ขอไว้อาลัยให้กับเพื่อนร่วมโลก 20+

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ระยับแดด, 5 สิงหาคม 2011.

  1. Leonidas 1

    Leonidas 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +188
    เห็นลูกหมาโดนแบบนั้นก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน แต่ผมสงสารเด็กพวกนั้นมากกว่า

    เพราะพวกนั้นจะต้องพบกับชะตากรรมที่น่าสยดสยองยิ่งกว่าลูกหมาถึง 500 ชาติเชียวนะ

    เห็นแล้วสังเวช พวกนั้นรู้ตัวหรือป่าวว่ากำลังจุดไฟนรกเผาตัวเองอยู่
     
  2. ระยับแดด

    ระยับแดด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +117
    แด่เพื่อนตัวแรกที่จงรักภักดีที่สุดของมนุษย์

    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]

    มีคนไม่ชอบสุนัขด้วยเหตุผลนานาประการ บางที่เหตุผลก็มีน้ำหนักพอ เช่น เขาเคยตกใจกลัวสุนัขเมื่ออยู่ในวัยเด็กและความทรงจำที่ไม่งดงามนั้นฝังแน่นอยู่ในใจจนตลอดชีวิต ที่คนเหล่านั้นไม่ชอบสุนัขก็ดูยุติธรรมดี แต่ไม่เป็นการยุติธรรมสำหรับคนหัวดื้อที่ไม่ยอมเข้าใจว่าคนเราจะมีความผูกพันรักใคร่สัตว์สี่เท้าซึ่งไม่มีประโยชน์ใช้สอยได้อย่างไร
    อาจดูไม่เลวร้ายอะไรนักถ้าเขาเก็บความคิดเห็นดังกล่าวไว้คนเดียวแต่นี่มิได้เป็นเช่นนั้น คนเหล่านี้มีนิสัยก้าวร้าวและต้องการบีบบังคับให้คนอื่นๆในโลกให้มีทัศนะอย่างเดียวกับเขา พวกเขามักใช้เพทุบายเพื่อปิดบังความโหดร้ายของตน

    [​IMG][​IMG]

    พวกนาซีระดับหัวหน้ามีวิธีการฝึกคนให้เป็นฆาตกรที่มีความสามารถอยู่หลายวิธี เขาจะแจกจ่ายลูกสุนัขให้เด็กหนุ่มที่เป็นยุวชนฮิตเลอร์ เพื่อนำไปเลี้ยง เมื่อสุนัขโตขึ้นและสุนัขกับผู้เลี้ยงต่างก็รักใคร่ผูกพันกันแล้ว เขาจะให้ปืนริวอลเวอร์แก่เด็กหนุ่มเจ้าของสุนัขซึ่งจะได้รับตำแหน่งสูงขึ้นในอนาคตให้ยิงสุนัขของเขาเสียในที่สาธารณะ นี่เป็นการทดสอบความโหดเหี้ยมของพวกนาซีที่ผ่านการทดสอบขั้นนี้จะได้เป็นสมาชิกของหน่วยทารุณกรรม (punitivesquad) หรือผู้คุมค่ายกักกัน และได้รับความไว้วางใจให้ทรมาน ยิงและส่งคนเข้าห้องแก๊สโดยไม่คำนึงถึงบาปกรรมอะไรทั้งสิ้น
    แต่พวกนาซีระดับลิ่วล้อพวกนี้ไม่ใช่มนุษย์ มนุษยชาติโดยทั่วไปนั้นมีความฉลาดและมีความเมตตากรุณา ข้อพิสูจน์อันนี้ได้แก่การที่มีสุนัขจำนวนล้านๆอาศัยอยู่เคียงข้างมนุษย์

    มีผู้เชี่ยวชาญคำนวณไว้ว่าในชั่วชีวิตของคนๆหนึ่งจะอ่านหนังสือได้ประมาณ 10,000 เล่ม ถ้าจะอ่านเรื่องทั้งหมดที่เขียนไว้เกี่ยวกับสุนัขคนเราจะต้องมีสัก 100 ชีวิต

    [​IMG]

    เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญว่ามนุษย์สำนึกบุญคุณของสุนัขจึงด้มีอนุสาวรีย์สร้างไว้เป็นเกียรติแก่สุนัขด้วย
    อนุสาวรีย์แห่งแรกที่สร้างไว้เป็นที่ระลึกแก่สุนัขถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลโดยชาวเมืองคอรินทร์ มีตำนานเล่าว่าสุนัขชื่อโซเอตรได้ปลุกกองทหารประจำเมืองเมื่อข้าศึกคลานเข้ามาถึงประตูเมือง ข้าศึกถูกตีล่าถอยไปและโซเอตรได้รับปลอกคอเงินจารึกข้อความว่า “มอบให้แก่ผู้ปกป้องและรักษาเมืองคอรินท์” เป็นรางวัลทั้งได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ให้ด้วย

    [​IMG]

    [​IMG]

    อนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งสร้างให้แก่สุนัขตั้งอยู่ในกรุงปารีส อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างเมื่อ 150 ปีมาแล้ว (ค.ศ. 1800-1814)เป็นรูปสุนัขขนาดใหญ่มีเด็กเกาะหลังของมันด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ คำจารึกที่ฐานอนุสาวรีย์มีข้อความว่า “เป็นที่ระรึกแก่แบรี่ผู้ได้ช่วยชีวิตคนไว้ 40 คน และถูกฆ่าด้วยน้ำมือของคนที่ 41” มีช่องเขาแห่งหนึ่งในเทือกเขาแอลป์มีถนนที่เชื่อมประเทศอิตาลีกับยุโรป ถนนสายนี้ทุรกันดารและอยู่สูงถึงสองกิโลเมตรครึ่งและลมฟ้าอากาศบริเวณนี้ไม่สามารถทำนายได้รวมทั้งมีพายุหิมะเข้าสมทบด้วย นักเดินทางต้องเผชิญกับพายุหิมะและหลงทางเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 วัดของเซนต์เบอร์นาร์ดได้สร้างขึ้นใกล้กับช่องเขานี้ คริสต์ศาสนาได้ใช้วัดนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้เกดแก่ประชาชน พระในวัดนี้ได้จัดหอพักไว้ให้นักเดินทางและได้ส่งคณะกู้ภัยออกไปช่วยเหลือถ้ามีใครได้รับอุบัติเหตุบนภูเขา ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 พระได้เริ่มใช้สุนัขตัวใหญ่และฉลาดซึ่งมีชื่อว่าเซนต์เบอร์นาร์ด สุนัขเหล่านี้ไม่กลัวน้ำค้างแข็งหรือลม และสามารถลุยหิมะลึกที่สุดได้ ประสาทสัมผัสที่ไวมากของมันช่วยให้มันพบนักเดินทางที่กำลังจะถูกหิมะกลบร่างหรือที่หล่นลงไปในซอกหินในเวลาหลายปีสุนัขเหล่านี้ได้ช่วยชีวิตคนมาหลายหมื่นราย วันหนึ่งพายุหิมะบนภูเขาพัดแรงมากสนัขที่ส่งออกไปค้นหาคนที่อาจหลงทางกลับมาทีละตัวๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อนและผิดหวัง แต่แบรี่ยังยืนหยัดต่อไปท่ามกลางหิมะเพราะจมูกของมันได้กลิ่นคน และจมูกของมันไม่ผิดพลาดมันได้พบชายคนหนึ่งถูกฝังอยู่ใต้หิมะจริงๆ แบรี่ขุดชายคนนั้นขึ้นมา และเริ่มเลียหน้าเขา พยายามทำให้เขาฟื้นชีวิต ชายคนนั้นคืนสติ แต่เมื่อเห็นจมูกของสัตว์อยู่ใกล้ๆก็คิดว่ามันเป็นหมาป่าจึงควักปืนออกมายิงแบรี่เสีย เขาเป็นชายคนที่ 41 ที่แบรี่ช่วยชีวิตไว้ ซากของแบรี่ถูกนำไปยังกรุงปารีสและได้รับการฝังอย่างสมเกียรติที่สุสานของสุนัขที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ
    .......................

    [​IMG]

    ในอุทยานแห่งหนึ่งของนครนิวยอร์คมีรูปสุนัขหล่อด้วยสัมฤทธิ์ยืนอยู่บนฐานหินอ่อน และมีสายบังเหียนส่วนหนึ่งพาดอยู่บนหลังอนุสาวรีย์อย่างเดียวกันนี้มีอยู่ที่เมืองโนมในอะแลสกาด้วย อนุสาวรีย์ทั้งสองแห่งนี้สร้างอุทิศให้แก่สุนัขตัวเดียวกันชื่อว่าบอลต์ เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้เกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองโนม ซึ่งคุกคามชีวิตของเด็กทั้งหลาย ในเมืองนี้เด็กๆจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วนซึ่งหาไม่ได้ในเมืองโนม เมืองที่ใกล้ที่สุดซึ่งมีวัคซีนก็อยู่ห่างไปถึง 300 กม. เจ้าของทีมสุนัขลากเลื่อนที่ดีที่สุดของเมืองโนมได้ออกเดินทางไปรับวัคซีน เขาไปถึงเมืองนั้นโดยปราศจากอุปสรรค แต่ขากลับต้องติดพายุหิมะสุนัขได้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อลากเลื่อนมาเป็นระยะทาง 200 กม.แต่หมดแรงทรุดลงไปทีละตัวและมองหน้านายของมันด้วยสายตาวิงวอน แต่บอลต์หัวหน้าของมันไม่ยอมหมอบเหมือนตัวอื่นๆ ดังนั้นนายของมันจึงตัดสายบังเหียนและเอากล่องใส่วัคซีนผูกกับปลอกคอมัน เขาทราบดีว่าตัวเขาเองไม่สามารถฝ่าดงหิมะอันเวิ้งว้างไปได้และนี่เป็นวิธีเดียวที่จะส่งวัคซีนไปให้ถึง เขาปล่อยบอลต์ให้ออกเดินทางในขณะที่ตัวเองคลานต่อไปและสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าบอลต์จะปฏิบัติหน้าที่นี้ได้สำเร็จหรือไม่ เขาเหนื่อยอ่อนมากและเพ้อไปต่างๆนานา หูแว่วไปว่าเขาได้ยินเสียงสุนัขเห่าและเสียงเลื่อนดังออดแอด และเมื่อลิ้นอุ่นๆเลียหน้าเขา เขาก็ยังคิดว่ามันเป็นแค่ภาพหลอนเท่านั้น แต่ภาพหลอนที่ว่านั้นเป็นภาพจริง เขาลืมตาขึ้นเห็นบอลต์ ทำไมล่ะ? มันกลับมาโดยไม่ได้เอาวัคซีนไปส่งหรอกหรือ? ต่อจากนั้นเขาเห็นคนหลายคนซึ่งอุ้มเขาขึ้นใส่เลื่อนและอธิบายเรื่องราวต่างๆให้เขาทราบ บอลต์ได้นำวัคซีนไปถึงเมืองโนมแล้ว แต่พอพวกเขาถอดปลอกที่มีกล่องวัคซีนผูกไว้ มันก็วิ่งออกมา และเห่าเสียงดังบอกให้พวกเขาตามมันมา มันอ่อนเพลียมาก อุ้งเท้าป็นแผล แต่มันจะแยแสอะไรในเมื่อนายของมันกำลังจะตายอยู่ในหิมะ และมันนำพวกผู้กู้ภัยไปช่วยชีวิตนายของมัน

    คนเราสร้างอนุสาวรีย์สำหรับผู้กล้าหาญและบอลต์ก็เป็นสุนัขที่กล้าหาญมาก สุนัขลากเลื่อนเช่นบอลต์มีชีวิตที่ยากลำบากอย่างยิ่งต้องนอนบนหิมะและกินปลาแช่น้ำแข็ง ทั้งต้องทำงานหลายชั่วโมงติดต่อกันโดยลากเลื่อนที่มีน้ำหนักมากไปเหนือหิมะลึกๆ หรือไปบนสะเก็ดน้ำแข็งที่บาดเท้าของมัน แต่สุนัขเหล่านี้ทำงานดีและจงรักภักดีต่อนายของมันราวกับเข้าใจว่ามนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยมันอย่างมาก

    [​IMG]

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1925 กันเนอร์ คาเซ็น (Gunnar Kaasen) เป็นผู้นำเซรุ่มไปถึงเมืองนอมน์เป็นคนแรกในปี ค.ศ. 1925 เพื่อรักษาโรคคอตีบ กันเนอร์ได้ออกจากเมืองนีนนานา (Nenana) ไปสู่เมื่องนอมน์เป็นระยะทางมากกว่า 600 ไมล์ ด้วยความพยายามของผู้เดินทางและความช่วยเหลือของสุนัขลากเลื่อน การแข่งขัน Iditarod Trail Sled Dog Race (การแข่งสุนัขลากเลื่อนสู่เมื่องอิดิตทารอต) ที่จัดขึ้นก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการขนส่งเซรุ่มนี้เอง และเหตุการณ์นี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันในปี ค.ศ. 1995 ที่ชื่อ"บอลโต (Balto)" ตามชื่อของสุนัขนำทีมของกันเนอร์ และเพื่อเป็นเกียรติแก่สุนัขนำทีมบอลโต มีการสร้างรูปหล่อเหมือนที่ทำจากทองแดง ตั้งอยู่ในเซ็นทรอล ปาร์คในมลรัฐนิวยอร์ก

    เรื่องของฮาจิโกะ

    [​IMG]
    [​IMG]

    ในปี 1924 ฮาจิโกะถูกซื้อจากโตเกียว โดยศาสตร์ตราจารย์ ฮิเดะซาปุโระ อุเอโนะ (ศาสตราจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว) ระหว่างที่เจ้านายของมันยังมีชีวิตอยู่ ฮาจิโกะจะไปส่งเจ้านาย บริเวณใกล้ๆกับสถานีรถไฟชิบุย่าและรอคอยเจ้านายกลับบ้านที่นั่นทุกๆวันในตอนเย็น
    จนกระทั่งเมื่อเดือน พฤษภาคม ปี 1925 ศาสตราจารย์ อุเอโนะ ก็ไม่ได้กลับบ้านมาเหมือนปกติดั่งเช่นทุกๆวัน เนื่องจากมีอาการป่วยกำเริบที่มหาลัยในวันนั้น และเขาได้เสียชีวิตลงและไม่ได้กลับมาเจอ
    กับ”เพื่อน”ที่เฝ้ารอเขาอีก ฮาจิโกะได้เฝ้ารอที่สถานีรถไฟดังเคย โดยไม่รู้ว่าเจ้านายของตนจะไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้ว รอจนมืดค่ำ
    เจ้านายก็ไม่มา เจ้าฮาจิจึงตัดสินใจกลับบ้านแต่ก็ไม่ได้เจอกับเจ้านายอีกเลย....
    แต่ละวันฮาจิโกะ เฝ้ารอศาสตราจารย์ อุเอโนะกลับมา รอรถไฟขบวนแล้วขบวนเล่าก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้านายที่รักของเขาจะก้าวออกมา แต่ก็ยังคงรออย่างตั้งใจในทุกๆวัน พวกที่ผ่านไปมารวมทั้งนักข่าวต่างสงสัยว่า ทำไมเจ้าหมาตัวนี้ถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้จ้องมองไปที่รถไฟทุกวัน จนได้รู้เรื่อง
    ก็มีเมตตาซื้ออาหารเลี้ยงดูเอาใจใส่ฮาจิโกะในระหว่างที่เขารอ แม้แต่นักข่าวที่สนใจก็เฝ้าดูเจ้าฮาจิโกะว่า
    จะทนไปได้ซักกี่วัน10 ปีต่อมา นักข่าวคนเดิมกลับมาที่สถานีรถไฟแห่งเดิม และที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดเขาพบเจ้า ฮาจิโกะ
    สุนัขตัวเดิมที่ยังคงนั่งจ้องรถไฟรอเจ้านาย เหมือนดัง 10 ปีที่ผ่านมาไม่เปลี่ยนเลย จนกระทั่ง
    วันที่ 3 มีนาคม 1935 ฮาจิโกะก็ได้เสียชีวิตลง โดยถูกพบบนถนนย่านชิบุย่า ตรวจพบพยาธิและไก่ย่าง ในท้องของมันหลังจากฮะจิตาย ซากของมันได้ถูกตรวจพิสูจน์ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว พบว่ามีพยาธิที่ตับและหัวใจ และมีปัญหาที่ระบบทางเดินอาหาร ร่างของฮะจิถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติญี่ปุ่น
    เรื่องราวของฮะจิถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2478
    เมื่อหนังสือพิมพ์อาซาฮีได้ตีพิมพ์เรื่องราวดังกล่าว จนภายหลังได้รับการยกย่องว่าเป็น "สุนัขยอดกตัญญู" (忠犬) และถูกสร้างเป็นอนุสาวรีย์อยู่ที่หน้าสถานีรถไฟชิบุยะ ซึ่งเป็นจุดที่ฮะจิโคนั่งรอเจ้านาย
    ในปัจจุบันฮาจิเป็นสัญลักษณ์ของความสัตย์ซื่อ หนุ่มสาวญี่ปุ่นจะไปสัญญารักต่อกันหน้า
     
  3. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    896
    ค่าพลัง:
    +2,177
    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด รับไม่ได้ นี่มันประเทศไหนเนี่ย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 105231390.gif
      105231390.gif
      ขนาดไฟล์:
      183.5 KB
      เปิดดู:
      150
  4. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    อนิจจา โมหะเป็นโทษเช่นนี้แล
    ความพึงใจจากการประกอบทุกข์ฆาตกรรม ถ้าเขาและคณะไม่เลิก ยังติดใจในกรรมนี้อยู่ กรรมจะวนเวียนสนองอยู่ ไม่หยุดหย่อน ต่อไปในอนาคต จะมองหาการฆ่า ที่สะใจเขามากกว่าเดิม เบียดเบียนตนและคนรอบข้าง ภัยสังคมเกิดมาด้วยเหตุนี้ เขาจะไม่เห็นไม่รู้ตัวเลยเพราะความพึงใจปรากฏอยู่ จุดจบจะถึงแก่ความโศกเศร้าเอน็จอนาถ แก่ตนและคนรอบข้าง วัฏะสงสารหนอ ทุกข์หนอ
     
  5. Sonaz

    Sonaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    762
    ค่าพลัง:
    +348
    อเวจี พวกมันต้องอเวจี

    ผมอยากรู้แค่ไม่กี่ข้อหรอก

    1.เจ้าหมาตัวแค่นั้นไปทำอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจขนาดต้องเผาทั้งเป็น
    2.พวกนี้ใช่ไหม ที่เขาเรียก เก่งกับหมากล้ากับเด็ก
    3.ใครเป็นคนอบรมคนกลุ่มนี้

    เสียงหมาน้อยร้อง ช่างบาดใจผมยิ่งนัก ทนดูจนจบไม่ได้ แค่ได้ยินเสียง ก็จะร้องไห้อยู่แล้ว

    พวกนี้ มันต้องโดนไฟครอก เช่น นอนหลับลึกๆ แล้วบ้านไฟไหม้ มันจะได้รู้ว่า มันทรมาน ขนาดไหน ถ้าจะฆ่ามันจริงๆ เอาไม้ตีมันให้ตายซะยังดีกว่า เป็นไปได้ อย่าฆ่าจะดีที่สุด

    เสียงหมาร้องมะกี้ ผมเข้าใจ(อ้าวไปเรียนภาษาหมาเมื่อไหร่วะตู) มันคงร้องประมาณว่า โอ้ยย เจ็บ แสบ ทรมานเหลือเกิน อย่าฆ่าหนูเลย แม่จ๋า พ่อจ๋า ช่วยหนูด้วย ปล่อยหนูไปเถอะ หนูร้อนน!!

    พอน้ำตาจะไหล TT
     
  6. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    วัฏสงสารเช่นนั้นเอง...หมาตัวนั้นอาจเคยเบียดเบียนคนเหล่านั้นมาก่อน ในอดีตชาติจึงต้องมาเจอสภาพนั้น พึงระวังอารมย์ที่เกิดที่จิตที่ใจ เพาะบ่มหมักหมมโทสะเป็นโทษหนอ
    ตอนนี้มีสัตว์ชดใช้กรรมให้เราอยู่เท่าไร? เรากินไปกี่ชีวิตในแต่ละมื้อ? สมมุติว่าหมาเรากินเป็นอาหารหลัก เหมือนวัวควายหมูไก่กุ้งหอยปูปลา เราจะโกรธเสียใจต่อสัตว์ที่โดนฆ่ามาเป็นอาหาร เหมือนมีความรู้สึกต่อหมารึเปล่า? จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจฆ่าก็ตาม เมื่อเป็นอาหาร เราก็นับว่ามีส่วนร่วมในวงจรพรากชีวิตนั้น ถูกแล้วกรรมอยู่ที่เจตนา ขับรถกลางคืนมีแมลงบินมาหาแสงไฟชนกับรถตายเละคารถกี่ชีวิต? ตอนเช้าๆลองนับดู ที่โคมไฟ ที่กระจกหน้ารถ ที่หม้อน้ำรถ แถวๆกันชน เมื่อเราไม่เจตนา เขาจึงได้มาชดใช้กรรมให้แก่เรา ทุกชีวิตมีค่าในตัวเอง เราเข่นฆ่าเบียดเบียนกันและกันมาแล้วกี่โกฏชาติ แผ่เมตตาให้อโหสิกรรมให้เขาบ้าง อโหสิกรรมให้ตนเองบ้าง คงจะดีกว่ามานั่งโมโหหรือเสียใจให้ใจหมองด้วยไฟกิเลสที่แผดเผาอยู่หนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  7. you@i

    you@i Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +54
    สิ่งที่เตือนว่าเรายังคงความเป็นมนุษย์อยู่ก็คือความเมตตานั่นเอง
     
  8. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    ยินดีกับท่านครับ... สังคมทุกวันนี้มนุษย์ไม่ค่อยจะรู้จักคำๆนี้แล้วล่ะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...