วอนผู้รู้ที่นั่งสมาธิได้ณาฌกรุณาอธิบายให้เข้าใจ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มณีอุมา, 21 มิถุนายน 2011.

  1. มณีอุมา

    มณีอุมา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    อย่างแรกเลย ฉันเองก็เกิดในศาสนาพุทธแต่ก็คลุกคลีอยู่ในวงการต่างชาติทั้งคุณพ่อคุณม่ ปู่ย่าตายายก็เคร่งศาสนามาตลอด แต่มาพักหลังตอนที่ดิฉันโตขึ้นมานี้ก็มีญาติสนิทผู้ใหญ่ที่รักหลายคนตายจากไปนับไม่ถ้วน

    แต่ก็ไม่เคยมีปรากฎการว่าดิฉันจะติดต่อกับพวกท่านได้ ประกอบกับพักหลังก็ไปต่างประเทศเวลาถกเรื่องหลังความตายกับพวกฝรั่งทุกคนต่างบอกไม่มีจริง และหลายต่อหลายคนที่ว่าไม่มีจริงนี้

    ก็เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งส่งเสียให้เราเรียนหนังสือ เป็นทั้งผู้มีพระคุณต่อเรา และดีต่อเราจะว่าไปยิ่งกว่าคนในครอบครัวและตามใจเรากว่าบุพการีเสียอีก อยากได้อะไรก็ให้หมด สิ่งต่างๆเหล่านี้ประกอบกันทำให้การบอกกล่าวของพ่อแม่บุญธรรมเรื่องไม่มีโลกหลังความตายและทุกอย่างจบลงแค่ตายนั้นมีอธิพลต่อเรา เพราะเราเคารพ นับถือ คนบอก นอกจากนี้ดิฉันก็ยังได้พบอีกว่า

    นักวิทยาศาสตร์รางวัล โนเบลว์ อย่าง สตีเฟ้น ฮอวคิ้ง ก็กล่าวว่าสวรรค์และชีวิตหลังความตาย เป็นเพียงมโนภาพ ที่สร้างขึ้น เพื่อจุดประสงค์
    บางอย่าง เช่น ให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ หรือมีความหวังต่อไปว่าเราไม่ได้สูญสิ้นแต่แค่การตายจาก


    ดิฉันก็เคยถามพ่อแม่ที่เมืองไทยบ่อยครั้งเพระดิฉันเสียใจที่คุณตาคุณยายที่สนิทมากตายไปดิฉันจึงถามพ่อกับแม่ว่าถ้าเรื่องการนั่งสมาธิ นรก สวรรค์ กลับชาติมาเกิดมีจริง เหตุใดพวกพระเกจิอาจารณ์ที่โด่งดังหรือ ฆราวาสที่มีญาฌสูงและท่านบอกว่าท่านมีณาฌทำไม

    ไม่ออกมาแสดงตัว และแสดงอิทธิธิ์ปาฎิหาริย์ ให้พวกนักวิทยาศาสตร์เห็นไปเลย ถ้าจะกล่าวว่าห้ามพระสงฆ์แสดงอิทธิธิ์ปาฎิหาริย์ ?

    ดิฉันคิดว่าก็น่าจะมีทางอื่นที่จะพิสูจณ์ให้พวกวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเห็นอยู่ดีเพราะที่ต่างประเทศก็มีโครงการที่จัดขึ้นเฉพาะให้ผู้ที่อ้างว่ามีณาฌวิเศษทดสอบ แต่ผลปรากฏว่าพวกที่มาก็ไม่เคยมีใครผ่าน พวกนักวิทยาศาสตร์เองก็ต้องการพิสูจณ์

    เพราะหากเรื่องแบบนี้มีจริงก็หมายความว่า วิทยาศาสตร์ที่อยู่ก็ผิดและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้ความกระจ่างแก่ทุกๆคนในโลกซึ่งดิฉันถือเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำที่จะได้ทำให้คนที่ไม่รู้อีกหลายต่อหลายคนหันมานับถือศาสนาพุทธ เวลาที่ฉันถามพ่อแม่ด้วยคำถามนี้ท่านก็จะบอกแต่ว่า พระท่านว่าของแบบนี้ใครทำใครได้ไม่ใช่ทุกคนทำได้ ดังนั้นบอกกันไม่ได้

    ดิฉันเคยพยามนั่งเองจากการอ่านในหนังสือพระ คือยอมรับว่าเป็นคนสมาธิค่อนข้างดี ถ้าให้นั่งหลับตาไม่นึกถึงอะไรเลย ดิฉันก็ทำได้ แต่มันก็ได้อยู่แค่นั้น คือ ไม่เห็นภาพ ไม่นึกอะไร ไม่เห็นอะไร แค่นั้นจริงๆไม่มีการกระเตื้องต่อไปเห็นนั้นเห็นนี้ อย่างที่เขียนๆกันไว้ในหนังสือ

    คำถามที่ฉันอยากจะถามผู้รู้ทั้งหลายก็คือ ที่ท่านเห็นภาพต่างๆนั้นมันเห็นจริงๆ หรือ จินตนาการ
    วอนผู้รู้ช่วยอธิบายด้วยคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2011
  2. nunmk

    nunmk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +108
    การที่จะบอกให้เชื่อย่อมเป็นเรื่องยากสำหรับยุคสมัยนี้ เพราะสมัยนี้เขาถือหลักวิทยาศาสตร์เป็นใหญ่ แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบ นรก สวรรค์ กับการมีสมาธิหรือฌาณ

    ที่สามารถให้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้กับทางวิทยาศาสตร์ ก็คงจะเทียบได้กับสมัยก่อนคนเจ็บป่วยก็บอกว่าผีเจ้าเข้าสิงเขาไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันเกิดจากสิ่งใดกันแน่ แต่พอวิทยาศาสตร์เข้ามาก็พบว่าที่คนเจ็บป่วยเพราะมันมีเชื้อโรคที่ตาเนื้อธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ แต่จะเห็นได้ก็ต้องมีเครื่องช่วย

    เช่น ต้องมีกล้องจุลทรรศ์เป็นเครื่องช่วย (เปรียบเสมือนคนที่ฝึกจิตจนมีฌาณหรือญาณที่สามารถมองเห็นสิ่งที่ตาเนื้อนี้มองไม่เห็นเช่นกัน) ดังนั้นเราจะใช้เพียงวิจารณญาณของคนที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาตอบว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีก็ไม่สมควรจะเชื่อทันทีเลย เปรียบเหมือนยังไม่มีการค้นพบวิธีสร้างกล้องจุลทรรศ์ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าการเจ็บป่วยนั้นมันเกิดจากเชื้อโรคชนิดนั้นๆ

    ต่อเมื่อมีกล้องนี้ไว้ดูแล้วจึงรู้ เพียงแต่ฌาณหรือญาณนี้ไม่สามารถซื้อหาได้แบบกล้องจุลทรรศเท่านั้น มันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่ต้องทำได้เองแล้วเห็นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าตนทำไม่ได้แล้วก็บอกว่ามันไม่มีหรอก (มันก็เปรียบได้ว่าคุณไม่มีกล้องจุลทรรศที่จะสามารถมาส่องหาชนิดเชื้อโรค แล้วคุณเที่ยวไปบอกคนอื่นว่าเชื้อโรคมันไม่มีเช่นนั้นหรือ)

    อยากรู้ว่าเป็นเช่นไรต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่มีใครทำความเชื่อให้กับผู้ใดได้ถ้าเขาไม่เชื่อ เพราะเพียงยังไม่เห็น
    สำหรับผมพูดได้เต็มปากว่า นรกมีจริง สวรรค์มีจริง นิพพานมีจริง บุญมี บาปมี แท้แน่นอน
     
  3. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    การที่พระพุทธองค์ทรงสั่งห้ามไม่ให้แสดงปาฏิหาริย์ เพราะไม่ได้ต้องการให้คน
    คิดว่าเป็นผู้วิเศษ เป็นเทพเจ้าอะไรพวกนั้น แต่ต้องการบอกไปว่าคนธรรมดานี่
    แหละทำทุกข์ให้สิ้นไปได้

    ไม่ได้ทรงสรรเสริญปาฏิหาริย์ใดมากกว่าอนุสาสนีย์ปา
    ฏิหารย์ คำสอนอันประเสริฐ ขนาดพระสารีบุตรปัญญามากนับเม็ดฝนที่ตกลงมา
    7 วันได้ว่ามีกี่เม็ดก็ยังไม่ได้สรรเสริญ พระโมคคัลานะกระดิกเท้าทีสวรรค์ชั้น
    ดาวดึงส์สั่นสะเทือนอย่างนี้ก็ไม่ได้ยกยกไปมากกว่า อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์

    เพราะพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนเชื่อเรื่องนี้แล้วลืมเรื่องการหลุดพ้นไป ถ้าจะเอาที่
    เขาทดสอบกันก็มี อย่างท่านดาไลลามะนั่งร้วมกลุ่มกับนักวิทยาศาสตร์หัวกระทิ
    พูดวิทยาศาสตร์กับพวกนั้นจนพวกเขายอมรับทั่งที่ท่านไม่ได้เรียนมา

    หรือคนอินเดียที่เขาไม่กินข้าวมา 80 กว่าปีนี่มันก็น่าจะเป็นปาฏิหารย์เลยนะออกหนังสือ
    พิมพ์ คำถามคือพวกนักวิทยาศาสตร์สนใจศึกษาเรื่องพวกนี้จริงหรือเปล่า แค่
    เรื่องผีมีจริงนี่คนเชื่อกัน 80-90% รูปถ่ายติดวิญญาณก็มีเยอะแยะ

    คนไปพิสูจน์อะไรก็เยอะก็ยังไม่มีออกมาเป็นความรู้ทางวิทยาศาตร์เลยว่าผีมีจริง ทั้งที่เจอกัน
    เป็นล้านคนแล้ว แต่อีกไม่กี่ปีผมว่านะเชื่อกันทั้งโลกเลยไม่ต้องรอวิทยาศาสตร์
    พิสูจน์ด้วย
     
  4. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,962
    ค่าพลัง:
    +356
    ถามซะ ไม่รู้จะตอบว่าอะไรเลย

    นั่งเอ๋ออยู่หน้าคีบรอด พักใหญ่ ก็ยังนึกไม่ออก ขอผ่านเเล้วกัน



    เจริญในธรรมจ๊าาาา
     
  5. justpon

    justpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +467
    การที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้มีการแสดงอิทธิปาฎิหารย์เนื่องจากถ้าปล่อยให้มีการแสดงปาฎิหารย์ได้ตามชอบใจ พระที่ไม่ได้อภิญญาอาจจะไม่มีคนไปทำบุญด้วยเลย เพราะทุกคนก็พลอยเห็นว่า พระที่มีฤทธิ์เป็นพระที่ดี ซึ่งแท้จริงแล้ว อาจจะไม่ได้เป็นอริยสงฆ์เสมอไป เพราะทำให้คล่องในกสิณก็สามารถมีฤทธิ์ได้เป็นเพียงฌานในโลกียะเท่านั้นเอง ฆราวาสก็เช่นกันหากมีฤทธิ์แล้วคนก็มักจะหลั่งไหลไปหาแทบจะเห็นกันได้ง่าย ๆ ในปัจจุบัน และท่านเหล่านั้นยังไม่ได้ห่างไกลจากกิเลส คำสอนของคนที่ยังมีกิเลสเต็มเปี่ยมถามว่าคนที่นับถือสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่ผิดแปลกจากพระธรรมขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ส่วนในด้านของพระที่ไม่มีฤทธิ์หรืออาจจะไม่ได้แสดงฤทธิ์ให้เป็นที่ประจักษ์นั้นก็สามารถเป็นพระอริยะเจ้าได้เช่นกันเพราะ พระอรหันต์มี4แบบ
    1 สุกขวิปัสสิโก ไม่เห็นนรก เห็นสวรรค์
    2 เตวิชโช สามารถเห็นนรก สวรรค์ มีทิพยจักษุ แต่ไปไม่ได้
    3 ฉฬภิญโญ มีฤทธิ์ ทรงอภิญญา
    4 ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความฉลาดมาก ทรงพระไตรปิฎก

    จะเห็นได้ว่า พระอรหันต์มีถึง 4 แบบ แต่ละท่านอาจจะมีอภิญญา หรือ ฤทธิ์ ก็ได้หรือไม่มีก็ได้แต่พระอรหันต์ทุกองค์จะต้องมีสิ่งเดียวกันคือการทำกิเลสให้สิ้นไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ฤทธิ์ ตามที่คุณเจ้าของกระทู้พูดมา ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญเลยในทางพระพุทธศาสนา แต่การทำกิเลสให้สิ้นไปเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดต่างหาก หากเรามัวแต่ไปติดในฤทธิ์ แล้วเอาไปแสดงให้คนทั้งโลกดูอยากถามว่าคุณจะมีเวลามาชำระจิตเพื่อตัดกิเลสหรือ การมีฤทธิ์เป็นเหมือนกับของแถมจากสิ่งที่เราต้องการ (การละกิเลส) ต่างหาก ไม่ใช่สิ่งที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

    ถ้าหากคุณอยากจะพิสูจน์จริง ๆ แนะนำให้ไปทำเองได้ที่ บ้านซอยสายลม (พหลโยธินซอย 8) ลองไปฝึกมโนมยิทธิ ตามแนวทางของหลวงพ่อพระราชพรหมยานดู แล้วคุณจะเชื่อเอง ถ้าคุณมีความตั้งใจ ความเพียร จริง ๆ เชิญได้เลย ทุก ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แรกของเดือน โทรศัพย์ 02-272-6759 เช็คดูวันได้เลย

    ปล. สมาธิไม่ใช่แค่การหลับตานะครับ คุณเคยดูลมหายใจเข้าออกที่เรียกว่า อาณาปานสติหรือเปล่า ที่เค้าบอกว่าเป็นปัจจัตตังเพราะมันรู้ได้ด้วยตนเองทำได้ด้วยตนเองและบรรลุได้ด้วยตนเอง เพราะถึงคุณไปที่ไหนก็ตามหากนั่งหลับตาเฉย ๆ เค้าไม่เรียกนั่งสมาธิหรอกครับ แต่ถ้าคุณนั่งหลับตาแล้วภาวนาพุทโธตลอดไม่ได้ขาด (ไม่รวมการดูลมหายใจ) นั่นเค้าเรียกว่า พุทธานุสติกรรมฐาน คุณลองดูลมหายใจเข้าออก จากปลายจมูกตามความรู้สึกไปถึงส่วนกลางกาย (เหนือสะดือ) และตามลมหายใจออกมาจนกระทบที่ปาก หากคุณทำได้ตลอดโดยที่ไม่เคลื่อนออกไปคิดอะไรอื่นเลย ผมว่าสักไม่เกิน 7 วันก็น่าจะเห็นผลแล้ว ( สมาธิทรงตัวไม่เคลื่อนออกจากลมหายใจเลยนะครับ) ผมอยากให้คุณลองทำดูก่อนแล้วกันนะครับ
     
  6. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ..ท่าน จง มา ดูเอง เถิด...พิสูจน์เอง จะดีกว่าฟังจากปากคนอื่น(ยังไงก็สงสัยอยู่ดี)

    ..แนวทางปฏิบัติเข้าถึง มีอยู่... สะเก็ด เปลือก กระพี้ แก่น...ไม่ต้องค้นหา เพียงทำใจให้เข้าถึง ตำรามี...ผู้ที่พิสูจน์ เข้าถึงกันมากมายแล้ว พูดไปฤาใครจะเชื่อ ไม่ต้องเชื่อ จึงเชิญพิสูจน์....
     
  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
  8. panup

    panup Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +57
    เรื่องนี้ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองเท่านั้น ฟังเขาเล่าว่าก็ยังติดใจสงสัยอยู่ร่ำไป

    สำหรับตัวผมเองขอเป็นหนึ่งเสียงตอบว่า ความตายไม่ใช่การจาก แต่เสมือนว่าจากเพราะสายสัมพันธ์ หรือ ความรัก ต่าง ๆ นา นา ไม่สามารถจะเชื่อมไปสู่อีกภพหนึ่งได้

    เปรียบเสมือนตัวคุณเป็นเครื่องโทรศัพท์ที่ยังประกอบไม่เสร็จ ยังไม่สามารถรับสายเข้า โทรออกได้

    ไม่ใช่ผมเก่งนะ ยังห่างใกลเลย เพียงแต่รับสายเข้าได้ แต่โทรออกไม่ได้ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วได้สัมผัสถึงจิตของญาติ ๆ เรา

    ทดลองเลยครับ แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งว่า ชีวิตทางโลกของคุณต้องนิ่งแล้ว ซึ่งเท่าที่ผมส่อง ๆ ดู ก็เห็นว่าคุณนิ่งแล้ว มีวุฒิภาวะเพียงพอแล้ว และเห็นว่าอะไรอะไรในโลกนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ตื่นเต้นสำหรับคุณแล้ว

    คุณพร้อมแล้วครับ เขา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายรอเชื่อมจิตคุณอยู่ ผมสัมผัสได้จริง ๆ
     
  9. panup

    panup Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +57
    ขอเสริมอีกนิด ผู้ที่ปฏิบัติได้จริงจะไม่สามารถอธิบายได้อย่างละเอียดมากนักหรอกครับ เพราะว่ามีกฏของโลกแห่งวิญญาน เผยแพร่ได้นิด ๆ หน่อย ๆ แบบอุปมา อุปมัย เท่านั้น

    คนที่ได้จริง ๆ ไม่ค่อยจะล้ำเส้นไปมากนัก เพราะมีบทลงโทษพอสมควรทีเดียว พูดได้ครับแต่เฉพาะบุคคลที่ ๑ และ บุคคลที่ ๒ ถ้าไปถึงบุคคลที่ ๓ แล้วผลเสียจะตกแก่ตัวผู้พูดครับ

    แต่พวกที่ไม่กลัวก็มี พวกอสุรกายทั้งหลาย พวกเจ้าเข้าทรงส่วนมากนั่นแหละ พอจะแก้ขัดไปได้ เอาแค่แก้ขัดเท่านั้นนะครับ มากกว่านี้ไม่ได้เพราะพวกนี้ชอบลามปาม หมายความว่าพวกนี้เขาไม่มีศีลนะครับ

    ทำเองได้เลยครับ อาจารย์ทางหนังสือมีเยอะแยะ พอใช้การได้ในระดับหนึ่ง ถ้าคุณผ่านได้อาจารย์ทางจิต วิญญานจะเข้ามาหาคุณเอง ไม่ต้องกลัวไม่รู้ครับ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เป็นกำลังใจให้ จขกท. ครับ..แต่ลองฟังที่ผมจะเล่าให้ฟังดูนะครับ.
    บางเรื่องจะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้เป็นที่ยอมรับหรือเป็นมาตราฐานสากลแบบการประชุมวิชาการนาๆชาติหรือจะหาทฤษฎีบทใดๆมาเขียนมาร่างเหมือนทฤษฏีต่างๆตามสถาบันมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับทั่วทั้งโลกหรือผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีตเคยทำมาก็จะดูกระไรอยู่..ทั้งที่การได้มาของ.ทฤษฏีหรือภูมิความรู้อะไรต่างๆนั้น....การได้มาก็มีพื้นฐานจากความสงบของจิตซึ่งเป็นพื้นฐานของการทำสมาธิซึ่งมีวิธีการและรูปแบบที่แตกต่างกันไปเท่านั้น..เพียงแต่ผู้ที่คิดค้นทฤษฏีบทที่โด่งดังต่างๆได้นั้นท่านไม่ทราบว่าภาษาและวิธีการที่ท่านได้ทำและได้มาซึ่งสิ่งที่ท่านทำนั้นภาษาที่บัญญติทางสมมุติเรียกว่าอะไร.ความคิดความอ่านของท่าน จขกทก็มีบัญญัติทางสมมุติ และมีคนที่มาถึงจุดนี้และเคยผ่านจุดนี้มาแล้วทั้งนั้น...ใครจะเป็นอย่างไรคิดอย่างไร..ปล่อยไปตามวาระของเค้าเถิด.เป็นเรื่องของจิต.ที่ไม่มีใครจะไปบังคับเค้าได้นอกจากว่าจิตเค้าจะโน้มไปเชื่อด้วยจิตของเค้าเอง..
    จขกท.เสียใจเรื่องคุณยาย..เรื่องราวบังเอิญคล้ายคลึงกรณีของผมอยู่ผมเลยจะขอเล่าเรื่องบอกกล่าว คุณแม่ผม.ที่ผมสัมผัสได้ว่าท่านเสียใจมากแค่ไหน.ในวันนั้นที่ผมต้องขับรถพาท่านไปกราบศพคุณยาย..แต่เรื่องราวก็ผ่านไป.คุณแม่ผมก็มิได้ทราบหรือสัมผัสอะไรได้มากเกินกว่าที่จะฝันเห็นท่านในบางครั้งจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 3 ปีเนื่องจากมีเหตุทางโลกบางอย่างที่คุณยายท่านต้องทำหน้าที่อยู่..คุณแม่ท่านเป็นชาวพุทธ..แต่จะไม่ถึงขั้นที่จะบอกให้ท่านนั้งสมาธิเพื่อพิสูจน์ชีวิตหลังความตายของคุณยายได้..เพราะท่านก็ไม่รู้ไม่เห็นใดๆเหมือนกับ จขกท...จนกระทั่งตัวผมเองเป็นคนที่ได้ไปช่วยคุณยาย..ให้ท่านได้ไปสู่ภพภูมิที่สูงขี้นด้วยตัวผมเอง..แต่คุณแม่ผมท่านก็สัมผัสได้แค่การมาเข้าฝันของคุณยายเท่านั้น..หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านมีอีก 4 ปีในวันที่ผมทราบว่าท่านได้เปลี่ยนภพภูมิแล้ว(และเป็นฝันครั้งที่สองของคุณแม่ผมหลังจากที่คุณยายเสียชีวิต..วันนั้นผมเป็นคนถามคุณแม่เองว่าฝันเห็นยายไหม)เพราะผมคงจะพูดตรงๆไม่ได้ว่าผมไปทำอะไรมา..ทั้งที่ในใจก็อยากจะอธิบายให้ทราบทุกอย่าง..แต่ ณ จุดนั้นก็ได้แต่บอกคุณแม่ว่า คุณยายไปดีแล้วนะ..เพราะเรื่องอย่างนี้เป็นปัจจัตตังรู้ได้ด้วยตัวเราเอง
    จขกท. มาถึงจุดที่กำลังจะก้าวข้ามความสงสัย.อีกนิดเดียวขอเพียงมีความศรัทธา เชื่อมัน อย่าพีงท้อแท้หรือสงสัยในตอนนี้จะกลายเป็นว่าเรายอมแพ้ ต่อพยามารที่มักจะเข้ามาขวางเราทุกวิธีทาง.ในด้านความคิด ณ เวลานี้..ปฏิบัติต่อไปอีกนิด.ก้าวพ้นจุดนี้ไปให้ได้ก่อน..ถึงจุดหนึ่ง.คนที่คุณรักที่สุดได้จากภพนี้ไปแล้ว..ถ้าคุณรักท่านจริงๆ อย่าปล่อยให้เรื่องความลังเลสงสัย ในพระรัตนไตร มาทำลายคุณ ณ จุดนี้..และในเวลาต่อมา คุณจะได้พบได้ช่วยเหลือคุณที่คุณรักได้เอง ด้วยตัวคุณเอง โดยที่คุณก็ไม่สามารถที่จะบอกคนที่อยู่รอบข้างคุณได้ว่าคุณไปทำอะไรมาหรือคุณทำอย่างไร และรู้ได้อย่างไรว่าได้ช่วยท่านได้ เพราะเรื่องนี้คุณจะทราบได้ด้วยตัวคุณเองเท่านั้น...
    อนุโมทนาสาธุครับ..มารไม่มีบารมีไม่เกิด..อย่ายอมแพ้นะครับ..สู้ๆอีกนิดครับ..
    ทุกความคิด ทุกความเห็น ล้วนแต่เติมกำลังใจให้คุณทั้งนั้น..แต่ไม่มีใครช่วยคุณในเรื่องความสงบของจิตได้..แม้แต่ผู้ที่ได้รับคำสอนของผู้เป็นเลิศทั้งสามภพหรือแม้แต่ผู้เป็นเลิศทั้งสามภพก็เพียงได้แต่แนะแนวทาง และก็ช่วยคุณในจุดนี้ไม่ได้ นอกจากตัวคุณเอง...
    อนุโมทนาครับ..
     
  11. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    ที่จริงแล้ว เวลาคนเค้าทำได้แล้ว
    เค้าจะมีอาการ ไม่สนใจไม่จำเป็น
    ที่จะต้องแสดงให้ไครดู เพราะว่าจะทำให้ดู
    หรือไม่ทำ เค้าก็ทำได้อยู่ดี เค้าไม่สน ไม่ง้อ
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ทำไม ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เมื่อได้เห็นสิ่งที่วิเศษ กลับ เก็บไว้กับตัว ไม่
    หาทางพิสูจน์ให้โลกรู้จัก

    เพราะว่า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้น เมื่อปฏิบัติลงไปแล้ว สิ่งที่ได้มาเป็นลำดับ
    เรื่อยๆ คือ "สัมมาทิฏฐิ" หรือ "สัมปชัญญะ"

    สัมมาทิฏฐิ ที่ว่า การปฏิบัตินี้ เป็นไปเพื่อ ชำระกิเลส สิ้นตัณหาในตน ไม่ใช่เรื่องอื่น

    สัมปชัญญะ ที่ว่า การปฏิบัตินี้ ทำโดยตน เพื่อชำระตน เพื่อสิ้นตัณหาของตน ไม่ใช่ผู้อื่น

    เหตุนั้น ความมุ่งตรง ไม่เฉไฉ ไม่เกิดมิจฉาทิฏฐิพาไปเห็นเป็นอื่น จึงพ้นไปจาก การมุ่ง
    พิสูจน์ต่อโลก ไปโดยปริยาย

    ถ้าทำแล้ว อยากสะกิดคนที่เดินผ่านไปผ่านมา นี่ๆ มาดูของลับของฉันสิ ก็ให้พึง
    สังเกตไว้ว่า เช่นนั้นคือ หนทางประกาศธรรมที่บริสุทธิจริงหรือ ?
     
  13. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +574
    -อิทธิธิ์ปาฎิหาริย์ ในพุทธศาสนามี 3 อย่าง คือ 1.อิทธิธิ์ปาฎิหาริย์ 2.เทศนาปาฏิหาริย์ 3. ทักทายใจปากิหาริย์
    -การที่ได้ญาณในพุทธศาสนานั้นคือ การรู้จริง รู้แจ้ง
    -การที่นั่งภาวนาแล้วเห็นภาพนรกบ้างสวรรค์บ้าง นั้นคือนิมิตร นิมิตรแปลว่าเครื่องหมาย หากบ้างท่านที่มีกำลังสมาธิแรงท่านสามารถแสดงอิทธิธิ์ปาฎิหาริย์ ได้ แต่นั้นมันคือมายา มายา แปลว่าความหรอกลวง พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม แต่จะส่งเสริมการเทศนาธรรม
    -หากมีใครอยากพิสูจน์ ธรรม ของพระพุทธเจ้าขอให้เห็น อริยะสัจ 4 พึ่งมีอยู่ทั่งกลางวันกลางคืนไม่มีกาลสถานที่ ชาติใดศาสนาใดก็ทำได้เห็นได้และได้ผล มีวิธีคือ มรรค 8
     
  14. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +682
    มันมีข้อเสียหลายประการครับ เกี่ยวกับในเรื่องที่จะให้ท่านทั้งหลายไปแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ มีทั้ง
    1. ทำให้คนไม่สนใจในเรื่องของศีลธรรมเท่าที่ควร
    2. คนไม่มีศีลไม่มีธรรมหันมาฝึกสมาธิเพื่อจะเอาอภิญญาไปใช้เพื่อกิเลสของตนดั่งเช่นพระเทวทัตเป็นต้น(ถ้ามีคนสำเร็จเพียงแค่คนเดียวก้อแย่แล้วครับ)
    3. สังคมโลกจะยิ่งห่างไกลจากธรรมมากขึ้นซึ่งเป็นเหตุให้สังคมเสื่อมลงยิ่งกว่าปัจจุบันเพราะคนรุ่นใหม่จะหันไปให้ความสนใจทางด้านฤทธิ์มากขึ้น แล้วอาจจะส่งผลให้เกิดเหตุข้อ2

    หรือจะพูดง่ายๆสังคมมันจะยิ่งเสื่อมมากกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่เท่าครับ ส่วนถ้าใครเค้าจะทำตัวเป็นบัวเหล่าที่ 4 โดยยึดทิฐิของตนเป็นที่ตั้งก็ปล่อยเค้าไปเถอะนะครับ เราเอาธรรมนำทางของเราก็พอแล้ว อย่าลืมว่าเราทำอะไรเราย่อมได้รับสิ่งนั้น ถ้าเราทำแต่ความดี เรื่องฤทธิ์เรื่องอะไรพวกนี้ก็ไม่จำเป็นหรอกครับ เพราะไงๆชีวิตเราก็มีแต่ความสุขอยู่แล้ว

    ส่วนอันนี้ มันเห็นจริงๆครับ ไม่ต้องคิดไปเอง ตอนแรกผมเองก็เคยคิดแบบเดียวกันนี่ล่ะครับ พอลองทำดูถึงได้รู้ ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้นะครับ แค่ลองทำดู แค่ใช้เวลาวันละนิดวันละหน่อยแค่นั้นล่ะครับ
     
  15. na-te

    na-te สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +3
    ผมแนะนำได้เพียงว่า ไปบ้านซอยสายลมก่อนครับ ประมาณสัปดาห์ต้นเดือนขิงทุกเดือน ที่นั่นจะมีหนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ๔๐ ให้ท่าศึกษาก่อนที่จะลงมือทำสมาธิครับ และท่านก็จะสามารถพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ว่าเป็นจริงอย่างไร เมื่อท่านได้ทำความเพียรแล้วท่านก็จะสามารถพบ หรือพูดคุยกับบุคคลหรือญาติที่ตายไปแล้วด้วยตนเองโดยไม่ใช่อุปาทานหรือคิดไปเอง

    คนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่อง มีสติปัญญาอย่างไรก็คงต้องปล่อยให้เขาพูดไป
    คำพูดที่ว่า "สวรรค์ในอก นรกในใจ" เป็นการเปรียบเปรยสภาพจิตที่สว่างและมัวหมอง จากการทำดีและทำชั่ว

    ผมขอยืนยัน สวรรค์ นรก และนิพพาน เป็นดินแดนที่มีอยู่จริง
    สิ่งที่ถูกต้องไม่ใชการนำไปเปรียบเทียบ หลอกกันไป หลอกกันมาเพื่อให้สังคมมีความสุขหรอกครับ

    "พระธรรมนั้นใด้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอนมัสการพระธรรมด้วยเศียรเกล้า"
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    แสดงว่า เป็นผู้ที่ ชอบพิจารณา

    ที่ถามว่า ภาพต่างๆที่เห็นนั้นจริงหรือจินตนาการ ก็ต้องถามกลับไปก่อนว่า

    คุณคิดว่า จินตนาการ นั้น ไม่จริงหรือ

    ในโลกนี้ ตึกรา บ้านช่อง มันมีอยู่หรือ นอกจาก มนุษย์จินตนาการ
    ดังนั้น การที่ มนุษย์ จินตนาการได้ นั้นแหละ คือ เรื่องจริง

    มันอยู่ที่ว่า จินตนาการนั้น เกิดเร็วดับเร็ว เราจึงคิดว่า มันไม่จริง
    แต่ตึกราบ้านช่อง นั้น ก็เกิดจากจินตนาการ แต่ก็เกิดดับ เหมือนกัน แต่ช้า เราจึงคิดว่า มันจริง

    ทีนี้ มาดู ภาพ ต่างๆ ที่เราเห็น เรามองเห็นภาพหนึ่ง แล้ว เราก็หันไปมองภาพอื่น ภาพเดิมก็ดับไป เช่นเดียวกัน

    ทีนี้ สรรพสิ่งที่เราสัมผัสได้ นั้น เราสัมผัสได้หลายทาง ทั้งภายนอก ภายใน จะว่า ภายในไม่จริงไม่ได้

    และ บังเอิญว่า เราเกิดมาอยู่ใน โลกใบนี้ เห็นอยู่แต่โลกใบนี้ จะไปว่า โลกอื่นไม่มีไม่ได้

    เหมือนคน อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ก็มองเห็นคนที่บ้านอีกหลังหนึ่ง เราก็เห็นเขา เหมือนกับเห็นคนในบ้านเรา

    แต่ เราไปบอกว่า ภาพที่เราเห็นเป็นจินตนาการ เพราะว่า เราไม่ได้สัมผัส ก็ไม่ได้

    เอาเท่านี้ก่อน ถ้าจะละความสงสัยจริงๆ ขอให้ สังเกตุ สิ่งที่เราสังเกตุได้ง่ายๆ ก่อน คือ สังเกตุจิตใจของเรา

    ว่า เป็นอย่างไร ค่อยๆ จำแนกมันออกมา แล้วเราจะค่อยๆ เข้าใจไปมากขึ้นเอง
     
  17. tanmaashee

    tanmaashee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +11
    ต้องมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าเสียก่อน มีทางเดียว คือเชื่อหรือไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง

    พันปีที่ ๓ จะมากไปด้วยพระอริยะเจ้าชั้นเตวิชโชวิชาสาม (1 คน กำลังดูอยู่)
    tanmaashee
     
  18. ZeaBreeze

    ZeaBreeze สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +2
    ถ้าคุณเชื่อในพระพุทธเจ้า คุณจะได้รู้แจ้งเห็นจริง

    ถ้าคุณเชื่อฮอว์คิง คุณจะรับรู้ได้แค่เศษผงธุลีของจักรวาล

    สำหรับผมแล้วยอมรับในความสามารถของฮอว์คิงนะครับ

    ทุกคำถามในใจของคุณ คุณจะตอบคำถามของตัวเองได้ เมื่อลงมือปฏิบัตินะครับ

    สาธุ เจริญธรรมนะครับ
     
  19. ddty2k

    ddty2k สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +5
    ถ้าบอกว่าจิตสงบคือไม่คิดอะไรเห็นจะไม่ใช่ละมั้ง
    คุณนั่งสมาธิเพราะ อยากรู้ ไม่ใช่หรือครับ มันก็นั่งด้วยกิเลสนะ
    กิเลสมันลากมานั่ง แล้วสงบตรงไหนเล่า ลึกๆแล้วมันจะคิดอยู่นา
    บางก็คิดว่า แบบนี้หรือเปล่าที่เค้าว่าปิติ แบบนี้สงบแล้วยัง เอ๊ะ พุทโธนานแล้วสงบหรือยังเนี่ย ทำไมไม่เห็นอะไรเลย ตอนนี้เป็นอยางที่ในหนังสือพูดเลยตอนนี้เราเกิดอาการแบบนี้ๆ อะไรประมาณนี้แหละครับ นั่นก็ยังไม่สงบนะมันมีกิเลสอยู่นะ ไม่รูจะอธิบายยังไงแฮะ ผมเองก็โง่ๆเงอะๆงะๆ อธิบายได้แค่นี้แหละครับ สาธุๆ
     
  20. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    อยากเห็นนิมิตไม่ยากอะไรเลยนะครับลองนอนทำสมาธิไปเรื่อยๆ จนหลับ หรือนอนแบบมีสติไม่หลับดูน่าจะเห็นนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...