ่องแผ้วอันเป็นคุณลักษณ์ขณะนั้นแห่งจิตตน ทำนองเดียวกันนั้น เมื่อสำรวจแล้วว่าจิตเราปราศจากความดำริก่อเวร ปราศจากการคิดเบียดเบียนใคร เมื่อนั้นกระแสเมตตาย่อมรินรสอยู่ในภายในให้สำเหนียกได้ กำหนดเป็นตัวตั้งเพื่อใช้แผ่ออกตามทิศต่างๆได้

    ว่าสำหรับการกำหนดจิตเพื่อแผ่ออกนั้น อาศัยปัจจัยหลักเพียง 3 ประการเป็นฐานเริ่ม ได้แก่
    1. จิตอันประกอบด้วยเมตตา ดังกล่าวถึงวิธีก่อแล้วข้างต้น
    2. ทิศทาง ขอให้กำหนดเป็นเบื้องหน้าก่อน เพราะเป็นไปตามธรรมชาติการมองออกด้วยสายตามาทั้งชีวิต จึงง่ายกว่าทิศอื่นทั้งหมด
    3. ระยะ เริ่มต้นควรมีระยะที่แน่นอน เพื่อให้จิตรู้ว่าควรกำหนดไว้แค่ไหน แรกทีเดียวควรเป็นสัก 2-5 เมตร คือระยะระหว่างสายตากับผนังห้องนอนทั่วไปก็ดี

    ด้วยองค์ประกอบทั้ง 3 ประการข้างต้นนี้ พอจะลำดับขั้นตอนได้ง่ายๆ คือให้นั่งตัวตรงสบายๆ สำรวจแน่ใจแล้วว่าจิตประกอบด้วยเมตตาชัดอยู่ในกระแสรู้สึกตรงกลางๆ ทอดตาตรงไปยังเป้าหมายใกล้ตาเบื้องหน้า อาจเป็นเสา อาจเป็นจุดใดจุดหนึ่งบนผนัง ขอให้ตาจับได้โดยไม่ก่อความคิดอันเป็นนิวรณ์ใดๆขึ้นก็แล้วกัน

    มอง เป้าหมายนิ่งๆสัก 2-3 วินาทีแล้วปิดเปลือกตาลง โดยที่ยังรักษาอาการทอดตาจับนิ่งๆแบบไม่เพ่งจนเกินไป ขณะเดียวกันโฟกัสก็ไม่เลื่อนไหลไปมาให้นัยน์ตาหลุกหลิก แล้วกำหนดความรู้สึกมาที่กระแสเมตตากลางอกอันไม่คับแคบเป็นจุดเล็ก แต่คลุมๆอยู่ในความรู้สึกตัวทั่วถึง จากนั้นแนบกระแสเมตตาเป็นอันเดียวกับอาการทอดสายตาตรง จะเห็นคล้ายตัดความผูกโยงกับประสาทตามาที่กลางอก เสมือนเปิดแผ่นอกโล่งและฉายรัศมีสุขออกไปตรงๆ

    ขอให้รักษาทิศทางและ ระยะไว้ดีๆ เพียงตั้งมั่นไม่นานจะสำเหนียกถึงอาการที่จิตล็อกอยู่กับกระแสสุขอย่าง ชัดเจน หาไม่แล้ว จิตที่ขาดทิศทางและระยะย่อมกระจายออก หรือวนๆอยู่ในตัว ทำให้ขาดความตั้งมั่นอย่างรวดเร็ว

    ขอให้สังเกตการแผ่ที่ผิดพลาดให้ ทันตั้งแต่เบื้องแรก คือถ้ารู้สึกดันๆออกไป ตึงขมับ หรือเกร็งส่วนใดส่วนหนึ่ง นั่นอาจเป็นเพราะเราเพ่งมากเกิน ที่ถูกต้องมีเพียงกระแสสุขที่สาดตรงออกไปโดยปราศจากความเครียด และมีสติรู้ตั้งมั่นอยู่ที่กลางๆ

    เมื่อจิตเริ่มทรงอยู่ในกระแสสุข ประกอบพร้อมด้วยทิศเบื้องหน้าและระยะใกล้จนชำนาญแล้ว จะเหมือนจิตแสวงความโล่งเป็นระยะไกลขึ้นเอง เพียงกำหนดรู้ตามว่ารัศมีสุขเริ่มขยายออกไป สติก็จะดำเนินตามพัฒนาการของการแผ่เมตตา ที่มีแต่ทิศเบื้องหน้าเป็นกำหนด แต่ขอบเขตจำกัดไม่มี คล้ายมองขอบฟ้าลิบโลก หรือไปไกลถึงอนันต์ เพียงประคองไว้ได้สักนาทีเดียว จิตจะดึงดูดเข้าสู่ความมั่นคงระดับอุปจารสมาธิ มีปีติเย็นวิเวกแปลกกว่าสุขแม้ในสมาธิทั่วไป

    ขอให้ฝึกจนกระแสมั่นคง ในทิศเบื้องหน้าแล้ว จิตรู้กระแสเมตตาอันเป็นนามธรรมว่าต่างหากจากกายแล้ว ไม่ผูกกับสายตาแล้ว จึงค่อยย้ายมาฝึกแผ่ไปทางทิศเบื้องขวา คล้ายนึกในใจถึงวัตถุที่อยู่ด้านขวาโดยไม่ต้องเหลือบแลสายตาตามอาการนึก และมีระยะทางที่แน่นอนใกล้ตัวก่อน เมื่อสามารถตามกระแสเมตตาได้จนเหมือนไกลถึงขอบฟ้าด้านขวา จึงเป็นอันใช้ได้ หากทำทางทิศเบื้องหน้าชำนาญแล้วจะเห็นการกำหนดทิศด้านข้างง่ายดายและรวดเร็ว มาก

    เมื่อได้ด้านขวาชำนาญก็ฝึกกำหนด้านซ้าย เมื่อฝึกด้านซ้ายชำนาญก็ให้ลองกำหนดแผ่ซ้ายขวาพร้อมกัน จะมีกระแสแผ่ออกเบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ

    เมื่อ สามารถแผ่สามทิศได้พร้อมกันแล้ว จะเหมือนมีกระแสสุขเป็นตัวเป็นตนเด่นชัดขึ้นให้รู้สึกได้ และจิตจะรักความไม่มีเวร ไม่มีการเบียดเบียน คือไม่อยากเป็นศัตรูกับใคร ไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกับใคร และเหตุการณ์ในชีวิตก็เหมือนจะเริ่มเข้าข้างกระแสเมตตาภายในเรา

    สำหรับ การแผ่ทางทิศเบื้องหลังนั้นจะยากกว่าสามทิศแรก เหตุเพราะมนุษย์เรามีอายตนะส่งจิตออกกระทบวัตถุเป็นสายตา ซึ่งเล็งไปเบื้องหน้า และเป็นแก้วหู ซึ่งเล็งหนักไปทางซ้ายขวา

    การ ที่จะกำหนดแผ่เมตตาทางทิศเบื้องหลัง จำเป็นต้องอาศัยความรู้สึกในแผ่นหลัง ประกอบกับจิตนึกทวนทิศของอายตนะหยาบ ขอให้ลองนึกถึงแผ่นหลังก่อน แล้วนึกถึงวัตถุสักชิ้น อาจเป็นผนังระยะใกล้ซึ่งอยู่ด้านหลัง นึกเฉยๆโดยไม่ต้องกำหนดกระแสเมตตาก่อนก็ได้ เมื่อแน่ใจแล้วว่านึกเป็น จึงค่อยกำหนดกระแสเมตตาประกอบการนึกย้อนหลังดังกล่าว หากเป็นไปตามลำดับก็จะพบว่าไม่ยากเย็นนัก

    หากกำหนดแผ่เมตตาได้ถึงขอบ ฟ้าเบื้องหลังสำเร็จ จะเหมือนเปิดจิตโล่งออกไปได้ทุกทิศทุกทางไม่จำกัด ทิศเบื้องบน เบื้องล่าง และเบื้องเฉียงทั้งหมด ก็ไม่เหลือวิสัยอีกเลย จะเหมือนมีกระแสเมตตาหลั่งรินออกมาตลอดเวลาโดยไม่ต้องกำหนด พฤติกรรมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคิด พูด หรือทำ ก็ถูกล้อมไว้ด้วยทะเลเมตตาจากจิตนั่นเอง อานิสงส์ทั้ง 11 ประการตามพระพุทธองค์ตรัสแสดงจะปรากฏชัดให้ทราบได้อย่างปราศจากกังขา

    ถึง ตรงนั้น ของแถมที่ตามมาอันรู้ได้เองอาจเป็นการรู้ว่าเมตตาอันเป็นรัศมีจิตของเรามี กำลังใหญ่ โทสะและพยาบาทของคนรอบข้างมีกำลังน้อย ถูกกลบกลืนด้วยสนามพลังเมตตาของเราโดยง่าย ก็จะเป็นการช่วยผู้อื่นให้พ้นนรกในอกได้อ้อมๆ และอาจเป็นสื่อโน้มนำเขามาเข้ากระแสที่ถูกต้องต่อไป หากใครมีไฟร้อนอยู่ในเรือน ก็อาจดับร้อนด้วยจิตตนนี้เอง

    ปกติจิตคนเราถูกกักไว้ด้วยความคิดในหัวเหมือนมีกรงขังเล็กๆในโพรงกะโหลก เมื่อเริ่มแผ่เมตตาจึงอาจรู้สึกว่ายาก แต่เมื่อแผ่เป็น ก็จะเห็นความเคยชินเก่าๆเริ่มแปรไป คือจิตเหมือนเป็นอิสระออกมาจากกรงขัง นิ่งสบายอย่างมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม นับเป็นการเกื้อกูลต่อการปฏิบัติสติปัฏฐานได้อีกทางหนึ่ง

    นักภาวนา ที่ประสบปัญหานอนไม่หลับเพราะตาแข็งจากสมาธิอาจชื่นชมอานิสงส์ของการแผ่ เมตตาเป็นพิเศษ เมื่อนอนหงายปิดตา กำหนดสุขในอก แผ่ออกไปยังทิศเบื้องบน อาจจับแค่ระยะเพดานห้องนอนก่อน หรือจะเป็นด้านข้างก็ได้ แล้วแต่ถนัด ถ้าจิตล็อกนิ่งแล้วหลับลงในอาการนั้น จะมีแต่ความสุขสบาย และเหมือนเข้าสมาธิอยู่แบบกึ่งเคลิ้มกึ่งรู้ตัว ถึงจะตื่นเร็วเกินเหตุก็เป็นการนอนหลับเต็มตา ไม่เหนื่อยล้าภายหลัง

    อย่าง ไรก็ตาม ความสุข ความสว่างแจ้งในเมตตาเป็นรสอันยากจะเปรียบ ตรงนี้ก็ต้องย้อนกลับไปดูวิธีพิจารณาสุขเวทนาในหมวดเวทนานุปัสสนาดีๆ เพื่อความไม่ยึดติดจนเกินไป ขอให้ระลึกว่าเราแผ่เมตตาเพื่อผลคือละพยาบาทเป็นหลัก มิใช่เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือไปจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์อันจะพาออกนอกทางสติปัฏฐานเพื่อพ้นทุกข์ พ้นความยึดติดแม้สุขอันเลิศรสใดๆ.
     
  3. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    อ่านไฟล์ PDF ดังนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. prosper

    prosper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +382
    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ ขอบุญรักษาผู้นำมาเผยแพร่และครอบครัวจงมีแต่ความสุขตลอดไป บุญรักษาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...