10 วัตถุลึกลับโบราณ ที่ท้าทายทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Karnta, 11 กันยายน 2011.

  1. Karnta

    Karnta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,239
    ค่าพลัง:
    +1,098
    OPARTS โอพาร์ทส หรือย่อมาจาก Out Of Place Artifacts นี้แปลตรงตัวแล้วหมายถึง"วัตถุเหนือยุค" หมายถึงวัตถุซึ่งไม่น่าจะมีปรากฏอยู่ในยุคนั้นๆซึ่งถูกสร้างขึ้น ที่มีชื่อเสียงได้แก่ เครื่องบินเจ็ตทองคำ(โคลัมเบีย) กะโหลกคริสตัล(แอสเทคและที่อื่นๆ) รูปวาดนักบิน(มายา) รูปเฮลิคอปเตอร์+รถถัง+เครื่องบินรบ(อียิปต์) ฯลฯ กล่าวกันว่าการค้นพบสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานว่า ในสมัยโบราณ มนุษย์มีวัฒนธรรมซึ่งล้ำหน้ากว่าที่เราคาดคิดไว้มากนัก ถือเป็นการค้นพบที่พลิกประวัติศาสตร์โลกทีเดียว
    ในช่วงหลายร้อยปีมานี้ มีการพบวัตถุลึกลับต่างๆ มากมายทั่วโลก(ไม่ยักมีไทย) ซึ่งวัตถุแต่ละอย่างไม่สอดคล้องกับทฤษฏีความเป็นไปของโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอารยธรรม, ความฉลาดของสมอง, ความคิดของมนุษย์ ฯลฯ และนี้คือ 10 วัตถุโบราณที่กำลังท้าทางคำตอบ ว่ามันคืออะไรกันแน่ และมันมีไว้เพื่ออะไร

    อันดับ 10 Klerksdorp sphere
    220px-Ottosdal1.jpg

    หรือ The Grooved Spheres เป็นโลหะลึกลับที่มีการค้นพบกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยคนงานเหมืองใน Ottosdal เมืองเล็กๆ ในประเทศแอฟริกาใต้ได้ขุดค้นพบวัตถุโลหะทรงกลมลึกลับจำนวนหนึ่ง ขึ้นมาในชั้นหินแร่ไพโรฟิลไลท์ โดยไม่ทราบที่มาและแหล่งกำเนิดได้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ มันเป็นวัตถุโลหะทรงกลมลึกลับนี้วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางรอบวงได้ประมาณ 1 นิ้วกว่าๆ (0.5-10 ซม.) และมี 2 แบบ คือโลหะสีน้ำเงินอ่อน มีสีขาวเป็นจุดๆ อีกแบบเป็นทรงกลวง ข้างในบรรจุข้าวสาลี และจากการตรวจสอบหาอายุวัตถุลึกลับนี้จากชั้นของหินพบว่ามันมีอายุนานถึง 2,800 ล้านปี!!(ในวีพีมีเดียอังกฤษบอกว่า 3,000 ล้านปี) ซึ่งมันเป็นยุคพรีแคมเบรียน(Precambrian)หรือบรมยุคกำเนิดโลก ดูจากยุคแล้วก็บอกได้แน่นอนว่าไม่มีวิทยาการที่สามารถใช้ไฟหลอมโลหะเป็นทรงกลมได้แน่ๆ แถมเป็นยุคที่ไม่มีมนุษย์อีก ทำให้จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครทราบคำตอบว่าใครเป็นทำโลหะทรงกลมเหล่านั้น?? และทำเพื่ออะไร?? ทำให้ตั้งข้อสมมุติฐานว่าเกิดจากธรรมชาติเท่านั้น.....

    อันดับ 9 The Dropa Stones
    dropastones-china-tm.jpg

    ในปี 1938 นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งนำโดยดร.ชีปูเตย (Dr. Chi Pu) ได้เข้าไปสำรวจเทือกเขาเป่ยอัน-คารา-ยูลา Baian-Kara-Ulaในเมืองจีน ได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ในถ้ำแห่งหนึ่งเข้า สิ่งมหัศจรรย์นี้เป็นวัตถุอารยธรรมโบราณฝังรูปร่างเหมือนแผ่นศิลาทรงกลมหลายร้อยแผ่นฝังอยู่ฝุ่นตามพื้นถ้ำ ศิลาเหล่านี้วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 9 นิ้ว แต่ละแผ่นมี รอยสลักเป็นวงกลมที่ศูนย์กลาง แล้วแกะหมุนวนแบบลายก้นหอย ดูคล้ายแผ่นเสียง ทว่ามีอายุราว 10,000-12,000 ปี เมื่อเพ่งพินิจให้ดีก็จะพบว่า ที่จริงแล้ว เส้นสายเหล่านั้นเป็น อักษรภาพตัวเล็กจิ๋วที่บอกเล่าเรื่องราวที่เหลือเชื่อว่า ครั้งหนึ่งเคยมียานอวกาศบินมาตก ที่เทือกเขาแห่งนั้น ยานอวกาศที่ว่ามีนักบินเป็นเผ่าชนที่เรียกตัวเองว่า โดรปา ซึ่งมีการพบซากของมนุษย์ที่อาจเป็นลูกหลานของชนกลุ่มนี้ในถ้ำด้วย

    อันดับ 8 The Ica Stones
    ica-stones-1.jpg

    ในช่วงทศวรรษ 1930 บิดาของดร.ฮาเวียร์ คาบรีบรา นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรม ผู้ศึกษาเรื่องราวของชนพื้นเมืองในเปรู ได้พบหินหลายร้อยก้อนตามหลุมศพของชาวอินคาโบราณ ดร.คาบรีบราได้สานต่องานของพ่อ ด้วยการสะสมก้อนหิน ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟเหล่านี้ได้มากถึงกว่า 1,100 ก้อน ซึ่งประมาณว่ามีอายุราว 500-1,500 ปี และต่อมารู้จักกันในชื่อก้อนหินอิคา หินเหล่านี้มีรอยสลัก บางชิ้นเป็นเรื่องราวทางเการแพทย์ เช่นผ่าตัด ตัดหัวใจ และปลูกถ่ายสมอง แต่ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ ภาพสลักรูปไดโนเสาร์ ทั้งบรอนโตซอ รัส ไทรเซอราท็อป สเตโกซอรัส และเทอโรซอร์ รูปของคนขี่ไดโนเสาร์ รูปกล้องโทรทัศน์ แล้วก็แผนที่โลกที่มองลงมาจากทางอากาศ ปัจจุบัน ยังไม่มีนักโบราณคดีคนใดอธิบายเรื่องนี้ได้ แม้นักวิชาการบอกว่า หินอิคาเป็นของที่กุขึ้นมาเอง แต่ก็ไม่เคยมีการ วิจัยเพื่อพิสูจน์ความจริงหรือหักล้างในเรื่องนี้ หินอิคาจึงเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงต่อไป

    อันดับ 7 Giant Stone Balls of Costa Rica
    stone-balls-costa-rica-tm.jpg

    เมื่อทศวรรษ 1930 ขณะกำลังหักร้างถางพงในป่าทึบของ ประเทศคอสตาริกาเพื่อทำสวนกล้วย พวกคนงานได้เจอลูกหินขนาดต่างๆ หลายสิบลูก หลายลูกมีรูปร่างกลมดิก ขนาดก็แตกต่างกันไป มีตั้งแต่เท่า ลูกเทนนิสไปจนถึงลูกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 ฟุต หนักถึง 16 ตัน เห็นได้ชัดว่าลูกหินพวกนี้ไม่ได้เกิดเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ปัญหาก็คือไม่ได้พบร่อยรอยมนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงแม้แต่น้อย แม้แต่เศษเครื่องปั้นดินเผาก็พบสักชิ้น มันไม่น่าจะเป็นฝีมือมนุษย์ เพราะว่าลูกบอลยักษ์กลมดิกมาก จากข้อสันนิษฐานพบว่าลูกบอลยักษ์เหล่านี้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์จะเกิดเสียอีก คือเกิดในยุคแทร์เซียรีพีเรีนดซึ่งนานกว่า 40 ล้านปีมาแล้ว คนพวกไหนมาสร้างเอาไว้ ทำขึ้นมาด้วยจุดประ สงค์อันใด และที่สำคัญมีเครื่องไม้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีอะไรจึงทำลูกหิน ได้กลมเกลี้ยงถึงปานนี้?

    อันดับ 6 Oera Linda Book
    300px-manuscript-thet-oera-linda-bok-pagina-48-tm.jpg

    "Oera Linda Book เป็นหนังสือของพวก รีสแลนด์(ฟรีสแลนด์เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์) เป็นหนังสือที่เขียนด้วยมือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เทพนิยาย และศาสนา ที่ปรากฏออกมาเมื่อศตวรรษที่ 19 หนังสือนี้ประกอบด้วยเรื่องความหายนะ, ชาตินิยมที่ผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัว,เทพนิยาย พบว่ามีการภาษาที่ใช้เขียนเล่มเป็นภาษาของชนชาติยุโรปและของชนชาติอื่นๆ รวมอยู่ด้วย โดยเนื้อหาที่เขียนถูกรวบรวมและจัดเรียงโดย(เจ้า)แม่ผู้นำขนบธรรมเนียมท้องถิ่น ที่อุทิศตัวเป็นนักบวชหญิงของเฟรย่า ( Freya ) เทพีแห่งความรัก บุตรีแห่งมหาเทพ Wralda กับ Irtha มารดาแห่งปฐพี ด้วยเหตุนี้ภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษากรีกโบราณและภาษาฟีนิเชี่ยน ฉบับปัจจุบันถูกพบว่าเขียนในปี 1260 ส่วนฉบับที่เก่าแก่กว่าถูกพบว่าเขียนในช่วงระหว่าง2194 ปีก่อนคริสตศักราช ถึง ค.ศ.803 ซึ่งสมัยนั้นไม่มีทางที่เขียนภาษาแบบนี้ได้แน่ๆ แต่กระนั้นก็มีการโต้แย้งว่ามันอาจเขียนขึ้นก่อนหน้านั้นแล้วทำให้ดูเหมือนโบราณเท่านั้น

    อันดับ 5 Impossible Fossils
    human-fossil-tm.jpg

    อย่างที่เราเคยเรียนกันสมัยมัธยม ซากฟอสซิลที่ปรากฏอยู่ตาม ก้อนหินนั้น ต้องใช้เวลาก่อตัวนานนับล้านปี แต่ก็มีฟอสซิลจำนวนหนึ่งซึ่งดูจะ ขัดกับหลักธรณีวิทยาหรือประวัติศาสตร์ ชนิดผิดฝาผิดตัวอย่างสุดๆ เช่น ฟอสซิลรูปมือประทับของมนุษย์ที่พบในชั้นหินปูน ซึ่งประมาณว่ามีอายุ 110 ล้านปี เป็นต้น แล้วยังมีสิ่งที่เชื่อว่าเป็นฟอสซิลนิ้วมือของมนุษย์ ที่พบในเขต อาร์กติกของแคนาดาอีก ชิ้นนี้มีอายุราว 100-110 ล้านปี ไม่แต่เท่านั้น ยังมีการพบรอยเท้ามนุษย์ ซึ่งมองเหมือนสวม รองเท้าแตะ ที่เมืองเดลตา มลรัฐยูทาห์ ในชั้นหินดินดาน อายุราว 300-600 ล้านปีด้วย

    อันดับ 4 Out-of-Place Metal Objects
    out-of-place-metal-tm.jpg

    เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ตามตำราบอกว่ามนุษย์ยังไม่เกิด และแน่นอนเรื่องช่างโลหะย่อมไม่มีแน่ แต่แล้วในฝรั่งเศสดันมีการค้นพบท่อโลหะ ทรงกึ่งรูปไข่ ที่ขุดพบในหินชอล์ก ยุคครีเตเชียส(Cretaceous) ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายของยุคเมโสโซอิค หรือ "ยุคไดโนเสาร์" ก่อนทวีปต่างๆ ก็ได้แยกออกจากกันเช่นในปัจจุบันได้อย่างไรกัน? ...นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างกรณีทำนองนี้มีมากมาย เช่น...เมื่อปี 1885 มีการพบท่อ โลหะในก้อนถ่านหิน ซึ่งเห็นได้ว่าทำขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ...เมื่อปี 1912 คนงานของโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งก็เจอกาน้ำโลหะใน ถ่านหินก้อนใหญ่ จากยุคหิน(Mesozoic)

    อันดับ 3 Ark Of The Covenant
    ark-of-the-covenant-tm.jpg

    หรือหีบพันธะสัญญานั้นเองครับ ที่จริงยังไม่มีใครเจอมันหรอก แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับมันนั้นช่างน่าพิศวงเหลือเกิน
    ลักษณะของหีบพันธะสัญญาคร่าวๆ ตามตำนาน เล่าว่า เป็นหีบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำด้วยไม้ชิดติม (Shittim) ยาว 2.5 คิวบิท กว้าง และสูงเท่ากัน คือ 1.5 คิวบิท (เทียบหน่วยคิวบิทของอียิปต์ ซึ่ง 1 คิวบิทเท่ากับ 525 ซ.ม. หีบก็จะยาว 1.3 เมตร กว้างและสูง 76 ซ.ม. )บุด้านนอกและด้านในด้วยแผ่นทองคำ โดยรอบหีบด้านบนยกเป็นขอบสูงขึ้นเล็กน้อย ที่มุมสี่ด้านมีห่วงทองคำสำหรับสอดไม้คาน เพื่อแบกหามเวลาเดินทาง และไม้คานทำจากไม้ชนิดเดียวกันหุ้มด้วยแผ่นทอง(มีคำสั่งห้ามถอดไม้คานออกด้วย) ส่วนฝาหีบ เรียกว่าMercy Seat หรือ “การุณอาสน์” มีขนาดรับกับตัวหีบ และบุแผ่นทองเช่นเดียวกัน ด้านบนมีเทวดาสององค์สยายปีก หันหน้าเข้าหากัน ปีกทั้งสองโอบคล้ายซุ้มโค้งเหนือหีบ
    มีเรื่องเล่ากันว่า หีบพันธะสัญญาเป็นหีบที่สร้างขึ้นตามพระบัญชาของพระเจ้า(??) เพื่อเป็นที่บรรจุแผ่นหินจารึกบัญญัติ 10ประการของพระองค์ ที่ประทานแก่ โมเสส ในระหว่างที่เขาพาพวกฮีบรูเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย อันกันดาร โดยชนชาวฮีบรูจะแบกหีบแห่งพันธสัญญาตลอดการเดินทางในพระคัมภีร์ไบเบิลเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์ของหีบ ที่มีพลังมากมายมหาศาลถึงขั้นสามารถทำลายล้างผู้บังอาจเข้าไปแตะต้อง และถูกพระเพลิงเผาวอดตาย
    แน่นอนหลายคนที่ได้รู้เรื่องราวหีบพันธะสัญญานี้ได้บอกว่ามันน่าเหลือเชื่อและหากเป็นเรื่องจริงละก็มันน่าจะเป็นวิทยาการอะไรสักอย่างที่ไม่มีในยุคนั้น ดังนั้นจึงมีข้อสันนิฐานตามมาว่า หีบพันธะสัญญาน่าจะ ขวดแก้วไลเดน (Leyden Jar) ซึ่ง ปีเตอร์ แวน มุสเซนโบรค ได้คิดค้นขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1745 (เป็น อุปกรณ์เก็บสะสมประจุไฟฟ้า แบบง่าย) ซึ่งอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวกับไฟฟ้าทั้งสิ้น สมัยก่อนนั้นมีการใช้ไฟฟ้าได้อย่างไรกัน?? และจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพบหีบพันธะสัญญาที่แท้จริง ทำให้ไม่สามารถรู้ว่าหีบพันธะสัญญาคืออุปกรณ์อะไรกันแน่

    อันดับ 2. The Coso Artifact
    coso-3a-tm.jpg

    ขณะออกไปหาเก็บก้อนแร่และหินสวยงามบนเทือกเขาโอ ลัน คา ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในช่วงฤดูหนาวของปี 1961 วอลเลซ เลน(Wallace Lane), เวอร์จิเนีย แม็กซี(Virginia Maxey) และไมค์ ไมค์เซล(Mike Mikesell) ได้เจอหินที่เข้าใจว่าเป็นแก้วผลึก ก้อนหนึ่ง ทั้งสามชอบใจมาก เพราะคิดว่าถ้าเอากลับไปขายที่ร้านอัญมณี ของตัวเอง คงได้ราคาพอควร แต่เมื่อกะเทาะออกดู ไมค์เซลก็เจอวัตถุชิ้นหนึ่งอยู่ข้างใน มองเหมือนเครื่องเคลือบสีขาว ตรงกลางมีแท่งโลหะแวววาว ผู้เชี่ยวชาญประมาณว่า ต้องใช้เวลาร่วม 500,000 ปี กว่าที่เจ้าก้อนผลึกนี้จะก่อตัวห่อหุ้มวัตถุนี้ไว้ภายในได้เช่นนี้ ทั้งๆ ที่วัตถุดังกล่าวมองเหมือนเป็นผลงานจากน้ำมือของมนุษย์ เมื่อตรวจสอบเจ้าแท่งโลหะดังกล่าวอย่างละเอียดด้วยการ เอกซเรย์ ก็พบว่ามันมีสปริงเล็กๆ ติดอยู่ที่ปลายข้างหนึ่ง บางคนที่ได้เห็น บอกว่ามันมองเหมือนหัวเทียนของเครื่องยนต์ แล้วหัวเทียนเข้าไปอยู่
    ในก้อนหินอายุ 5 แสนปีได้อย่างไร?

    อันดับ 1 Piri Reis
    300px-piri-reis-world-map-01-tm.jpg

    ในปี ค.ศ. 1979 ในระหว่างที่มีการซ่อมแซมมหาราชวังคอนสแตนทิโนเปิล (Constantinople) ในอิสตันบูล ประเทศตรุกี ก็ได้มีการค้นพบภาพวาดแผนที่ที่ถูกวาดลงบนหนังกวาง ซึ่งถูกวาดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1513 แผนที่ดังกล่าวมีการลงชื่อแสดงความเป็นเจ้าของโดยของนายทหารเรือชาวเติร์กชื่อ Piri Haji Memmed ทำให้มีการเรียกแผนที่นี้ว่า Piri Reis คาดว่ามันถูกทำขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1513
    แผนที่ของ Piri Reis เป็นสิ่งที่ท้าทายนักประวัติศาสตร์อย่างมาก เนื่องด้วยแผนที่นี้มันแสดงภูมิศาสตร์สมบูร์แบบเกินกว่าแผนที่ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังมีเส้นรุ้งเส้นแวงที่ชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามหลักวิชาการแผนที่สมัยใหม่ทุกประการ มันแสดงถึงพิ้นที่ของทวีปอาฟริกาใต้อย่างละเอียดละออเป็นพิเศษ รวมไปถึงทวีปอื่นๆอย่างคร่าวๆ ซึ่งนับว่าเหลือเชื่อที่สุด เพราะถูกทำขึ้นหลังจากโคลัมบัสคนเก่ง ค้นพบโลกใหม่ เพียง 21 ปีเท่านั้น เวลาสั้นๆแค่นี้ไม่น่า จะมีใครสำรวจจนทำแผนที่ที่แทบจะครอบคลุมโลกแบบนี้ออกมาได้ ยิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีกคือมันมีทวีปแอนตาร์กติก้าด้วย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีการค้นพบทวีปดังกล่าวนี้เลย ( แอนตาร์กติก้าค้นพบราวๆ ปี 1800) เขาสามารถแสดงชายฝั่งของทวีปที่อยู่ภายใต้น้ำแข็งหนาเป็นกิโลได้อย่างไรหากไม่ใช้กรรมวิธีสมัยใหม่ทางภูมิศาสตร์ที่เรียกกันว่าการสำรวจจากทางอากาศ
    จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าคนวาดแผน Piri Reis นี้มีวิธีการวาดอย่างไรถึงทำให้มีความสอดคล้องกับข้อมูลทางธรณีในยุคปัจจุบัน ทั้งๆที่มันถูกวาดขึ้นในปี 1513

    credit 10 วัตถุลึกลับโบราณ ที่ท้าทายทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์ ~ เรื่องลึกลั
     
  2. beverzone

    beverzone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    589
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +2,174
    ขอบคุณครับ :)
     
  3. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ
     
  4. jinus

    jinus สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอบคุณเช่นกันครับ ข้อมูลดีๆ
     
  5. jomjone

    jomjone สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณด้วยอีกเสียงครับ
    :cool:
     
  6. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ ^^
     
  7. jaochary

    jaochary สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2011
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +5
    ในอดีตนานแสนนาน คงมีพวกต่างดาวหลายกลุ่มเดินทางมายังดาวดวงนี้ และบางกลุ่มคงอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย จึงทำให้หลงเหลือวัตถุหรือสิ่งของบางอย่างที่พวกเขาเคยใช้งานตกค้างหลงเหลืออยู่ จนมาถึงยุคมนุษย์โลกอย่างเรากำเนิดขึ้นจนได้มาพบมันเข้า(แล้วก็ได้แต่พากันสงสัยๆ??)...น่าคิดตรงที่ว่า ทำไมพวกเขาไม่ครองดาวดวงนี้ไว้อาศัยถาวร ทั้งๆที่ดาวดวงนี้ออกจะสมบูรณ์...(หรือมีอะไรอย่างว่าควบคุมระบบระเบียบจักรวาลนี้ไว้อยู่จริงๆ)...สงสัยๆ
     
  8. chate_SP

    chate_SP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    297
    ค่าพลัง:
    +220
    โลกยุคนั้นคงเกิดภัยพิบัติใหญ่ไม่สามารถอยู่ได้ ซึ่งก็มีหลักฐานอยู่แล้วว่าโลกเราในอดีตมีภัยพิบัติมากมายทั้งอุกกาบาต แผ่นดินไหว น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด มนุษย์ต่างดาว หรือ อาจจะเป็นมุษย์บนโลก จึงต้องอพยพหนีออกจากโลกไป... มั้ง (- -")
     
  9. mancity04

    mancity04 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,346
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ
     
  10. chaisit yaisang

    chaisit yaisang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +13
    สาระน่ารู้ น่าค้นหา ขอบคุณครับ
     
  11. วรภาษณ์

    วรภาษณ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +28
    น่าสนครับมากครับข้อมูลนี้
     
  12. ื้ีnhu008

    ื้ีnhu008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +36
    เป็นธรรมดาของ สังสารวัฏอันยาวนาน

    บางส่วนจาก เรื่อง เปรต ญาติของพระเจ้าพิมพิสาร
    ขออนุญาติครับ

    สมเด็จพระบรมศาสดา กกุสันโธพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

    ดูก่อนผู้จมทุกข์ แม้สิ้นกาลในศาสนาของเรา ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นอัตภาพของเปรต จวบจนเราตถาคตนิพพานไปแล้วสิ้นเวลานานจนแผ่นดินสูงขึ้นได้ ๑ โยชน์ ปรากฏพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคมนะพุทธเจ้า พวกท่านทั้งหลายจงไปถามพระพุทธโกนาคมนะ พระองค์นั้นเถิด

    จำเนียรกาลหลังจากสูญสิ้นศาสนา ของพระกกุสันโธพุทธเจ้าแล้ว กาลล่วงเลยมานับเป็นเวลาพุทธันดรหนึ่ง (เวลาระหว่างพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งกับอีกพระองค์หนึ่งบังเกิดขึ้น) ลุถึงศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคมนะ หมู่เปรตเหล่านั้นก็เข้าไปทูลถาม องค์สมเด็จพระโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงมีพุทธฎีกาตรัสว่า

    “แม้สิ้นศาสนาของเรา ท่านทั้งหลาย ก็ยังมิได้พ้นจากอัตภาพเปรตจวบจนแผ่นดินสูงขึ้นอีก ๑ โยชน์ จักปรากฏพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปพุทธเจ้า ขอท่านทั้งหลายจงรอทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเทอญ”

    หมู่เปรตญาติพระราชาพิมพิสาร ก็อดทนอดกลั้นความหิวกระหาย ทุกข์ทรมานต่อไปจนลุถึงสมัยที่พระมหามุนีศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่ากัสสปพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น หมู่เปรตเหล่านั้นก็พากันเข้าไปทูลถามพระพุทธองค์ จึงทรงมีพระดำรัสตรัสว่า

    “แม้ในศาสนาของเรานี้ ท่านทั้งหลายก็ยังจะไม่พ้นอัตภาพของเปรต จนกว่าเราตถาคตนิพพานไปแล้ว รอเวลาจนแผ่นดินสูงขึ้นมีประมาณ ๑ โยชน์ จักมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดมมาตรัสรู้ ในกาลนั้นจะมีขัตติยราช ทรงนามว่าพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นญาติของพวกท่านทั้งหลาย ได้สดับพระสัทธรรมจนมีดวงตาเห็นธรรมมีจิตโสมนัสเลื่อมใส สร้างวัดเวฬุวันถวาย รุ่งขึ้นจะถวายทานอันมีปัจจัย ๔ เป็นต้น


    จาก เปรตขอส่วนบุญ:ญาติ พระเจ้าพิมพิสาร
     
  13. โต้งสารคาม

    โต้งสารคาม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +65
    ก็มนุษย์ก้ต้องผ่านการเกิดดับไงครับ เหมือนยุคพระพุทธเจ้าห้าพระองค์นี้ละ สรุปผมเชื่อว่า นั้นคือ สามยุคสมัยพระเจ้าสามพระองค์ ก็จะดับไปแต่ละยุค แล้วเกิดใหม่ พอครบห้าพุทธเจ้า โลกก็แตกดับ / แล้ววิญญาณ พวกเราที่ยังไม่นิพพานก็จะไปเกิดในโลกใบใหม่ วนๆๆๆไปครับ
     
  14. Sonaz

    Sonaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    762
    ค่าพลัง:
    +348

    สงสัยหัวเทียนบอด!!!

    (eek)
     
  15. ker-kanok

    ker-kanok Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +95
    อัศจรรย์ใน 10 วัตถุลีกลับโบราณอยู่แล้ว
    แต่คำตอบก็มีในกระทู้ nhu008 เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด ขอบคุณ Karnta ที่นำสิ่งดีดีมาให้อ่าน และ คำตอบที่ดีที่สุด
     
  16. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +91
    เออ จำได้ว่าผมย้อนเวลาไปแล้วทำตกนี่นาไอ้หัวเทียนนั้นนะ 5555+
     
  17. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    เมื่อคืนฝันเห็นโลกอนาคตค่ะ ^^

    mamboo ฝันเห็น มนุษย์ เหนือ มนุษย์ กระโดดข้ามเขาได้ ปีนตึกได้ สู้กับใครก็ชนะ

    ผู้หญิงที่ กระโดดข้ามตึกไปมาได้ บอกว่า.. ดาวสีขาว(ก็คือดวงจันทร์อ่ะแหละ) กำลังจะกลืนกินโลก (ในฝัน ดวงจันทร์ ดวงใหญ่มากๆๆๆ ใกล้โลกมากๆด้วย)

    mamboo ถามเขาว่า ยังไงอ่ะ O.O?? เขาบอกว่า ดาวสีขาวนี้ วันหนึ่ง จะกลืนกินโลก รวมเป็นดาวดวงเดียวกัน เมื่อวันนั้นมาถึง โลกเรา จะวุ่นวาย แล้วคนที่มีความสามารถพิเศษ(แบบเธอคนนี้) จะเริ่มรู้ตัวเองว่าไม่ใช่คนธรรมดา และจะช่วยปกป้องมนุษย์ เท่าที่ทำได้ เพื่อให้รอดชีวิตและคอยรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ (เหมือนจะช่วยได้ไม่หมดนะ ช่วยได้แค่บางคน เพื่อให้มีชีวิตอยู่ และรักษาเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ไว้)

    mamboo สงสัยเรื่อง คนในอนาคต ทำไมคนในอนาคต ชอบย้อนอดีตไปหามนุษย์โบราณ(ที่ยังไม่มีเทคโนโลยี)

    เขาบอกว่า เวลาที่มนุษย์ในอนาคตย้อนอดีตไปหามนุษย์โบราณ เขาจะทำสัญลักษณ์ที่ ทนแดด ทนฝน (คือ ตั้งอยู่คงทนได้หลายพันปี) ไปจนถึงอนาคตที่เขาจากมา (คล้ายๆว่า เพื่อใช้เป็นการ ส่งผ่าน ข้อความ ความคืบหน้า ประมาณนี้)

    ในอนาคต มีการเดินทางข้ามกาลเวลา ผ่านไปผ่านมา เป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นยุคที่มนุษย์เฟื่องฟูเรื่องของโทรจิต เขาก็ติดต่อกันเรื่อยๆ ระหว่างช่วงเวลานั้น เช่น ถ้าปี พ.ศ. 2700 มนุษย์สามารถโทรจิตติดต่อสื่อสารได้ มนุษย์จากปี 2700 ถึง 3500 ก็จะติดต่อกัน ไปมา เป็นเรื่องปกติ

    แต่มนุษย์ที่มักจะย้อนอดีตกลับมาติดต่อกับโลกโบราณ เป็นมนุษย์จาก ปี พ.ศ. ที่ โลกกำลังจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ และถึงกาล สิ้นยุค

    โลกเรา มีการอาศัยอยู่ของมนุษย์ เป็นช่วงๆ ทุกๆครั้ง จะโดนภัยพิบัติ กวาดล้าง ทับถมลงไปใต้พื้นโลก แล้วกลายเป็นโลกใบใหม่ ไม่มีอะไร มีแต่ธรรมชาติ แล้วจะมีการถือกำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม่ แต่ละครั้งห่างกันตามเวลามนุษย์ก็ประมาณ 100 ล้านปี

    ดูเหมือน ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ จะเป็นความจริง อีก 2500 ปี จะถึงกาลสิ้นยุคของมนุษย์อีกครั้ง และต้องรออีก 100 ล้านปี เพื่อเริ่ม ยุคใหม่

    ------
    __________________

    ขอสรุปเป็นข้อๆนะคะ ความฝันของตัวเอง กลัวจะลืม
    1. ดูเหมือน อีก 2500 ปี ดวงจันทร์กับโลกของเรา จะรวมตัวกัน และนั่นคือ การสิ้นยุคของ มนุษย์ยุคนี้

    2. ทุกๆครั้ง โลกมนุษย์เรา จะมีการถือกำเนิดมนุษย์ เป็นยุคๆ แต่ละยุค จะใช้เวลาห่างกันถึง 100 ล้านปี และการสิ้นยุคแต่ละครั้ง จะมีภัยพิบัติ ที่ทำลายและทับถมทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง บนโลก ให้ไปอยู่ใต้ดิน (คล้ายๆกันบดขยี้ ทำลายให้สิ้นซาก แล้วสร้างใหม่)

    3. อารยธรรมโบราณ ดูเหมือนจะเป็นจุดเปลี่ยน ที่ส่งผลถึงคนในโลกอนาคต ทำให้มนุษย์โลกในอนาคต ต้องย้อนเวลากลับมาที่อารยธรรมโบราณ(ที่ยังไม่มีเทคโนโลยี) อันนี้ mamboo ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมอารยธรรมโบราณ ถึงได้ส่งผลกับมนุษย์โลกในอนาคต

    4. มนุษย์โลกในอนาคต มีการติดต่อสื่อสารทางจิตอยู่ตลอดเวลา ระหว่างช่วงสมัยที่มนุษยมีความเจริญด้านจิตวิญญาณ (เขาไม่ไดบอกว่า พ.ศ.ไหน แต่น่าจะประมาณ 2700 - 5000 ) คล้ายๆว่า มนุษย์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2700 เป็นต้นไป ถึง พ.ศ. 5000 มีการติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา (ต่างจากมนุษย์ในช่วง พ.ศ.ปัจจุบัน (2554) ที่เรื่องของจิตวิญญาณยังไม่เฟื่องฟู)

    5. ช่วง พ.ศ. 2554 จะไม่ได้มีภัยพิบัติที่ร้ายแรง แต่เกิดขึ้นตามปกติ แต่ในอนาคต ภัยพิบัติจะร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ จนถึง พ.ศ. 5000 ในที่สุด ก็จะถึงกาล สิ้นยุค

    เมื่อปี พ.ศ. 5000 ดูเหมือน หลายๆคน เริ่มรู้ความจริงนี้แล้ว รู้ความลับของจักรวาลแล้ว แต่.. ก็ยังมีความหวัง ที่จะหลีกเลี่ยงการสิ้นยุค พวกเขาได้ย้อนอดีต กลับไปแก้ไข จุดบกพร่อง ที่เกิดขึ้นในอดีต (ส่วนมาก จะเป็น เหตุการณ์ในยุคอารยธรรมโบราณ ก่อนที่จะมีเทคโนโลยีเกิดขึ้น คล้ายๆว่า คนยุคนั้น ได้ทำบางสิ่งบางอย่าง ที่ส่งผลถึงมนุษย์โลกในอนาคต)

    มนุษย์โลกในอนาคต ได้ย้อนกลับไปอดีต และสร้างสิ่งที่ คงทน เป็นเอกลักษณ์ ทนแดด ทนฝน เพื่อใช้ในการส่งผ่าน บางสิ่งบางอย่าง.. mamboo ไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่เข้าใจว่า เป็นการ ส่งผ่านบางสิ่งบางอย่าง จากโลกอดีต ไปหาโลกอนาคต หรือต้องทำเป็นสัญลักษณ์ ถ้าสิ่งนี้ยังอยู่ โลกนี้ก็ยังอยู่ (ประมาณนี้ค่ะ ไม่แน่ใจ)

    และความจริงอีกประการหนึ่งคือ.. โลกเราผ่านการใช้งานมาหลายยุคสมัย แต่ละครั้ง จะทิ้งช่วงห่างกัน 100 ล้านปี แล้วจึงเริ่มยุคใหม่ เริ่มวิวัฒนาการใหม่

    ในความฝัน mamboo คล้ายๆกับจะเข้าใจว่า "พีระมิด" คือ หัวใจของโลก ถ้ามันพัง โลกนี้ก็พัง ถ้ามันตั้งอยู่ โลกนี้ก็จะยังอยู่ (แต่ก็อยู่ถึงแค่ พ.ศ. 5000 ไม่เกินนี้)
    __________________

    ขอเล่าต่ออีกหน่อยนะคะ กันลืม

    ในฝันเหมือน mamboo ไปโลกอนาคตนะ (แต่ไม่ใช่ปี พ.ศ. 5000 น่าจะประมาณ อีก 200-300 ปี นับจากวันนี้) เพราะว่า.. ในยุคนั้น เขาไม่ใช้เงินทองแล้วค่ะ

    โลกเรา เหมือน.. กึ่งๆโบราณ กึ่งๆเทคโนโลยี ผู้คนไม่มีบ้านเรือนเป็นของตัวเอง ต้องอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้แบบ ลำบาก หรือว่า สกปรก ยังมีมือถือใช้ มี computer แต่เหมือน โลกกำลังเขาสู่ ยุคที่ คนบนโลก กำลังช่วยกันต่ออายุให้กับโลกใบนี้ เพราะดวงจันทร์ กับโลก กำลังจะรวมเป็นดาวดวงเดียวกัน ยุคนั้น ผู้คนอยู่ด้วยกันแบบ ช่วยเหลือกัน มีน้ำใจ ไม่มีการใช้เงิน ร้านค้าที่ขายขนม (พวกโตเกียว) ก็คล้ายๆว่า ไม่ได้เอาเงิน แต่เราใช้สิ่งของ แลกมา หรือไม่ก็ ขอกินฟรีเลย (คนที่ทำอาหาร จะเป็นคล้ายๆ อาสาสมัคร) ทำไป ยิ้มไป คือ ยินดีทำให้กินอ่ะ ><

    ที่พัก ไม่มีใครแย่งกัน เราไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง แต่เรานอนบ้านหลังใหญ่ๆด้วยกัน ห้องนอนก็นอนห้องละ 2-3 คน

    มันเหมือน มนุษย์มันน้อยแล้วอ่ะ แล้วแต่ละที่บนโลก จะมีภัยพิบัติทำให้คนตายเยอะ คนบนโลก เหลือน้อย และไม่มีการใช้เงินแล้ว ผู้ชายส่วนมาก ไม่ได้ออกไปรบ แต่ไปช่วยชีวิตคนตามสถานที่ๆมีภัย

    ภัยธรรมชาติมีอยู่ทุกที่ เราไม่ต้องวิ่งหนี เพราะมันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ตอนนี้เหมือน มนุษย์โลก น้อยลง ผู้คนแต่งตัวตามสไตล์ ไม่หรูหราจนเกินไป ไม่มัธยัสถ์จนเกินไป เพราะเราไม่มีการใช้เงิน ทุกคนอยู่ด้วยกันด้วยความถ้อยที ถ้อยอาศัยกัน

    ดูภาพรวมๆ แต่ละคน ไม่ได้กำลังมีความทุกข์นะคะ ^_^ ดูมีความสุขกันทุกคน มันเหมือน เลยจุดที่ภัยธรรมชาติกวาดล้างครั้งใหญ่มา คนที่เหลือคือคนที่รอดชีวิตมาแล้วอ่ะ ระหว่างนี้ก็มีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นตามสถานที่ต่างๆ นิดๆหน่อยๆ แล้วพวกผู้ชาย ต้องออกไปช่วยเหลือคนเหล่านั้น รับมาอยู่ด้วยกันที่ ที่ตั้งนี้

    คนที่รอดชีวิตมา ส่วนมาก จะไม่ได้เศร้า หรือเสียใจ หรือทุกข์ แต่จะดูมีความสุข เพราะเราอยู่ด้วยกันแบบ ไม่มีเงิน ไม่ต้องทำงานหาเงิน เราอยู่แบบ ถ้อยทีถ้อยอาศัย เรายังมีเทคโนโลยีเหมือนเดิม มีทีวี มีโทรศัพท์ มีไฟฟ้า แต่เราไม่ได้ใช้เงินเลย

    มันเหมือนมีภัยพิบัติ แต่.. คนเราไม่ได้อยู่แบบหวาดกลัว และไม่ได้อยู่แบบทุกข์ใจ เราอยู่แบบ ยอมรับความจริง และ สุขใจ บรรยากาศ ดีมากๆอ่ะ (ไม่อยากตื่นเลย) เหอๆๆ ^_^
    ________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2011
  18. auto-p

    auto-p สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +5
    ยิ่งอ่านก็ยิ่งหลงนะครับ หลงรักในความลึกลับ อยากย้อนกลับไปได้จริงๆจะได้จดบันทึกไว้ ได้เห็นกับตา
     
  19. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ขออนุญาติเวป Apinya.com ที่จะขอนำข้อมูลนี้มาลง จุดประสงค์เพื่อกระจายความรู้สู่พุทธศานิกชน ตามจุดประสงค์ของท่านครับ

    ที่อ่าน ๆ แล้วตำราบอกว่าในยุคนั้น ๆ ยังไม่มีมนุษย์เกิดขึ้น ถ้างั้นท่านลองบวกดูครับว่าตั้งแต่องค์พระพุทธเจ้าตัณหังกร ถึงองค์พระพุทธเจ้าโคตมะ นั้นใช้เวลากี่ล้านปี เพราะกว่าจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแต่ละองค์แล้วนั้นยังมีช่วงที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้าอีกนานแค่ไหน เพราะฉนั้นตำราฝรั่ง (ตามความคิดผม) เชื่อไม่ได้

    ๑.. พระพุทธเจ้าตัณหังกร - ผู้กล้าหาญ

    ๒. พระพุทธเจ้าเมธังกร - ยศใหญ่

    ๓. พระพุทธเจ้าสรณังกร - ผู้เกื้อกูลแก่โลก

    ๔. พระพุทธเจ้าทีปังกร - ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง

    ๕. พระพุทธเจ้าโกณฑัญญะ - ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน

    ๖. พระพุทธเจ้าสุมังคละ - ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ

    ๗. พระพุทธเจ้าสมุนะ - ผู้เป็นธรีบุรุษมีพระหทัยงาม

    ๘. พระพุทธเจ้าเรวัต - ผู้เพิ่มพูนความยินดี

    ๙. พระพุทธเจ้าโสภิตะ - ผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ

    ๑๐. พระพุทธเจ้าอโนมัทสส - ผู้อุดมอยู่ในหมู่ชน

    ๑๑. พระพุทธเจ้าปทุมะ - ผู้ทำให้โลกสว่าง

    ๑๒. พระพุทธเจ้านารทะ - ผู้เป็นสารถีประเสริฐ

    ๑๓. พระพุทธเจ้าปทุมุตตระ - ผู้เป็นที่พึ่งแก่หมู่สัตว์

    ๑๔. พระพุทธเจ้าสุเมธะ - ผู้หาบุคคลเปรียบมิได้

    ๑๕. พระพุทธเจ้าสุชาติ - ผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง

    ๑๖. พระพุทธเจ้าปิยทัสสี - ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน

    ๑๗. พระพุทธเจ้าอัตถทัสสี - ผู้มีพระกรุณา

    ๑๘. พระพุทธเจ้าธัมมทัสสี - ผู้บรรเท่ามืด

    ๑๙. พระพุทธเจ้าสิทธัตถะ - ผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก

    ๒๐. พระพุทธเจ้าติสสะ - ผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย

    ๒๑. พระพุทธเจ้าปุสสะ - ผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ

    ๒๒. พระพุทธเจ้าวิปัสสี - ผู้หาที่เปรียบมิได้

    ๒๓. พระพุทธเจ้าสิขี - ผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์

    ๒๔. พระพุทธเจ้าเวสสภู - ผู้ประทานความสุข

    ๒๕. พระพุทธเจ้ากกุสันธะ - ผู้นำสัตว์ออกจากกันดาร คือ กิเลส

    ๒๖. พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ - ผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส

    ๒๗. พระพุทธเจ้ากัสสปะ - ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ

    ๒๘. พระพุทธเจ้าโคตมะ (พระสมณะโคดม) - ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากย


    1. องค์สมเด็จพระพุทธตัณหังกร - ผู้กล้าหาญ

    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้านันทราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุนันทราชาเทวี
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
    พระวรกายสูง 18 ศอก
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี


    2. องค์สมเด็จพระพุทธเมธังกร – ผู้มียศใหญ่

    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า เทโว
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง ยะสุนทราชาเทวี
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 80,000 ปี
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 15 วัน
    พระวรกายสูง 18 ศอก
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


    3. องค์สมเด็จพระพุทธสรณังกร – ผู้เกื้อกูลแก่โลก

    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุมาเลราชา
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง ยสะเทวี
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 2 เดือน กับ 20 วัน
    พระวรกายสูง 18 ศอก
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี


    4. องค์สมเด็จพระพุทธทีปังกร – ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง

    สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร
    ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 8 อาสาฬหนักขัตฤกษ์
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า นรเทวราช(พระเจ้าสุเทพ)
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางเจ้า สุเมธา
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ปทุมาราชเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระอสุภขันธกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 10,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 9 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นปิปผลิ
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุมังคลเถร และพระติสสเถร
    พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสาคตเถร
    พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนันทาเถรี และพระสุนันทาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า ตปุสสะ และภัลลิกะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฎฐายิกา ชื่อว่า นางสิริมา และนางโสณา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 400,000 องค์
    พระวรกายสูง 80 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี
    อายุพระศาสนา 100,000 ปี


    5. องค์สมเด็จพระพุทธพระโกณฑัญญะ – ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน

    สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุนันทราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง สุชาดาราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง รุจิราชเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระวิชิตเสนกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุได้ 10,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียมม้าอาชาไนยคู่
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 58 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นพญารัง
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระภัททเถร และพระสุภัททเถร
    พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอนุรุทธเถร
    พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระติสสาเถรี และพระอุปัสสนาเถรี
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน แสนโกฏิ องค์
    พระวรกายสูง 18 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 200,000 (แก้ว่าน่าจะเป็น100,000) ปี
    อายุพระศาสนา 100,000 ปี


    6. องค์สมเด็จพระพุทธพระสุมังคละ – ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ

    สถานที่ประสูติ อุตตรนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อุตตรมหาราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอุตตรราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ยสาวดี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระสีวระราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 70,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 57 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นนาคพฤกษ์(กากะทิง)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระเทวเถร และพระธรรมเสนเถร
    พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตเถร
    พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสีวราเถรี และพระอโสกาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นันทะ และวิสาขะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า อนุฬา และสุมนา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 80 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,00 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


    7. องค์สมเด็จพระพุทธสุมนะ – ผู้เป็นธีรบุรุษมีพระหทัยงาม
    สถานที่ประสูติ เมขละนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุทัตตมหาราชา
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางเจ้า สิริมา
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ฏังสกี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระอนุปมราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ อยู่นาน 9,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 60 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นนาคพฤกษ์(กากะทิง)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระสรณเถร และพระภาวิตัตตเถร
    พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอุเทนเถร
    พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระโสณาเถรี และพระอุปโสณาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณะ และสรณะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า จารา และอุปจารา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 90 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
    อายุพระศาสนา 90,000 ปี



    8. องค์สมเด็จพระพุทธเรวตะ – ผู้เพิ่มพูนความยินดี

    สถานที่ประสูติ สุธัญญวดีนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าวิปุลราชา
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางวิปุลาราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุทัสนา
    พระราชโอรส พระนามว่า พระวรุณราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 6,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียบม้าอาชาไนย
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า นาคพฤกษ์
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระวรุณเถร และพรหมเทวะเถร
    พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสัมภวะเถร
    พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระภัททราเถรี และพระสุภัททราเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณ และสรภะมหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า ปาลา และอุปปาลา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 80 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี



    9. องค์สมเด็จพระพุทธโสภิตะ – ผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ

    สถานที่ประสูติ สุธรรมนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุธรรมราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง สุธรรมาเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง มจิลาราชเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระสีหราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 9,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า นาคพฤกษ์ (ไม้กากะทิง)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระอสมเถร และ สุเมธเถร
    พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอโนมเถร
    พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนกุฬาเถรี และพระสุชาตาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายรัมมะ และ นายสุเนตตะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนกุฬา และนางสุชาตา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 58 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี

    10. องค์สมเด็จพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า – ผู้อุดมสูงสุดในหมู่ชน
    สถานที่ประสูติ จันทวดีนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า ยศวราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางยโสธรา
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สิริมา
    พระราชโอรส พระนามว่า พระอุปสารราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ เมื่อพระชนมายุ 10,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจนมาศ (วอทอง)
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นอชุนะ (ไม้รกฟ้า)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระนิสภเถร และอโนมเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระวรุณเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสุนทราเถรี และพระสุมนาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายนันทิวัฒนะ และสิริวัฑฒะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางอุปรา และนางปทุมา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 58 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 80 ศอก
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี



    11.องค์สมเด็จพระพุทธปทุมะ – ผู้ทำให้โลกสว่าง
    สถานที่ประสูติ จัมปานคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อสมราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอสมาราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง อุตตราเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระรัมมราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาส อยู่ 10,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียมม้าอาชาไนย
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า มหาโสณพฤกษ์
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระสาลเถร และพระอุปสาลเถร
    พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระวรุณเถร
    พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระราธาเถรี และพระสุราธาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายสภิยะ และนายอสมะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางรุจิ และนางนันทิมาลา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 58 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี

    12. องค์สมเด็จพระพุทธนารทะ – ผู้เป็นสารถีประเสริฐ

    สถานที่ประสูติ ธัญญวดีมหานคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุเมธราชา
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอโนมาเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ว ิชิตเสนาเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระยันทุตรราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 9,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ทรงดำเนินไปด้วยพระองค์เอง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 57 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า มหาโสณพฤกษ์
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน ตรง
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระภัททสาลเถร และพระพิชิตมิตตเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระวาเสฏฐเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอุตตราเถรี และพระผักขุนีเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุตรินท์ และวสะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางอินทอรี และนางคัณฑี มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 องค์
    พระวรกายสูง 88 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
    อายุพระศาสนา 1 อสงไขย

    13. องค์สมเด็จพระพุทธปทุมุตระ – ผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์

    สถานที่ประสูติ หงสวดีนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อานันทมหาราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุชาดาราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุละทัคคเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระอุตตรราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 90,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นสาละ หรือต้นรัง
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระเทวลเถร และพระสุชาตเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสุมนเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอมิตตาเถรี และพระอสมาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อมิตตะ และติสสะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางหัตถา และนางสุจิตตา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 58 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 12 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี
    อายุพระศาสนา 30,000 กัลป์

    14. องค์สมเด็จพระพุทธสุเมธะ – ผู้หาบุคคลเปรียบมิได้

    สถานที่ประสูติ สุทัสสนนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุทัสสนมหาราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุทัตตาราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุมนาเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระปุนัพพราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 9,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 20 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มหานิมพะ (ไม้สะเดา)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุมนเถร และพระสัพพกามเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสาครเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระรามาเถรี และพระสุรมาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุรุเวฬ และยสวา มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางยสา และนางสิริมา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 88 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี

    15. องค์สมเด็จพระพุทธสุชาตะ - ผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง

    สถานที่ประสูติ สุมังคลนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอุคคตราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปภาวดีราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสิรินันทาเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระอุปเสนราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 9,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง ชื่อ หังสวาสภราชา
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 33 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มหาเวฬุ (ไม้ไผ่ใหญ่)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 9 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุสุทัสสนเถร และพระสุเทวเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระนารทเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระนาคาเถรี และพระนาคสมาราเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุทัตต และจิตต มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสุภัททา และนางปทุมา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 50 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลกาประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


    16. องค์สมเด็จพระพุทธปิยทัสสี – ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน

    สถานที่ประสูติ สุธัญญราชธานี
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุทัตตราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางจันทราราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิมาลาเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระกัญจนเวฬกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 9,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้กุ่ม
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระปาลิตเถร และพระสัพพทัสสีเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสภิตเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสุชาดาเถรี และพระธัมมทินนาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สันตกะ และธัมมิก มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวิสาขา และนางธัมมทินนา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 80 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี

    17. องค์สมเด็จพระพุทธอัตถทัสสี – ผู้มีพระกรุณา

    สถานที่ประสูติ สุจิรัตถราชอุทยานแห่งสาครราชธานี
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสาครราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุทัสสนาราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิสาขาราชเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระเสลราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 10,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้จำปา
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระสันตเถร และพระอุปสันตเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอภัยเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระธรรมาเถรี และพระสุธรรมาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นกุละ และนิสภะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางมจิลา และนางสุนันทา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 9 โกฏิ
    พระวรกายสูง 80 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 100 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


    18. องค์สมเด็จพระพุทธธรรมทัสสี – ผู้บรรเทามืด


    สถานที่ประสูติ สรณราชอุทยานแห่งสรณราชธานี
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสรณราชา
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุนันทาราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิจิโกลี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระวัฒนราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 50 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้ไทรย้อย
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 วัน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระปทุมเถร และปุสสเทวเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสุเนตตเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระสัจจนามาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุภัททะ และกฏิสหะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสาฬสา และนางกฬิสสา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 80 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,000 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


    19. องค์สมเด็จพระพุทธสิทธัตถะ – ผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก

    สถานที่ประสูติ เวภารนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอุเทน
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุผัสสาเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุมนาราชเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระอนุปนราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 10,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจมาศ (วอทอง)
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นกรรณิการ์
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระสัมพลเถร และพระสุมิตตเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระเรวตเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสิวลาเถรี และพระสุรามาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุปิยะ และสัมพุทธะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางรัมมา และนางสุรัมมา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 โกฏิ
    พระวรกายสูง 60 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,000 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


    20. องค์สมเด็จพระพุทธติสสะ – ผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย

    สถานที่ประสูติ อโนมราชอุทยานแห่งเขมราชธานี
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าชนสันธราช
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปทุมาเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุภัทราเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระอานนทราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อาสนะ (ต้นประดู่)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 15 วัน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระพรหมเทพเถร และพระอุทัยเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสัมภวเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระปุสสาเถรี และพระสุทัตตาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สัมภระ และสิริ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางกีสาโคตมี และนางอุปเสนา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 องค์
    พระวรกายสูง 60 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


    21. องค์สมเด็จพระพุทธปุสสะ – ผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ

    สถานที่ประสูติ กาสีราชธานี
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าชัยเสน
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสิริมาราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางกีสาโคตมีราชเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระอานนทราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 9,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มลกะ (ไม้มะขามป้อม)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุรักขิตเถร และพระธัมมเสนเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสภิยเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระจาลาเถรี และพระอุปจาลาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายธนัญชัย และนายวิสาข มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางปทุมา และนางสิรินาคา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 400,000 องค์
    พระวรกายสูง 58 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
    อายุพระศาสนา 91 กัลป์

    22. องค์สมเด็จพระพุทธวิปัสสี – ผู้หาที่เปรียบมิได้

    สถานที่ประสูติ พันธุมดีราชธานี
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าพันธุมหาราชา
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางพันธุมดีราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุทัสสนาราชเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระสมวัตตขันธราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 50 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้แคฝอย
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระขันธเถร และพระติสสเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอโสกเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระจันทราเถรี และพระจันทมิตตาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า ปุณณสุมิตต และนาคะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสิริมา และนางอุตตรา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 84,000 องค์
    พระวรกายสูง 80 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 7 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80,000 ปี
    อายุพระศาสนา 49 กัลป์


    23. องค์สมเด็จพระพุทธสิขี – ผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สัตว์

    สถานที่ประสูติ มิสกราชอุทยานแห่งอรุณวดีนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอรุณราชา
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปภาวดีราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสัพพกามาเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระอตุลราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 7,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 24 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นปุณฑริกะ (ไม้ซึก) คล้ายกับไม้ปาตลี
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระอภิภูเถร และพระสัมภวเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระเขมังกรเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระประทุมเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สิริวัฒนะ และนันทะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางจิตรา และนางสุจิตรา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 70,000 องค์
    พระวรกายสูง 70 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 3 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 70,000 ปี


    24. องค์สมเด็จพระพุทธเวสสภู – ผู้ประทานความสุข

    สถานที่ประสูติ อโนมนคร
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุปตีตราชา
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางยสวดีราชเทวี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุจิตราเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระสุปปพุทธราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 6,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจนมาศ (วอทอง)
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้รัง
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระโสณเถร และพระอุตตรเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอุปสันตเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระรามาเถรี และพระสุมาลาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า โสตถิกะ และรัมมะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางโคตมี และนางสิริมา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 40,000 องค์
    พระวรกายสูง 60 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี
    อายุพระศาสนา 70,000 ปี



    25. องค์สมเด็จพระพุทธกุกกุสันธะ – ผู้นำสัตว์ออกจากกันดาร คือ กิเลส

    สถานที่ประสูติ เขมวันราชอุทยานแห่งเขมนคร
    ประสูติในตระกูล พราหมณ์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า อัคคิทัตตพราหมณ์
    พระพุทธมารดา พระนามว่า วิสาขาพราหมณี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า โสภิณีพราหมณี
    พระราชโอรส พระนามว่า อุตตรกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 4,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถเทียมม้าอาชาไนย
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 80 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้ซึกใหญ่
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระวิธูรเถร และพระสัญชีวเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระพุทธิยะเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสามาเถรี และพระจัมปนามาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อัจจุคาตะ และสุมนะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนันทา และนางสุนันทา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป

    26. องค์สมเด็จพระพุทธโกนาคมนะ – ผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส

    สถานที่ประสูติ โสภวดีราชอุทยานแห่งโสภวดีนคร
    ประสูติในตระกูล พราหมณ์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า ยัญญทัตตพราหมณ์
    พระพุทธมารดา พระนามว่า อุตตราพราหมณี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า รุจิคัตตาพราหมณี
    พระราชโอรส พระนามว่า สัททวาหกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 3,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 20 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อุทุมพร (ไม้มะเดื่อ)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระภิโยสเถร และพระอุตตรเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสทิชเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสมุทาเถรี และพระอุตตราเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุคคะ และโสมเทว มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวรา และนางสามา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 30,000 องค์
    พระวรกายสูง 30 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 30,000 ปี


    27. องค์สมเด็จพระพุทธกัสสปะ – ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ

    สถานที่ประสูติ อิสิปตนมิคทายวันแห่งนครพาราณสี
    ประสูติในตระกูล พราหมณ์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พรหมทัตตพราหมณ์
    พระพุทธมารดา พระนามว่า ธนวดีพราหมณี
    พระอัครมเหสี พระนามว่า สุนันทาพราหมณี
    พระราชโอรส พระนามว่า วิชิตเสนกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 2,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 15 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้นิโครธ
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระติสสเถร และพระภารทวาชเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสัพพมิตตเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอนุฬาเถรี และพระอุรุเวลาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุมังคละ และฆฏิการะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวิชิตเสนา และนางภัตรา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 1 โกฏิ
    พระวรกายสูง 20 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี


    28. องค์สมเด็จพระพุทธโคตมะ – ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช
    สถานที่ประสูติ กรุงกบิลพัสดุ์
    ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 6
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์ แห่งศากยวงศ์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุทโธทน
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสิริมหามายา
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางยโสธรา
    พระราชโอรส พระนามว่า พระราหุลราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 29 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าอัศวราช
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 14 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อัสสัตถะ (ไม้ปาเป้ง)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 ปี
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระติสสเถร และพระโกลิตเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอานนทเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระอุบลวัณณาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถอาฬวก มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนันทมาตา และนางอุตตรา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 16 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 วา
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 ปี
    อายุพระศาสนา 5,000 ปี

    ขอขอบคุณที่มา Apinya.com
     
  20. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    ต้องไปค้นคว้าที่สำนักปู่สวรรค์ใ......มหาวิทยาลัยแห่งชีวิตมีคำตอบของความรู้ ใบไม้นอกกำมือ
     

แชร์หน้านี้

Loading...