พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ............................"ข้าน้อยเห็นว่า..ใต้เท้าน่าจะเรียกขุนทัพหรือปลัดเมืองมาไต่

    สวนดู..หรือไม่ก็ส่งคนไปสืบที่ฝั่งตะวันออก..หรือไม่..ก็ทำทั้งสองอย่าง" ปลัดปักษ์เสนอ

    ความเห็นต่อเจ้าเมืองน่านเป็นสามทาง

    ....................แต่ในขณะที่ ร.ต.ต.เวียงซึ่งฟังอยู่กลับมีความเห็นเพียงอย่างเดียวตาม

    ที่ปลัดปักษ์แสดง...จึงได้ออกความเห็นรับรองข้อเสนอของปลัดปักษ์ในสิ่งที่เขาเห็นด้วย

    ............................"แต่ข้าน้อยเห็นว่า ..ควรส่งคนไปสืบดูที่ฝั่งตะวันออกก่อนนะขอ

    รับ..ใต้เท้า"

    ....................ขุนแสงไม่ออกความเห็นอาจเป็น..เพราะความเห็นของเขาก็ตรงกับผู้

    ร่วมประชุมทั้งสองที่ได้เสนอไว้...เจ้าเมืองน่านนั้น"เห็นด้วยกับ ร.ต.ต.เวียง" จึงได้เอ่ย

    คล้อยตามเรื่องการดำเนินการตามความเห็นของ ร.ต.ต.เวียง

    ............................"แล้วจะมอบให้ผู้ใดออกไปสืบดูให้แน่ชัด"

    ............................"ข้าน้อยคิดว่า..ถ้าจะให้ผู้ช่วยของข้าน้อยไปฝ่ายเดียว..ก็อาจมี

    วินิจฉัยที่ไม่แน่ชัด...ข้าน้อยขออาสาไปเอง...และจำนำผู้ช่วยของข้าน้อยข้ามไปฝั่งตะวัน

    ออก...เพื่อสืบเรื่องนี้มารายงานใต้เท้า..ขอรับ" ปลัดปักษ์ขันอาสา

    ....................ที่ประชุมจึงมีมติให้"ปลัดปักษ์ หงษากับผู้ช่วย" ..รับหน้าที่

    สืบ"พฤติการณ์ของขุนทัพและปลัดเมืองอย่างเป็นทางลับ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 019.jpg
      019.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.2 KB
      เปิดดู:
      31
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ......................ตอนที่ 20 เผชิญหน้ากัน....................


    ....................วันรุ่งขึ้น "ปลัดปักษ์ หงษา" พร้อมด้วย "บุญมี" และ "กัมพู" ..ซึ่งเป็นผู้

    ช่วยของเขา..ได้ขึ้นม้าเดินทางมาขึ้นแพขนาดใหญ่..เพื่อข้ามแม่น้ำน่านไปยังฝั่งตะวันออก

    ...................."ปักษ์" เป็นหนุ่มรูปงามอีกคนหนึ่ง..เป็นคนจริงจังตั้งใจทำงาน..และมี

    คุณธรรม..เขามีส่วนสูงต่ำกว่า"เมือง"เล็กน้อย...และอายุไล่เลี่ยกับ "เมือง" โดยมีผู้ช่วย

    อยู่ 2 คน ซึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับเขา..และเป็น"เสมือนเพื่อนของเขา"

    ...................."ปลัดปักษ์" และ "ปลัดเมือง" เป็นปลัดซึ่งอยู่ต่างฝั่งกัน..ไม่เคยพบเห็น

    กันมาก่อน.."เพียงแต่รู้จักชื่อและตำแหน่งของกันและกันเท่านั้น"

    ....................ปลัดปักษ์และผู้ช่วยขึ้นฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน..พวกเขาเริ่มสังเกต

    เห็นหมู่บ้านในท้องที่มีรวมกันเป็นกลุ่ม ๆ...แต่ละกลุ่มก็ห่างไกลกันมาก...ผู้คนสัญจรใน

    สมัยนั้นจะใช้ ม้า โคหรือควายเทียมเกวียนในการเดินทาง....ดังนั้น เมื่อปักษ์กับพวกใช้ม้า

    เดินทางปะปนกับผู้คน..จึงไม่มีเหตุใดสงสัยว่า "พวกเขาเป็นคนของทางการ"

    ....................บ่ายวันนี้..."ปลัดเมือง"ขี่ม้าเดินออกมาจากป่าพร้อมกับ..........."บุญ

    แทน"อย่างช้า ๆ.....หลังจากที่ได้ไปตรวจตราท้องที่จากด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้..และ

    กำลังเดินทางมุ่งตรง...ไปทางทิศตะวันตก..เพื่อมุ่งสู่เส้นทางเลียบแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก

    "เป็นขณะเดียวกับที่ ปักษ์ บุญมี และกัมพู ก็ขี่ม้าเดินมาอย่างใจเย็น"...จากแม่น้ำน่านไปยัง

    ป่าทึบ...ซึ่งเส้นทางของ "เมือง" และ "ปักษ์" จะต้องสวนกัน และเผชิญหน้ากันอย่างหลีก

    เลี่ยงไม่ได้

    ....................เมืองเห็นปักษ์กับพวก..ซึ่งเป็นคนแปลกหน้ามาแต่ไกล...และ

    พฤติการณ์การเดินม้าอย่างไม่รีบเร่งของปักษ์กับพวก..ที่กำลังสวนมาที่เขาสังเกต

    เห็น..."ทำให้เขาเริ่มสงสัยขึ้นภายในใจ"..แต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดบอกกับบุญแทน

    ....................ทั้งสองฝ่ายค่อย ๆ บังคับม้าเดินเข้าหากันอย่างช้า ๆ จนเข้ามาในระยะ

    ใกล้กันราว 3 วา...เมืองและปักษ์"ต่างก็จ้องมองกัน" โดยที่ไม่มีใครหยุดม้า

    ....................เมือง และ ปักษ์ ใช้"สายตาจ้องมองกันโดยที่ไม่มีใครหลบสายตาให้

    กัน"......เมืองบังคับม้าเดินอย่างช้า ๆ ผ่าเข้ากลางระหว่างม้าของปักษ์กับบุญมี..โดยมีบุญ

    แทนบังคับม้าของตนเดินตามหลัง.......ร่างกายของเมืองช่วงขาของเขา กับ ขาของปักษ์

    เฉียดห่างกันเพียงฝ่ามือเดียว....การเผชิญหน้ากันเช่นนี้ "พฤติกรรมของทั้งสองฝ่ายต่างมี

    กริยาไม่เกรงกลัวซึ่งกันและกัน"

    ....................เมืองบังคับม้าเดินไปอย่างปกติ...โดยบุญแทนได้บังคับม้าของตนให้มา

    คู่ขนานกับเมือง....และค่อย ๆ ห่างไปจากพวกของปักษ์อย่างช้า ๆ ......โดยที่ทั้งสอง

    ฝ่ายมิได้หันหลังกลับมาดูกันจนกระทั่งเมืองและบุญแทนห่างจากพวกของปักษ์มาราว 50

    เมตร......บุญแทนได้พูดกับเมืองอย่างแผ่วเบา..ด้วยเกรงว่าจะแว่วไปถึงอีกฝ่ายหนึ่ง

    ............................"ปลัด..คนพวกนั้นไม่ใช่คนที่อยู่ในท้องที่ของเรา..พวกเขา

    กำลังเดินทางไปไหน"

    ....................เมืองค่อย ๆ หยิบขวดแก้วที่สะพายใส่ถุงเชือกมะนิลาเอาไว้ที่หัวไหล่...

    พร้อมกับเปิดจุกเหล้าดื่มอย่างกระหาย.....โดยไม่ตอบคำถามของบุญแทนในทันที..เขา

    ดื่มเหล้าไปหลายอึกก่อนที่จะพูดตอบบุญแทน

    ............................"บุญแทน..คนเดินทางต้องมีเป้าหมาย..และต้องการที่จะถึงที่

    หมายโดยเร็วทั้งนั้น"

    ....................บุญแทนจ้องมองหน้าเมือง..และเริ่มคิดคล้อยตามในคำพูดของเขา

    พร้อมกับรอฟังเมืองพูดต่ออย่างตั้งใจ

    ............................"แต่คนพวกนั้น..ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะเร่งรีบ..แสดงว่าพวกเขา

    ไม่มีที่หมายจะไป"

    ............................"แล้วคนพวกนั้นมุ่งหน้าไปไหนกัน" บุญแทนถามด้วยความ

    สงสัย

    ............................"คนพวกนั้นเหมือนกับมาสังเกตการณ์ตรวจตราสถานที่ หรือ คง

    มาสืบอะไรมากกว่า..แต่ที่สำคัญพวกนั้นมีปืนมา" เมืองอธิบายบางอย่างที่สังเกตได้

    ............................"ข้าไม่เห็น ปลัดรู้ได้อย่างไรว่าพวกนั้นมีปืน" บุญแทนย้อน

    ถาม

    ............................"เจ้าไม่สังเกตย่ามที่พวกนั้นสะพายไหล่มาหรือว่า...มันทิ้งหนัก

    ไปมุมหนึ่งที่ก้นย่าม...และข้าก็ไม่เห็นมีสิ่งของอื่นใดใส่มาในยามนั้น"

    ............................."แล้วพิสูจน์ได้อย่างไรว่า ตรงที่มันทิ้งหนักไปที่มุมก้นย่ามคือ

    ปืน" บุญแทนยังคงซักต่อ

    ............................."บุญแทนจำเอาไว้..คนที่มีปืนอยู่จะไม่หวั่นเกรงผู้ใด..เช่นพวก

    เขามาจากต่างถิ่น....น่าจะมีความหวาดระแวงอยู่เมื่อเผชิญหน้ากับเรา..ซึ่งเป็นคนแปลก

    หน้าสำหรับพวกเขา..แต่พวกเขาไม่เป็นเช่นนั้น" เมืองอธิบายต่อ

    ............................."ถ้าเช่นนั้น พวกนั้นอาจเป็นพวกโจรมาตรวจดูลู่ทางในการเข้า

    ปล้นหมู่บ้านของเราก็เป็นได้นะปลัด" บุญแทนออกความเห็นอย่างกังวล

    .....................เมืองรับฟังความเห็นของบุญแทน เขายังคงนิ่งสงบหาได้มีความกังวล

    เช่นบุญแทนไม่...แล้วเขาได้ตอบอธิบายให้ความมั่นใจแก่บุญแทนอย่างชัดเจนขึ้น

    .............................."บุญแทน ดวงตาของคนที่เป็นหัวหน้า แววตาของเขามิใช่

    แววตาที่จะทำร้ายใคร...แต่เป็นแววตาของผู้ทรงคุณธรรม...เขาไม่หลบสายตาของเราเมื่อ

    เผชิญหน้ากัน...เพราะเขาบริสุทธิ์ใจว่าเขามาดี"

    ....................บุญแทนพยักหน้าอย่างเข้าใจที่เมืองอธิบาย

    ..............................."บุญแทน ข้าว่าเราไปหาเหล้ากินที่บ้านลุงแก้วกันดีกว่า"

    ....................เมืองเอ่ยชวนบุญแทน ด้วยเห็นว่าได้เวลาที่จะพักผ่อนอย่างสุขสันต์

    แล้ว..พูดเสร็จเขาก็เร่งควบม้าไปอย่างเร็ว โดยมีบุญแทนควบม้าตามหลังไปติด ๆ

    ....................กล่าวฝ่ายปักษ์ซึ่งเผชิญซึ่งเผชิญหน้ากับเมืองมาสักครู่...เขาและพรรค

    พวกได้เคยรู้เลยว่า..."บุคคลที่เผชิญหน้ากับเขาเมื่อสักครู่นี้ คือ ปลัดเมือง มีสุข ที่เขาได้

    รับคำสั่งให้มาสืบดูพฤติการณ์พร้อมกับขุนทัพ"...เขาเห็นท่าทางของเมืองคนแปลกหน้า

    สำหรับเขา..ที่นั่งอยู่บนหลังม้าและผ่านเขาไป...ด้วยลักษณะท่าทางที่สง่างามพร้อมกับ

    ดวงตาที่งดงามและมีอำนาจอย่างประหลาด ๆ อยู่ในแววตา..เขาถึงกับเอ่ยชมและวิจารณ์

    ให้ผู้ช่วยทั้งสองของเขาฟัง

    ............................"ดวงตาช่างงดงามและมีอำนาจประหลาด ๆ อยู่ในแววตา ..ใคร

    กันนะ"

    ....................กัมพูหันมาทางปลัดปักษ์ พร้อมกับเอ่ยแสดงความเห็น

    ............................"ข้าว่า..คงเป็นชาวบ้านที่อยู่แถวนี้..ความจริงเราน่าจะสอบถาม

    พวกเขาดู ถึงการเสียภาษีที่ขุนทัพและปลัดเมืองจัดเก็บ..และสอบถามพฤติกรรมของสอง

    คนนั้นจากพวกเขา"

    ............................ "ข้าต้องการดูท้องที่ของเมืองน่านที่อยู่ฝั่งนี้ก่อนว่า...มี

    อาณาเขตเพียงใด" ปักษ์บอกขั้นตอนการสืบอันเป็นการแย้งความคิดเห็นของกัมพู

    ...................บุญมีผู้ช่วยอีกคนของปลัดปักษ์ ซึ่งกำลังฟังอยู่และเป็นเพื่อนคบหากับ

    กัมพูมานานจึงรู้ว่า "กัมพูเป็นคนใจร้อนและใจเร็ว"..จึงได้เอ่ยตัดความกังวลของกัมพู

    ............................."เรายังมีเวลาอีกหลายวันเพื่อน"

    ...................กัมพูเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น

    ............................."แล้วตกค่ำคืนนี้ เราจะพักที่ไหนกันดีปลัด"

    ............................."เราจะหาวัดสักแห่งหลับนอน และสอบถามพระเรื่องการ

    บิณฑบาตพอเพียงไหม"

    ............................."ถามทำไมเรื่อง บิณฑบาต" กัมพูย้อนถามด้วยความสงสัย

    ............................."หากพระมีอาหารขบฉันพอเพียง...ก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า..ชาว

    บ้านที่นี่ไม่ขาดแคลน" ปลัดปักษ์อธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลในสิ่งที่เขาคิด

    .....................เพราะว่า การบิณฑบาตของพระภิกษุ ..หากได้ภัตตาหารมากย่อมเป็น

    สิ่งที่ยืนยันว่า.."ชาวบ้านมีศรัทธาในพระสงฆ์และไม่ขัดสนเงินทอง"...เมื่อไม่ขัดสนเงิน

    ทอง..ชาวบ้านก็น่าจะจ่าย"เงินภาษีให้แก่ขุนทัพและปลัดเมืองได้มากตามส่วนของการทำ

    มาหาได้"...ซึ่งความจริงอันนี้ เป็นความจริงอันหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ความไม่ชอบมาพากล

    ของขุนทัพและปลัดเมืองว่า "ขุนทัพและปลัดเมืองยักยอกเงินภาษีของเมืองน่านหรือไม่"

    ....................กัมพูและบุญมีฟังปลัดปักษ์อธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลเพียงสั้น ๆ..ทำ

    ให้พวกเขาถึงกับนิ่งอึ้งยอมรับในความจริงตามคำพูดของปักษ์..และเชื่อถือใน"ความฉลาด

    ของปักษ์" พร้อมกับมีความเลื่อมใสและศรัทธาในตัวปักษ์มากขึ้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.5 KB
      เปิดดู:
      39
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................ในความคิดของปักษ์เขาเชื่อว่า "พระภิกษุที่อยู่ในเมืองน่าน เป็นพระที่

    เคร่งครัดในศีลและพระวินัย..ไม่มีทางที่จะพูดปดต่อเขา"......จากการที่พระภิกษุเคร่งครัด

    ในศีลและพระวินัยนี้เอง...ทำให้คนเมืองน่านเคารพและศรัทธามาก...จนได้มีการช่วย

    เหลือกันสร้างวัดถวายให้พุทธศาสนาและพระภิกษุสงฆ์..เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาขึ้นอย่าง

    มากมาย

    ..................โดยเฉพาะที่ตัวเมืองน่านซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน....มีวัดที่อยู่

    ใกล้เคียงกันประมาณ 14 วัด...วัดเหล่านี้คือ สิงที่ยืนยันศรัทธาของคนเมืองน่านว่า.....

    "มีความมั่นคงต่อพุทธศาสนาเพียงใด"...และถึงแม้ว่าทางฝั่งตะวันออกที่ปักษ์กำลังปฏิบัติ

    หน้าที่อยู่นี้จะมีวัดอยู่ค่อนข้างน้อยกว่าฝั่งตะวันตก..."แต่เขาก็เชื่อว่าพระภิกษุต้องให้ความ

    จริงแก่เขา"

    ...................ในความเป็นจริงของความฉลาดมีไหวพริบ และ มีความสามารถ

    ระหว่าง "เมือง" กับ "ปักษ์" ต่างฝ่ายก็ไม่ด้อยกว่ากัน....แต่อุปนิสัยทั้งคู่แตกต่างกันอย่าง

    เห็นได้ชัดเจนก็คงเป็น "ความตรงไปตรงมาของปักษ์" กับ "ความยืดหยุ่นของเมือง"...และ

    นิสัยการชอบดื่มเหล้านั้นปักษ์มิเตยแตะต้องหรือลิ้มลองมัน....แต่เมืองดื่มเหล้าเป็นอาจิณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1631.JPG
      IMG_1631.JPG
      ขนาดไฟล์:
      6 KB
      เปิดดู:
      37
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ...................ตอนที่ 21 ความรักของบุญแทน...............


    ...................."เมือง"และ"บุญแทน"ควบม้าอย่างเร็วมุ่งตรงมาที่บ้านของ "ลุงแก้ว"

    โดยผ่านท้องทุ่งนาที่กว้างใหญ่ไพศาล..พร้อมกับแสงแดดอันร้อนแรงระอุยามบ่าย..ที่ส่อง

    แสงมาแผดเผาร่างของทั้งสอง ..และก็มาถึงบ้านของลุงแก้วราวบ่ายสามโมง

    ....................บ้านของลุงแก้วเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง อันเป็นแบบของบ้านทรง

    ไทยทั่วไป...มีขนาดค่อนข้างใหญ่โต..พอจะให้คนราว 10 คน นอนหลับพักผ่อนอยู่บน

    บ้านได้อย่างสบาย ...ห่างจากตัวบ้านไปทางทิศตะวันตก...จะมีแคร่ไม้ขนาดคนนั่งล้อม

    วงได้ 6 คน..อยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่ "อันเป็นสถานที่สนุทรีของเมืองและลุงแก้วกับพวก ที่ใช้

    สำหรับนั่งร่ำสุรากันจนเมาพับกันไปข้างหนึ่ง"...เพราะเป็นสถานที่ที่ลมเย็นพัดผ่านท้องทุ่ง

    นาของเมืองน่านฝั่งตะวันออกพัดโชยมาอยู่ตลอดเวลา

    ...................."ลุงแก้ว เป็นสามีของ "ป้าสวอง" มีบุตรสาวเพียงคนเดียว คือ "บุบผา"

    ซึ่งชื่อนี้ไม่ใช่ "บุปผา" ที่แปลว่า "ดอกไม้" ..........แต่เป็นชื่อที่มีความหมายถึง......

    "การบุบสลายของหน้าผา".....บุบผามีอายุราว 22 ปี ซึ่งอายุของนางแก่กว่า เมืองและ

    บุญแทน เล็กน้อย "นางจัดเป็นคนหน้าตาดี ผมยาวผิวดำขำ"

    ...................."ลุงแก้ว"เป็นหนึ่งในทหารที่อยู่กับ"ขุนทัพ"..ตอนที่"สายฝน"แม่ของ

    เมืองเข้ามาในแผ่นดินสยาม....เช่นเดียวกับพ่อของบุญแทน...ทั้งเมืองและบุญแทนจะมา

    ดื่มเหล้าที่บ้านของลุงแก้วเป็นประจำหลังจากเสร็จภาระกิจ..และมีเรื่องปรึกษาหารือ..

    พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮากันตลอดทุกครั้ง...เพราะ"พวกเรารักและเคารพ

    นับถือกันดุจญาติสนิท"

    ...................."บุญแทน"แอบหลงรัก"บุบผา"มานาน...แต่"มิกล้าเอ่ยปากจีบหรือ

    บอกรักกับบุบผา" ได้แต่เฝ้าแอบมองดูอยู่เฉย ๆ ..ซึ่งการเฝ้าแอบมองดูบุบผาของบุญ

    แทนก็ไม่พ้นการลอบสังเกตของ"เมือง".....เมืองจึงรู้สึกว่า.."บุญแทนแอบรักบุบผา"...แต่

    เมืองไม่เคยเป็นพ่อสื่อพ่อชัก..หรือ แนะนำอะไรแก่บุญแทนมาก่อนเลย..คงปล่อยให้มัน

    เป็นไปตามธรรมชาติของความรัก...แล้วแต่บุพเพสันนิวาส
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  5. naproxen

    naproxen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +742
    กราบพระนิยตะโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ครับ
     
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................ทันที่ที่เมืองกับบุญแทนมาถึงบ้านลุงแก้ว..ก็พบว่า"ลุงแก้ว"กำลังนั่ง

    เหลาไม้ไผ่อยู่บนแคร่..พร้อมกับไหเหล้า...โดยมีกะลาผ่าครึ่งซีกขัดเป็นมันวาวใช้แทนแก้ว

    เหล้า...ในการดื่มกินวางอยู่ข้าง ๆ

    ....................เมืองและบุญแทนผูกม้าไว้กับหลักไม้ข้างแคร่นั้น...ลุงแก้วเห็นสหายรู้ใจ

    คราวลูกคราวหลายมาเยือนจึงยิ้มอย่างยินดี..แล้วเอ่ยทักทายขึ้นก่อน

    ............................"วันนี้ไปไหนมาล่ะปลัด"

    ............................"ไปหมู่บ้านด้านทิศใต้น่ะลุง" เมืองตอบพร้อมกับหยิบกะลาที่มี

    เหล้าที่ลุงแก้วดื่มแล้ว..เหลืออยู่ยกขึ้นดื่ม..และนั่งลงบนแคร่ข้างลุงแก้ว

    .....................บุญแทนนั่งลงข้างเมือง..แล้วได้เอ่ยรายงานกับลุงแก้ว

    ............................"วันนี้..ข้าเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในท้องที่ของเราน่ะลุง"

    ............................"คนแปลกหน้ามันก็มาท้องที่ของเราเป็นประจำหรอกบุญแทน"

    ลุงแก้วเอ่ยตอบบุญแทนด้วยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

    ............................"มันไม่ใช่อย่างที่ลุงคิดนะ มันเข้ามาอย่างตรวจตราท้องที่ของ

    เรา..และมันมีปืนมาด้วย" บุญแทนแย้งคำพูดของลุงแก้วพร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่ม

    ............................"หา...โจรหรือเปล่าว่ะ" ลุงแก้วอุทานเมื่อฟังความเพิ่มจากบุญ

    แทน..ทำให้เปลี่ยนความคิดเดิม

    ............................"ไม่ใช่หรอกลุง แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นพวกไหน" เมืองเอ่ยตอบ

    หลังจากวางกะลาเหล้าไว้บนแคร่..แล้วยกไหเหล้าขึ้นมารินใส่ส่งให้บุญแทนดื่มต่อ

    ....................เมืองหยุดสนทนาแล้วหันไปมองบนบ้านและรอบ ๆบ้าน พลางเอ่ยถาม

    ลุงแก้วต่อ

    ............................."ป้าสวองกับบุบผาไปไหนหรือลุง"

    ............................."ออกไปเก็บมะเขือ กับ ฟักทอง ที่หลังบ้านโน้น เห็นบอกว่าจะ

    เอามาลวกจิ้มกับน้ำพริกกินเย็นนี้"

    ....................เมืองพยักหน้ารับรู้..แล้วหันมาหยิบไม้ไผ่ที่วางบนแคร่ขึ้นมาลูกคลำ

    พร้อมกับลองดัดไม้ที่ลุงแก้วเหลาไว้ดู และได้เอ่ยขึ้น

    ............................."ลุงไม้ไผ่นี่มันเหนียวดีนะ..ลุงทำคันธนูให้ข้าสักอันหนึ่งได้

    ไหม.....ข้าอยากลองใช้มันแทนปืน"

    ............................."ธนูมันไวสู้ปืนไม่ได้หรอกปลัด..แถมยังเกะกะอีกต่างหาก"ลุง

    แก้วอธิบายความต่างของอาวุธ

    ............................."แต่ข้าว่า มันใช้แล้วไม่มีเสียงดัง แถมเมื่อเล็งตรงเป้าแล้วมันก็

    ไม่มีอาการสะบัดเหมือนปืนที่ข้ายิง....ข้าเล็งตรงเป้าทีไรมันต้องสะบัดออกจากเป้าทุกที"

    ....................เมืองบอกประสบการณ์การยิงปืนอันเป็นเหตุผลในการโต้แย้งลุงแก้ว..

    พร้อมกับหยิบอาวุธปืนที่พกไว้ที่เอวอย่างมิดชิดส่งให้แก่ลุงแก้วดู

    ....................ลุงแก้วรับอาวุธปืนขึ้นมาดู พิจารณาแล้วจึงเอ่ยอุทานขึ้น

    ............................."นี่มันปืนของขุนทัพนี่นา"

    .....................ปืนของขุนทัพเป็นอาวุธปืนพกสั้นแบบลูกโม่ ..บรรจุกระสุนปืน

    ขนาด .38 จำนวน 6 นัดตามรูลูกโม่ ..ขุนทัพได้รับแจกจากทางการ.เมื่อตอนไปอยู่ด้าน

    แม่สาย เมืองเชียงราย

    .............................."พ่อให้ข้าไว้ใช้..ส่วนพ่อข้าได้ปืนยาวแบบลูกซองมาใหม่"

    เมืองให้เหตุผลที่พ่อยอมสละอาวุธปืนส่วนตัวให้เขาไว้ใช้

    .............................."เอาเป็นเรื่องคันธนูพร้อมกับลูกธนู ลุงจะทำให้ก็แล้วกัน"

    .............................."ขอบคุณลุงมาก"

    .....................ลุงแก้วส่งอาวุธปืนคืนให้แก่เมือง...ช่วงจะหวะนี้..เสียงกระดิ่งที่ห้อยคอ

    ของวัวสองตัวที่ใช้เทียมเกวียนก็ได้ดังเข้ามาในบ้าน.อันเป็นสัญญาณบอกว่า "ป้าสวองและ

    บุบผาได้มาถึงบ้านแล้ว"

    .............................."คืนนี้ก็นอนเสียที่นี่นะปลัด" ป้าสวองเอ่ยทักทายขึ้นทันทีเมื่อ

    เห็นแขกประจำมาเยือน.....อันเป็นประโยคที่ทำให้เมืองและบุญแทนส่งเสียงหัวเราะออก

    มาอย่างดัง.....พร้อมกับรอยยิ้มของลุงแก้ว.....เพราะทุกคน ณ ที่นั้นต่างรู้ดีว่า"หากทั้ง

    สามคนกินเหล้ากันจนได้ที่แล้วเป็นอันต้องเมาพับ..หลับกันเสียที่แคร่นั้น"...ปล่อยให้ยุงได้

    กินเลือดจนอิ่ม...ด้วยเหตุที่ไม่มีใครสามารถเดินขึ้นไปนอนบนบ้านได้..และทั้งป้าสวองกับ

    บุบผาก็ไม่สามารถประคองปีกทั้งสามคนขึ้นไปบนบ้านได้..."การพูดทักทายของป้าสวองก็

    คือการเหน็บแนนผู้ฟังทั้งสามนั่นเอง"

    ............................"แล้วเย็นนี้ป้าจะทำอะไรกิน" เมืองย้อนถาม

    ............................"ตำน้ำพริกป้าร้าไง..ไปเก็บมะเขือกับฟักทองมาแล้ว เดี๋ยวให้บุบ

    ผาเอาไปต้ม..แล้วป้าจะยกมาให้กิน"
     
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองน่าน...โดยเฉพาะฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ

    น่าน.."เป็นชีวิตที่เรียบง่ายไม่มีพิธีรีตอง..ไม่ถือยศหรือศักดิ์ มีความจริงใจให้แก่กัน..ช่วย

    เหลือซึ่งกันและกันโดยไม่หวังผลตอบแทน...หรือมีสิ่งใดแอบแฝง จึงเป็นธรรมชาติที่งด

    งามภายในจิตใจของผู้คนเมืองน่าน ที่ทำให้เมืองน่านน่าอยู่"

    ....................แม้จะมีความแร้งแค้นเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศอยู่บ้าง...แต่ก็เป็นเพียงบาง

    ฤดู..ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสายลมจะพัดให้ความชุ่มฉ่ำอยู่ตลอดเวลา..เพราะมีป่าไม้เขียวสดตั้ง

    อยู่เหมือนกับ "การประกาศความสวยงามท้าทายผู้บุกรุกตัดไม้ทำลายป่าว่า เขาจะเลือกเอา

    การตัดไม้ไปเพื่อทำลายความสวยงาม หรือ จะคงความสวยงามของป่าเอาไว้ โดยการ

    ทำลายความอยากได้ไม้ที่มีอยู่ในใจตน"....."ซึ่งสมัยนั้นป่าไม้อันสวยงามยังคง

    ประกาศความสวยงามของมันตั้งอยู่....อันทำให้เห็นว่า ความโลภของคนที่อยาก

    ได้มันไป..พ่ายแพ้แก่ความสวยงามของป่า"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2011
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ...........ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปทั้งทางโลกและทางธรรมครับ......
     
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................ป้าสวองและบุบผาหายเข้าไปในบ้านอยู่พักใหญ่...ก็ยกเอาหม้อข้าวและ

    กับข้าวมาวางบนแคร่...บุบผาตักข้าวใส่จานให้แก่เมืองและบุญแทนซึ่งเป็นแขกก่อน"อัน

    เป็นมารยาทของสังคมสยาม" แล้วจึงตักให้ลุงแก้ว

    ............................"อ้าว...แล้วป้ากับบุบผาไม่กินด้วยกันหรือ" เมืองเอ่ยทักเมื่อ

    บุบผาตักข้าวไม่ครบคน

    ............................"ยังจ้ะ" บุบผาตอบ

    ............................"ไม่ต้องห่วงหรอกปลัด..ป้ากับบุบผาต้องรอให้ตะวันตกดินก่อน

    นั่นแหละ..จึงจะหิว" ป้าสวองแจงยืนยันเวลากินข้าวมื้อเย็น

    ....................หลังจากสมาชิกร่ำสุรา..เปลี่ยนมาเป็นกินอาหารมื้อเย็นได้สักครู่ ป้า

    สวองได้เอ่ยถามถึงรสอาหารกับคนชิม..อันเป็นธรรมดาของแม่ครัวปรุงอาหาร ..ที่เมื่อทำ

    อาหารแล้วก็ต้องการให้รสชาดถูกปากคนชิม

    ............................"เป็นไงบ้างน้ำพริกของป้า"

    ............................"อร่อยดีป้า" เมืองตอบตามความรู้สึก

    ....................หลังจากฟังคำตอบที่เหมือนคำชม ..ป้าสวองถึงกับหน้าบานด้วยความ

    ภูมิใจในฝีมือตำน้ำพริกของแก แล้วจึงเอ่ยอวดตัวเองอย่างมีเหตุมีผล

    ............................."นั่นนะซิ...ตำน้ำพริกแล้วถ้าไม่ให้เขาชิม..เขาจะรู้หรือว่า

    น้ำพริกเราอร่อย"

    ....................หลังจากป้าสวองเอ่ยประโยคดังกล่าวขึ้นมา..ความคิดแว่บหนึ่งของ

    เมืองได้เกิดขึ้น...เขาถือช้อนค้างไว้ครู่หนึ่ง..แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า..เหมือนกับ

    คิดอะไรอย่างต่อเนื่อง..และจึงหันกลับมามองบุญแทน...ซึ่งอาการของเมืองดังกล่าวทำให้

    บุญแทนรู้สึกประหลาดใจ

    ....................เสร็จสิ้นอาหารมื้อเย็นพร้อมกับตะวันลับขอบฟ้า..ป้าสวองและบุบผายก

    สำรับกับข้าวขึ้นไปบนบ้าน...แล้วจุดตะเกียงเจ้าพายุใบใหญ่ขึ้นเพื่อส่องให้ความสว่าง

    บริเวณแคร่....เพื่อให้ทั้งสามคุยปรึกษาหารือกันต่อไป

    ....................ในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้...ค่ำมืดต้องใช้ไฟจากตะเกียงเจ้าพายุ หรือ

    ตะเกียงดวงเล็กที่ใช้กระป๋องขนาดเล็กใส่น้ำมันก๊าด...และใช้เชือกพันกันขนาดเท่าดินสอ

    เป็นใส้ตะเกียงจุดให้แสงสว่าง...หรือไม่ก็ใช้เทียนไข...."ตะเกียงเจ้าพายุ"ให้แสงสว่างได้

    ไกลและสว่างจ้ามาก..มันเป็นสิ่งที่ให้แสงสว่างได้ดีที่สุดกว่าแสงตะเกียงอื่นในสมัยนั้น

    ....................เมืองขบคิดอะไรบางอย่างอยู่นานแล้วจึงเอ่ยกับลุงแก้ว

    ............................."ข้าคิดว่าคืนนี้ ข้าจะไม่นอนค้างกับลุงแล้วล่ะ"

    ....................คำพูดของเมือง ทำให้ลุงแก้วสงสัยขึ้นมา...เพราะปกติหลังจากกินข้าว

    มื้อเย็นเสร็จสิ้น..เมืองจะต้องนั่งร่ำสุราต่อจนเมาพับไป ลุงแก้วจึงถามด้วยความสงสัย

    ............................."มีอะไรหรือปลัด"

    ............................."ข้ามานั่งทบทวนดูแล้ว ข้าคิดว่า..ข้าเองไม่รอบคอบกับบาง

    เรื่อง" เมืองตอบลุงแก้ว พร้อมกับขมวดคิ้วจนเห็นชัด

    ............................."เรื่องอะไรหรือ" ลุงแก้วถามอย่างสนใจ

    ............................."เรื่องที่คนต่างถิ่นแปลกหน้า เข้ามาตรวจตราท้องที่ของเรานะ

    ซิ...ข้าคิดว่าข้าไม่น่าจะทิ้งมาเช่นนี้..น่าจะส่งคนสะกดรอยสังเกตการณ์ดูพวกเขาว่ามา

    ทำไมกัน...เพราะถ้าไม่มีเหตุพวกเขาคงไม่มา" เมืองอธิบาย

    ............................."อืม..จริงด้วย...แล้วปลัดคิดจะทำอย่างไร"

    ............................."ข้าจะไปหา มุก กับ สาย ให้สะกดรอยคนพวกนั้นแทนข้า..

    เพราะพวกนั้นยังไม่เคยเห็นมุกกับสาย เหมือนข้ากับบุญแทน" เมืองแจงวิธีการ

    ............................."แล้วจะไปหา มุก กับสายคืนนี้เลยหรือ"

    ............................."ใช่ลุง พรุ่งนี้จะให้ทั้งสองคนตามพวกนั้นแต่เช้า..เพราะคืนนี้

    คนพวกนั้นคงพักที่ไหนสักแห่งในท้องที่เรา...คืนนี้ขึ้น 13 ค่ำนะลุง ดวงจันทร์สว่างพอเห็น

    ทาง"

    ....................เมืองพูดเสร็จก็ลุกขึ้นจากแคร่พร้อมกับบุญแทน และเดินไปแก้เชือกม้า

    ออกจากหลักพร้อมกับขึ้นนั่งบนหลังม้าทันที

    ............................"บอกป้าสวองกับบุบผาด้วย..ข้าไปก่อนล่ะ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A151.jpg
      A151.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.8 KB
      เปิดดู:
      33
    • A231.jpg
      A231.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66 KB
      เปิดดู:
      32
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................บ้านของมุกอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน...ใกล้กับแม่น้ำน่านไปทาง

    ทิศใต้ของบ้านขุนทัพ....บ้านมุกห่างจากตัวเมืองน่านซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน

    ราว 1 กิโลเมตร...ส่วนบ้านของสายห่างจากตัวบ้านของมุกไปทางทิศตะวันออกประมาณ

    ครึ่งกิโลเมตร....ซึ่งบางครั้งทั้งมุกและสายก็มาพักหลับนอนที่บ้านขุนทัพ..ไม่ได้กลับไป

    นอนบ้าน

    ....................เมืองและบุญแทนควบม้าออกจากบ้านลุงแก้วมาอย่างช้า ๆ และมา

    เปลี่ยนบังคับม้าให้เดินปนวิ่งเยาะ ๆ ไปเรื่อย ๆ......เมืองเปิดขวดแก้วที่ใส่เหล้าของเขายก

    ขึ้นดื่ม..เขาจึงรู้ว่าเหล้ากำลังหมด

    ............................"โธ่เอ้ย...ลืมเติมเหล้ามาจากบ้านลุงแก้ว"

    ....................เมืองบ่นแล้วหันมาทางบุญแทน..บรรยากาศการเดินทางค่ำคืน อากาศ

    กำลังเย็นสบายภายใต้แสงจันทร์ขึ้น 13 ค่ำ แม้ดวงจันทร์จะไม่เต็มดวงก็สามารถเห็นอะไร

    ค่อนข้างชัดเจน..ซึ่งขณะที่เมืองหันมาทางบุญแทนก็พบเห็นบุญแทนทองเขาอยู่แล้ว...

    เมืองจึงเอ่ยถาม

    ............................"มีอะไรหรือบุญแทน"

    ............................"ปลัดคิดอะไรอยู่ ตอนที่ป้าสวองพูดตอนกินข้าว" บุญแทนถาม

    ด้วยความอยากรู้

    ....................เมืองเบนหน้าจากบุญแทน..พร้อมกับคิดทบทวนตอนป้าสวองพูด แล้ว

    เขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างดัง"เหมือนกำลังสุขใจ"...ยังความแปลกใจและอยากรู้เรื่องให้แก่

    บุญแทนเพิ่มขึ้น...บุญแทนจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังแข่งกับเสียงหัวเราะของเมือง ลักษณะ

    เหมือนการกำชับให้เมืองหยุดหัวเราะ

    ............................."ปลัด" แต่ไร้ผล..เมืองยังคงหัวเราะเหมือนกับว่า มีเรื่องสุข

    ใจบางอย่างเข้าไปสู่ในใจของเขา..และเขาต้องการเสพอารมณ์สุขใจเช่นนั้นโดยไม่อยาก

    ปล่อยวาง......ประกอบกับเขายังคงอยู่ในอาการเมาเหล้า..จึงทำให้ความคิดอ่านหรือการ

    ออกจากอารมณ์ที่เสพอยู่เป็นไปอย่างเชื่องช้า....บุญแทนจึงต้องเป็นฝ่ายรอให้ปลัดเมือง

    ปรับเปลี่ยนอารมณ์.....ในขณะที่ทั้งคู่เปลี่ยนบังคับม้าให้เดินไปอย่างช้า ๆ

    ....................และในที่สุดเมืองก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดอย่างเป็นงานเป็นการ

    กับบุญแทน

    ............................"บุญแทนจำประโยคที่ป้าสวองพูดได้ไหม"

    ............................"ตำน้ำพริกแล้วถ้าไม่ให้เขาชิม...เขาจะรู้หรือว่าน้ำพริก

    เราอร่อย"บุญแทนทวนคำพูดของป้าสวอง เพราะตนเองจำได้อย่างแม่นยำ..เหตุที่

    ต้องจำก็เนื่องจากเขาเห็นว่า พอป้าสวองพูดประโยคนี้แล้วทำให้..ปลัดเมืองถึงกับถือช้อน

    ค้างและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหมือนขบคิดอะไร

    ............................"ถูกต้องแล้วบุญแทน...นั่นแหละทฤษฎีแห่งปรัชญา"

    เมืองบอกบุญแทนด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

    ....................บุญแทนฟังคำพูดของเมืองแล้ว...เขารู้สึกงง ๆ กับคำพูดของเมือง

    มาก..เขาจึงย้อนถามเมืองด้วยความสงสัยปนเย้ยหยัน

    ............................"ทฤษฎีแห่งปรัชญาอะไรของปลัด...กับเรื่องตำน้ำพริกนี่นะ"

    ....................เมืองมองหน้าบุญแทนอย่างจริงจัง...ด้วยเห็นอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีท่าทีเชื่อ

    ถือ..พร้อมกับพูดถึงการรู้เรื่อง "ความรักที่อยู่ในใจบุญแทน"

    ............................"ถูกต้องแล้วบุญแทน...ข้ารู้นะว่าบุญแทนแอบรักบุบผา"

    ....................เมืองพูดจบบุญแทนถึงกับมีท่าทีตกใจ...ด้วยคิดไม่ถึงว่าเมืองจะรู้..และ

    เมืองก็ได้อธิบายให้บุญแทนฟังอย่างต่อเนื่อง

    ............................"ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น บุญแทนฟังข้านะ คนที่มีความรักอยู่

    ถ้าไม่แสดงความรักของเราให้คนที่เรารักเห็นว่า..ความรักของเรามันจริงใจ ห่วง

    หาอาวรณ์เขาอย่างไร..หรือความรักของเรามันหอมหวานอย่างไร...แล้วเขาจะรู้ได้

    อย่างไรว่า ความรักของเราอร่อย...เมื่อเขาไม่เคยสัมผัส เขาไม่เคยชิมความรัก

    ของเรา....ก็เหมือนกับการตำน้ำพริกแล้วถ้าไม่ให้เขาชิม เขาจะรู้หรือว่าน้ำพริก

    ของเราอร่อย"

    ....................บุญแทนมองหน้าเมืองที่กำลังพูดอย่างตั้งใจฟัง และเขารู้สึกว่า คำพูด

    ของปลัดเมืองช่างมีเหตุผลจนเขารู้สึกคล้อยตาม

    ....................เมืองหยุดมองหน้าบุญแทน เมื่อเห็นท่าทางบุญแทนจดจ้องเพื่อรอเขา

    พูดอยู่...เขาจึงพูดอธิบายต่อไป

    ............................"น้ำพริกใครถ้าอร่อย ก็มีคนอยากที่จะกินมันอีกเรื่อย

    ไป...เปรียบเช่น ความรักของเรา ถ้ามันเป็นรักแท้ที่ให้ความอบอุ่น ความจริงใจ

    ความห่วงหาอาวรณ์ และ ความสุขแก่ผู้ใด ผู้นั้นก็ต้องโหยหาความรักของเรา และ

    ตัวเรา ผู้ให้ความรักแก่เขา ....แต่ถ้าความรักของเราไม่ได้เรื่อง..ก็เหมือนกับ

    น้ำพริกที่มันไม่อร่อย..คงไม่มีใครอยากกิน"

    ....................จบคำอธิบายของเมือง ถ้าใครแหวะดูภายในใจของบุญแทนขณะนี้...

    ก็จะเห็นว่า "ใจของบุญแทนนั้นเหมือนกับมีแสงสว่างประดุจดวงอาทิตย์อยู่ภายใน....เขา

    เกิดปัญญาความคิดที่จะแสดงความรักของเขาให้แก่บุบบผาได้เห็น".....ขณะนี้ความสุขที่

    เห็นลู่ทางของบุญแทนได้บังเกิดขึ้นล้นอกล้นใจ ...เขามองหน้าปลัดเมืองผู้เป็นทั้งนายและ

    เพื่อนของเขาด้วยความชื่นชม...เช่นเดียวกับที่เมืองมองมายังเขาอย่างให้กำลังใจ...แล้ว

    ทั้งคู่ก็ยิ้มและหัวเราะให้กันอย่างมีความสุขท่ามกลางสายลมของท้องทุ่งที่พัดมาอย่างเย็น

    ฉ่ำ พร้อมกับแสงจันทร์ที่สาดส่องสว่างยามนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A441.jpg
      A441.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95 KB
      เปิดดู:
      28
    • A871.jpg
      A871.jpg
      ขนาดไฟล์:
      131.1 KB
      เปิดดู:
      31
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2011
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    .....................บุญแทนรู้สึกศรัทธาในปัญญาความคิดของเมือง...ที่เขาเป็นคนช่าง

    สังเกต ช่างคิด และวินิจฉัยหาเหตุผลเปรียบเทียบ...กับคำพูดของป้าสวองที่ไม่ได้มีสาระ

    เท่าใดนัก..เขากลับนำมาขบคิดเปรียบเทียบ จนทำให้เห็นภาพและพฤติการณ์ของบุญแทน

    ทำให้คำพูดของป้าสวองมีสาระขึ้นมาได้

    .....................บุญแทนจึงได้ใช้ทฤษฏีของเมืองที่ว่า"ตำน้ำพริกแล้วถ้าไม่ให้เขา

    ชิม...เขาจะรู้หรือว่าน้ำพริกเราอร่อย" โดยเขาได้แสดงความรักของเขาให้บุบผาได้

    เห็นในเวลาต่อมา....คือ การหมั่นเอาดอกไม้บ้าง ผลไม้บ้าง สิ่งของแปลก ๆบ้าง..เอาไป

    ให้บุบผา....แม้แต่การไปช่วยบุบผาทำงานบ้านเมื่อยามเขาว่างงาน.....การกระทำของบุญ

    แทนทำให้บุบผาเกิดความรักต่อเขา.....อีกทั้งลุงแก้วและป้าสวองก็ได้ให้ความรักความ

    เมตตาแก่บุญแทนเช่นกัน....และภายหลังที่ เมือง มีสุข ได้จมหายสาบสูญไปในแม่น้ำ

    น่าน ...... บุญแทนและบุบผาก็ได้แต่งงานอยู่กินกันอย่างมีความสุข...จนเกิดบุตรสาว

    ด้วยกัน 2 คน คือ"เด็กหญิงบุศรินทร์" หรือ เด็กหญิงจอย" และ "เด็กหญิงเบญจมาศ หรือ

    เด็กหญิงตาล" บุญแทนจะเล่าเรื่องราวของ เมือง มีสุข เกี่ยวกับทุกเรื่องที่เขารู้มาให้แก่บุตร

    สาวทั้งสองคนได้จดจำ"ลุงเมือง มีสุข" ของพวกเขาไว้..เพื่อให้เล่าสืบต่อให้ลูกหลานรุ่น

    ต่อ ๆ มาได้รับฟังกัน

    ....................ทฤษฎี "การแสดงออกซึ่งความรัก" ดังกล่าว...ได้ถูกถ่ายทอดมา

    เป็นเรื่องราวของ "การจีบ"ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มจีบสาว หรือ สาวจีบหนุ่ม นั้นคือ "การ

    แสดงออกของความรักซึ่งมีมาอยู่จนถึงปัจจุบันนี้"

    ....................เรื่องดังกล่าวทำให้เห็นว่า .."เมือง มีสุข เป็นคนฉลาด เป็นนักสังเกต

    นักคิด เขาคือ "นักปรัชญา" รุ่นเก่าในขณะนั้น และอาวุธอันหนึ่งที่เขาใช้ต่อกร..และ

    หยั่งเชิงกันกับ "ปักษ์ หงษา" ผู้ที่มีปัญญาและไหวพริบไม่แพ้เขาก็คือ "ปัญญาและความ

    คิด" ของเขานั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled.bmp
      ขนาดไฟล์:
      96.4 KB
      เปิดดู:
      35
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ..................ตอนที่ 22 เชิงรุกของปักษ์ หงษา...............


    ....................ค่ำคืนนั้นภายในวัดแห่งหนึ่ง..ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน..เป็น

    เพียงสำนักสงฆ์..ซึ่งยังไม่มีอุโบสถ...อันเป็นสถานที่ที่ปลัดปักษ์กับพวกใช้พักแรก

    ....................ปลัดปักษ์ได้พบกับ"หลวงตา"ซึ่งเป็นเจ้าสำนักสงฆ์ ...หลังจากที่พระ

    ภายในสำนักสงฆ์ได้สวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จสิ้นแล้ว..เมื่อเวลาประมาณสองทุ่ม..เขาได้

    บอกความจริง"เรื่องที่เขาได้รับคำสั่งจากเจ้าเมืองน่าน..ให้มาสืบพฤติการณ์ของขุนทัพและ

    ปลัดเมือง"......เพราะเขาเอง"ไม่ชอบโกหกพระ....ด้วยเขาเป็นคนที่เคารพศรัทธาในพระ

    ภิกษุสงฆ์".....แต่ขอร้องหลวงตามิให้แพร่งพรายเรื่องงานในหน้าที่ของเขานี้ต่อผู้ใด...

    หลวงตาได้ให้ปลัดปักษ์กับพวกพักอาศัยอยู่ที่กุฏิว่างหลังหนึ่ง...และปักษ์ได้รับคำบอกเล่า

    จากหลวงตาเป็นข้อมูลในการสืบเบื้องต้นว่า

    ..........................."ฝั่งตะวันออกนี้พืชพันธุ์ธัญญาหารส่วนใหญ่จะอุดมสมบูรณ์...

    ภัตตาหารที่พระบิณฑบาตได้นั้น...พอเพียงต่อการขบฉันของพระภิกษุ...และตัวขุนทัพกับ

    ปลัดเมือง...เป็นคนที่ชาวบ้านที่นี่ให้ความเคารพรักและความเกรงใจ....ชาวบ้านศรัทธา

    และเชื่อฟังพวกเขา.....ยามที่ชาวบ้านขาดแคลน...ยามเกี่ยวข้าว...ยามเก็บผลไม้...ถ้า

    ชาวบ้านไม่มีผู้คนช่วยเหลือ...หรือ.....ชาวบ้านไม่มีอาหาร...ขุนทัพและปลัดเมืองจะพา

    ลูกน้องของเขาออกไปช่วยเหลือช่วบ้านทุกครัวเรือน....ส่วนภาษีนั้น..หากชาวบ้านมีจ่าย

    ไม่พอ..เขาจะช่วยออกส่วนที่ขาด.......และผู้ใดไม่มีจ่าย...เขาก็จะจ่ายแทนให้...สรุปใน

    สายตาของชาวบ้านและหลวงตา...ขุนทัพและปลัดเมืองเป็นคนดี"

    ....................ปักษ์คิดทบทวนคำพูดของหลวงตา ในขณะที่เขากำลังนอนอยู่ในกุฏิ

    โดยมีบุญมีและกัมพูนอนขนาบซ้ายและขวา.....กัมพูนั้นหลับไปด้วยความอ่อนเพลียและ

    เมื่อยล้าจากการเดินทางทั้งวัน...เขาจึงหลับสนิท.......แต่บุญมียังไม่หลับ..เขานอนหัน

    หน้ามาทางปลัดปักษ์ซึ่ง......"กำลังเอามือก่ายหน้าผากอยู่..เหมือนกับคนกำลังขอบคิด

    ปัญหาไม่ตก"

    ....................แสงตะเกียงกระป๋องน้ำมันก๊าดดวงน้อย...ซึ่งตั้งอยู่ที่พื้นกุฏิยังคงให้แสง

    สว่างอยู่...มันพอที่จะทำให้บุญมีได้เห็นสีหน้าวิตกกังวลของปักษ์ยามนี้...เขาจึงเอ่ยถาม

    ด้วยความห่วงกังวล

    ............................."ปลัดคิดอะไรไม่ตกหรือ"

    .....................ปักษ์ได้ยินเสียงบุญมีที่พูดอย่างแผ่วเบาเหมือนกระซิบข้างหู..แต่เขาก็

    ยังไม่เปลี่ยนท่าที..โดยยังคงเอามือก่ายหน้าผากอยู่...และเอ่ยตอบโดยไม่หันมามองบุญมี

    ............................."ข้าคิดว่า...พวกเรากำลังเจอปัญหา"

    ............................."ปัญหาอะไรหรือ...ที่ทำให้ปลัดถึงกับเอามือก่ายหน้าผาก"

    .....................ปักษ์ฟังคำถามซ้ำของบุญมี..ทำให้เขาถอนหายใจ..เหมือนกับผ่อน

    คลายความคิดชั่วขณะ แล้วจึงเริ่มอธิบายความในใจ

    .............................."ปัญหา คือ ข้าเชื่อที่หลวงตาพูดให้ฟังว่าเป็นความจริง...ขุน

    ทัพและปลัดเมืองเป็นคนที่ชาวบ้านที่นี่รักและชื่อฟัง.....เมื่อเป็นเช่นนี้..ถ้าชาวบ้านรู้ว่าเรา

    มาที่นี่..เพื่อสืบเรื่องของขุนทัพและปลัดเมือง...พวกเขาคงปิดบังเรื่องที่ไม่ดีของขุนทัพ

    และปลัดเมืองเอาไว้....และบอกแต่สิ่งที่ดี ๆ แก่เรา...เราก็จะไม่ได้ความจริงในส่วนที่ไม่ดี

    ของเขา...ดังนั้น การสืบเรื่องนี้คงใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะรู้ผล...ข้าจึงหนักใจ"

    ....................บุญมีรับฟังคำอธิบายของปักษ์แล้ว"เขามีความรู้สึกขัดแย้งในคำพูดของ

    นายเขา" เขาจึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิหันหน้าไปทางปักษ์แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"ก็ในเมื่อปลัดเชื่อว่า....หลวงตาพูดความจริง..และเมื่อหลวง

    ตาท่านรับรองว่า..พวกเขาเป็นคนดี ปลัดก็ควรเชื่อ"

    ....................คำพูดของบุญมีและการเปลี่ยนท่านอนมาเป็นนั่งขัดสมาธิของเขา...ทำ

    ให้ปักษ์ลดมือก่ายหน้าผากลง...แล้วหันไปทางบุญมีพร้อมกับลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิเช่นเดียว

    กับบุญมี ..เขาส่ายหน้าช้า ๆ แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"เจ้าไม่เข้าใจธรรมชาติของคนเสียเลยรึ ไม่มีใครหรอกที่ดีไป

    หมดทั้งตัว.......แต่ละคนก็ต้องมีความดีและความชั่วประจำตัวทุกคน.......การ

    แสดงออกของคนในด้านดีอย่างเดียว..โดยไม่แสดงด้านชั่วออกมาเลย.....คนที่

    สัมผัสแต่ด้านดีของคนคนนั้นก็ต้องรับรองว่า เขาเป็นคนดี.....แต่ถ้าคนได้สัมผัส

    ด้านชั่วของคนคนนั้นบ้าง...เขาก็รับรองไม่ได้ว่าคนนั้นดีจริง...ข้าเชื่อหลวงตาก็

    เพราะคิดว่า หลวงตาได้สัมผัสด้านดีของพวกเขา"

    ............................."ถ้าเช่นนั้นที่เรามานี่..เราไม่ได้มาสืบพฤติการณ์ของพวกเขา

    อย่างเดียว...แต่มา..ค้นหาความไม่ดีของพวกเขา" บุญมีถามพร้อมแสดงความเห็น

    ............................."ถูกต้องแล้ว...ที่เรามาที่นี่เพื่อจับผิดพวกเขา...โดยเฉพาะ

    เรื่องภาษี......เรื่องความดีของพวกเขา ท่านเจ้าเมืองน่านรู้ดีอยู่แล้ว...ชาวบ้านทั่วไปก็รู้

    แต่ความไม่ดีของพวกเขาสิยังไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นเช่นใด เราจึงต้องมาสืบในสิ่งที่

    เราไม่รู้"

    .....................บุญมีพิจารณาตามที่ปักษ์อธิบายและขบคิดต่อไปจนได้ความ..เขาถึง

    กับตกใจและอ้าปากค้างไม่พูดอะไรต่อ...แต่แล้ว..เขาก็เอ่ยขึ้นกับปลัดปักษ์อย่างแผ่วเบา

    ตามที่คิดได้

    ............................."ถ้าพวกเขารู้ว่าเรามาจับผิด..พวกเขาก็ต้องคิดว่าเราคือ

    ศัตรู"

    ....................ปักษ์พยักหน้ารับรองคำพูดของบุญมี...แล้วเขาก็อธิบายความต่อ

    ............................."ข้าคิดตามประมวลคำพูดของหลวงตาแล้ว...แสดงว่า พวก

    เขาไม่ได้ยักยอกเงินภาษีดังที่พวกเราคิดสงสัยกัน.เพราะการที่พวกเขาใช้เงินของตน

    ออกภาษีแทนชาวบ้านที่ไม่มี...และยังได้นำเงินช่วยเหลือชาวบ้านอีก..อันเป็นการใช้จ่าย

    เงินเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังผลประโยชน์ แล้วพวกเขาจะยักยอกเงินภาษีไว้ทำไม

    การยักยอกเงินภาษีไว้โดยทั่วไป..มันต้องยักยอกเอาไว้เพื่อตนเองและพวกพ้อง..และ

    สะสมเอาไว้โดยไม่แจกจ่ายผู้ใด แต่ข้าสงสัยมาก..ว่าพวกเขานำเงินเหล่านั้นมาจาก

    ไหนกัน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Asia19.jpg
      Asia19.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.2 KB
      เปิดดู:
      34
    • Asia04.jpg
      Asia04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.6 KB
      เปิดดู:
      38
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................บุญมีฟังคำอธิบายของเจ้านายตนแล้ว....เขาลดสายตาลงต่ำมองพื้น

    กุฏิ..และขบคิดหาเหตุที่มาของเงินขุนทัพและปลัดเมือง....แต่เขาเองก็คิดไม่ออก..จึง

    ย้อนถามปลัดปักษ์ต่อ

    ............................"แล้วปลัดคิดอย่างไร...ในเมื่อเราได้คำตอบแล้วว่า...พวกเขา

    ไม่ได้ยักยอกเงินภาษี...เราก็สามารถกลับไปรายงานท่านเจ้าเมืองได้แล้ว"

    ....................ปักษ์ฟังคำพูดแสดงความเห็นของบุญมีผู้ช่วยของเขา...เขานั่งคิด

    พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยตอบบุญมี

    ............................."ข้าคิดว่า...พวกเราคงต้องสืบไปก่อนด้วยความระมัดระวัง...

    โดยเฉพาะวันนี้..ในจำนวนคนที่พบเห็นพวกเรา...อาจมีคนจดจำเราได้..และนำไปบอกขุน

    ทัพหรือปลัดเมืองว่า...พวกเราคือคนแปลกหน้าที่เข้ามาในถิ่นของพวกเขา...พวกเขาต้อง

    สงสัยแน่นอนว่า...พวกเราเข้ามาทำไมกัน..และต้องส่งคนสะกดรอยพวกเรา..ทำให้เราทำ

    งานไม่สะดวก"

    ....................การขบคิดพิจารณาและคาดการณ์ของปลัดปักษ์ที่เอ่ยแก่บุญมีไป...เป็น

    เรื่องที่เขาคาดการณ์ได้อย่างถูกต้อง....และขณะที่เขาปรึกษาหารือกับบุญมีอยู่นี้....เป็น

    ขณะเดียวกับที่ปลัดเมืองและบุญแทนได้มาแจ้งแก่ "สาย" และ "มุก" เพื่อให้ทำหน้าที่

    ติดตามคนแปลกหน้าที่เข้ามาในท้องที่วันรุ่งขึ้น

    ....................บุญมีฟังความเห็นและคาดการณ์ของเจ้านายเขา..เขาจึงเอ่ยถามต่อ

    ............................"เมื่อปลัดคาดการณ์เช่นนี้ แล้วปลัดมีแผนการณ์อย่างไรรับมือ"

    ....................คำถามของบุญมี ทำให้ปักษ์หันมองไปที่"กัมพู"ที่กำลังหลับอยู่....จึง

    ทำให้บุญมีต้องมองตาม...ซึ่งกัมพูนั้นหลับสนิทโดยไม่มีทีท่าว่า..จะตื่นขึ้นมานั่งถกปัญหา

    กับพรรคพวกเลย...แล้วปักษ์ก็หันกลับมาที่บุญมีพร้อมกับเอ่ยแผนการณ์ทำงานขึ้น

    ............................"ข้าคิดว่าพวกเราควรแยกกันทำงาน...เพื่อป้องกันการสะกด

    รอย...เพราะเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเห็นพวกเรา คือ สามคน....แต่เมื่อพวกเราแยกกัน...พวก

    เขาจะตามหาเราไม่พบ....ข้าเห็นกัมพูเป็นคนใจร้อนต้องการให้งานเสร็จไว...และเขาไม่

    ค่อยรอบคอบในคำพูด....ข้าเกรงว่าขุนทัพและปลัดเมืองจะจับพิรุธเข้าได้...ข้าจะมอบงาน

    ที่เขาทำโดยไม่ต้องพูด...และคิดว่า งานนี้คนชั่วลูกชั่วหลานจะต้องจดจำเขาไปตลอด"

    ....................บุญมีสงสัยในคำพูดของปลัดปักษ์เกี่ยวกับกัมพูว่า ปลัดปักษ์จะมอบงาน

    อะไรที่ไม่ต้องพูดให้แก่กัมพู ...แล้วงานนี้จะทำให้คนชั่วลูกชั่วหลานจดจำกัมพูได้อย่าง

    ไร..บุญมีจึงถามปักษ์ด้วยความสงสัย

    ............................."แลวปลัดจะให้กัมพูทำอะไร"

    ....................ทันทีที่คำถามสิ้นสุด ...บุญมีสังเกตเห็นแววตาของปักษ์ที่เคร่งเครียด

    อยู่กลับเปลี่ยนเป็นแววตาที่มีประกายสดใส ..ด้วยใบหน้าที่มีปิติสดชื่นพร้อมกับรอยยิ้มที่

    มุมปากของปักษ์ แล้วจึงเอ่ยตอบบุญมี

    ............................."ข้าจะให้กัมพูเดินตรวจพื้นที่ฝั่งตะวันออกของเมืองน่าน

    ทั้งหมด แล้วให้เขาทำแผนที่แสดงตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ อย่างละเอียด เช่น หมู่

    บ้าน ทุ่งนา ป่าไม้ วัด ภูเขา พร้อมสถานที่สำคัญอื่น ๆ รวมทั้งตำแหน่งบ้านของ

    ขุนทัพหรือปลัดเมือง..พร้อมทั้งคำนวณเนื้อที่ฝั่งตะวันออกทั้งหมดว่ามีอยู่เท่าใด"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00421.JPG
      DSC00421.JPG
      ขนาดไฟล์:
      59.3 KB
      เปิดดู:
      31
    • A221.jpg
      A221.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.6 KB
      เปิดดู:
      36
    • A151.jpg
      A151.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.8 KB
      เปิดดู:
      32
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................หลังจากปักษ์เอ่ยจบ...บุญมีถึงกับตกตะลึงในงานดังกล่าวของกัมพู..

    เพราะงานที่ปักษ์เอ่ยไม่ใช่งานเล็ก ๆ อย่างที่บุญมีคิด..."การทำแผนที่อย่างละเอียดเช่นนี้"

    จะต้องใช้เวลาและต้องทุ่มเทการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย...และ เมืองสยามขณะนั้นยังไม่

    มีหน่วยงานใด หรือ บุคคลใดริเริ่มกำหนดการทำแผนที่อย่างละเอียดชัดเจนเช่นนี้มาก่อน

    เลย.....แผนที่เมืองสยามในปี พุทธศักราช 2461 ขณะนั้นเป็นเพียง.."การเขียนหรือทำ

    ขึ้นเพียงคร่าว ๆ เท่านั้น ..ไม่สามารถอ่านภูมิประเทศได้ชัดเจน

    ....................กัมพูได้ทำแผนที่ฝั่งตะวันออกของเมืองน่านเป็นระยะเวลาถึง 3 เดือน

    เศษ..โดยเขามุ่งมั่นทำงานอย่างไม่ย่อท้อจนงานเสร็จ.......และกลับฝั่งตะวันตกเป็นคน

    สุดท้าย

    ....................แผนที่ที่กัมพูทำขึ้น..ทำให้เห็นภูมิประเทศของเมืองน่านฝั่งตะวัน

    ออกอย่างชัดเจน..และเป็นประโยชน์ให้ท่านเจ้าเมืองกำหนด..การสร้างสะพานเชื่อมต่อทั้ง

    สองฝั่งตรงจุดไหน...และสามารถกำหนดจุดสำคัญที่จะก่อสร้างสิ่งใดได้โดยง่าย....ซึ่งการ

    ได้รับประโยชน์จากแผนที่..ทำให้เจ้าเมืองน่านมีคำสั่งระดมเจ้าหน้าที่จัดทำแผนที่ในฝั่ง

    ตะวันตกอย่างละเอียดขึ้น..หลังจากได้ดูแผนที่ของกัมพูได้ไม่นาน."แต่แผนที่ของกัมพูมี

    ข้อสังเกตตรงที่ทิศใต้จะอยู่ด้านบนส่วนทิศเหนือจะอยู่ด้านล่าง...เพราะเหตุเขาเริ่มคำนวณ

    วัดจากทิศใต้ขึ้นเหนือ..จึงทำให้เห็นความต่างของแผนที่ของเขากับแผนที่ในปัจจุบันที่ทิศ

    เหนือจะอยู่ด้านบนเสมอ"

    ....................แผนที่ที่กัมพูทำขึ้นได้ถูกส่งไปยังเมืองหลวงเพื่อเป็นแบบอย่าง..ทำให้

    เมืองหลวงเห็นความสำคัญของการทำแผนที่เช่นนี้....จึงได้มีคำสั่งให้เจ้าเมืองทุกเมืองบน

    แผ่นดินสยามจัดทำแผนที่เมืองของตน...ชนิดระบุตำแหน่งไว้โดยละเอียดส่งเข้าสู่เมือง

    หลวง

    ...................."กัมพู"จึงอาจถือว่า "เขา คือ บิดาแห่งการทำแผนที่ของเมือง

    น่าน"..ซึ่งไม่มีผู้ใดบันทึกคุณประโยชน์ในความดีของเขาไว้...นอกจากที่เมืองน่านแห่ง

    เดียว.....ชื่อของเขาจึงไม่ได้ให้อนุชนรุ่นหลังได้มีการจดจำจนถึงปัจจุบันนี้...ว่ามี

    บรรพบุรุษคนหนึ่งของเมืองน่านเสียสละทำภูมิประเทศสยาม หรือ ปรเทศไทยให้พวกเราได้

    เห็นกันในแผนที่ของเรา

    ....................การวางแผนการณ์ในคืนนั้น ปลัดปักษ์และบุญมีจะแยกการสืบ

    โดย"ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน"..และกำหนดระยะเวลาหนึ่งเดือนให้หลัง...พวกเขาจะกลับมา

    พบกันที่วัดแห่งนี้.....แต่ในส่วนของกัมพูมีข้อตกลงว่า"หากงานของเขาเสร็จเมื่อไร จึง

    ค่อยกลับเมืองน่านฝั่งตะวันตก

    ....................จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะเห็นว่า.."แนวความคิดของปักษ์เป็นคนมอง

    การณ์ไกล และ ไม่ประมาท เขาจะกระทำสิ่งใดไปโดยความระมัดระวัง"....การที่เขาส่ง

    กัมพูไปทำงานเช่นนั้น..ด้วยมองเห็นว่า"เป็นสิ่งทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองมาก ..และเป็น

    การตัดกัมพูไม่ให้มายุ่งกับการสืบเรื่องขุนทัพและปลัดเมือง"....เขามีปัญญาพิจารณาที่จะ

    ใช้ลูกน้องให้ทำงานแบบไหนให้เหมาะสมกับอุปนิสัยของลูกน้องเขา...ซึ่งการทำงานของ

    ปักษ์ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าเมืองน่านมาก...ปักษ์จึงเหมือนกับ......"มือขวาของเจ้า

    เมืองน่าน และ มือขวาของขุนแสงพ่อของเขา"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 071-0800.jpg
      071-0800.jpg
      ขนาดไฟล์:
      145.5 KB
      เปิดดู:
      34
    • A371.jpg
      A371.jpg
      ขนาดไฟล์:
      117.5 KB
      เปิดดู:
      32
    • A381.jpg
      A381.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.4 KB
      เปิดดู:
      37
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ...............ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทั้งทางโลกและทางธรรม...

    พร้อมทั้งมีความสุขตลอดไปครับ.....
     
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ..........................ตอนที่ 30 คนเลี้ยงวัว......................


    ....................รุ่งขึ้นเช้า ณ วัดอันเป็นสำนักสงฆ์ที่ปลัดปักษ์กับพวกพักค้างคืนอยู่..

    ปักษ์ได้แจ้งให้หลวงตาทราบว่า..."พวกเขาจะกลับมาที่สำนักสงฆ์อีกเมื่อครบกำหนดหนึ่ง

    เดือน"....แล้วทั้งสามก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ที่กำหนดไว้

    ....................โดยเริ่มจาก"กัมพู"ได้เดินทางไปทางทิศใต้สุดของฝั่งตะวันออกตั้งแต่

    ริมแม่น้ำน่านเพื่อตรวจตราพื้นที่และรังวัดจัดทำแผนที่....ส่วน"ปลัดปักษ์"ได้เดินทางไปหา

    เจ้าของฝูงวัวและขอทำงานพร้อมกับปลอมเป็น "คนเลี้ยงวัว"อยู่ในเขตพื้นที่ของฝั่งตะวัน

    ออกใกล้เขตพรมแดนเมืองน่านทิศตะวันออกซึ่งติดกับพรมแดนของเมืองลาวหรือประเทศ

    ลาว......และ"บุญมี"ได้ปลอมตัวเป็นคนหางานทำ..และได้ไปขอทำงานอยู่กับ"ลุงโต" ที่

    ประกอบอาชีพทำสวนผลไม้ เช่น มะพร้าว เป็นต้น

    .....................ในขณะที่"มุกและสาย" ก็ได้สืบหาพวกของปลัดปักษ์ตามที่เมืองแจ้ง

    ให้ฟังเมื่อคืนนี้อย่างเร่งด่วน....แต่ทั้งสองก็หาได้พบร่องรอยของคนแปลกหน้าทั้งสามไม่

    ............................"ข้า..ว่าเราสองคนลองแยกกันหาดูอีกทีดีไหม" สายเอ่ยอย่าง

    เนือย ๆ พร้อมกับเอามือลูบเหงื่อที่ไหลออกมาจากใบหน้าและร่างกายจนเปียกชุ่ม

    ............................"อย่าเลยว่ะสาย...ข้าคิดว่าคนพวกนั้นคงรู้ตัวว่า จะต้องมีคน

    สะกดรอย..พวกนั้นจึงไม่ทิ้งร่องรอยอย่างที่ปลัดบอกเราไว้" มุกแสดงความเห็น

    ....................สายพยักหน้ารับความเป็นจริงตามที่มุกพูด..ซึ่งสายเองก็คิดเช่นนี้..แต่

    เพื่อความแน่ใจในการไปแจ้งแก่ปลัดเมือง....เขาจึงคิดที่จะค้นหาดูอีก..แต่เมื่อมุกเอ่ยขึ้น

    เช่นนี้..เขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะค้นหาต่อ..และรีบพากันไปพบกับเมืองตามที่นัดไว้ที่บ้าน

    ลุงแก้ว

    .....................สายกับมุกพากันมาพบเมืองในตอนเย็นที่บ้านลุงแก้ว...หลังจากที่เขา

    รายงานเหตุการณ์ให้เมืองฟังเสร็จสิ้น...บุญแทนก็ได้เดินทางมาถึงบ้านลุงแก้ว..หลังจากที่

    ไปทำงานให้แก่"ขุนทัพ"เสร็จสิ้นแล้ว.....และทั้งหมดก็ร่วมดื่มเหล้าด้วยกันโดยไม่มีใครนำ

    เรื่องของ"คนแปลกหน้าทั้งสาม"ที่เข้ามาในท้องที่มาพูดถึงอีกเลย....บรรยากาศเต็มไป

    ด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินตามประสาเพื่อนพ้องญาติสนิท..โดยมีป้าสวองและบุบผา

    คอยทำอาหารแกล้มเหล้าเสริฟ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A231.jpg
      A231.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66 KB
      เปิดดู:
      32
    • A411.jpg
      A411.jpg
      ขนาดไฟล์:
      108.1 KB
      เปิดดู:
      35
    • A441.jpg
      A441.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95 KB
      เปิดดู:
      38
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................บ่ายวันหนึ่ง เมืองควบม้าไปเพียงลำพังบริเวณท้องทุ่งเกือบสุดเขตพื้นที่

    ของฝั่งตะวันออก ..โดยเขาได้นำคันธนูพร้อมลูกธนูที่ลุงแก้วทำให้เขาไว้ติดตัวไปด้วย...

    เขาควบม้าสีนิลมา...และรู้สึกว่าม้าเริ่มเหนื่อย...เขาจึงเปลี่ยนจากการเร่งฝีเท้าม้าเป็น..

    บังคับม้าเดินไปเรื่อย ๆ...จนใกล้ถึงเขตแดนเมืองน่านซึ่งมีอาณาเขตติดพรมแดนประเทศ

    ลาว....

    ....................เมืองพบวัวฝูงหนึ่ง โดยมีชายคนหนึ่งโพกผ้าพันหัวคลุมหน้าเหลือเพียง

    ลูกตาทั้งสองข้าง...อันเป็นการคลุมในลักษณะที่หลบแสงแดดอันร้อนแรงยามบ่าย...เขา

    เฝ้าเลี้ยงดูวัวฝูงนั้นอยู่เพียงคนเดียว.....เมืองหารู้ไม่ว่าชายคนเลี้ยงวัวนั้นคือ "ปลัดปักษ์

    หงษา" ปลัดเมืองน่านของฝั่งตะวันตกที่ปลอมตัวมาสืบเรื่องราวของเขาและขุนทัพพ่อของ

    เขา".....เมืองจึงไม่ได้ระวังตัวใด ๆ ปล่อยอุปนิสัยของเขาเป็นไปโดยธรรมชาติ

    ....................โดยส่วนใหญ่เมืองเป็นคนไม่ถือตัว...เขาจะเป็นกันเองกับชาวบ้านทุก

    คนและคุยได้สนิทใจ...เขาเห็นคนเลี้ยงวัวอยู่ท่ามกลางแดดกล้ายามบ่าย..เขาจึงบังคับม้า

    เดินเข้าไปหาและทักทายใกล้ ๆ

    ............................"แดดร้อนจังนะ...น้องชาย...ดื่มเหล้าแก้กระหายหน่อยไหม"

    เมืองพูดพร้อมกับเปิดขวดเหล้ายกขึ้นดื่ม..และส่งให้คนเลี้ยงวัว

    ....................ปลัดปักษ์เห็นเมืองอย่างถนัดตา..เขาจึงจำได้ว่า"ชายหนุ่มคนนี้ คือ คน

    ที่ขี่ม้าเดินสวนทางกับเขา..วันที่เขาก้าวเหยียบบนแผ่นดินฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านเป็น

    ครั้งแรก...ซึ่งเขาเคยเอ่ยรำพึงรำพันชมว่า..บุรุษผู้นี้มีดวงตางดงามและมีอำนาจแฝง

    อยู่..กับพรรคพวกของเขา ..และเป็นคนที่"จ้องมองตากับเขาโดยไม่หลบสายตา"...เมื่อ

    เป็นเช่นนี้ปักษ์เกรงว่า..เมืองจะจำเขาได้..."ปักษ์จึงพยายามที่จะไม่สบตากับเมืองตลอด

    เวลาที่อยู่ด้วยกัน....

    ............................"ไม่หรอก..ข้าดื่มไม่เป็น" คนเลี้ยงวัวตอบพร้อมกับหลบสายตา

    มองไปที่วัวตัวหนึ่ง

    .....................เมืองลงจากหลังม้า..พร้อมกับจูงม้าไปผูกไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่..แล้วเดินมา

    ที่คนเลี้ยงวัวพร้อมเอ่ยเป็นเชิงปรึกษาระบายความในใจ....โดยที่เมืองเองเข้าใจว่าคนเลี้ยง

    วัว"ต้องรู้จักว่าเมืองเป็นใคร"

    ............................"เจ้าไม่ดื่ม..เพราะคงไม่ค่อยมีเรื่องหนักใจอย่างข้า..เจ้าเลี้ยงวัว

    เพียงอย่างเดียว....ส่วนข้าต้องตระเวณไปรับรู้เรื่องราวของชาวบ้านฝั่งตะวันออก..อันเป็น

    เรื่องทุกข์ร้อนเสียส่วนใหญ่" คำพูดของเมืองทำให้ปักษ์เริ่มตั้งใจฟังอย่างสนใจ..แม้เขา

    จะมองไปทางอื่น...โดยเขาเริ่มเดาออกว่าบุรุษผู้นี้น่าจะเป็น "ปลัดเมือง มีสุข คนที่เขามา

    สืบพฤติการณ์ตามคำสั่งของเจ้าเมืองน่าน"

    ............................."ฝั่งตะวันออกบ้านเรา..ลงได้แล้งก็ปลูกอะไรได้ผลยาก...ราย

    ได้ส่วนใหญ่ก็มาจากอาชีพเกษตรกรรม..ไม่เหมือนฝั่งตะวันตกซึ่งมีรายได้จากการค้าเข้ามา

    เพิ่ม...ปลัดปักษ์มันคงเก็บภาษีให้เจ้าเมืองน่านเพลินเลย" เมืองยังคงรำพึงรำพันต่อ..และ

    เอ่ยชื่อฝ่ายตรงข้าม ทำให้ปักษ์แน่ใจว่าชายผู้นี้คือ "ปลัดเมือง"

    .................... ปักษ์จึงเอ่ยขึ้นบ้างเหมือนกับรู้จักคุ้นเคย

    ............................."ปลัดไม่เข้าไปดื่มในร่มไม้ก่อน..ตรงนี้มันร้อน..เดี๋ยวข้าตามวัว

    ให้มารวมกันก่อน..แล้วข้าจะตามไปนั่งด้วย"

    .....................เมืองมองไปที่ร่มไม้พร้อมกับตอบรับ

    ............................."อืม...ดีเหมือนกัน งั้นข้าขอหลับสักครู่ก่อน"

    .....................เมืองพูดเสร็จเขาก็เดินไปที่ร่มไม้ซึ่งห่างไปประมาณ 5 วาจากจุดที่เขา

    ยืนคุยกับคนเลี้ยงวัว..ด้วยท่าทางอ่อนเพลีย และเขาก็หลับไปในไม่ช้าที่ได้พัก

    .....................ปักษ์ได้พิจารณาท่าทีของเมืองแล้ว...แม้ขณะที่เขากำลังหลับ..

    โดยใช้หลังพิงไว้กับต้นไม้..และยกหัวเข่าซ้ายตั้งขึ้นทำให้เท้าซ้ายของเขายัง

    เหยียบพื้นดินอยู่...แต่ขาขวาของเขาเหยียดขนานกับพื้นดิน.."อันเป็นการหลับ

    นอน..ที่คนหลับเหมือนไม่มีความตั้งใจจะนอนหลับ...โดยสภาพน่าจะเป็นการฝืน

    ตัวเองไว้..แต่คงเพราะความอ่อนเพลียทำให้เขาหลับไป"...ข้างกายของเมืองมีคันธนู

    พร้อมกับลูกธนูที่ใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่วางอยู่ข้าง ๆ แต่ขวดเหล้าที่เมืองพยายามส่งให้

    ปักษ์เพื่อให้ดื่ม..ยังคงสะพายอยู่ที่หัวไหล่ของเขา

    .....................ปักษ์เห็นสภาพเมืองเช่นนี้.....เขาเข้าใจโดยอ่านลักษณะได้ทันที

    ว่า"เมืองเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง..เขาเป็นคนขยันทำงาน..แม้แต่เวลาพักผ่อนเขายัง

    ข่มใจพยายามที่จะไม่หลับไม่นอน...ปักษ์เริ่มมีความเห็นคล้อยตามคำพูดของ

    หลวงตาที่เขาได้รับฟังก่อนหน้านี้..พร้อมกับคำพูดของเมืองที่เขารำพึงรำพันเมื่อ

    ครู่นี้..ด้วยถ้อยยคำที่หนักแน่น..หาได้มีการเสแสร้งแต่อย่างใดที่ว่า.."ส่วนข้าต้อง

    ตระเวณไปรับรู้เรื่องราวของชาวบ้านฝั่งตะวันออก..อันเป็นเรื่องทุกข์ร้อนเสียส่วน

    ใหญ่"...แสดงว่าเขาจะต้องไปดูแลชาวบ้านของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน..."ปักษ์เริ่ม

    ศรัทธาในตัวเมือง..แต่เขาก็พยายามจะค้นหาความจริงบางอย่าง"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................เมืองหลับไปอยู่พักใหญ่..เขารู้สึกตัวและรีบปลุกตัวเองขึ้นจากความ

    ง่วง..พร้อมกับเอาน้ำในขวดล้างหน้า...แล้วเขาก็พบผลไม้ลูกฝรั่งใหญ่สองลูก...วางอยู่

    ข้างคันธนู.....เขาเข้าใจว่านเลี้ยงวัวคงนำมาวางไว้ให้เขา...เขาจึงหยิบขึ้นมากินอย่างหิว

    โหยจนหมด.....และยังคงเห็นคนเลี้ยงวัวยืนดูวัวอยู่เช่นเดิม...เมืองเดินเข้าไปหาคนเลี้ยง

    วัว..แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร

    ............................"เจ้ามีเมียมีลูกหรือยัง"

    ............................"ยังหรอก" ปลัดปักษ์ในคราบคนเลี้ยงวัวตอบ

    ............................"ข้าไม่ค่อยได้มาบริเวณเขตชายแดนนี้บ่อยหนัก ส่วนใหญ่คน

    ของข้าจะมาดูแลแทน...หากเจ้ามีอะไรเดือดร้อนก็ไปหาข้าได้" เมืองเอ่ยบอกกับคน

    เลี้ยงวัวพร้อมกับสายตาได้มองไปที่ลูกฝรั่งลูกหนึ่งซึ่งห้อยอยู่ที่ต้นไม้ โดยขั้วของมันยังคา

    กิ่งอยู่......เขาจึงคิดที่จะลองใช้ธนูยิงลูกฝรั่งนั้นดู..เพื่อทดสอบความแม่นยำ..หลังจากที่

    เขาเคยฝึกซ้อมยิงที่บ้านลุงแก้วมาแล้ว"แต่ไม่เป็นผล"....เขาจึงไม่เคยลองยิงมันอีก

    ....................เมืองหยิบลูกธนูออกจากกระบอกไม้ไผ่ที่สะพายหลัง...แล้วเอามาทาบ

    กับคันธนูพร้อมกับดึงสายธนูง้างขึ้นเล็งไปยังเป้าหมาย คือ "ผลฝรั่งที่อยู่ห่างไปราว 6

    วา"...โดยมีสายตาของปักษ์ในครบคนเลี้ยงวัวมองดูอยู่....แล้วเมืองก็ปล่อยสายธนู..

    พร้อมกับลูกธนูที่พุ่งออกไป..."แต่ปรากฎว่าพลาดเป้า" ลูกธนูดอกนั้นพุ่งไปติดแน่นที่ต้น

    ฝรั่ง...เมืองส่ายหน้าอย่างช้า ๆ พร้อมกับบ่นขึ้นกับคนเลี้ยงวัว

    ............................"ข้าไม่คิดว่ามันจะยิงยากมากอย่างนี้"

    ................... แล้วเมืองก็เดินจากคนเลี้ยงวัวไปเพื่อขึ้นม้า...โดยทิ้งลูกธนูดอกนั้นไว้

    กับต้นฝรั่งไม่ได้กู้เก็บมันกลับคืน...ซึ่งเขาหารู้ไม่ว่า"ลูกธนูดอกนี้แหละที่เป็นเหตุหนึ่ง

    ที่ทำให้เขาต้องเดือดร้อน"
     
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ..........ตอนที่ 31 แนวคิดเรื่องสะพานข้ามแม่น้ำน่าน.........


    .....................สามวันต่อมา เมือง บุญแทน มุก สาย และพวกอีก 5 คน รวมเป็น 9

    คน ได้นำเกวียนเทียมวัว 3 เล่มออกเดินทาง โดยเมือง บุญแทน มุก และสาย ขีม้าแต่ละคน

    มา ..ส่วนพวกที่เหลือนั่งเกวียน...พวกเขาพากันเดินทางมาเพื่อหาซื้อพืชพันธุ์ธัญญาหาร

    ผลไม้ มะพร้าว ข้าวปลาอาหาร เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านในถิ่นกันดารที่อาศัยอยู่

    ใกล้เขตชายแดนติดกับพรมแดนประเทศลาว

    .....................พวกเขาเริ่มเดินทางตั้งแต่เช้ามืด..และหาซื้อเสบียงไปเรื่อย ๆ ซึ่งชาว

    บ้านส่วนใหญ่จะรู้ว่า "เมืองนำไปแจกจ่ายให้แก่ผู้อยู่ในถิ่นกันดาร" ...ซึ่งเขากระทำอยู่เป็น

    ประจำทุกปียามเข้าฤดูแล้งและผู้คนไม่มีจะกิน.....ชาวบ้านที่มีเหลือกินเหลือใช้ก็จะนำสิ่ง

    ของมาบริจาคโดยไม่คิดเงิน....โดยเขารู้ว่า "เมืองเป็นตัวแทนแห่งน้ำใจของคนเมือง

    น่าน..ที่จะนำความเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ของคนมี..สู่คนจนได้เป็นอย่างดี"

    ....................การช่วยเหลือกันของคนเมืองน่านเช่นนี้มีมานาน..แต่ที่ทำเป็นประเพณี

    ยามฤดูแล้ง"เมืองเป็นคนริเริ่ม"...โดยเขาเสนอความคิดต่อขุนทัพพ่อของเขา...และเป็น

    ตัวตั้งตัวตี...ในการเริ่มงานพร้อมกับสืบสานต่อมาจนยามนี้

    ....................ขุนทัพและเมือง..ทะนุบำรุงราษฎรของเมืองน่านฝั่งตะวันออกให้แก่เจ้า

    เมืองน่านเป็นอย่างดี....ซึ่งความข้อนี้มีมาถึงหูของเจ้าเมืองน่านบ่อยครั้ง...."เจ้าเมือง

    น่านจึงเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวพวกเขามาก....จึงไม่เคยเชื่อว่า ขุนทัพและปลัด

    เมืองจะยักยอกเงินภาษี"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909
    ....................เมืองกับพวกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสวนมะพร้าวของ"ลุงโต" ซึ่งเป็นชาว

    สวนสืบทอดการปลูกผลไม้หลากหลายชนิดมาจากบิดา...."มะพร้าว" เป็นสิ่งที่สามารถเก็บ

    ไว้ได้นาน..จึงเหมาะที่จะนำไปแจกจ่ายยังดินแดนทุรกันการ

    ....................ก่อนหน้านี้"บุญมี"ผู้ช่วยปลัดปักษ์ได้มาขอทำงานกับลุงโต...เขาแฝง

    กายเข้ามาเพื่อสืบเรื่องของ"ขุนทัพและปลัดเมือง"..โดยที่ลุงโตก็รับเขาไว้ทำงาน

    ....................ขบวนเกวียนเคลื่อนที่ไปจอดใต้ต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง...ในขณะนั้นลุงโต

    อยู่ในสวน..และได้สั่งให้บุญมีและคนงานอื่นปีนขึ้นไปบนต้นมะพร้าว..เพื่อนำลูกมะพร้าว

    ลงมาจากต้น..ด้วยการใช้มีดตัดขั้วแล้วโยนลงมา

    ....................บุญมีและคนงานอื่น ๆ ต่างก็ใช้ผ้าขาวม้าโพกหัวปิดหน้า..ทำให้เมือง

    และบุญแทนซึ่งเคยเห็นเขามาก่อน"จำไม่ได้"....แต่บุญมีนั้นจำเมืองกับบุญแทนได้ดี..

    เพราะเคยเห็นทั้งสองเมื่อตอนเข้าสู่ฝั่งตะวันออกครั้งแรก.."แต่เขาไม่รู้ว่าเมืองและบุญแทน

    เป็นใคร"...ดังนั้นขณะที่อยู่บนต้นมะพร้าวเขาจึงเงี่ยหูฟังการสนทนาไปด้วย

    ............................."มากันแล้วหรือปลัด" ทันทีที่ม้าของเมืองมาถึงจุดที่ลุงโตยืน

    อยู่ลุงโตจึงเอ่ยทัก

    ....................คำพูดของลุงโตทำให้บุญมีหยุดชะงักในการตัดลูกมะพร้าวหรือเครือ

    มะพร้าว...คำว่า"ปลัด" ของเมืองน่านนั้นมีอยู่เพียง "สองคนเท่านั้น" คือ "ปลัดปักษ์แห่ง

    ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน"..เจ้านายของเขา...กับ "ปลัดเมืองแห่งฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ

    น่าน"..........ดังนั้นเขาจึงมองลงมาก็พบเห็นว่าคนที่ลุงโตเรียกว่าปลัดนั้น คือ "คนที่เขา

    พบเห็นในวันนั้นนั่นเอง"...และเขาแน่ใจว่าปลัดที่ลุงโตเอ่ยถึง คือ "ปลัดเมือง มีสุข" ก็

    เพราะได้พบเห็น...."สาย"ผู้ช่วยของขุนทัพและปลัดเมืองขี่ม้ามาข้าง ๆเมือง...."บุญมีรู้จัก

    สายเป็นอย่างดี..เพราะว่า สายเป็นผู้นำภาษีของฝั่งตะวันออกไปส่งที่ที่ทำการเจ้าเมืองน่าน

    บ่อยครั้ง...นอกจากนี้สายยังเป็นผู้เดินหนังสือรายงานต่าง ๆ จากฝั่งตะวันออกไปส่งฝั่ง

    ตะวันตก".....บุญมีรู้สึกตื่นเต้นที่เขาจะได้ข้อมูลจากคนทึ่เขามาสืบโดยเฉพาะ

    ............................"ลุงโต..ข้าต้องการมันให้มากที่สุด" เมืองลงจากหลังม้า

    พร้อมกับเอ่ยกับลุงโต.....ในขณะที่ทุกคนก็ลงจากหลังม้าและเกวียน..เพื่อเตรียมขนลูก

    มะพร้าวขึ้นเกวียน

    ..........................."ข้าก็พยายามให้ลูกน้องขึ้นกันตั้งแต่เช้า..เลือกเอาลูกที่มันกิน

    ได้.....ที่กองอยู่พอไหม" ลุงโตพูดพร้อมกับชำเรืองสายตาเป็นการนำชี้ให้เมืองดู

    ....................เมืองหันมองตามสายตาของลุงโต ก็พบมะพร้าวกองใหญ่ ..ทำให้เขา

    รู้สึกพอใจมาก จึงรีบสั่งพรรคพวกทันที

    ............................"มุก...เดี๋ยวให้พวกเราขนย้ายเสบียงอื่นที่อยู่เกวียนนี้ถ่ายไปใส่

    เกวียนแรกให้หมด...ข้าต้องการให้เกวียนนี้บรรทุกลูกมะพร้าวทั้งหมดอย่างเดียว"

    .....................มุกพยักหน้ารับทราบ..และก็รีบบอกพรรคพวกขนย้ายตามคำสั่งของ

    ปลัดเมือง

    ............................"ปีนี้มันแล้งหน้าดู..ปลัดคงเหนื่อยหน่อยนะ" ลุงโตเอ่ยขึ้นใน

    ขณะที่หยิบลูกมะพร้าวที่ล่วงพื้นโยนใส่ที่กองมะพร้าวกองใหญ่

    ............................"ข้าเคยชินเสียแล้วลุงโต" เมืองตอบพร้อมกับยกขวด

    เหล้าขึ้นดื่ม

    ....................ลุงโตมองไปที่ปลัดเมือง..ก็เพิ่งสังเกตเห็นคันธนูและกระบอกใส่ลูกธนูที่

    เมืองสะพายอยู่ จึงได้เอ่ยถาม

    ............................."ปลัดไปได้คันธนูกับลูกธนูมาจากไหน"

    ....................เมืองยิ้มให้ลุงโตเล็กน้อย ..ด้วยเขาไม่เคยใช้มันและนำติดตัวมาให้ลุง

    โตเห็นมาก่อน..เขาจึงเอ่ยตอบ

    ............................."ลุงแก้วทำให้ข้าเอง...แต่ข้ายิงมันไม่แม่น..ยังใช้มันไม่ได้ดี"

    ............................."แรก ๆ ก็อย่างนี้แหละ...ฝีกไปนาน ๆ เข้า...ก็ใช้ได้ดีเอง" ลุง

    โตออกความเห็น

    ....................เมืองมองไปที่กองมะพร้าวกองใหญ่อีกครั้ง...แล้วความคิดบางอย่างก็

    เกิดขึ้น...เขาจึงถามลุงโตตามความคิดของเขา

    .............................."ลุงได้ผลมะพร้าวมากมาย..ลุงไม่คิดจะนำมันไปขายที่ฝั่ง

    ตะวันตกบ้างหรือ"

    .............................."ทำไมข้าจะไม่คิด..ปลัดคิดว่า..ข้านำเกวียนบรรทุกมะพร้าว

    ข้ามแม่น้ำน่านไปได้หรือ...เกวียนที่บรรทุกมะพร้าวไปขาย..จะไปหยุดอยู่ที่ริมตลิ่งฝั่งตะวัน

    ออก.....แล้วก็ขนใส่เรือไปฝั่งตะวันตก....แต่ตอนที่เราจะขนมันไปขายที่ตลาดนี่สิ....เรา

    ไม่มีเกวียนอยู่ฝากโน้น...เราต้องหาบมันกี่เที่ยวจึงจะหมดจากเกวียน" ลุงโตอธิบายปัญหา

    .....................เมืองฟังลุงโตอย่างคล้อยตามคำพูด...แล้วเขาก็เอ่ยความคิดเห็นของ

    เขาที่คิดอยู่ให้แก่ลุงโตฟัง

    ............................"นี่ถ้าเรามีสะพานข้ามแม่น้ำน่าน...ข้าว่าพวกเราทั้งสอง

    ฝั่ง..คงไปมาหาสู่กันและเดินทางไปค้าขายกันโดยสะดวก"

    ............................"ถูกของปลัด..สะพานจะนำความเจริญมาสู่ฝั่งของเรา" ลุง

    โตเห็นด้วยและสนับสนุนความคิดเห็นของเมืองที่เอ่ยออกมา..ด้วยแววตาตื่นเต้น

    ....................เมืองหารู้ไม่ว่า..ความจริงแล้วเจ้าเมืองน่านพร้อมด้วยขุนแสงกับ

    พวกมีความคิดและโครงการที่จะ"สร้างสะพานเชื่อมทั้งสองฝั่งอยู่"

    ....................สะพานเป็นสิ่งที่นำพาความเจริญ ความสะดวกสบาย..ทั้งการบริ

    หาร..การปกครอง ..การดูแลให้ความปลอดภัย และ การเดินทางที่รวดเร็วขึ้นมา

    สู่...ฝั่งตะวันออก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled5.jpg
      untitled5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      145.5 KB
      เปิดดู:
      33
    • tree_006.jpg
      tree_006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      231.2 KB
      เปิดดู:
      45
    • Train 6002.jpg
      Train 6002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.8 KB
      เปิดดู:
      34

แชร์หน้านี้

Loading...