บิณฑบาตอาหารทิพย์“เทวดา”

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 30 สิงหาคม 2011.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    บิณฑบาตอาหารทิพย์เทวดา

    [​IMG]


    พูดได้ว่าเกือบครึ่งชีวิตในเพศบรรพชิตของหลวงพ่อพัฒน์
    ท่านได้ใช้ชีวิตเป็นพระธุดงค์
    ปฏิบัติตนอยู่ตามป่าเขาลำเนาถ้ำ ที่ห่างไกลผู้คนและความวุ่นวาย

    ต่อเมื่อภายหลังจากตบะท่านแก่กล้าแล้ว ก็มักออกธุดงค์เพียงลำพัง
    มีหลายครั้งที่ท่านไปพำเพ็ญอยู่ในป่าลึก
    ห่างไกลผู้คนโดยไม่ได้ออกมารับบิณฑบาตเลย
    เพราะอยู่ห่างหมู่บ้านมาก
    ท่านปฏิบัติอยู่ในป่าห่างไกลชุมชนเช่นนั้น
    อยู่ครั้งละเป็นเวลาหลายๆวัน


    เมื่อท่านนำเรื่องนี้มาเล่าให้กับลูกศิษย์ฟัง
    บรรดาศิษย์ก็ให้แปลกใจ ว่า ท่านมีชีวิตรอดอยู่อย่างไร
    ก็ในป่าเขาลำเนาไพรเช่นนั้น ท่านจะหาอาหารฉันได้จากไหน


    ท่านก็ไขข้องใจให้กับคณะศิษย์ “ก็ไปบิณฑบาตกับเทวดาสิ”

    แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า เวลาเข้าไปบำเพ็ญธรรมอยู่ป่าลึกห่างไกลผู้คนนั้น
    ท่านก็เลี้ยงชีพด้วยอาหารทิพย์ที่เทวดานำมาใส่บาตร
    คือ ท่านได้ออกรับบิณฑบาตเหมือนรับบิณฑบาตตามบ้านเรือนผู้คนทั่วไปนั่นแหละ
    ต่างกันอยู่ที่ว่าท่านไปยืนรอรับบิณฑบาต อยู่ตามใต้ต้นไม้ใหญ่
    ที่มีเทพารักษ์ นางไม้สิงอยู่

    ไปถึงท่านก็เพ่งกระแสจิต ขอรับบิณฑบาตจากเทวดานางไม้เหล่านั้น
    แล้วเปิดฝาบาตรรอไว้
    ยืนหลับตาทำใจนิ่งสงบ เทวดานางไม้ซึ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
    เขาปรารถนาจะทำบุญกับพระธุดงค์อยู่แล้ว
    ก็จะเอาอาหารทิพย์อันเป็นอาหารปกติของพวกเขามาใส่บาตร
    แล้วก็กลับไป พอหลวงพ่อพัฒน์ลืมตาขึ้นก็ไม่พบแล้ว

    สำหรับในบาตรนั้น หากเป็นสายตาสามัญบุคคลทั่วไปจะมองเห็นว่ายังคงว่างเปล่า
    ทั้งๆที่ความจริงในบาตรนั้นมีอาหารทิพย์ทั้งคาวหวานแล้วแต่
    อาหารทิพย์ที่ว่านี้ ปุถุชนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้
    คงมีแต่พระผู้ทรงอภิญญาเท่านั้นที่จะทราบหรือเห็นได้
    คือทราบด้วย โสตทิพย์ และเห็นด้วย ตาทิพย์ หรือ ทิพจักขุ
    อันเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพระอภิญญา


    อภิญญา คือ ความรู้ยิ่ง
    เป็นความรู้ชั้นสูงในหลักธรรมพระพุทธศาสนา มี 6 อย่างด้วยกันคือ


    1. อิทธิวิธี คือ แสดงฤทธิ์ต่างๆได้ เป็นต้นว่า
    เหาะเหินเดินอากาศ จำแลงแปลงกาย กำบังหายตัว ฯลฯ

    2. ทิพโสต มีหูทิพย์ สามารถได้ยินได้ทราบเรื่องราวที่ห่างไกลตัวเอง
    ซึ่งไม่ได้เห็นด้วยตัว ฟังด้วยหู แต่ทราบเรื่องได้ตามความเป็นจริงทุกอย่าง

    3. เจโตปริยญาณ มีญาณวิเศษสามารถหยั่งรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นได้
    หรือทายใจของผู้อื่นได้

    4. ปุพเพนิวาสนุสติ มีญาณวิเศษที่สามารถระลึกชาติได้

    5. ทิพจักขุ มี ตาทิพย์ สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป
    แม้สิ่งนั้นจะอยู่ในที่มุงบัง มีวัตถุสิ่งอื่นปิดบังเอาไว้
    หรือมองเห็นสิ่งที่ปุถุชนทั่วไปไม่เห็น

    6. อาสวักขยญาณ มีญาณที่สามารถทำให้อาสาวะสิ้นไป


    บุคคลหรือพระภิกษุรูปใดทรงความรู้ชั้นสูง 6 อย่าง ดังกล่าวมาแล้วนี้ เราเรียกว่า อภิญญา

    สำหรับหลวงพ่อพัฒน์นั้น
    จากวัตรปฏิบัติต่างๆที่ท่านแสดงนั้นก็บ่งบอกให้อนุมานได้ว่า
    ท่านก็เป็นผู้ทรงความรู้ชั้นสูง 6 อย่างนี้อย่างครบถ้วน
    ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับการยอมรับว่า เป็น พระอภิญญาจารย์รูปหนึ่ง ในยุคกึ่งพุทธกาล


    ทีนี้วกกลับไปเรื่องการบิณฑบาตอาหารทิพย์
    ที่หลวงพ่อพัฒน์เล่าให้ลูกศิษย์ฟังอีกที


    ท่านเล่าต่อไปว่า
    เมื่อมีอาหารในบาตรซึ่งจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาทิพย์
    แต่คนทั่วไปจะมองไม่เห็น จะเห็นเป็นสิ่งว่างเปล่า
    ท่านก็ปิดบาตรแล้วเดินไปที่ลำธาร
    กวักน้ำในลำธารมาฉันพร้อมกับอาหารทิพย์นั้น

    การฉันอาหารทิพย์นั้น ฉันโดยเพียงนึกเอา
    ไม่ต้องตักใส่ปากเหมือนอาหารธรรมดา
    เมื่อระลึกว่าอิ่มดีแล้วก็พอแต่แค่นั้น
    ความอิ่มในการฉันอาหารทิพย์นั้น จะทำให้ร่างกายมีกำลังวังชา
    บังเกิดความสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาอย่างประหลาดอัศจรรย์
    สามารถปฏิบัติธรรมต่อไปได้อีกหลายวัน โดยที่ไม่ได้ฉันอะไรเลย

    เวลาไปบำเพ็ญธรรมอยู่ในป่าลึกๆ ห่างไกลชุมชน
    พระธุดงค์ส่วนใหญ่จะดำรงชีพด้วยอาหารทิพย์ที่ว่านี้


    [​IMG]




    --------------------




    มาลัยอริยะในป่าช้าผีค้าง


    [​IMG]




    หลวงพ่อพัฒน์นั้นท่านเป็นผู้ที่สนใจ
    และ มีความเชี่ยวชาญในทางวิปัสสนากรรมฐาน
    โดยเฉพาะ เพ่งกสิณ ท่านมีวสีที่รวดเร็วมาก
    ในช่วงที่ท่านใช้ชีวิตเป็นพระธุดงค์
    แบกกลดรอนแรมไปปฏิบัติอยุ่ตามสถานที่วิเวก
    ท่านก็มุ่งมั่นบำเพ็ญธรรมอย่างเคร่งครัดจริงจัง


    ในระหว่างธุดงค์อยู่นั้น
    มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ท่านชอบไปปฏิบัติธรรมก็คือ ป่าช้าผีค้าง
    ซึ่งท่านเล่าให้คณะศิษย์ฟังว่า
    ที่ท่านชอบไปปฏิบัติในป่าช้าผีค้างที่ว่านั้น
    ก็เพราะท่านจะได้ใช้ซากศพที่เขาไปค้างไว้
    เป็นอุปกรณ์ในการฝึกกรรมฐาน
    โดยพิจารณาอสุภกรรมฐานและอีกอย่างในป่าช้าเช่นนั้น
    ย่อมเป็นสถานที่สงัดวิเวก
    เนื่องจากไม่ค่อยมีใครเข้าไปยุ่มย่าม



    ในภาคใต้(รวมทั้งภาคอื่นๆด้วย)
    สมัยก่อนนั้นมีวิถีปฏิบัติในการเก็บศพอย่างหนึ่ง
    ซึ่งปัจจุบันได้สูญหายไปแล้ว จะด้วยเห็นว่าไม่เหมาะสม
    สถานที่ไม่เอื้ออำนวยหรืออย่างไรก็สุดจะเดา
    แต่ที่แน่ๆ
    ในแนวทางการปฏิบัติต่อการเก็บศพเช่นนั้นได้สูญหายไปแล้ว


    วิถีปฏิบัติของชาวบ้านทั้งหลายว่านั้นก็คือ การค้างศพไว้ในป่าช้า
    กล่าวคือ
    สมัยก่อนเวลามีคนตาย
    หากญาติต้องการจะเก็บศพไว้เพื่อรอบำเพ็ญกุศล
    ก็นิยมเอาศพไปค้างไว้บนต้นไม้
    โดยมีการสวดศพบำเพ็ญกุศลตามประเพณีก่อนก่อนระยะหนึ่ง
    แล้วเอาศพห่อผ้าขาวไปวางไว้บนต้นไม้
    โดยทำฟากไม่ไผ่ที่เรียกว่า ฟากนาด รองไว้
    หรือบางทีก็ใช้ฟากนาดที่ว่านี้ห่อด้วย
    รอให้ศพเน่าเปื่อยไปหมด
    เหลือแต่กระดูกถึงจะเก็บกระดูกเอามาบำเพ็ญกุศลต่อไป


    ที่เขาเอาศพไปค้างไว้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นป่าช้า
    หรือไม่ก็ป่าลึกๆที่ห่างไกลชุมชน
    เพื่อจะไม่ให้กลิ่นเหม็นของซากศพมารบกวนชุมชนที่อยู่อาศัย
    ป่าช้าที่เขานิยมเอาศพค้างไว้นี้ จึงเรียกว่า “ป่าช้าผีค้าง”


    คำว่า ฟากนาด นี้คือ
    การเอาซี่ไม้ไผ่หรือที่เรียก ฟาก
    คือไม้ไผ่ผ่าซีกมาผูกต่อด้วยเชือกคล้ายเฝือก
    และมีลักษณะเหมือนระนาด
    จึงเรียกว่า ฟากนาด
    นิยมใช้เป็นที่รองศพ ทั้งในโลงและบนต้นไม้ที่ใช้ค้าง


    หลวงพ่อพัฒน์ท่านชอบไปปฏิบัติอยู่ตามป่าช้าผีค้าง
    เพื่อจะได้ถือเอาซากศพที่ค้างอยู่และกำลังเน่าเปื่อย
    เป็นอุปกรณ์ในการฝึกกรรมฐานอันน่าขยะแขยงนี้ว่า “มาลัยอริยะ”


    Photo-0274-1.jpg

    Photo-0266-1-1.jpg
    --------------
    พิมพ์คัดลอกมาจากหนังสือ “อมตะสังขารธรรมอภิญญาจารย์แห่งแดนใต้” นรเศรษฐ์
    จากหน้า ๒๙-๓๓
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Photo-0276-1.jpg
      Photo-0276-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      202.8 KB
      เปิดดู:
      8,410
    • Photo-0273.jpg
      Photo-0273.jpg
      ขนาดไฟล์:
      429 KB
      เปิดดู:
      529
    • Photo-0275.jpg
      Photo-0275.jpg
      ขนาดไฟล์:
      502 KB
      เปิดดู:
      12,138
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    [​IMG]


    ปาฏิหาริย์เดินเหนือน้ำ

    เป็นที่ยอมรับกันทั่วภาคใต้ว่า
    หลวงพ่อพัฒน์ท่านเป็นพระผู้ทรงอภิญญารูปหนึ่ง
    แม้ท่านจะไม่เคยแสดงปาฏิหาริย์ให้ใครได้เห็นเป็นที่ประจักษ์
    แต่ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์
    อันควรแก่อัศจรรย์ของท่านอยู่มากมายหลายเรื่อง

    เป็นต้นว่าเรื่อง การเดินเหนือน้ำ


    เรื่องนี้มีอยู่ว่า สมัยที่ท่านยังใช้ชีวิตเป็นพระธุดงค์
    แบกกลดท่องเที่ยวแสวงหาโมกขธรรมยังสถานที่สงบ สงัด
    รอนแรมไปจนทั่วจนจวบจะเข้าพรรษา
    ยามนั้นท่านอยู่ใกล้วัดไหนท่านก็มักจะแวะไปจำพรรษาที่วัดนั้น
    ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเคยจำพรรษาอยู่วัดไม่ซ้ำกัน
    และเคยจำพรรษาอยู่ตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย
    ส่วนใหญ่ก็วัดละเพียง ๑ พรรษาเท่านั้น

    เท่าที่สืบทราบได้
    ท่านได้เคยมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดโพธิ์ หรือ วัดพระเชตุพนฯ
    ในกรุงเทพมหานคร หนึ่งพรรษา
    และจำพรรษาอยู่ที่ วัดบางแพ จังหวัดราชบุรี หนึ่งพรรษา

    ขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่ วัดบางแพ จังหวัดราชบุรี
    นี่เอง ได้เกิดเรื่องเล่าลือกันว่า ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ เดินเหนือน้ำ

    เรื่องมีว่า..

    ในพรรษานั้น ซึ่งเป็นปี พ.ศ. 2464
    เป็นปีที่เมืองไทยน้ำท่วมหนัก ที่วัดบางแพก็เช่นกัน
    น้ำท่วมไปทั่ว แม้ที่บริเวณกุฏิของหลวงพ่อพัฒน์
    ที่ท่านไปพักจำพรรษาเป็นการชั่วคราวก็มีน้ำท่วม
    ท่านไม่สามารถไปไหนมาไหน จะไปไหนทีก็ต้องอาศัยเรือ
    เวลาออกบิณฑบาตก็ต้องอาศัยเรือไป

    เช้าวันหนึ่งขณะที่ท่านเตรียมตัวออกรับบิณฑบาต
    สั่งให้ศิษย์ไปเอาเรือมารับ แต่ศิษย์หายไปนานท่านรอไม่ไหว
    ก็คว้าบาตรคว้าย่ามแล้วลุยน้ำไป แต่ที่ลูกศิษย์เห็นก็คือ


    ท่านเดินไปเหนือน้ำ คือเดินไปบนผิวน้ำ
    ขณะที่ท่านเดินก็สวนทางกับเรือที่ลูกศิษย์พายมารับ
    จึงมีคนเห็นท่านแสดงปาฏิหาริย์ แล้วก็เอาไปเล่าลือ
    และนำมาเล่าสืบต่อๆกันมาตราบปัจจุบัน


    -------------------

    ฟื้นจากความตาย

    ปาฏิหารย์อันน่าอัศจรรย์อีกเรื่องของหลวงพ่อพัฒน์
    ที่ควรจะนำมาเล่าเสริมไว้ในที่นี้
    ก็คือเรื่อง การมรณภาพแล้วฟื้นของท่าน

    ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้น ในขณะที่ท่านได้มาอยู่ประจำที่วัดพัฒนารามแล้ว


    ขณะนั้นท่านกำลังเร่งสร้างพัฒนาวัด แล้วก็เกิดอาพาธหนัก
    ด้วยโรคลงท้อง ท่านเห็นว่าตัวท่านไม่รอดแน่แล้ว
    จึงได้เรียกศิษย์ที่ใกล้ชิดมาแล้วสั่งว่าหากท่านมรณภาพไป
    ก็อย่าได้ตกใจกลัวกันและห้ามจัดการอะไรกับศพของท่าน
    แต่ให้เอาเทียนมาจุดไว้ข้างๆศพ จุดไว้อย่างนั้นให้ครบ 7 วัน 7 คืน
    และอย่าให้เทียนดับขาดช่วงเป็นอันขาด ลูกศิษย์ก็รับปาก


    หลังจากนั้นเพียงไม่นานท่านก็สิ้นลมหายใจ
    นำความเศร้าโศกอย่างใหญ่หลวงมาสู่คณะศิษย์
    แต่ทุกคนก็ทำตามที่ท่านสั่งเสีย
    คือปล่อยศพของท่านให้นอนอยู่อย่างนั้น แล้วเอาเทียนมาจุดไว้ข้างๆศพ
    จุดติดต่อกัน 7 วัน 7 คืน โดยไม่ให้เทียนดับขาดช่วงเลย


    ที่น่าแปลก....ในขณะนั้นก็คือ
    สภาพศพของท่านนอนนิ่งเหมือนกับคนนอนหลับไป
    ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ไม่เน่าเปื่อย ไม่มีกลิ่นเหม็น
    ชาวบ้านก็ฮือฮากันใหญ่ มีคนมาดูกันมาก
    แต่ก็ถูกห้ามไม่ให้ไปรบกวนศพของท่าน

    ศพของหลวงพ่อพัฒน์นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนครบ 7 วัน
    ก็ลืมตาฟื้นมาอีกครั้ง สร้างความโกลาหลอย่างใหญ่หลวงให้คณะศิษย์
    และชาวบ้านที่ได้ข่าวการมรณภาพของท่าน

    เมื่อเรื่องที่ท่านมรณภาพแล้วฟื้นขึ้นมาอีกเล่าลือกันกว้างขวางออกไป
    ชื่อเสียงของท่านจึงเริ่มโด่งดังออกไป
    มีผู้คนมาหามาขอของดีกับท่านเป็นจำนวนมาก
    เพราะตอนนั้นชาวบ้านเริ่มเชื่อว่า ท่านจะต้องมี ของดีแน่
    ถึงขนาดตายแล้วฟื้นกลับมาอีกได้


    ท่านก็ได้ทำของดี คือ พวกวัตถุมงคลแจกให้ไป
    แต่ก่อนจะแจกก็สอนธรรมะชี้แจงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของชีวิต
    แล้วเล่าเรื่องที่มรณภาพไปแล้วฟื้นเป็นอุทาหรณ์



    ท่านเล่าว่า
    ขณะที่ท่านมรณภาพไปนั้น วิญญาณของท่านได้ล่องลอยไปเรื่อยๆ
    จนกระทั่งไปพบคฤหาสน์อันใหญ่โตหลังหนึ่ง
    ซึ่งดูแล้ว คล้ายวังของเจ้านาย คฤหาสน์หลังนั้นสร้างได้สวยงามมาก
    ท่านได้เข้าไปในคฤหาสน์นั้น ก็มีคนเฝ้าคฤหาสน์ออกมาต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี


    ท่านเข้าไปแล้ว ก็ได้ถามว่า นี่เป็นคฤหาสน์ของใคร
    แต่เขาคนนั้นยังไม่ทันตอบ ท่านถอยหลังกลับ
    เท้าเกิดไปสะดุดอะไรบางอย่างเข้าก็ล้มลงและกลับฟื้นอีกที

    ตั้งแต่นั้นมาท่านก็สอนทุกคนที่ไปหาท่าน
    ให้ตั้งใจรักษาศีล ปฏิบัติธรรม โดยเอาเรื่องที่ท่านได้ประสบมาเป็นอุทาหรณ์



    หลวงพ่อพัฒน์มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วภาคใต้ตอนนั้นเอง
    มีผู้คนไปมาหาท่านมากมาย ไปขอของดีจากท่าน
    ของดีของขลังจำพวกเครื่องรางวัตถุมงคลต่างๆของท่านก็มีมากมาย
    หลายรุ่น หลายแบบ ท่านไม่ได้ตั้งใจทำให้มันมีราคาค่างวด
    หรือทำเพื่อให้เช่าแต่อย่างใด แต่ทำขึ้นเพื่อแจกให้เป็นที่ระลึก
    แก่ผู้ที่ได้มาหาท่าน และบริจาคเงินช่วยในการสร้างวัดพัฒนาราม

    แต่อย่างไรก็ตาม
    ในเวลาต่อมา ท่านผู้ที่ได้วัตถุมงคลเหล่านั้นไป ก็ได้ประสบปาฏิหาริย์ต่างๆ
    แล้วนำมาเล่าลือกันจนวัตถุมงคลของท่านมีชื่อเสียง มีราคาค่างวดไปด้วย
    ซึ่งปัจจุบันก็ถือได้ว่าเป็นของหายาก
    มีค่าราคาสูงอย่างหนึ่งในบรรดาวัตถุมงคลขลัง
    จากพระคณาจารย์แห่งแดนใต้ ภาคใต้

    เมื่อมีคนมาช่วยกันมากเข้า การสร้างวัดพัฒนารามก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
    และในที่สุดก็สำเร็จลงสมความต้องการของท่าน

    สร้างวัดพัฒนารามเสร็จแล้ว
    หลวงพ่อพัฒน์ท่านอยู่ประจำที่วัดนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งเข้าสู่วัยชรา
    ก็เริ่มมีโรคมารุกราน แต่ท่านก็มุ่งมั่นในเรื่องบำเพ็ญธรรม
    แม้ว่าจะอาพาธหนักขนาดไหน ท่านก็ไม่เคยละเรื่องการเจริญภาวนา
    ขนาดนั่งเจริญภาวนาไม่ได้ท่านก็นอนภาวนา

    เมื่อท่านมาอยู่วัดพัฒนารามแล้วและมีพรรษาอาวุโสมากขึ้น
    ทางคณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์
    เพื่อให้พิจารณาทำพิธีรับกุลบุตรเข้าสู่พระศาสนา
    ซึ่งท่านก็ได้ปฏิบัติหน้าที่นั้นอย่างสมบูรณ์ จนกระทั่ง ม ร ณ ภ า พ



    ----------------------

    พิมพ์คัดลอกมาจากหนังสือ “อมตะสังขารธรรมอภิญญาจารย์แห่งแดนใต้” นรเศรษฐ์
    จากหน้า ๓๖-๔๐





    กสิณฌาน


    สำหรับประสบการณ์ในการธุดงค์ของหลวงพ่อพัฒน์นั้น
    พระมหาวิจิตรได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติหลวงพ่อพัฒน์ไว้หลายตอน
    แต่จะขอยกมาถ่ายทอดต่อในที่นี้ตามเนื้อที่ที่พอจะเอื้ออำนวย ดังนี้

    คราวหนึ่ง หลวงพ่อพัฒน์ท่านเดินธุดงค์อยู่ในป่าช้าแถวจังหวัดภูเก็ต
    ขณะที่ท่านเข้าพักแขวนกลดไว้กับกิ่งไม้ในป่าช้าแห่งหนึ่ง
    เมื่อเรียบร้อยแล้วท่านจึงเดินจงกรม
    คลายความเครียดและความเหน็ดเหนื่อยพอสมควรแล้ว ท่านก็นั่งสมาธิภาวนา
    นั่งในกลด เพราะเป็นช่วงพลบค่ำพอดี


    ขณะที่ท่านนั่งสมาธิจนจิตค่อยสงบลงแล้ว
    สติสัมปชัญญะสมบูรณ์แจ่มใสมาก ท่านได้เล่าให้บรรดาศิษย์ฟังภายหลังว่า
    จิตสงบดีแล้ว เหตุการณ์อันอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น

    ท่านให้เห็นอักขระแบบภาษาขอม ลอยขึ้นเด่นชัด
    อยู่ในท่ามกลางอากาศ ก็ได้กำหนดจำอักขระเหล่านั้นมาพิจารณา
    แล้วทำอุบายเพ่งเป็นกสิณ โดยอาศัยอักขระโบราณที่ปรากฏมา
    เป็นนิมิตหมายแห่งการบำเพ็ญเพ่งเป็นองค์กสิณ

    ได้น้อมนำไปปฏิบัติเช่นนั้น
    ยิ่งนานวัน ความสงบยิ่งแนบแน่นขึ้นโดยลำดับ
    การเป็นผู้ชำนาญในการเข้า-ออก หรือที่เราเรียกว่า“วสี”
    บังเกิดแก่จิตของท่านยิ่งๆขึ้นไป


    นับได้ว่าหลวงพ่อพัฒน์ นารโท มีความแก่กล้าในอำนาจจิต
    และว่องไวมากในสมถกรรมฐาน ท่านยกระดับจิตได้แล้วในขั้นฌาน4
    โดยอาศัยเพ่งอักขระโบราณที่ปรากฏลอยเด่นขึ้นมา
    ทั้งๆที่ลืมตาแบบธรรมดา นี้เอง


    ------------------
    พิมพ์คัดลอกมาจากหนังสือ “อมตะสังขารธรรมอภิญญาจารย์แห่งแดนใต้” นรเศรษฐ์
    จากหน้า ๒๒-๒๓







    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2011
  3. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    กำหนดวันละสังขาร


    ในวาระบั้นปลาย
    ขณะที่ท่านอาพาธกระเสาะกระแสะ
    ในปีพ.ศ. 2485 ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุได้ 80 ปี
    ท่านก็ได้ทราบวาระละสังขารของตัวท่านเอง
    ท่านจึงได้เรียกคณะศิษย์มาพร้อมเพรียงกันแล้วบอกว่า ท่านจะมรณภาพแล้ว
    โดยท่านจะละสังขารอย่างแน่นอนในวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2485 นี้
    แล้วท่านก็สั่งสอนสั่งเสียคณะศิษย์ให้ตั้งมั่นอยู่ในคำสอนของท่าน
    ฝากภาระหน้าที่พระศาสนาไว้กับพระภิกษุที่ท่านไว้ใจ


    ฝ่ายคณะศิษย์ ครั้นได้รับทราบเรื่องจากปากของท่านเช่นนั้นแล้ว
    ก็เริ่มใจคอไม่ดีกัน เพราะทุกคนต่างเชื่อในคำพูดของหลวงพ่อพัฒน์
    ทั้งนี้ เนื่องจากหลวงพ่อพัฒน์ท่านไม่เคยพูดเล่นและพูดอะไรมักจะเป็นจริงตามนั้น
    ทุกคนจึงได้รอคอยด้วยความหวาดหวั่น

    จนกระทั่งถึงวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2485
    ซึ่งเป็นวันที่ท่านบอกว่าจะถึงวาระละสังขารแล้ว คณะศิษย์ก็มาพร้อมเพรียงกัน
    คืนนั้น ท่านก็ยังบำเพ็ญธรรมนั่งเจริญภาวนาตามปกติ เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา

    แต่คืนนั้นท่านนั่งเจริญสมาธินานมาก เริ่มตั้งแต่หัวค่ำ
    จนกระทั่งถึงเวลา 04.00 น. อันเป็นเวลาใกล้รุ่งแล้ว ท่านถึงถอนสมาธิ
    เรียกให้ศิษย์ช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ซึ่งตอนนั้นท่านนั่งสมาธิมานานหลายชั่วโมง
    ร่างกายคงเมื่อยล้า ประกอบกับท่านชราภาพและอาพาธหนักอยู่
    คณะศิษย์จึงช่วยกันพยุงให้ท่านยืนขึ้น
    แล้วท่านก็สั่งให้ศิษย์คนหนึ่งไปเอาจีวร สบงใหม่ มาเปลี่ยนให้ท่าน


    ศิษย์คนนั้นก็รีบหาสบงจีวรใหม่มาเปลี่ยนให้
    หลวงพ่อพัฒน์ท่านก็นุ่งห่มสบงจีวรใหม่นั้นอย่างเรียบร้อย
    เหมือนจะประกอบพิธีสงฆ์ แล้วก็นั่งลงเจริญสมาธิต่อไป
    คราวนี้ได้สั่งเสียคณะศิษย์ ขณะที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ห้ามส่งเสียงรบกวน
    และให้จุดเทียนไว้เบื้องหน้าท่านสักเล่มหนึ่ง


    คณะศิษย์เห็นว่าร่างกายท่านเมื่อยล้ามากแล้ว
    ก็เป็นห่วงอยากให้ท่านพักผ่อน แต่ก็ไม่มีใครกล้าทัดทาน
    จึงปล่อยให้ท่านนั่งสมาธิต่อไปโดยได้แต่เฝ้าดูแลอยู่ข้างๆ
    และจุดเทียนไว้ให้เบื้องหน้าตามที่ท่านสั่ง

    หลวงพ่อพัฒน์ก็นั่งเจริญสมาธิต่อไปจนกระทั่งรุ่งเช้า
    ถึงเวลา 08.43 น. ร่างกายของท่านก็เกิดเปลี่ยนท่าเล็กน้อย
    คือศีรษะซึ่งได้ตั้งตรงมาตั้งแต่เมื่อคืนได้เอนลงมาข้างหนึ่ง
    คณะศิษย์ที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่านใกล้ชิดมาตลอด
    ทราบกันเป็นอย่างดีว่า ท่านไม่เคยนั่งเอนเอียงเช่นนั้น
    จะนั่งตัวตรงตลอดจนกระทั่งออกจากสมาธิ

    เมื่อได้เห็นอาการผิดปกติเช่นนั้น ก็มีคนเข้าไปดู
    พอสัมผัสสังขารของท่านก็พบว่าเย็นเฉียบ และสังขารแข็งทื่อแล้ว
    นั่นหมายถึงว่า ท่านได้ละสังขารไปแล้วหลายชั่วโมง

    เมื่อได้รู้ว่าหลวงพ่อพัฒน์ได้มรณภาพ
    คณะศิษย์ก็โศกเศร้ากันยิ่งนัก มีคนไปเคาะระฆังลั่นกลอง
    บอกข่าวร้ายแก่ชาวบ้านทั่วไป เมื่อชาวบ้านได้ทราบต่างก็ร่ำร้องไห้
    ด้วยความอาลัยอาวรณ์ในพระอันเป็นที่พึ่งที่เคารพนับถือของพวกเขา
    ตอนนั้นความโศกเศร้าครอบงำไปทั่ววัดพัฒนาราม



    [​IMG]




    สังขารกลายเป็นหิน


    ภายหลังจากมรณภาพแล้ว
    สังขารของหลวงพ่อพัฒน์ก็ยังอยู่ในท่านั่งสมาธิ
    และที่สำคัญก็คือ
    ตอนนั้นร่างกายได้แข็งผิดปกติ คณะศิษย์จะเอาศพของท่านใส่โลง
    ก็ไม่สามารถใส่ได้ เพราะสังขารอยู่ในท่านั่ง


    เมื่อได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับความผิดปกติของสังขารท่าน
    ทุกคนเห็นว่าเป็นความผิดปกติที่ท่านตั้งใจจะให้เกิด
    จึงไม่มีใครกล้าไปเปลี่ยนอิยาบถสังขารของท่าน

    คณะศิษย์เชิญสังขารของท่านมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณี
    ทั้งที่อยู่ในท่านั่งสมาธินั่นเอง โดยเอาใส่โลงแก้ว
    เพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองได้เห็นได้ประจักษ์ในปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย
    ก่อนมรณภาพของหลวงพ่อพัฒน์โดยทั่วกัน

    ภายหลังจากสวดอภิธรรมบำเพ็ญกุศลตามประเพณีเสร็จสิ้นแล้ว
    คณะศิษย์ก็เอาสังขารของท่านไปประดิษฐานไว้ในวิหารแห่งหนึ่งภายในวัด
    ซึ่งสร้างขึ้นในการณ์นี้โดยเฉพาะ เพื่อให้สาธุชนได้สักการะ
    โดยใส่ไว้ในโลงแก้วมองเห็นได้อย่างชัดเจน


    สังขารของหลวงพ่อพัฒน์ ประดิษฐานอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายปี
    จนในเวลาต่อมา คณะศิษย์ก็ได้ร่วมกันสร้างวิหารใหม่
    และได้สร้างรูปเหมือนของท่านเสร็จ ก็ได้เอารูปเหมือนนั้น
    ไปประดิษฐานให้สาธุชนได้สักการบูชาแทนสังขารของท่าน
    โดยเอาสังขารอันอมตะของท่านไว้ข้างล่าง เอาปูนโบกปิดเสีย
    ในปัจจุบันจึงไม่สามารถเห็นได้ แต่ก็สามารถเปิดดูได้


    ทุกวันนี้สังขารอันเป็นอมตะของหลวงพ่อพัฒน์ก็ยังคงประดิษฐาน
    อยู่ที่ภายใต้รูปเหมือนของท่านภายในวิหารที่วัดพัฒนาราม
    ซึ่งมีคนไปกราบไหว้สักการะไม่ได้ขาด ผู้คนจากใกล้ไกล
    ชักชวนญาติสนิทมิตรสหาย นำพาลูกหลานไปกันในแต่ละวันจำนวนมากๆ

    ทั้งนี้เพราะกระแสเสียงที่บอกต่อๆกันไปนั้นแรงมาก
    แนะนำแก่กันให้ไปกราบขอพรทิพย์จากหลวงพ่อพัฒน์ วัดพัฒนาราม
    ในยามที่ไม่สุขกายสบายใจ หรือมีอุปสรรคปัญหาทั้งในชีวิตและการงาน
    ทำสิ่งหนึ่งอันใดให้ติดๆขัดๆไม่เป็นไปดั่งใจหวัง



    จิตทิพย์ บารมีธรรมของหลวงพ่อพัฒน์ซึ่งเปี่ยมด้วยเมตตา
    สามารถขจัดทุกข์ อุปสรรคปัญหานานา และดลบันดาลความสำเร็จ
    สมหวังให้บังเกิดขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก


    และหากแม้ว่าผู้ขอพร
    ขอบารมีธรรมจากท่านแผ่บันดาลช่วยเหลือ เป็นผู้ที่ไฝ่ในบุญกุศล
    มีการทำบุญใส่บาตร เข้าวัดถือศีล ฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรมด้วยแล้ว
    สิ่งที่อธิษฐานต่อท่านจะสัมฤทธิ์ผลอย่างเร็วพลัน
    บุคคลนั้นจะประสบสุข เกิดความเจริญรุ่งเรืองไม่มีเสื่อมถอย


    คหบดีมีทรัพย์มากผู้สูงวัยท่านหนึ่ง
    เปิดเผยเคล็ดลับอันสำคัญที่ท่านปฏิบัติเป็นปกติอยู่เนืองๆ
    ว่าการไปขอพร หรือว่าบนขอหลวงพ่อพัฒน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆก็ตาม
    หากต้องการให้สิ่งที่บนที่ขอเกิดขึ้นไวๆให้บนต่อท่านด้วยเรื่องบุญกุศล
    เพราะหลวงพ่อพัฒน์ท่านชื่นชมผู้ที่ชอบทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล
    ปฏิบัติภาวนา ซึ่งตัวท่านเองได้เจริญในแนวทางบุญนั้นตราบถึงวาระสุดท้าย
    มรณภาพวันละสังขารสิ้นลมหายใจครั้งสุดท้าย


    แต่ก็สำคัญนะครับ
    ท่านว่าถ้าบนสิ่งใดไว้ เมื่อสิ่งที่ขอนั้นสำเร็จ ต้องรีบแก้บนอย่างไม่เนิ่นช้า
    เป็นต้นว่า บนสร้างกุฏิวิหารถวายวัด ร่วมทำบุญสร้างวัดเท่านั้นเท่านี้
    หรือจะทำบุญใส่บาตรทุกเช้า จะถือศีล จะปฏิบัติธรรมกี่วันกี่คืน
    ก็ให้ปฏิบัติตามที่บนบอกต่อท่านเป็นการอุทิศบุญถวายท่าน ก็ให้เร่งรีบทำโดยไว
    จะเกิดมงคลสวัสดิ์ต่อบุคคลนั้นๆสืบไป ก็ขอฝากไว้ต่อผู้อ่านทุกท่านได้พิจารณา


    ได้อ่านเรื่องราวของหลวงพ่อพัฒน์แล้ว
    หากมีจิตศรัทธาจะเดินทางไปกราบนมัสการท่าน ไปขอพรศักดิ์สิทธิ์จากท่าน
    ผู้มีสังขารอันเป็นอมตะ พระอภิญญาจารย์ผู้นั่งเจริญสมาธิภาวนากระทั่งมรณภาพ
    และภายหลังจากมรณภาพ สังขารของท่านได้กลายเป็นหินรูปนี้
    ก็ขอเชิญได้ที่วัดพัฒนาราม ซึ่งอยู่ในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี ไปมาสะดวก
    แม้มาจากต่างถิ่นก็หาไม่ยาก เพราะในจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีคนรู้จักวัดนี้ดี
    รถสามล้อ รถสองแถว รถรับจ้างต่างๆ ต่างรู้จักวัดนี้ดี
    เพราะล้วนเคยไปส่งคนมาแล้วทั้งนั้น หากท่านผู้ใดสนใจก็เชิญได้เลยครับ


    ----------------------


    พิมพ์คัดลอกมาจากหนังสือ “อมตะสังขารธรรมอภิญญาจารย์แห่งแดนใต้” นรเศรษฐ์
    จากหน้า ๔๑-๔๖
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Photo-0117.jpg
      Photo-0117.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.5 KB
      เปิดดู:
      5,781
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2011
  4. ท่านผู้ใหญ่ลี

    ท่านผู้ใหญ่ลี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +37
    อภิญญา คือ ความรู้ยิ่ง
    เป็นความรู้ชั้นสูงในหลักธรรมพระพุทธศาสนา มี 6 อย่างด้วยกันคือ


    1. อิทธิวิธี คือ แสดงฤทธิ์ต่างๆได้ เป็นต้นว่า
    เหาะเหินเดินอากาศ จำแลงแปลงกาย กำบังหายตัว ฯลฯ

    2. ทิพโสต มีหูทิพย์ สามารถได้ยินได้ทราบเรื่องราวที่ห่างไกลตัวเอง
    ซึ่งไม่ได้เห็นด้วยตัว ฟังด้วยหู แต่ทราบเรื่องได้ตามความเป็นจริงทุกอย่าง

    3. เจโตปริยญาณ มีญาณวิเศษสามารถหยั่งรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นได้
    หรือทายใจของผู้อื่นได้

    4. ปุพเพนิวาสนุสติ มีญาณวิเศษที่สามารถระลึกชาติได้

    5. ทิพจักขุ มี ตาทิพย์ สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป
    แม้สิ่งนั้นจะอยู่ในที่มุงบัง มีวัตถุสิ่งอื่นปิดบังเอาไว้
    หรือมองเห็นสิ่งที่ปุถุชนทั่วไปไม่เห็น

    6. อาสวักขยญาณ มีญาณที่สามารถทำให้อาสาวะสิ้นไป


    บุคคลหรือพระภิกษุรูปใดทรงความรู้ชั้นสูง 6 อย่าง ดังกล่าวมาแล้วนี้ เราเรียกว่า อภิญญา

    สำหรับหลวงพ่อพัฒน์นั้น
    จากวัตรปฏิบัติต่างๆที่ท่านแสดงนั้นก็บ่งบอกให้อนุมานได้ว่า
    ท่านก็เป็นผู้ทรงความรู้ชั้นสูง 6 อย่างนี้อย่างครบถ้วน
    ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับการยอมรับว่า เป็น พระอภิญญาจารย์รูปหนึ่ง ในยุคกึ่งพุทธกาล
     
  5. บริสุทธ์

    บริสุทธ์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +4
  6. KeLBeRoS

    KeLBeRoS Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,409
    ค่าพลัง:
    +6,357
    นั่งพิมพ์เป็นธรรมทาน อนุโมทนาอย่างยิ่งครับ
     
  7. ttt2010

    ttt2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +904
    อนุโมทนาสาธุ

    ttt2010 ศิษย์พระอาจารย์บุญยง อภิลาโส ภิกขุ
    ______________________________________________________
    บอกบุญแหล่งทำบุญ

    ท่องวัดและศาสนสถานที่สำนักสงฆ์พรหมรังศรี
    เปิดดวง พิธีกรรมแก้ดวงชะตา (สำนักสงฆ์พรหมรังศรี)
    บูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดดอนพัฒนาราม พระนครศรีอยุธยา
    สร้างศูนย์วิปัสสนาศิริธรรม(นายาง)ต.นายาง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  8. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    เดี๋ยวพิมพ์เพิ่มเติมอีกอ่ะ..^^ อย่าลืมแวะมาอ่านอีกนะกอล์ฟ

    ------
    ขอบคุณญาติธรรมทุกๆคน ^_^
    มีเรื่องราวน่าสนใจ ที่กำลังจะพิมพ์เพิ่มเติมอีกค่ะ ลองแวะมาอ่านกันนะคะ
     
  9. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    ขอบคุณค่ะ พี่ครูติงแวะมาอีกนะคะ
    เดี๋ยวตาจะพิมพ์เนื้อหาเพิ่ม กำลังเลือกหัวข้อที่เหมาะกับหมวดอยู่ค่ะ
     
  10. ศิวโมกข์

    ศิวโมกข์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณนะคะที่นำเรื่องดีๆ มาเผยแผ่
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ นิพพานะปัจจโยโหตุุ
     
  11. poopenๆ

    poopenๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +86
    " หลวงพ่อพัฒน์ท่านชอบไปปฏิบัติอยู่ตามป่าช้าผีค้าง
    เพื่อจะได้ถือเอาซากศพที่ค้างอยู่และกำลังเน่าเปื่อย
    เป็นอุปกรณ์ในการฝึกกรรมฐานอันน่าขยะแขยงนี้ว่า “มาลัยอริยะ” "
    ....โมทนาสาธุครับ...
     
  12. jumook

    jumook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,043
    ดีจริงๆครับ พระอริยะเจ้าอีกรูปหนึ่ง
     
  13. puw288

    puw288 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +161
    กราบนมัสการหลวงปู่ ด้วยความเคารพยิ่ง ;k06
     
  14. rosicky7

    rosicky7 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +40
    อนุโมทนา สาธุ
    อยู่สุราษฎร์เหมือนกัน เคยไปที่วัด แต่ไม่บ่อยมาก ^_^
     
  15. ทิพย์ปทุโม

    ทิพย์ปทุโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +2,471
    เป็นคนชอบอ่านเรื่องแบบนี้มากมาย เพื่อสะสมไว้ในดวงจิต โมทนาบุญกับ จขกท.คะ
     
  16. ศิษย์พุทโธ

    ศิษย์พุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +1,901
    ผมขออนุโมทนากับบุญกุศลที่หลวงปู่ได้ปฏิบัติและกับผู้ที่โพสกระทู้นี้ด้วยนะครับ
     
  17. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  18. k_pe

    k_pe สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +18
    กราบอนุโมทนาสาธุ ขอบพระคุณมากครับ
    ที่ทำให้รู้เรื่องราวของพระทางใต้
     
  19. มุนีญา

    มุนีญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,001
    กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ น่าศรัทธาอย่างยิ่งเจ้าค่ะ
     
  20. คุณชัชช์

    คุณชัชช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    833
    ค่าพลัง:
    +725
    การให้ธรรมเป็นทานเหนือการให้ทั้งปวง ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...