เรื่องเด่น ข้อความจากต่างมิติ - คำพยากรณ์ใดๆเกี่ยวกับวันสิ้นโลก มันจะไม่เป็นจริงอีกต่อไปแล้ว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 17 มิถุนายน 2011.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มนุษย์ก็มักเป็นแบบนี้แหละครับ
    อะไรที่ตนเองไม่รู้ หรือทำไม่ได้
    ก็มักคิดว่าคนอื่นจะต้องไม่รู้ หรือทำไม่ได้ด้วย

    และก็ชอบไปหาว่าคนอื่่นๆนั้นโง่กว่าตน


    ..........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2012
  2. tawansongsaeng

    tawansongsaeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +423
    ผมคิดว่าคุณคงนับถือพระพุทธศาสนา เพราะใช้รูปส่วนตัวเป็นเณร
    แต่สิ่งที่คุณเอามาเผยแพร่นั้นขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
    เช่นเรื่องนี้ คุณบอกว่าเรื่องของเวลานั้นเราสามารถกลับไปในอดีตแล้วไป
    แก้ไขข้อผิดพลาดนั้นได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีในพระพุทธศาสนา เพราะแม้
    แต่พระพุทธเจ้าท่านยังไม่สามารถเข้าไปแก้ไขข้อผิดพลาดของท่าน
    ได้เลย ท่านจึงสอนให้ยอมรับกรรมใดๆ ที่ได้ทำมา

    ทั้งยังสอนอีกว่า เราไม่สามารถล้างกรรมได้หรือเรียกว่า "กฎแห่งกรรม"
    แต่คำสอนของคุณมันตรงกันข้าม ทางพระเรียกว่ามิจฉาทิฐิ

    ทั้งยังจะสอนให้คนที่ไม่รู้มีความเชื่อผิดๆ ตามคุณไปอีก เป็นกรรมหนัก
    นะครับ ขอให้คิดพิจารณาถึงคำทักท้วงของผมอย่างไม่มีอคติบ้าง

    ผมเคยบอกคุณหลายครั้งแล้วว่า คุณมักจะตอบโต้คนที่แย้งคุณอย่างมี
    อารมณ์เสมอ ทำให้คิดว่าคุณยังมีจิตที่ร้อนรนอยู่มาก อย่าขี้โมโหนักเลย
    ควรรับฟังผู้อื่นโดยสงบบ้างครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มิถุนายน 2011
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,093
    ค่าพลัง:
    +62,396
    ผมว่า คุณ Wimut ลองกลับไปตีความดูใหม่นะครับ
    การแก้ไขอดีตที่ต่างมิติเค้ากล่าวถึงน่ะ ไม่ได้หมายความว่ากลับไปเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์อะไรสักหน่อย แต่กลับไปปรับเปลี่ยนพลังงานในอดีตที่มันคั่งค้างสะสมให้กลายเป็นกลางต่างหาก (เช่น การเจรจาขอหโหสิกรรม การทำโมฆะกรรมฯ) จากพลังแห่งปัจจุบันขณะ...เพราะในความเป็นจริง เวลาก็เป็นสิ่งสมมุติ ไม่ได้เป็นเส้นตรงอย่างที่เราเข้าใจ ส่วนเรื่องของอนาคตก็เป็นทางเลือกที่ดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ที่ออกแบบสร้างสรรค์ได้เช่นกัน ข้อมูลนี้เป็นเรื่องสากลที่เราทราบกันมานานแล้ว ไม่น่างงเลยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอบคุณครับคุณ mead ที่ช่วยอธิบาย แต่ผมว่าคงไม่ต้องแล้วหละครับ
    เพราะถ้าเขาอ่านเนื้อหาไม่เข้าใจ แล้วตีความไม่เป็น จับสาระสำคัญไม่เป็น
    มันก็จบข่าวแล้วหละครับ..ไม่ได้อะไรเลย

    อีกอย่างนะครับ..ไม่ว่าข้อความจากต่างมิติเหล่านี้
    มันจะขัดกับหลักคำสอนของศาสนาพุทธหรือไม่
    แต่มันก็เป็นข้อความที่ผมแปลและโพสต์ให้อ่านเท่านั้นเอง
    ไม่ใช่ "คำสอน" ของผมแต่อย่างใดไม่ อันนี้คุณคงลืมไปแล้วกระมัง

    อีกอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่แต่จะไปขัดกับคำสอนของพุทธหรอกนะครับ
    เพราะอันที่จริงแล้วมันขัดกับคำสอนของทุกศาสนานั่นแหละ
    ขัดในแง่ของรายละเอียดบางอย่างหนะนะครับ

    เช่น เรื่องกาลเวลา มีไหมที่ศาสนาไหนบอกว่ามันไม่เป็นเส้นตรง
    หรือว่าไม่มีอยู่จริงบ้าง ในมิติที่สูงกว่า

    มีไหม ที่ศาสนาไหนบอกว่าโลกมันกลม หรือ อย่างน้อยก็ไม่แบนบ้าง

    มันไม่ใช่ว่าผมอยากจะไปต่อต้านศาสนาใดศาสนาหนึ่งหรอกนะครับ
    เพียงแต่ว่าผมต่างจากคุณ ก็ตรงที่ ถ้าผมอ่านตำราทางศาสนาแล้ว
    ผมพบว่าข้อมูลมันไม่ตรงกับที่น่าจะเป็น ผมจะไปค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ
    เพื่อให้ได้คำตอบนั้นๆมา รวมถึงผมก็จะไปลอง "ปฏิบัติ" ดูในสายนั้นๆด้วย
    เพื่อจะดูสิว่ามันจะได้พบ ได้เห็น และได้รู้อะไรอย่างที่ท่านว่ามานั้นหรือไม่

    ผมไม่ใช่คนที่จะ "พึงพอใจ" กับคำตอบที่ว่า
    "โอ้..เรื่องนี้มันอจินไตย อย่าไปคิดมันเลย" แบบนั้น

    กระบวนการเรียนรู้ ถ้ามันถูกจำกัดด้วยคำว่า "ศาสนา" แล้ว
    มันจะเรียกว่าเรียนรู้ไหมหละ??

    เพราะว่า "ความจริง" หรือ "สัจธรรม" นั้น
    มันไม่ได้ถูกจำกัดไว้ในศาสนาใดศาสนาหนึ่งหรอกนะท่าน

    ธรรมะ คือ ธรรมชาติ และธรรมชาติก็มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง
    ออกนอกศาสนาพุทธไป ก็มีธรรมชาติ อยู่ในศาสนาคริสต์ หรือ อิสลาม
    ก็มีธรรมชาติด้วย มันไม่มีหรอกนะครับว่าอาการหิวแบบพุทธ อิ่มแบบคริสต์หนะ
    เพราะมันเป็นอาการทางธรรมชาติ "ของมนุษย์ทุกคน"

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าความจริงนั้นมันจะอยู่ที่ไหน
    ผมจึงไม่หวั่นไหว หรือ เกรงกลัวแต่อย่างใดที่จะไปเสาะหามัน
    และเพราะว่าเห็นว่ามันดีและน่าสนใจ ผมเลยนำมาเผื่อแผ่ให้อ่านด้วย
    ก็เท่านั้นเองครับ

    ผมไม่เคยกลัวเลยแม้แต่ปลายเล็บ ว่าผมจะเผยแพร่ข้อมูลผิดหรือถูก
    เพราะว่าถ้า "เดินบนเส้นทางนี้แล้ว" ยังจะกลัวตกนรก หรือ ขึ้นสวรรค์อยู่อีก
    ก็อย่าได้ริอ่านมาเดินเลยนะท่าน กลับไปเดินบนเส้นทางเดิมโน่นมิดีกว่าหรือ

    และถ้าเราเกิดมา และสร้างบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้วอย่างที่พระท่านว่าจริงๆ
    มีหรือที่ผมจะไม่เคยตกนรกมาก่อน มิหนำซ้ำขุมไหนที่ยังไม่เคยตก
    ผมก็จะขอไปตกมันดูอย่างน้อยสักครั้งด้วยซ้ำไป ..เอาให้ครบทุกชั้นฟ้า-ทุกชั้นดิน


    แต่สรุปก็คือ ผมพิจารณาแล้วว่า มันน่าสนใจ ผมจึงนำมาเผยแพร่
    เพื่อให้ท่านได้ข้อคิด ได้มุมมองใหม่ๆขึ้นมาบ้าง
    เพื่อให้ท่านลองเทียบเคียงกับตำราของท่านดูสิว่า มันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
    เพราะว่าหลายท่านก็รู้นี่ครับ ว่า "ตำรา" ก็ไม่ได้เขียนไว้ถูกต้อง
    และตีความตรงไปตรงมาตามนั้นซะทุกคำพูด หรือทุกประโยคไป

    แต่อย่าให้ผมยกตัวอย่างเลยนะครับ
    เพราะผมไม่อยากจะพาดพิงถึงศาสนามากนัก
    แต่เชื่อผมเถอะว่า ผมก็รู้เรื่องศาสนามาไม่น้อยกว่าคน
    อีกหลายร้อยหลายพันคน ที่วนเวียนอยู่ในเวปนี้หรอกนะครับ

    ขอกราบอนุโมทนาในคุณงามความดีของทุกๆท่านด้วยนะครับ
    และขอกราบขอขมาลาโทษ และขออโหสิกรรม
    จากทุกๆท่าน จากทุกๆสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ที่ข้อน้อยได้ละเมิดล่วงเกิน เพราะต้องชี้แจง ในครั้งนี้ด้วยนะครับ

    ..........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,093
    ค่าพลัง:
    +62,396
    การเปิดใจรับฟังข้อมูลเพื่อขยายความรู้ น่าจะเป็นการดีกว่านะครับ
    ใช่หรือไม่ใช่ยังไงก็น่าจะวางไว้ก่อน เพราะมีอะไรที่เราทุกคนยังคงต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาครับ

    เรื่องศาสนาหรือการจดบันทึกคำสอนเมื่อหลายพันปีก่อนทั้งภาษาที่ใช้และความเข้าใจของผู้บันทึกเองซึ่งก็ย่อมมีกรอบความเชื่อเดิมติดอยู่ แต่มันก็เหมาะสมดีที่สุดแล้วตามสถานการณ์ของช่วงเวลานั้นๆครับ เวลาผ่านไปข้อสงสัยต่างๆมันก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นเรื่องปกติเพราะวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวกระโดดและเล็กละเอียดขึ้นทุกวัน สู่ระดับควอนตัมและลงไปถึงสิ่งที่อยู่ในนั้น มันส่งผลและเป็นตัวเร่งทางความคิดของมนุษย์...

    การมีข้อมูลที่น่าสนใจหรือสิ่งที่สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดขยายความรู้ให้ละเอียดลึกลงไปในหลายๆทิศทาง เหมือนกิ่งไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาออกไป แต่มันคือต้นไม้ต้นเดียวกันอยู่ดี ในทุกทุกสรรพสิ่งย่อมมี "รากฐากเดียวกัน"และมันก็คือ "ธรรมะ"นั่นล่ะ ลองเชื่อมโยงความเข้าใจและแยกให้ออกด้วยนะครับ เพราะว่าเราแต่ละคนก็พกพาความเชื่อกันมาหลายรูปแบบ การเปลี่ยน "ความเชื่อ"ให้เป็น"ความรู้" น่าจะเป็นประโยขน์มากกว่า

    ก็ฝากไว้เพื่อการติดตามอ่านอย่างเพลิดเพลินของเราทุกคน....เรีนนรู้ให้สนุกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  6. tawansongsaeng

    tawansongsaeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +423
    ช่วยแปลหน่อยครับ ข้อความนี้อยู่ในหน้าที่ 3 ผมลอกมา คุณ Mead ก็ขอให้กรุณาอ่านด้วย ไม่ใช่ว่างก็มาว่าผม

    ตอนที่ 12:
    มายาการของกาลเวลาหลากมิติ


    ดังนั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงกำลังจะพูดถึงกาลเวลาและธรรมชาติของมัน มากกว่า 1 นัยยะ
    พวกเราจะพูดถึงการรับรู้กาลเวลาของมนุษย์ อย่างที่มันเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ต่างๆในชาติภพนี้ของพวกคุณ

    พวกเราจะพูดถึงเรื่องที่ว่า พวกคุณสามารถเขียนบทชีวิตของตัวเองขึ้นมาเองได้
    และพวกคุณก็สามารถกลับไปแก้ไขบทชีวิตของตัวเอง
    ทั้งที่อยู่ในอดีตและที่อยู่ในอนาคตได้อีกด้วย
    ---------

    อย่าบิดประเด็นเลย ภาษาไทยชัดๆ อย่างนี้
     
  7. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,093
    ค่าพลัง:
    +62,396
    เราพูดคุยกันแลกเปลี่ยนกันนะครับ

    ตามที่ผมเข้าใจคือว่า ก่อนที่พวกเราจะมาเกิดเนี่ย "ตัวตนรวม" ของเราเค้าจะมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วน่ะครับ ต้องเลือกสถานการณ์ชีวิต , เลือกความสัมพันธ์, เลือกฉากและเหตุการณ์ต่างๆร่วมกับตัวตนรวมอื่นๆ ซึ่งแผนชีวิตเหล่านี้จะบอกเรื่องราวของแต่ละบุคคล (เหมือนวางแผนก่อนคลอด) เพื่อจะได้สัมผัสกับความท้าทายต่างๆ เช่น การเสียชีวิตของคนที่รัก อุบัติเหตุ รวมถึงการเป็นพ่อ แม่ผู้ปกครองของเด็กพิการ หูหนวก ตาบอด ติดยาเสพติด ติดสุราเรื้อรัง อะไรเหล่านี้ไว้ จิตวิญญาณได้ออกแบบสร้างพิมพ์เขียวชีวิตเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งมันมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง ที่ไม่ใช่ความบังเอิญครับ (จะเรียกพรหมลิขิตก็ได้) ทุกอย่างล้วนเป็นไปเพื่อการค้นพบความหมายที่แท้จริงของชีวิต ในการมีประสบการณ์ร่วมกับจิตวิญญาณดวงอื่นๆ เป็นการสร้างสรรค์ที่ขยายตัวออกไปในทิศทางอันหลากหลายของแต่ละจิตวิญญาณด้วยครับ


    แต่จิตวิญญาณที่ลงมาเกิดกันแล้ว และยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญ ที่ตัวเองขีดเขียนขึ้นได้
    ก็จะต้องกลับไปทบทวนและลงมาแก้ไขกันใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะ "สำเร็จบรรลุเป้าหมาย"
    มันก็เลยเป็นเรื่องของการวนกลับมาแก้ไขเปลื่ยนแปลง ตัดสินใจใหม่ อะไรต่ออะไรได้อีกเรื่อยๆ
    จนกว่าจะเข้าใจความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตให้ได้นั่นแหละครับ ถือว่าจบหลักสูตร


    แต่คุณ Wimut ต้องเข้าใจด้วยว่า เวลาไม่ได้เป็นเส้นตรงนะครับ
    ถ้าเอาสมองมาคิดตามที่เคยชินคงไม่ได้ เวลาของจิตวิญญาณต่างกันมาก
    มันจะ random ไปมาคล้ายๆกับเราอยู่ในลูกบอลทรงกลม ที่ประสบการณ์ต่างๆสามารถพุ่งเข้ามาหาเราได้ทุกทิศทาง
    ลองจินตนาการดูในแบบนั้น


    การแก้ไขภพชาติในอดีต-รวมทั้งทางเลือกของอนาคต
    มันเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอยู่ การแก้ไขต่างๆจึงสามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกันหมด
    ในมิติของจิตวิญญาณที่เป็นองค์รวมและเป็นปัจจุบันไงครับ

    จะงงรึป่าวครับเนี่ย :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2011
  8. i นี่หนิ

    i นี่หนิ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่งงก็ได้ค่ะ ... คุณมิดนี่น่ารักแบบนี้เสมอเลยหรอ :cool:

    อันนี้ก็เป็นหนึ่งในแผนการณ์จากตัวตนรวม
    ให้มาถามกัน ตอบกัน แบบนี้ด้วยรึเปล่าคะเนี่ย ^^
     
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอบคุณอีกครั้งครับคุณ mead เดี๋ยวผมจะช่วยอธิบายเสริมให้นะครับ
    แม้ว่าข้อความที่ผมได้โพสต์ไปแล้วนั้น มันจะชัดเจน แจ่มแจ้งอยู่ในตัวมันเองแล้วก็ตาม
    เพราะว่ามีบางคนที่ยังไม่เข้าใจดีพอหนะนะครับ

    เอาหละนะครับ วางมันลงก่อน ego และความรู้เท่าที่มีอยู่นั่น
    เปิดใจตัวเองออกมา แล้วมาฟังอะไรที่ไม่เคยได้ฟังบ้างหน่อยดีไหม๊
    เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นข้อมูลนี้ หรือข้อมูลไหนๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่มีอยู่ในตำรา
    เรา และ คุณ ก็ไม่สามารถพิสูจน์ความถูกต้องของมันได้ "ครบทุกเรื่อง" อยู่แล้ว
    เพราะมันนอกเหนือวิสัยของมนุษย์ธรรดาๆอย่างเรา

    ถ้าใครที่ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เวลาไม่ได้เป็นเส้นตรง อย่างที่เราคิด
    ก็ให้ไปค้นหาบทความทางวิทยาศาสตร์อ่านเอาเองนะครับ
    เพื่อท่านจะได้มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ซะก่อน

    ตัวอย่างของข้อมูลด้านนี้ที่ผมแปล และ โพสต์เอาไว้นานแล้ว ก็นี่เลยครับ

    อะไรคือธาตุมูลฐาน-fundamental-ของสรรพสิ่ง

    http://palungjit.org/threads/อะไรคือธาตุมูลฐาน-fundamental-ของสรรพสิ่ง.144973/

    ในแง่ฟิสิกส์ โดยเฉพาะศาสตร์ด้านควอนตั้ม เรื่องนี้ชัดเจน และแปลกประหลาดมาก
    อันที่จริงพฤติกรรมของอนุภาคระดับควอนตั้ม มันก็แปลกประหลาดไปซะหมดนั่นแหละครับ
    เพราะมันจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวันเลย เราคาดเดามันแบบนั้นไม่ได้เลย

    เข้าประเด็นดีกว่านะครับ ในแง่ของรูปธรรมจากต่างมิติทั้งหลาย ซึ่งหมายถึง
    พวกเทพที่ไม่มีกายเนื้อและกายทิพย์ใดๆ ดำรงอยู่ในรูปแบบของพลังงานล้วนๆ
    และรวมถึงพวกที่มีกายทิพย์ในระดับต่างๆ ที่ดำรงอยู่ในมิติที่สุงๆกว่า
    และรวมถึงพวกที่อยุ่ในรูปแบบกึ่งกายทิพย์ และที่มีกายเนื้อ ที่ดำรงอยู่บนดวงดาวต่างๆ

    พวกเขาบอกว่าจิตวิญญาณของพวกเราไม่ได้เป็นแบบดวงเดียวโดดๆ ของใครของมัน
    อย่างที่เราเข้าใจกัน เพราะว่าจิตวิญญาณของพวกเราคือละอองประกายของจิตวิญญาณดวงอื่น
    ที่ใหญ่กว่า ซึ่งแบ่งภาคลงมาเป็นพวกเรานั่นเอง บางรูปธรรม เช่น ท่านโนวา อนาลัย
    ท่านก็เรียกจิตวิญญาณดวงที่ใหญ่กว่านี้ว่า "ตัวตนรวม" ส่วนรูปธรรมต่างมิติที่สื่อสารลงมา
    ให้ชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษได้ถ่ายทอดกัน ท่านเรียกว่า "Higher Self" หรือ
    "ตัวตนที่สูงส่งกว่า" ซึ่งตัวตนรวมที่ว่านี้ 1 ตัวตนรวม อาจจะประกอบไปด้วยจิตวิญญาณ
    ที่เป็นส่วนที่แบ่งภาคหรืออวตารออกมานับล้านๆดวงก็ได้

    และตัวตนรวมที่ว่านี้ ก็อาจจะเป็นอวตารภาคหนึ่ง หนึ่งในล้านส่วน
    ของตัวตนรวมที่สูงส่งกว่าขึ้นไปอีก และตัวตนรวมที่สูงส่งกว่าขึ้นไปอีกที่ว่านั้น
    ก็อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในล้านส่วน ของตัวตนรวมที่สูงส่งกว่าขึ้นไปอีกเรื่อยๆนับชั้นไม่ถ้วนก็ได้
    จนกว่าจะไปจบลงที่ "จิตวิญญาณต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง" หรือ "The Source"
    หรือ "The Creator" เพราะฉะนั้นแล้ว จึงไม่มีจิตวิญญาณดวงไหนเลย
    ที่ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ถ้าจะพูดให้ถูกมากขึ้นก็คือ ไม่มีสรรพสิ่งใดเลย
    ในเอกภพนี้ ที่ไม่มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน เคยได้ยินคำกล่าวนี้ไหมครับ ที่ว่า

    "สรรพสิ่ง ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน"

    เพราะฉะนั้น แค่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าใครพอจะรู้เรื่องราวของพุทธ คริสต์ อิสลาม และอื่นๆมาบ้าง
    ก็น่าจะพอรู้แล้วใช่ไหมครับ ว่ามันขัดกับทุกศาสนาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่องนี้เลย
    เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่ไม่ชอบอ่านอะไรที่มันขัดกับคำสอนของศาสนาที่ตนเองนับถืออยู่หละก็
    ก็ยังไม่สายนะครับ ที่จะเลิกอ่านซะตอนนี้

    หรือถ้าใครที่อ่านแล้วรับไม่ได้ แต่ก็ยังอยากอ่านต่ออยู่ เพื่อที่จะหาข้อผิดพลาด
    และประเด็นที่จะเอามาต่อล้อต่อเถียงต่ออีก..ก็เชิญตามมาทางนี้ครับ

    และ..ก็อย่างที่คุณ mead กล่าวไปแล้วนั่นแหละครับ คือ ต่างมิติเขาบอกว่า
    ก่อนที่จะลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ จิตวิญญาณทุกดวงที่เกี่ยวข้อง จะมาตกลงกัน
    เพื่อทำ "พันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ" ก่อนถือกำเนิดร่วมกันซะก่อน ว่า
    ฉันจะมาเกิดบนโลกนี้เวลานั้นเวลานี้นะ เธอไปเกิดก่อนเพื่อเป็นพ่อ เป็นแม่ฉันนะ
    แล้วจากนั้น เธอก็แยกทางกันนะ เพื่อให้ครอบครัวแตกแยก เพื่อให้ฉันมีปัญหา
    เพื่อให้ฉันหันไปติดยาเสพติด แล้วฉันก็จะได้บทเรียนของการเอาชนะอาการติดยานั้นๆ
    อะไรแบบนั้น ฯลฯ ซึ่งก็อีกนั่นแหละครับ ขัดกับคำสอนของทุกศาสนาในคราวเดียวกันอีกแล้ว

    สรุปว่าทุกเหตุการณ์สำคัญๆในชีวิต จิตวิญญาณของเราเป็นผู้เลือกเอาไว้
    และวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเราลงมาเกิดจริงๆ
    เราก็จะอยู่ในความเป้นทวิภาวะ ของมิติที่หนาทึบหยาบกระด้างนี้ เราก็เลยต้องลืม
    ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยรู้มาจนหมดสิ้น เพื่อให้การมาเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยแห่งชีวิต
    ที่ชื่อว่า "ดาวเคราะห์โลก" แห่งนี้ มันสมบทบาทมากขึ้น

    และเพราะว่าการลืมนี่เอง ที่ทำให้เราปฏิบัติต่อกันและกัน ไม่เป็นไปบนพื้นฐานของ "ความรัก"
    เพราะฉะนั้น "กรรม" จึงเกาะเกี่ยวพวกเราไว้ด้วยกัน ชาติแล้ว ชาติเล่า
    เพราะว่า บทเรียนที่ตั้งใจจะลงมาเรียนรู้ตั้งแต่ดั้งเดิม ก็ยังสอบไม่ผ่านกันเลย
    มิหนำซ้ำไปก่อกรรมต่อกันและกันเพิ่มเข้าไปอีก บทเรียนที่ต้องสอบให้ผ่าน
    มันก็เลยมากขึ้นเรื่อยๆ ทับถมทวีกันมากขึ้นเรื่อยๆ ภพชาติแล้ว ภพชาติเล่า
    อันนี้ ตามนัยยะของต่างมิติเขาว่าไว้อย่างนั้นนะครับ ไม่ใช่คำสอนของผมแต่อย่างใด
    เพราะผมยังไม่ได้ตั้งศาสนาหนะนะครับ..

    พักเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่านะครับ เพราะมันยาว และโยงใยไปมากมาย
    เกินกว่าที่ผมจะสรุปสั้นๆให้อ่านกันได้ และมันก็ขัด และ แหก และ ฉีก
    แนวความเชื่อของทุกศาสนาไปอย่างสิ้นเชิง กระจุยกระจายไปซะหมดด้วย

    ..เออ..แต่ทำไมผมยังมาบอกว่ามันน่าสนใจอยู่อีกหละ?? เคยสงสัยไหมหละครับ..
    ..เอาเป็นว่า..มันต้องมีเหตุสิหน่า!!..

    ตอนนี้เรามาถึงเรื่องกาลเวลาบ้าง ต่างมิติเขาบอกตรงกันหมดทั้ง 100% ว่า ในมิติที่สูงกว่า
    หรือในระดับปรมัตถ์ที่ไร้กาลเวลาแล้ว มันไม่มีหรอกนะกาลเวลาหนะ
    พวกเขาจะมองเห็นเราพร้อมๆกันหมด ทุกภพ ทุกชาติ ทุกกาลเวลาของชีวิตเราเลยทีเดียว
    พวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า

    "อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต มันมีอยู่ และเป็นอยู่ พร้อมกันหมด ในเวลาเดียวกัน ที่นี่ และเดี๋ยวนี้"

    เพราะฉะนั้น "ปัจจุบันขณะ" คือ คีย์เวิร์ด คือกุญแจสำคัญ และคือจุดตัดของทุกๆกาลเวลา
    คือจุดหมุน คือจุดเปลี่ยนของทุกๆกาลเวลา

    พออ่านมาถึงตรงนี้ มีใคร get เรื่องการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 บ้างหรือยัง ว่าทำไมต้องให้
    "กำหนดสติรู้ ให้อยู่ในปัจจุบันขณะ" เพราะปัจจุบันขณะ คือจุดที่มีอำนาจมากที่สุดของเรา

    และประเด็นสำคัญอีกอย่างก็คือ ทุกครั้งที่เราทำอะไรไปก็ตาม ในปัจจุบันขณะนี้
    มันก็จะไปส่งผลกระทบกับทั้งอดีต และ อนาคต พร้อมกันไปด้วยเสมอ แบบ real-time
    มีใครไม่เข้าใจคำว่าแบบ real-time ไหมครับ?

    จะยกตัวอย่างอะไรดีหละ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน แต่ประมาณว่า สมมุติว่า
    ในอดีต เราเคยทำสิ่งนี้ และเคยรู้จักคนๆนี้ และในอนาคต ผลของการกระทำนั้น
    มันก้จะมีแนวโน้มว่าจะให้ผลไปแบบนี้ๆด้วย แต่ปัจจุบัน ถ้าเราเปลี่ยนวิถีชีวิตไป
    ถ้าเราเปลี่ยนพฤติกรรมไป ไม่ทำเหมือนที่เคยทำแล้ว เส้นทางในอนาคต
    ของเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเป็นไป มันก็จะเปลี่ยนไปด้วย และรวมถึงเหตุการณ์ในอดีต
    มันก็จะถูกเปลี่ยนไปด้วยพร้อมๆกัน แบบ real-time และสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
    และผู้คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ก็จะถูก update ข้อมูลใหม่นั้นไปด้วยพร้อมๆกันนั้นด้วย
    แบบ real-time เพราะฉะนั้น สมมุติว่าเราเคยรู้จักคนๆนั้น แต่พอเราเปลี่ยนปัจจุบันแล้ว
    เราก็จะไม่รู้จักคนๆนั้นอีกต่อไป และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนๆนั้น ก็จะสาบสูญไป
    และทุกๆคนก็จะถูก update ข้อมูลลงไปใหม่ว่า เราไม่เคยรู้จักคนๆมาก่อนเลย
    โดยที่จะไม่มีใครเลย รวมทั้งตัวเราเองด้วย ที่จะสังเกตได้ว่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
    เพราะมันเป็นอัตโนมัติ มันเหมือนเป็นแค่ เรื่องเกี่ยวกับพลังงานและการรับรู้เท่านั้นเอง
    เพราะมันไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร นอกเหนือจากพลังงานล้วนๆ

    นี่คือความหมายของการเปลี่ยนแปลงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ตามนัยยะของต่างมิติครับ
    ชัดเจน ตรงตัว ตามที่ผมโพสต์ไปแล้วนั่นแหละครับ ไม่มีอะไรน่างง

    และถ้าใครยังงงอยู่อีก ผมก็จะรู้สึกงง คนๆนั้นมาก
    ว่าอ่านยังไง ทำไมยังงงอยู่อีก..

    พูดแล้วก็ชักงงงงนะเนี่ย..งง..



    ...............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2012
  10. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +635

    สงสัยว่า เวลาพระโพธิสัตว์จะมาสร้างบารมี อาจจะมีดวงจิตบางดวง
    ขันอาสาว่า "ท่านจะสร้างบารมีใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมไปเป็นมารให้
    บริวารท่านลงมาเท่าไหร่ครับ เดี๋ยวผมจัดมาให้พอๆกัน"
    และแล้ว ทั้งหมดก็ลงมาสร้างประสบการณ์ และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
    และให้เราคนไทยทั้งหมดได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน อย่างปัจจุบันนี้
     
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,093
    ค่าพลัง:
    +62,396
    ขอบคุณคุณชยุตด้วยที่มาช่วยอธิบายให้แจ่มชัดขึ้น
    ชอบลีลาของคุณชยุต สนุกเร้าใจดี ยากจะเลียบแบบได้ (อิอิ)
    การที่เราทุกคนมานั่งอ่าน แอบอ่าน คุยกัน รวมทั้งแสดงความคิดเห็นด้วยความสนใจแบบนี้
    มันก็ดำเนินไปตามแผนการของชิวิต อย่างไม่บังเอิญด้วยนะครับ
    ทุกคนถูกดึงดูดเข้ามาสู่ความสนใจที่เข้าคู่กัน
    ไอ้ความสับสบ งุงงง ก็คงมีอยู่บ้าง ค่อยๆปรับจูนให้เข้าที่ล่ะกันครับ

    ถ้าไม่มีตัวละครทีมีสีสันอย่างคุณ wimut มาช่วยสร้างเงื่อนไข งานนี้อาจกร่อยก็ได้
    เราต้องขอบคุณคุณ Wimut ด้วยความรักนะครับ
    มีอะไรที่รู้สึกสงสัยก็พูดคุยบอกกันมา มันอาจเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆด้วยนะครับ

    จริงๆสิ่งเหล่าเป็นเรื่องที่สนุกนะครับถ้าเราเข้าใจเบี้องหลังหรือที่มาของเราได้จริงๆซะที
    คงถึงเวลาแห่งการเฉลยข้อสอบแล้วล่ะครับ บทเรียนเก่าๆทั้งหลายกำลังจะยุติลง
    บทเรียนใหม่ๆ ก็กำลังก้าวเข้ามาให้เราเรียนรู้อีกหลายเรื่อง ไหนจะเป็นปฎิสัมพันธ์ในระดับจักรวาล
    การสร้างสติสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษย์โลก การข้ามพ้นขีดจำกัด-การครอบงำทางความเชื่อ ฯลฯ
    เราทั้งหมดก็คือเรา ไม่มีอะไรที่ใช่เรา รวมทั้งคุณ Wimut ด้วยล่ะ..ไงก็มาอ่านและคุยกันต่อนะ
    คุณชยุตเค้าพูดให้คิดนะครับ ไม่ได้ว่า ไม่ได้โกรธกันเลยสักกะติ๊ด อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2011
  12. wuttstock

    wuttstock เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +132
    คุณ Chayutt
    ผมรักคุณว่ะ



    (ไม่ได้กวนนะ และผมก็ไม่ได้เป็นเกย์ด้วย)
     
  13. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772

    ถูกต้องแล้วครับ ตามนัยยะของต่างมิติแล้ว
    มันเป็นแบบนั้นแหละครับ..

    ในมุมมองของพวกเขา ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก
    ไม่มีดี ไม่มีชั่ว เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
    มันเป็นไปเพราะมีจุดประสงค์ของมันทั้งนั้น
    ซึ่งนั่นก็คือ เพื่อการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณนั่นเอง

    สรุปว่า ทุกสรรพชีวิตที่ลงมาเกิดร่วมยุคกัน
    ประมาณว่า ล้วนมีส่วนช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั้งสิ้น
    ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง แม้แต่เป็นมารให้กันและกันก็ด้วยครับ

    ผมขออนุโมทนากับทั้งฝ่ายเทพ และ ฝ่ายมารทุกๆท่านด้วยนะครับ

    "มารไม่มี บารมีไม่เกิด"

    ใครเคยได้ยินคำนี้บ้างไหม๊??

    """"""""""""""""""""""""""""""""
     
  14. i นี่หนิ

    i นี่หนิ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +0
    QUOTE]สงสัยว่า เวลาพระโพธิสัตว์จะมาสร้างบารมี อาจจะมีดวงจิตบางดวง
    ขันอาสาว่า "ท่านจะสร้างบารมีใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมไปเป็นมารให้

    บริวารท่านลงมาเท่าไหร่ครับ เดี๋ยวผมจัดมาให้พอๆกัน"
    และแล้ว ทั้งหมดก็ลงมาสร้างประสบการณ์ และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
    และให้เราคนไทยทั้งหมดได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน อย่างปัจจุบันนี้<!-- google_ad_section_end --> [/QUOTE]

    สงสัยงานนี้มีจัดเต็ม จ๊ากกก!!!


    เคยบ้าค่ะ เอ๊ย! เคยบ้างค่ะ
    บ้างเค้าก็คิดว่าเราเป็นมารไปทดสอบเค้า
    บ้างก็คิดว่าเค้าเป็นมารมาทดสอบเรา

    ผลัดกันเป็น ว่างั้นกันไป
     
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    พอดีเพิ่งนึกอะไรได้เพิ่มเติม เลยอยากจะเอามาแชร์อีกหนะครับ

    คือ อันดับแรก ที่จะเข้าใจเรื่องลึกลับ (ตามมุมมองของเรา) พวกนี้
    เราต้องยอมรับซะก่อนว่า "เรากำลังอาศัยอยู่ในมายาการ"

    นั่นก็คือ โลกนี้คือมายา ศาสนาบางศาสนาก็สอนไว้แบบนี้นี่นา
    แต่ไม่รู้ว่าผู้นับถือจะพากันตีความออกหรือเปล่า แค่ไหน อย่างไร?

    มันเหมือนกับว่าเราอาศัยอยุ่ในเมตริก หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
    หรือประมาณว่าตัวตนที่แท้จริงของเรากำลังฝันซ้อนฝันซ้อนฝันอยู่ หลายๆชั้น
    ว่ากำลังเป็นเราอยู่ในขณะนี้..สรุปว่าทุกอย่างไม่มีอยู่จริง
    มันเป็นภาพมายาสามมิติที่เกิดจากจิตของพวกเราเอง
    ช่วยกันสร้างมันขึ้นมาร่วมกันเท่านั้นเอง..อะไรแบบนั้นหนะนะครับ

    อันที่จริงผมก็ไม่ get นักหรอก เพราะว่ามันนอกเหนือความเข้าใจของมนุษย์ธรรมดาๆ
    และผมก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งซะด้วยสิ..

    แต่เอาง่ายๆก็คือ ต่างมิติ ที่อยู่สูงกว่าเรา เขาจะมองเห็น และรับรู้อะไรที่อยู่เหนือกว่าเรา
    ที่มากกว่าเรา ที่กว้างกว่าเราเยอะ เยอะมากๆ แบบว่า เราจินตนาการไม่ออกเลยทีเดียว
    เพราะในโลกของเราไม่มีแบบนั้น หรือ เราไม่สามารถที่จะรับรู้ได้แบบนั้นในสภาวะปกติ

    ผมเคยได้อ่านข้อความหนึ่งจากต่างมิติที่บอกว่า

    "แม้แต่มนุษย์ที่มีระดับจิตวิญญาณสูงที่สุดในโลกของเรา
    ก็ยังเทียบเท่ากับระดับเฉลี่ยของผู้ที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าเท่านั้นเอง"

    คำพูดนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับว่าจริงหรือเปล่า เพราะว่าผมพิสูจน์ไม่ได้

    แต่มาดูตัวอย่างมุมมองของมิติที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับมุมมองของมิติที่ต่ำกว่าดีกว่านะครับ
    โดยเปรียบเทียบง่ายๆระหว่างมิติที่ 2 และ 3 นี่แหละ เพื่อที่เราจะได้พอนึกออก
    แม้ว่าในมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไปมันจะซับซ้อมมากกว่านี้มากมายนัก จนเรามิอาจจินตนาการได้ก็ตาม

    ภาพยนต์ชุดนี้ มาจากเรื่อง What the bleep do we know ชื่อตอนว่า Flat land ซึ่งเป็นตัวแทนของมิติที่ 2

    เรามาดูกันว่า สมมุติว่ามีสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 2 อยู่ พวกเขาก็จะไม่รู้จักมิติของความสูง - ลึก
    จะรู้จักแต่ซ้าย ขวา หน้า หลัง เท่านั้น ไม่รู้จักสูง และ ต่ำ เพราะไม่มีมิตินี้ ดังนั้น ถ้าไปบอกพวกเขาว่า
    อ้อ..ตึกนั้นสูงกว่าตึกนี้เท่านั้นเท่านี้ เครื่องบินมันบินข้ามตึกไป ลูกโป่งมันลอยอยู่บนท้องฟ้า ฯลฯ
    พวกนั้นก็คงงงเต๊กเลยใช่ไหมหละครับ เพราะเขานึกไม่ออกว่า อะไรคือสูงกว่า อะไรคือลอย อะไรคือบินอยู่เหนือ
    ก็เหมือนอย่างที่เรานึกไม่ออกว่า อดีต - ปัจจุบัน - อนาคต มันมีอยู่-เป็นอยู่พร้อมกันหมดได้อย่างไรนี่กระมัง
    เพราะเรานึกยังไงก็คงนึกไม่ออกใช่ไหมหละครับ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=BWyTxCsIXE4"]YouTube - ‪Dr Quantum - Flatland‬‏[/ame]

    ..........................................................
     
  16. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,227
    ค่าพลัง:
    +10,593

    อ่านแล้วนึกถึงนิทาน The Little Soul and the Sun ที่เคยโพสไว้ครับ แต่พอกลับไปหาอ่านอีกทีปรากฏว่ามันหายไปแล้ว ก็งงอยู่เหมือนกันว่าหายไปได้ยังไง

    แล้วไปเจอข้อความของพี่นักเขียนในกระทู้เก่า เห็นว่าน่าสนใจดีเลยเอามาให้อ่านกันอีกรอบครับ
    <hr>
    <b>ความเชื่อของเราสร้างโลกแห่งความเป็นจริงและประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเรา</b>

    ประสบการณ์ของคุณน้องแก้วทิพย์ ทำให้พี่นักเขียนอยากจะขอขยายความที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า "ความเชื่อของเธอ สร้างโลกแห่งความเป็นจริงและประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเธอ"
    เมื่อเราเผชิญกับประสบการณ์ที่แคล้วคลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นที่คุณน้องแก้วทิพย์เผชิญ หรือที่พี่นักเขียนวางแผนว่าจะไป Cancun, Mexico แล้วมี Hurricane Dean เข้ามา ติดตามด้วย Hurricane Felix พี่นักเขียนก็จินตนาการเห็นแต่แดดจ้าฟ้าใสตลอดเวลา ไม่ว่าจะฟังข่่าวบ้างไม่ฟังบ้าง ก็เห็นแต่ภาพแดดจ้าฟ้าใสโดยตลอด ใครๆก็เตือนและบางคนชวนให้ล้มเลิก trip นี้

    ก่อนเครื่องจะออกจาก DFW (Dallas-Fortworth) แอร์เสีย ทำให้เครื่อง delay ไปกว่าชั่วโมง ผู้คนบนเครื่องเต็มไปด้วยคนอารมณ์ดี พี่นักเขียนได้ยินคนพูดกันว่า ช้าเท่าไรก็คอยได้ บางคนก็บอกว่าคอยได้สำหรับ vacation แสนสุขที่คอยอยู่ข้างหน้า บางคนก็ลุกขึ้นเต้นรำแล้วร้องว่า Cancun รอฉันหน่อยอย่าเพิ่งหนีไปไหน คนที่นั่งนิ่งๆไม่ยิ้มก็เริ่มหัวเราะหัวไห้จนการรอคอยเต็มไปด้วยความขบขัน เสียงหัวเราะดังมาจากทางโน้นบ้างทางนี้บ้างไม่ขาดสาย พีนักเขียนบอกกับสามีว่า เที่ยวบินนี้ energy ดีจริงๆเลย รับรองได้ว่าเดินทางโดยราบรื่นไร้ปัญหา ไม่มีวันเจอพายุ

    แล้วในที่สุดก็ไปพัก Cancun 4 วัน แดดจ้าฟัาใสไร้เมฆจริงๆ แม้จะเห็นยอดต้นปาล๋มกุดๆ เพราะเพิ่งโดน Hurricane Dean มาหยกๆ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าที่ท่านอาจารย์อนาลับกล่าวไว้นั้น มีความเป็นจริงยิ่งใหญ่กว่าที่เราตีความหมายมากนัก

    พี่นักเขียนเชื่อว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่วางแผนเหมือนพี่นักเขียน ไปเที่ยว Cancun เหมือนกัน แต่จินตนาการเห็นภาพพายุฝน เห็นภาพความหมดสนุก และก็ต้องเผชิญกับสภาพนั้นๆจริงๆ ทั้งนี้พี่นักเขียนไม่ได้หมายความว่า เขาไป Cancun ต่างเวลาไปจากพี่นักเขียนนะคะ แต่หมายความว่า โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้มีอยู่่เป็นอนันต์ ท่านอาจารย์อนาลัยยังกล่าวไว้อีกว่า เธอจดจ่อกับสิ่งใด-ได้สิ่งนั้น-ไม่มีกฎเกณฑ์อื่น คนทีจดจ่อกับพายุฝนและความหมดสนุก ก็ก้าวล่วงไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้อีกเส้นหรือเรียกได้ว่าอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างไปจากพี่นักเขียนโดยสิ้นเชิง โลกที่จิตวิญญาณของเขาไปจดจ่ออยู่ Cancun ของเขาถูกพายุกระหน่ำ

    ความแคล้วคลาดที่ว่าจึงไม่ได้เป็นไปเพียงระนาบเดีึยว มิติเดียว บนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพียงเส้นเดียว พี่นักเขียนเองก็ไปเที่ยว Louisiana ช่วงที่มีข่าวว่าพายุ Hurricane Catrina เข้า แต่ก็จินตนาการเห็นความสดใสอีกเพราะอยากไปและวางแผนล่วงหน้ามานาน ลูกๆถามก็บอกว่าให้ช่วยกันจินตนาการให้สดสวย วางแผนว่าจะไปพักที่นั่น 4 คืน แต่เปลี่ยนใจและชวนสามีออกก่อน 1 วัน ก็ปรากฏว่า เราออกจากที่นั่นมาตอนเช้า พอตอนสายเราก็ขับรถขึ้นมาถึงแถว Arkansas แล้ว ฝนกลายเป็นน้ำแข็งแล้วเปลี่ยนเป็น snow มาตลอดทาง ระหว่างนั้น Hurricane ก็เข้าถล่มทางใต้

    ก็รอดมาได้ด้วยความคิดที่ว่า แม้ว่าจะอยู่ในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นเดิม ก็หวุดหวิดหรือรอดได้ด้วยกาลเวลา

    ดั้งนั้นเมื่อกล่าวถึงภัยพิบัติ พวกเราหลายคนพูดถึงการล่มสลายของโลกเพราะภัยพิบัติทางธรรมชาติ ท่านอาจารย์อนาลัยจึงกล่าวว่า "ทางเลือกเป็นของเธอ"
    <hr>
    แล้วก็อีกข้อความนึง
    <hr>
    1. จิตวิญญาณของเราสถิตย์อยู่พร้อมกันหมดในอดีต-ป้จจุบัน-และอนาคต ในทุกชาติภพ ทุกมิติ เพื่อเอื้ออำนวยให้การเรียนรู้อันเกิดจากการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์เป็นไปได้สูงสุด ทำให้จิตวิญญาณเรียนรู้คุณค่าชีวิตได้อย่างถ่องแท้ ยกตัวอย่างนะคะ จิตวิญญาณของเราสถิตย์อยู่ในชาติภพหนึ่งๆ มิติหนึ่งๆ โดยเป็นบุคคลตัวตนที่กำลังเผชิญกับการถูกกล่าวโทษ การถูกเอารัดเอาเปรียบ การทารุณกรรม และในปัจจุบันเราก็เป็นบุคคลตัวตนที่กำลังเผชิญกับสิ่งที่ตรงกันข้าม ประสบการณ์ที่แตกต่างกันทำให้จิตวิญญาณเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้ง แม้ร่างกายตัวตนในปัจจุบันของเราจะจดจ่อได้แต่เพียงปัจจุบัน และการเป็นบุคคลตัวตนในชาติภพนี้เท่านั้น และเราก็ไม่ได้รู้ว่า เหตุใดเราจึงชื่นชมกับการได้รับการให้อภัย ชื่นชมกับการที่มีผู้ให้บางสิ่งบางอย่างกับะรา หรือการได้รับความโอบอ้อมอารีจากผู้อื่นเป็นอันมาก เราไม่ได้รู้ว่า ความชื่นชมและความพอใจเหล่านี้ เกิดจากการที่จิตวิญญาณของเรารู้เห็นความเป็นไปในประสบการณ์ตรงกันข้ามที่ทำให้เราตระหนักในคุณค่าของสิ่งที่เราเผชิญอยู่ได้อย่างลึกซึ้ง

    2. สติคือการจดจ่ออย่างคมชัดของจิตวิญญาณ ตามธรรมชาติแล้ว สติของเราสามารถจดจ่อได้มากกว่าหนึ่งจุด หรือจดจ่อได้มากกว่าเพียงแค่ปัจจุบัน แต่เนื่องจากว่าเราคุ้นเคยกับการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งบังค้บให้เรารู้เห็นและตอบสนองต่อสิ่งต่างๆในสภาพแวดล้อมได้อย่างฉับพลันในปัจจุบันเพื่อการอยู่รอด ในอดึีตซึ่งมนุษย์ต้องฟันฝ่ากับภัยธรรมชาติ และอันตรายจากสภาพแวดล้อม มนุษย์ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อการอยู่รอด จนกระทั่งมันกลายเป็นวิธ๊การรู้เห็นแทบจะวิธีการเดียวที่มนุษย์จดจ่อหรือใช้งาน มาถึงยุคสมัยนี้ที่มนุษย์ไม่ได้จำเป้นจะต้องจดจ่อกับการอยู่รอดจากภัยธรรมชาติเช่นในอดีต เราสามารถที่จะหันไปให้ความสนใจและใช้ประสาทสัมผัสที่หกเพื่อรู้เห็นอดีตหรืออนาคตได้พร้อมๆกัน

    การที่เรารู้สึกว่า เราไม่สามารถรู้เห็นอดีต หรือ อนาคตได้นั้น และเรารู้เห็นได้แต่เพียงปัจจุุบัน มันเป็นเพราะว่า เราเชื่อว่าเรารู้เห็นไม่ได้ และจำกัดตนเอง

    แต่บ่อยครั้งที่เราอยู่ในภาวะที่เสมือนฝันกลางวัน หรือในความฝันในขณะที่นอนหลับ เราก็รู้เห็นอดีตหรืออนาคตได้ไม่น้อยกว่าปัจจุบัน หากแต่ว่าเมื่อเราไม่มีความรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปเสมออย่างเป็นธรรมชาติ เราจึงไม่เคยใส่ใจหรือรับว่ามันเป็นจริง

    สติของเรามักจดจ่อกับปัจจุบันด้วยความเคยชิน แต่เราก็สามารถฝึกฝนได้ การฝึกสมาธิก็ดี การฝึกฝันก็ดี เป็นการฝึกให้เรามีสติที่จะรู้เห็นว่าจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมชัญญะไปสู่อดีตหรืออนาคต หรือปัจจุบันอื่นๆ มิติอื่นเมื่อใด

    ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าการฝึกสมาธิหรือการฝึกฝัน เป็นการฝึกเพื่อเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่อดีตหรืออนาคตนะคะ เพราะการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อนั้นเป็นไปตามธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา หากแต่ว่าเราฝึกเพื่อที่จะให้มีสติสัมปชัญญะที่คมชัดพอที่จะรู้เห็นและติดตามได้ว่า มันไปจดจ่อกับอดึตหรืออนาคต อย่างไร เมื่อไร และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2011
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,093
    ค่าพลัง:
    +62,396
    อ่า...คุณซิปฯ ของเรากลับมาแล้ว
    เหมือนไม่ได้คุยกันนานแล้วนะครับ
    เพิ่งไปดูตัวอย่าง The Little Soul and the Sun ที่คุณซิปฯพูดถึง
    ใช่นิทานเรื่องเดียวกันนี้รึเปล่า?

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ksn3NaJyHak&feature=related"]YouTube - ‪'The Little Soul and The Sun' DVD Excerpt‬&rlm;[/ame][ame="http://www.youtube.com/watch?v=ksn3NaJyHak&feature=related"][/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2011
  18. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,227
    ค่าพลัง:
    +10,593
    ใช่เลยครับคุณ Mead เดี๋ยวนี้เค้ามีทำเป็น animation แล้วแฮะ
     
  19. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    "มันเหมือนกับว่าเราอาศัยอยุ่ในเมตริก หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
    หรือประมาณว่าตัวตนที่แท้จริงของเรากำลังฝันซ้อนฝันซ้อนฝันอยู่ หลายๆชั้น
    ว่ากำลังเป็นเราอยู่ในขณะนี้..สรุปว่าทุกอย่างไม่มีอยู่จริง
    มันเป็นภาพมายาสามมิติที่เกิดจากจิตของพวกเราเอง
    ช่วยกันสร้างมันขึ้นมาร่วมกันเท่านั้นเอง..อะไรแบบนั้นหนะนะครับ

    การแก้ไขอดีตที่ต่างมิติเค้ากล่าวถึงน่ะ ไม่ได้หมายความว่ากลับไปเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์อะไรสักหน่อย แต่กลับไปปรับเปลี่ยนพลังงานในอดีตที่มันคั่งค้างสะสมให้กลายเป็นกลางต่างหาก (เช่น การเจรจาขอหโหสิกรรม การทำโมฆะกรรมฯ) จากพลังแห่งปัจจุบันขณะ...เพราะในความเป็นจริง เวลาก็เป็นสิ่งสมมุติ ไม่ได้เป็นเส้นตรงอย่างที่เราเข้าใจ ส่วนเรื่องของอนาคตก็เป็นทางเลือกที่ดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ที่ออกแบบสร้างสรรค์ได้เช่นกัน ข้อมูลนี้เป็นเรื่องสากลที่เราทราบกันมานานแล้ว ไม่น่างงเลยนะครับ<!-- google_ad_section_end -->


    "สรรพสิ่ง ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน"

    เพราะฉะนั้น แค่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าใครพอจะรู้เรื่องราวของพุทธ คริสต์ อิสลาม และอื่นๆมาบ้าง
    ก็น่าจะพอรู้แล้วใช่ไหมครับ ว่ามันขัดกับทุกศาสนาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่องนี้เลย
    เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่ไม่ชอบอ่านอะไรที่มันขัดกับคำสอนของศาสนาที่ตนเองนับถืออยู่หละก็
    ก็ยังไม่สายนะครับ ที่จะเลิกอ่านซะตอนนี้

    ตอนนี้เรามาถึงเรื่องกาลเวลาบ้าง ต่างมิติเขาบอกตรงกันหมดทั้ง 100% ว่า ในมิติที่สูงกว่า
    หรือในระดับปรมัตถ์ที่ไร้กาลเวลาแล้ว มันไม่มีหรอกนะกาลเวลาหนะ
    พวกเขาจะมองเห็นเราพร้อมๆกันหมด ทุกภพ ทุกชาติ ทุกกาลเวลาของชีวิตเราเลยทีเดียว
    พวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า

    "อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต มันมีอยู่ และเป็นอยู่ พร้อมกันหมด ในเวลาเดียวกัน ที่นี่ และเดี๋ยวนี้"

    เพราะฉะนั้น "ปัจจุบันขณะ" คือ คีย์เวิร์ด คือกุญแจสำคัญ และคือจุดตัดของทุกๆกาลเวลา
    คือจุดหมุน คือจุดเปลี่ยนของทุกๆกาลเวลา

    พออ่านมาถึงตรงนี้ มีใคร get เรื่องการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 บ้างหรือยัง ว่าทำไมต้องให้
    "กำหนดสติรู้ ให้อยู่ในปัจจุบันขณะ" เพราะปัจจุบันขณะ คือจุดที่มีอำนาจมากที่สุดของเรา

    และประเด็นสำคัญอีกอย่างก็คือ ทุกครั้งที่เราทำอะไรไปก็ตาม ในปัจจุบันขณะนี้
    มันก็จะไปส่งผลกระทบกับทั้งอดีต และ อนาคต พร้อมกันไปด้วยเสมอ แบบ real-time
    มีใครไม่เข้าใจคำว่าแบบ real-time ไหมครับ?

    จะยกตัวอย่างอะไรดีหละ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน แต่ประมาณว่า สมมุติว่า
    ในอดีต เราเคยทำสิ่งนี้ และเคยรู้จักคนๆนี้ และในอนาคต ผลของการกระทำนั้น
    มันก็จะมีแนวโน้มว่าจะให้ผลไปแบบนี้ๆด้วย แต่ปัจจุบัน ถ้าเราเปลี่ยนวิถีชีวิตไป
    ถ้าเราเปลี่ยนพฤติกรรมไป ไม่ทำเหมือนที่เคยทำแล้ว เส้นทางในอนาคต
    ของเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเป็นไป มันก็จะเปลี่ยนไปด้วย และรวมถึงเหตุการณ์ในอดีต
    มันก็จะถูกเปลี่ยนไปด้วยพร้อมๆกัน แบบ real-time และสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
    และผู้คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ก็จะถูก update ข้อมูลใหม่นั้นไปด้วยพร้อมๆกันนั้นด้วย
    แบบ real-time เพราะฉะนั้น สมมุติว่าเราเคยรู้จักคนๆนั้น แต่พอเราเปลี่ยนปัจจุบันแล้ว
    เราก็จะไม่รู้จักคนๆนั้นอีกต่อไป และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนๆนั้น ก็จะสาบสูญไป
    และทุกๆคนก็จะถูก update ข้อมูลลงไปใหม่ว่า เราไม่เคยรู้จักคนๆมาก่อนเลย
    โดยที่จะไม่มีใครเลย รวมทั้งตัวเราเองด้วย ที่จะสังเกตได้ว่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
    เพราะมันเป็นอัตโนมัติ มันเหมือนเป็นแค่ เรื่องเกี่ยวกับพลังงานและการรับรู้เท่านั้นเอง
    เพราะมันไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร นอกเหนือจากพลังงานล้วนๆ"
    ........................................................................

    ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาอ่านมากนักเฝ้าตามเก็บอ่านทุกครั้งที่มีโอกาส ขอบคุณ คุณชยุต คุณ meadและทุกท่าน
    แต่จะว่ามาอ่านสายไปก็ไม่ใช่เพราะเราว่าเราตามอ่านทีหลังแต่ที่มันก็ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือในปัจจุบันขณะพอดี
    ความจริงความรู้ก็มาจากหลายๆทาง มันก็แค่รู้กับไม่รู้ ก็ขอให้รู้ก็แล้วกัน อย่าไปรู้ทีหลังคนอื่นให้มากนัก หรือรู้เมื่อสายเสียแล้ว
    ข้อความต่างมิติเป็นเรื่องที่อ่านแล้วตอนแรกก็ไม่งงนะ เหมือนมีใครมาฝากข้อความบางอย่างไว้ที่นี่ เหมือนตู้ไปรษณีย์ เหมือนกล่องข้อความที่ส่งตรงมาหาเรา (แบบนั้น) สามารถเอาไปยกระดับความรู้ของตนในทางพระพุทธศาสนาได้ตลอด(ความคิดเห็นที่เป็นส่วนตัวมากๆ)

    ไม่อยากบอกรักคุณชยุตเลย 55 รู้แต่ว่า ขอบคุณ จริงๆ:cool:
     
  20. tawansongsaeng

    tawansongsaeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +423
    ข้อความโดยคุณ Chayutt...

    มนุษย์ก็มักเป็นแบบนี้แหละครับ
    อะไรที่ตนเองไม่รู้ หรือทำไม่ได้
    ก็มักคิดว่าคนอื่นจะต้องไม่รู้ หรือทำไม่ได้ด้วย

    และก็ชอบไปหาว่าคนอื่่นๆนั้นโง่กว่าตน
    เฮ้อ.....ชาล้นถ้วยเอ๋ย ชาล้นถ้วย หมดทางแล้ว...

    และครั้งนี้ น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของผมแล้วหละ ที่จะคุยกับคุณ Wimut
    เพราะดูท่าท่านจะอาการหนักกว่าที่คิดไว้อีก มิหนำซ้ำยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า
    ตัวเองก็ ego แรง และ หนัก ไม่น้อยกว่าคนอื่นๆเลย..แถมดันทุรังอีกต่างหาก


    ------------------------------------------------
    สิ่งที่คุณ Chayutt กล่าวตำหนิผมมานั้น ผมคิดว่าคุณอาจทำไปโดยอารมณ์ชั่ววูบ
    ขอให้คุณไตร่ตรองก่อนที่จะว่าใคร เพราะถ้าผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณกล่าวหา คุณ
    ก็จะต้องรับผลกรรมแห่งการกระทำครั้งนี้ แต่ผมจะัไม่ถือโทษคุณและขออโหสิกรรม
    ต่อกันและกันที่มีการกระทบกระทั่งกันนี้

    สำหรับผมเองนั้นไม่ใช่เด็กๆ ที่จะมาใช้อารมณ์ตอบโต้กันไปมา เพราะเห็นโลกมามาก
    ผมอายุ 56 ปีแล้ว ถือศีล 5 มาตั้งแต่อายุ 16 ปี ถือพรหมจรรย์มาตั้งแต่อายุ 38 ปีรวม
    แล้วก็ถือพรหมจรรย์มาเกือบ 20 ปี
    นั่งสมาธิมาตั้งแต่อายุ 15-16 เอาจริงบ้างไม่เอาจริงบ้างแต่ไม่เคยห่างจากพระและการปฏิบัติเลย
    ช่วงนี้ผมเออรี่รีไทร์ออกมาเพื่อเตรียมตัวบวช ตอนนี้เร่งความเพียรอย่างจริงจังมาได้ 3 ปีแล้ว

    ดังนั้นก่อนที่คุณจะตำหนิอะไรผมต่อ ขอให้มีสติและอย่าใช้อารมณ์ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...