แม่ชีเทเรซ่า ปัจจุบันคือ พระโพธิสัตว์ ซึ่งวิญญาณท่านได้รับวิถีอนุตรธรรมใน 1997

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 7 พฤศจิกายน 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเท่านั้น ที่ปรากฏการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นในเมือง กัลกัตตา เมืองแห่งความรุนแรงทางศาสนาการเมือง ที่นักข่าวจากทุกสารทิศทั่วโลก ได้แห่กันมาที่นี่ เพื่อทำข่าวงานศพของหญิงลี้ภัยชาวอัลบาเนียนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า "แอกเนส กอนซา โบเจกส์อิว" (Agnes Gonxha Bojaxhiu) ซึ่งได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 1997

    คนทั้งโลกเรียกเธอว่า "แม่ชีเทเรซ่า" (Mother Teresa) เธอเกิดมาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ตลอดชีวิตของเธอ แม่ชีอุทิศให้กับคนยากจน คนเจ็บ เด็กๆ ที่น่าสงสาร โดยเฉพาะคนที่กำลังจะตาย ด้วยเหตุนี้ เธอจึงได้ถูกขนานนามอย่างเป็นทางการ ในฐานะของ "นักบุญ" โดยสำนักสงฆ์โรมันคาทอลิก ทั้งที่เมื่อยังมีชีวิตอยู่

    แม่ชีเทเรซ่าเกิดเมื่อ ค.ศ.1910 ในครอบครัวชาวอัลบาเนียน เมื่อเธอมีอายุได้เพียง 11 ปี พ่อของเธอก็ถูกฆ่าตายด้วยสาเหตุทางการเมือง เธอต้องลี้ภัยมาอยู่ที่ไอร์แลนด์ โดยเข้ามาบวชเป็น "ชีทดลอง" ที่สำนัก "โลเรโต" (Loreto)

    ในปี 1929 เธอถูกส่งมาอยู่ที่ เบงกอล (Bengal) ประเทศอินเดีย เพื่อทำหน้าที่เป็นครูสอนหนังสือในสำนักชีโลเรโต แห่งหนึ่ง นักเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู และเป็นลูกผู้ดีมีเงินของสังคม ด้วยเหตุนี้ ประกอบกับการขัดแย้งทางความคิดกับแม่ชีคนอื่นๆ แม่ชีเทเรซ่าจึงตัดสินใจออกจากสำนักชีแห่งนี้ ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือคนจนที่ทุกข์ยากในสลัม เธอสอนให้เขาเหล่านั้นรู้จักการมีชีวิตที่ถูกสุขอนามัย เธอรณรงค์ต่อต้านการละทิ้งเด็ก เธอช่วยเหลือเด็กกำพร้าและเด็กข้างถนน
    ในปี 1947 แม่ชีเทเรซ่าสามารถรวบรวมแม่ชีได้ถึง 400 คน เพื่อช่วยบริหารงานด้านเด็กกำพร้า คนยากจน และผู้ป่วยโรคเอดส์ ที่มีอยู่ทั่วโลก ในปี 1948 เธอได้เปิดโรงเรียนสำหรับเด็กสลัมแห่งแรกขึ้น ในเมืองกัลกัตตา และในปี 1952 เธอได้ก่อตั้ง "บ้านสำหรับคนที่กำลังจะตาย" (Home for dying) ในตอนแรก แม่ชีได้เก็บผู้หญิงที่กำลังนอนรอความตายอยู่ข้างถนน เข้ามาอยู่ในบ้าน ทำความสะอาดร่างกายให้แก่ผู้ที่กำลังจะตาย ให้การดูแลทางการแพทย์เท่าที่จะทำได้

    เธอให้เหตุผลว่า การที่เธอต้องการช่วยเหลือคนที่อยู่ในชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต มิใช่เพื่อต่อชีวิตให้แก่คนเหล่านั้นเลย หากแต่ต้องการให้พวกเขาเหล่านั้น ตายอย่างสงบและเป็นสุข ไม่ต้องทุกข์ทรมานมากเกินไป การกระทำของเธอขัดแย้งกับความเชื่อของศาสนาฮินดู ซึ่งเชื่อว่า "การตาย" นั้นเป็นเพียง การละสังขาร เป็นการปลดปล่อยตัวตน เพื่อไปเกิดใหม่ ชาวฮินดูและคนทั่วไป จึงเห็นว่า การกระทำของแม่ชีเป็นเรื่องแปลก

    นอกจากนี้ แม่ชีเทเรซ่าได้จัดตั้งกองทุน เพื่อสร้าง "บ้านสำหรับเด็กๆ" (Home for babies) เพื่อเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ หรือพ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ หรือเด็กที่ถูกทอดทิ้งอยู่ตามถนน

    ผู้คนเริ่มเข้าใจแม่ชีมากขึ้นเมื่อเธอตั้ง "นิคมโรคเรื้อน" (Colony for lepers) ขึ้นสำเร็จ เพื่อให้คนเป็นโรคร้ายนี้มีโอกาสมีชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาสามารถมีบ้าน มีงาน และมีชีวิตที่เป็นสุขสงบ ในนิคม โรคเรื้อนแห่งนี้

    แม่ชีเชื่อว่าปัญหาสำคัญของคนที่เป็นโรคนี้มิใช่ตัวโรคร้ายเลย แต่อยู่ที่การขาดความรัก การถูกผลักใสอย่างรังเกียจ และความรู้สึกที่ไม่เป็นที่ปรารถนาของสังคม แม่ชีเทเรซ่าต่อต้านการทำแท้งอย่างเปิดเผยโดยเธอกล่าวว่า "ชาติใดที่ปล่อยให้มีการทำลายชีวิตของทารกในครรภ์มารดา ถือว่าเป็นภัยอย่างใหญ่หลวง ทารกเหล่านี้ถูกสร้างให้กำเนิดขึ้นมาเพื่อมีชีวิต เพื่อได้รับความรักในนามของพระเจ้า"

    ด้วยผลงานที่อุทิศตนของแม่ชีเทเรซ่า ทำให้เธอได้รับการยอมรับไม่เพียงแต่ในประเทศอินเดีย แต่จากผู้คนทั้งโลก รางวัลที่เธอได้รับนั้นมีมากมาย เช่นในปี 1963 เธอได้รับรางวัลแรกคือ "Pad Mashri award" จากประเทศอินเดีย ในฐานะที่เธอให้ความอนุเคราะห์แก่ชาวอินเดีย และในปีเดียวกัน เธอได้รับรางวัล "รามอน แมกไซไซด์" (Remon Maqsaysay) ในปี ค.ศ.1971 "รางวัลสันติภาพ" (Peace award) และ "รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ" (Nobel Peace Prize) ในปี 1979

    ตลอดชีวิต "นักบุญ" ของแม่ชีเทเรซ่า ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงอายุ 87 ปี เธอได้ใช้ชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นมาโดยตลอด ดังนั้น อสัญกรรมของแม่ชี ถือเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ซึ่งนำความโศกเศร้ามาสู่คนทั้งโลก

    (และปัจจุบันท่านก็ได้เป็นพระโพธิสัตว์หรือว่าผู่ซ่าไปแล้ว จากการทำพิธีเชิญวิญญาณท่านรับธรรมในปี 1997 หลังจากที่ท่านเสียชีวิตไม่นาน โดยท่านมหาราชเฮ้าฉือ หรือ เฮ้าฉือต้าตี้ หรือ หวังเหล่าเฉียนเหรินเป็นผู้ทำพิธี ซึ่งการทำพิธีนั้น ต้องให้เงินและทองคำทำบุญถึง 10 ล้านบาท เพราะเนื่องจากเป็นเทพที่สูงมาก หลังจากที่ทำพิธี 100 วันต่อมาทุกคนจึงได้รู้ว่าท่านคือ พระโพธิสัตว์)
     
  2. nutnun_k

    nutnun_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +1,021
    ท่านเป็นพระโพธิสัตว์นี่เอง สูงมาก
     
  3. กองทัพเทพ

    กองทัพเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +2,629
    บารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ คือ
    • 1. ทานบารมี หมายถึง การสละออก การให้ต่างๆ
    • 2. ศีลบารมี หมายถึง การรักษาศีลให้เป็นปกติ ถ้าเป็นฆราวาสก็ถือศีล 5 ถ้าเป็นนักบวชก็ถือศีล 8 ขึ้นไป
    • 3. เนกขัมมะบารมี หมายถึง การออกบวช (หากฆราวาสถือศีล๘ ก็นับเป็นเนกขัมบารมีได้เช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อละกาม)
    • 4. ปัญญาบารมี หมายถึง การกระทำเพื่อเพิ่มปัญญา
    • 5. วิริยะบารมี หมายถึง การกระทำที่ใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง สัมมัปปธานหรือความเพียรที่ถูกต้อง มี 4 อย่างคือ
    <DL><DD>o สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น <DD>o ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว <DD>o ภาวนาปธาน เพียรทำบุญให้เกิดขึ้น <DD>o อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาการทำบุญไว้ต่อเนื่อง </DD></DL>
    • 6. ขันติบารมี หมายถึง การอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ
    • 7. สัจจะบารมี หมายถึง การรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก แม้ว่าจะต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาคำพูดไว้
    • 8. อธิษฐานบารมี หมายถึง การตั้งมั่นในปรารถนา ตั้งจิตมั่นต่อคำอธิษฐาน
    • 9. เมตตาบารมี หมายถึง มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียม ประดุจมารดารักบุตร
    • 10. อุเบกขาบารมี หมายถึง การวางเฉย การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตน
    ซึ่งในแต่ละบารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น 3 ขั้น ได้แก่
    1. บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย เช่น การสละทรัพย์ช่วยผู้อื่น จัดเป็น ทานบารมี รักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง จัดเป็น ศีลบารมี หรือ ยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สิน จัดเป็น เนกขัมบารมี เป็นต้น
    2. บารมีขั้นกลางหรืออุปบารมี คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ เช่น การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานอุปบารมี การใช้ปัญญารักษาอวัยวะเลือดเนื้อของผู้อื่น จัดเป็น ปัญญาอุปบารมี การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้อหรืออวัยวะ จัดเป็น วิริยะอุปบารมี มีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตน จัดเป็น เมตตาอุปบารมี หรือ มีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายอวัยวะของตน จัดเป็น ขันติอุปบารมี เป็นต้น
    3. บารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื้องด้วยชีวิต เช่น การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานปรมัตถบารมี ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อจะรักษาคำพูด จัดเป็น สัจจปรมัตถบารมี ตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิต จัดเป็น อธิษฐานปรมัตถบารมี หรือ วางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตน จัดเป็น อุเบกขาปรมัตถบารมี เป็นต้น
    ดังนั้น จึงรวมเป็นบารมี 30 ทัศ

    แม่ชีท่านครบ ท่านจึงเป็นพระโพธิสัตว์ โดย ไม่ต้องสงสัย
    เช่นหลายๆท่านอื่นๆ อีกด้วย ที่กำลังบำเพ็ญ อยู่ในขณะนี้
     
  4. naron

    naron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2,515
    ค่าพลัง:
    +3,573
    อนุโมทนาสาธูบุญกับทุกๆพระโพธิสัตว์และทุกๆท่านครับผม
     
  5. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    เคยเห็นมาแล้ว เคยพบมาแล้ว เป็นอย่างนี้ทีเดียวๆ
    คนบางพวก ศรัทธามาก ปัญญาน้อย คนบางพวก ศรัทธาน้อย ปัญญามาก มานะทิฐิมาก
     
  6. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ก็ว่ากันไป . . . ตามแต่วิสัย ที่ได้ทำมา . . .
     
  7. กินข้าวยัง

    กินข้าวยัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +27
    มีบุญแท้ที่ได้ เกิดในดินแดนพุทธ
     
  8. แชมป์คุง

    แชมป์คุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +279
    อนุโมทนาสาธุการ
    เมี่ยว วิธีมหัศจรรย์อาตยะหกสะอาด
    สาน สัมพันธ์ดีแปรเปลี่ยนธาตุแท้
    กวน เพ่งว่างเพ่งรูปรู้สึกแน่
    อิม เสียงแท้หากได้ยินแสวงหา
     

แชร์หน้านี้

Loading...