เพื่อการกุศล :::(เปิดจอง)ล็อกเกตพระแก้วมรกต"ภูริทัตตเถรานุสรณ์-สมเด็จองค์ปฐมอมฤตศุภมงคลญาณสังวร":::

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย dekdelta2, 13 พฤศจิกายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. TSKing

    TSKing Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +39
    ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม พระสุวรรณศีลาจารย์ วัดสุวรรณเจดีย์

    อัตโนประวัติ พระสุวรรณศีลาจารย์ (หลวงปู่ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม )

    มีนามเดิมว่า เสงี่ยม เกิดในสกุล “เฉลิมบุตร ’’ เกิดเมื่อปี 2468 บิดาชื่อ นายเสน่ห์ เฉลิมบุตร มาดาชื่อ นางต้อ ม เฉลิมบุตร ในวัยเด็กหลวงปู่เสงี่ยมท่านเป็นเด็กที่มีจิตใจเมตตา อ่อนโยน ว่านอนสอนง่ายเป็นที่รักของบิดา มารดา หลวงปู่เสงี่ยมมีพี่น้องทั้งหมด 9 คนหลวงปู่เสงี่ยมเป็นบุตรคนที่ 6
    ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเมื่ออายุ 20 ปี ณ วัด ธรรมรส โดยมี พระอุปัชฌาย์กิ่ม วัดบ้านกลาง เป็นอุปัชฌายะ หลวงพ่อแวว วัดท่าตอ เป็นพระกรรมวาจารย์ หลวงพ่อฟื้น วัดวัง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “ ปัญญาทีโป ’’:p
    แปลว่า ผู้มีปัญญาดั่งดวงประทีป
    :p
    :p
    ภาย หลังอุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย และได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิทยาคมกับพระอุปัชฌาย์ ( กิ่ม ) วัดบ้านกลาง เรียนควบคู่กับการฝึกกัมมัฎฐานสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน 2 ปีจนหลวงปู่กิ่ม ออกปากชมว่า “ ต่อไปถ้าข้าไม่อยู่แล้วพระเสงี่ยมองค์นี้แหละแทนข้าได้ ’’
    :p
    ถ้า มีงานปลุกเสกพระที่ใหน หลวงปู่กิ่มต้องพาหลวงปู่เสงี่ยมไปปลุกเสกพระทุกครั้ง หลวงปู่เสงี่ยมเคยปฏิเสธไม่ขอร่วมปลุกเสกร่วมกับอาจารย์ท่านบอกว่าท่านเป็น ศิษย์ไม่คิดล้างครู แต่ด้วยเป็นคำสั่งจึงไม่กล้าขัด หลังเสกพระแล้ว หลวงปู่กิ่มท่านชมว่า “ จะเสกพระให้เป็นทองเลยหรือ ”
    หลวงปู่กิ่มเป็นพระโบราณเป็นพระอภิญญาสูงมากเสกใบไม้เป็น ต่อเป็นแตนเป่าเทียนระเบิดน้ำลงไปจารพระยันต์ใต้น้ำ เรียกปลาเดินบนน้ำฝนตกไม่เปียกเป็นที่ร่ำลือไปทั่วคุ้งกลาง หลวงปู่ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม ได้วิชาเอกอุจากหลวงปู่กิ่มมาหมด พุทธาคมไม่เป็นสองรองใคร แต่ท่านไม่พูด ท่านเงียบเฉยเหมือนหลวงปู่เจ้าเฝ้าวัด ชอบปลีกวิเวกนั่งสมาธิ ปัดกวาดลานวัดเสมือนพระธรรมดาองค์หนึ่ง
    หลวงปู่ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม ยังได้รับการถ่ายทอดวิชากับหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม คนทุ่งมหาราชไปกราบหลวงพ่อกวยที่ชัยนาท ท่านบอกว่า “ ที่ทุ่งมหาราชหลวงพ่อเสงี่ยมเขาแทนฉันได้ไม่ต้องมาหรอก

    :p:p
    หลวง พ่อมุ่ย วัดดอนไร่ อดีตพระอาจารย์ของหลวงปู่ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม หลวงพ่อมุ่ย ใครๆว่าเรียนยาก หลวงปู่ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม เรียนกรรมฐานจนจับทางได้หมด หลวงพ่อมุ่ย ท่านไม่ค่อยพูด เพียงตอบสั้นว่า “ เอ็งนี่ไม่เบา

    :p:p
    หลวง พ่อจวน วัดหนองสุ่ม ได้ถ่ายทอดวิชากายทิพย์ให้หลวงปู่ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม จนสำเร็จไปใหนมาใหนเร็วเพียงลัดนิ้วมือเดียว เคยมีศิษย์ที่วัดสุวรรณเจดีย์เล่าต่อๆกันมาว่า มีโยมมาตามหลวงปู่เสงี่ยมไปงานศพหน้าวัด หลวงปู่เสงี่ยมให้โยมกลับไปก่อนเดี๋ยวตามไป โยมที่มาตามหลวงปู่เสงี่ยมเห็นว่าอยู่หน้าวัดหลวงปู่เดินไม่ไกล พอ โยมเขากลับมาถึงบ้านงานศพถึงกับตกใจ เพราะเห็นหลวงปู่เสงี่ยมกำลังก้าวขึ้นบันไดบ้านงานศพ จึงเป็นที่ร่ำลือกล่าวขานกันไปทั่วคุ้งมหาราช

    :p:p
    หลวง พ่อลาภ วัดท้ายย่าน องค์นี้ไม่ธรรมดาที่หลวงปู่เสงี่ยมไปเรียนวิชา ด้านสมุนไพร โดยเฉพาะวิชาต่อกระดูกที่หลวงปู่เสงี่ยมเรียนไว้ เมื่อปี 251.. กว่าๆคนมาให้หลวงปู่เสงี่ยมรักษาเต็มวัด ทุกวันนี้หลวงปู่เสงี่ยม ไม่ทำแล้ว ท่านบอกว่า อายุมากแล้ว ทำไม่ไหว น้ำมัน น้ำมนต์ ได้วิชาจากหลวงพ่อลาภ วัดท้ายย่านมาหมด ทำออกไปก็ขลัง ของทุกวันนี้หายากมาก หลวงพ่อลาภ ท่านได้วิชาจากหลวงพ่อรอด พระเกจิที่ขนาดมรณภาพแล้ว ใครก็จุดไฟเผาร่างท่านไม่ได้ อยู่ๆก็มีฟ้าผ่าลงมาบนยอดตาล เกิดไฟไหม้ยอดตาลล่วงมาที่ร่างหลวงปู่รอด จึงเผาได้สุดอัศจรรย์
    :p
    :p
    หลวง พ่อกล่อม วัดโพธิ์ประสิทธิ์ ท่านเก่งวิชาเลี้ยงผี การเรียนวิชาอาคมในสมัยโบราณ ครูจะหวงวิชามาก ดังนั้นก่อนการเรียนจะต้องมีการขึ้นครูก่อนเสมอเพื่อให้อาคมนั้นสามารถรักษา ผู้เรียนได้ หลวงปู่เสงี่ยมก็ไปขอเรียนเอาไว้ได้สมัยก่อนทุ่งมหาราชผีดุ ใครไปไหนกลางคืนไม่ได้โดนหลอกหัวโกร่น หลังจากหลวงปู่เสงี่ยมท่านได้วิชามาท่านก็ไล่หมดจนทุกวันนี้ ไม่มีผีออกมาหลอกชาวบ้านอีกเลย หลวงปู่เสงี่ยมเรียนวิชาเลี้ยงผีเอาไว้แก้กลับลำจนชาวบ้านเรียกว่า “ หลวงปู่เสงี่ยมผีกลัว ”
    :p
    :p
    หลวง ปู่วัน วัดกลางทุ่ง วิชาผูกหุ่นอันดับหนึ่ง การผูกหุ่น คือการนำ ดินหญ้าหรือขี้ผึ้งมาปั้นเป็นรูปคน แล้วทำพิธีทางไสยเวทย์ เป็นวิชาที่น่ากลัวมาก ใครนำไปใช้ในทางดีเป็นคุณใครใช้ในทางไม่ดีเป็นโทษได้ หลวงปู่เจ้าคุณเสงี่ยมท่านมาเรียนเพื่อจะนำไปช่วยคนจนหลวงปู่วันพูดกับโยม กลางศาลาวัดว่า “ ข้าทำไม่ไหวก็ไปหาท่านเสงี่ยมนะเขาเอาไว้หมดแล้ว ” หลวงปู่เสงี่ยมเมตตาช่วยแก้วิชาที่โยมโดนทำของ โดนเสน่ห์ยาแฝด มาถึงมือหลวงปู่เสงี่ยมหายหมดทุกวันนี้ท่านไม่ไหวแล้ว ท่านอายุมาก ทำยาก

    หลวง ปู่จ่าย วัดรุ้ง หลวงตาแป้น วัดท่า ท่านเป็นสหธรรมิกกัน เวลาที่ท่านสอนหลวงปู่เสงี่ยม ท่านจะสอนพระกรรมฐาน การเล่นกสิน วิชาครอบจักรวาล พระอาจารย์ทั้งสององค์บอกหลวงปู่เสงี่ยมว่า ไม่ต้องเรียนแล้ว รู้หมดทุกอย่างแล้วต่อไปก็ขอให้ช่วยคนเพราะต่อไปจะเป็นหลักชัยให้ชาวบ้านใน ภายหน้า:pหลังจากกลับมา อยู่วัดสุวรรณเจดีย์ ท่านก็ได้เป็นสมภารเจ้าวัด ทำคุณงามความดีมาตลอด ช่วยเหลือชาวบ้านจนเป็นที่ศรัทธา ช่วนเหลืองานศาสนามิได้ขาด จนวันหนึ่งได้ช่วยงาน ท่านเจ้าคุณไวทย์ วัดบรมวงศ์ ฯ ท่านก็รักหลวงปู่เสงี่ยมเสมือนลูกคนหนึ่ง ไปมาหาสู่มิได้ขาด ขนาดก่อนมรณภาพได้บอกกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ว่า “ ท่านอย่าลืมหลวงตาเงี่ยมข้านะ ’’


    หลวง ปู่ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม ท่านไม่ค่อยสร้างพระเครื่อง ท่านไม่ชอบให้ยึดติดในวัตถุมงคล ท่านบอกว่า ไม่ใช่วิธีปลดทุกข์ แต่ด้วยลูกศิษย์ขอให้หลวงปู่สร้างเพื่อเป็นที่ระลึก หลวงปู่เสงี่ยมได้สร้าง ปลุกเสกพระเครื่อง ครั้งแรก ปี 16 เพื่อแจกลูกศิษย์แต่ไม่ได้จัดพิธีใหญ่โต คนที่ได้รับไป ล้วนมีประสบการณ์ทุกคน หลวงปู่เสงี่ยมเคยปรารภกับลูกศิษย์ว่า "สมัยฉันหนุ่มๆ เสกเหรียญแจกปี 16 เสกจนหลังคาโบสถ์แตก แจกแล้วต้องมานั่งซ่อมโบสถ์"แล้วท่านก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
    นด้านถาวรวัตถุ ท่านสร้างอุโบสถไว้หลายหลัง สร้างวิหาร สร้างกุฏิสงฆ์ปรับภูมิทัศน์ปลุกต้นไม้ทั่วบริเวณวัดสุวรรณเจดีย์ให้เหมาะ สำหรับการปฏิบัติธรรม เพราะที่วัดจะมีการเข้าปริวาสกรรมของพระและเณรทุกปี และแจกทุนการศึกษาเด็กนักเรียน ประถม มัธยม อาชีวศึกษา สร้างโรงเรียน สร้างวัดส่งพระภิกษุ-สามเณรมาเรียนกรุงเทพฯ ทุกปี

    หลวง ปู่เสงี่ยม หรือ เจ้าคุณเสงี่ยม ( พระสุวรรณศีลาจารย์ ) เป็นยอดพระเกจิที่ชาวกรุงเก่า ให้ความเลื่อมใสศรัทธา ท่านเป็นคนเงียบ ไม่พูดไม่คุย แต่ชาวบ้านทุ่งมหาราชทราบดีว่า พระรูปนี้เป็นยอดพระเกจิที่เข้มขลังขนานแท้

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1085.JPG
      IMG_1085.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      79
  2. TSKing

    TSKing Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +39
    หลวงพ่อเสือ (ตาทิพย์) ธัมมวโร แห่งสำนักสงฆ์วัดดอนยายเผื่อน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี
    ท่านมีนามเดิมว่า ประสิทธิ์ สถิตบุตร์ เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2494 ตรงกับวันเสาร์ เดือน 5 แรม 5 ค่ำ ปีเถาะ ณ บ้านเลขที่ 20 ม. 8 ต.เชิงกลัด อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี โยมบิดาชื่อ นายขลับ โยมมารดาชื่อ นางละออง นามสกุล สถิตบุตร์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 3 คน
    โดยท่านเป็นบุตรคนแรก โยมบิดาเป็นผู้ที่มีวิชาโหราศาสตร์ (ตรวจดวงชะตาทางสมาธิ) ได้ อย่างแม่นยำ และได้ถ่ายทอดศาสตร์วิชาโหราศาสตร์นี้ให้ปัจจุบันนี้ "หลวงพ่อเสือ" มีชาวบ้านทั้งสิงห์บุรีและจังหวัดอื่นๆ มาขอให้ท่านช่วยตรวจดวงชะตากันอย่างเนืองแน่น ซึ่งท่านก็อนุเคราะห์ให้กับทุกคนโดยไม่มีการเรียกค่าตอบ แทนใดๆ ทั้งสิ้น

    นอกจากจะได้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์จากโยมบิดาแล้ว ท่านยังได้รับการสั่งสอนอบรมจากหลวงลุง (หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง) พร้อมทั้งชี้แนะแนวทางของการเป็นพระภิกษุที่ดี จนหลวงพ่อเสือจด จำจนขึ้นใจ หลังจากที่ร่ำเรียนวิปัสสนากรรมฐานจนมีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว ก็ได้ออกหาวิชาความรู้เพิ่มเติมจากพระเกจิอาจารย์ต่างๆ แล้วกราบขอเรียนวิชาอาคมจากพระเกจิอาจารย์หลายรูป
    โดยได้ไปขอเป็นศิษย์ หลวงพ่อเกรียง วัดวังน้ำเย็น ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว และได้รับตำรับตำราจากหลวงปู่ทอง ทัสสณีโย แห่งถ้ำจักจั่น จ.ลพบุรี หลวงพ่อศรี (สี) วัดพระปรางค์ และยังได้ไปศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมจากพระเกจิอาจารย์อีกหลายๆ ท่าน รวมทั้ง พ่อเฒ่าอุ่น จอมขมังเวทแห่ง จ.หนอง คาย ผู้เจนจบทั้งในสายธรรมและไสยเวท เจ้าตำรับกุมารทองเรียกทรัพย์บันดาลโชคอันโด่งดัง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1091.JPG
      IMG_1091.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      59
  3. TSKing

    TSKing Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +39
    หลวงปู่ชวน วัดเขาแก้ว จ.อ่างทอง

    หลวงปู่ชวน กตปุญโญ บวชที่วัดสามง่าม ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อเต๋ คงทอง เป็นเวลาหลายพรรษาจนได้รับพระราชทาน พระครูชั้นโท จากพระสังฆราช ปุ่น และท่านก็ขอลาออก จากตำแหน่งพระครูเพื่อออกธุดงค์ ก่อนที่จะกล่าวถึงชีวประวัติของหลวงปู่ชวน กตปุญโญ ใคร่ขอนำเกร็ดข้อความต่างๆ เพื่อเป็นข้อพิจารณาในคุณแห่งพระอริยสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี้ที่ล่วงมาแล้ว ๒๕๕๑ ปี อันเป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายยุคหลายสมัย พระพุทธศาสนาก็ยังคงมั่นคงสง่างามดังดวงพระอาทิตย์และดวงพระจันทร์ ที่ไม่มีวันดับสลายไปจากโลกนี้ด้วยพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ทรงสอนให้เป็น สิ่งจรรโลงโลก แนวทางแห่งการดับทุกข์บำรุงสุขแก่มวลมนุษยชาติ และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ แม้พระพุทธองค์จะทรงดับขันธ์ปรินิพพานเป็นระยะเวลา ๒๕๕๑ ปีผ่านมาแล้ว แต่คำสอนของพระองค์ก็ยังคงเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดกว่าสิ่งใดๆในโลกนี้ พระองค์ทรงมีผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ยังคำสั่งสอนมิให้เลือนหายไปจากโลกสืบต่อกันมาแต่ละยุคแต่ละสมัยซึ่งได้แก่ พระอรหันต์ พระอภิญญาและพระอริยสงฆ์ จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันก็จะเห็นได้ว่า พระสาวกของพระองค์ ทรงสร้างคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนา ในวิธีแขนงต่างๆแล้วแต่ความถนัดของแต่ละองค์ ที่จะนำอุบายต่างๆมาสั่งสอนให้พุทธบริษัทได้สดับในคำสอนของพระพุทธองค์ ทรงบัญญัติไว้ก่อให้เกิดความสงบสุขร่มเย็น เป็นแนวทางแห่งการดับทุกข์ทั้งปวง ดังเช่น พระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์โมรียะ หลังพระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ๒๗๓ ปี หลังพระพุทธกาลในประเทศอินเดีย พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ พ.ศ.๒๗๓ ต่อจากพระราชบิดา ทรงพระนามว่า พระพิณธุสาร ผู้ปกครองเมืองปาฏลีบุตร ที่ได้สวรรคตไป ในแคว้นมคธ พระองค์ถูกเรียกขานอีกนามหนึ่งว่า จัณฑาโศก ซึ่งแปลความหมายว่า อโศก ผู้โหดร้าย ในรัชสมัยของพระองค์ทำสงครามครั้งหนึ่งต้องสูญเสียไพร่พล มีผู้ต้องเสียชีวิตล้มตายเป็นจำนวนนับแสนคน พระองค์รู้สึกสังเวชในพระราชหฤทัยมาก ในวันหนึ่งพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นสามเณรน้อยองค์หนึ่งเดินบิณฑบาตนามว่า นิโครต พระองค์ทรงเอ็นดูสามเณรน้อยนั้นเยี่ยงบุตรของพระองค์ จึงได้นิมนต์สามเณรนิโครตมาแสดงธรรมให้ฟัง สามเณรน้อยจึงได้กล่าว พุทธวจนบทหนึ่งว่า “ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย คนที่ประมาทถึงมีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับคนที่ตายแล้ว” หลังจากที่พระองค์ทรงได้ฟังสามเณรกล่าวพุทธวจนะของพระพุทธองค์แล้ว พระองค์รู้สึกซาบซึ้งในพุทธวจนะของพระพุทธองค์เป็นที่สุด พระองค์จึงได้ลั่นวาจากล่าวว่า พระองค์ขอปฏิญาณตนเป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ทรงสร้างวิหารเจดีย์ แท่นสลักหินจำนวน ๘๔๐๐๐ แท่ง เท่าพระธรรมขันธ์และทรงใช้พระธรรมทูต แผ่ไพศาล พระพุทธศาสนาไปทั่วแคว้นต่างๆถึง ๖ แคว้น ในแคว้นหนึ่งคือ แคว้นชมพูทวีปหรือแถบประเทศไทย ลาว พม่า เวียดนาม เขมร และกัมพูชา โดยพระธรรมทูตที่มาเผยแผ่นามว่า พระโสณะเถระและพระอุตระเถระ พระองค์ทรงเปลี่ยนการแผ่ไพศาลในพระราชอำนาจมาเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแทน และพระองค์ก็ทรงครองราชย์ด้วยธรรม ด้วยนโยบายธรรมาธิปไตย บ้านเมืองของพระองค์จึงมีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ตลอดพระชนม์ชีพที่พระองค์ทรงครองราชย์สมบัติ พระองค์ทรงมีพระคุณต่อพุทธบริษัททั้งหลายในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในธรรมอย่างแท้จริง พระเจ้าอโศกมหาราช ดังที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่าธรรมของพระพุทธองค์นั้นทรงมีอานุภาพ มีพลังอำนาจเหนือสิ่งอื่นใดในโลก ดังนั้นสาวกของพระพุทธองค์ ที่เข้าลึกถึงธรรมคำสอนของพระองค์ที่ทรงบัญญัติไว้ก็ย่อมถึงนิพพาน ย่อมได้ชื่อว่า อรหันต์ อภิญญา หรืออริยะ มีคำถามมากมายในยุคปัจจุบันว่า ยังมีพระอรหันต์ที่ทรงอภิญญาอริยะอยู่อีกหรือไม่ ในคำตอบในความรู้สึกของคนที่ไม่ได้เข้าถึงลึกซึ้งถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระ พุทธองค์ก็คงตอบว่าไม่มี แตกต่างจากบุคคลที่เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ก็หาคำตอบได้ไม่ยากเช่นกันว่ายังมีพระอรหันต์ พระอภิญญาและพระอริยะอยู่อีกมากมายและจะบังเกิดขึ้นอีกหลายองค์ รวมทั้งตัวตนของคนที่อยู่ในศีลธรรมอันดีนั้นด้วย หากแต่พิจารณาให้ถ่องแท้ของพระสงฆ์ที่ได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และผู้ที่ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี หากแต่จริตของแต่ละองค์ในการปฏิบัติก็คงไม่เหมือนกัน แล้วแต่ท่านทั้งหลายจะมีอุบายธรรมต่างๆที่พระอริยสงฆ์จะนำมาเป็นแนวทางนำพา ให้พุทธบริษัทเข้าถึงในธรรมของพระพุทธองค์เฉกเช่น พระอริยสงฆ์ที่จะนำชีวประวัติของท่านมาเผยแผ่ต่อท่านผู้อ่านให้ได้รู้ในปฏิปทาอันแรงกล้า ในพระพุทธศาสนา องค์นี้พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ พุทธบุตรแห่งพระพุทธศาสนา ท่านบำรุงในพระพุทธศาสนาทุกด้านมิมีด่างพร้อย กิจวัตรอันแข็งแรงในข้อปฏิบัติเคร่งครัดในธรรมวินัย จิตมั่นคงในวิปัสสนาธุระอย่างแตกฉาน พระนักพัฒนา สุดยอดในคันถะธุระ ธุดงค์จารึกสั่งสอนพุทธบริษัทให้อยู่ในศีลธรรมโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีวิชาสัพพวิชาสืบทอดพุทธาคมจากบรมครูในอดีตกาลหลายสำนัก เช่น หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อเต๋ คงทอง หลวงพ่อม่วง วัดบ้านทวน หลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หลวงพ่อสง่า วัดหนองม่วง หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ หลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงพ่อสอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร และท่านยังนับถือหลวงปู่สาย วัดดอนกระต่ายทองเป็นอันมาก ท่านบอกว่า หลวงปู่สายมีบุญบารมีสูงส่งยิ่งนัก

    ชีวประวัติ หลวงปู่ชวน กตปุญโญ วัดเขาแก้ว ต.องครักษ์ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง หลวงปู่ชวน ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ปีมะโรง ปัจจุบันหลวงปู่ชวน กตปุญโญ อายุ ๘๑ ปี ๕๔ พรรษา ท่านอุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๗ ปีตรงกับพ.ศ.๒๔๙๗ ณ อุโบสถวัดสามง่าม จ.นครปฐม ในขณะนั้นมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเต๋ คงทองเป็นเจ้าอาวาส เหตุที่หลวงปู่ชวนบวชนั้นท่านกล่าวว่า โอ้ชีวิตฆราวาสนั้นก็มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่เรื่องที่จะต้องเบียดเบียนกัน เห็นแล้วเราก็รู้สึกสังเวชใจ เราเองในชีวิตฆราวาสปกติก็ไม่เหมือนเขา เราเหมือนพระมากกว่า เราเองก็คิดจะบวชเพื่อจะได้อยู่ในร่มกาศาวพัตรตามที่เราตั้งใจไว้ เราเองไม่ชอบเบียดเบียนใคร เราไม่ชอบวุ่นวาย เราก็คิดว่าเราต้องบวช เพราะเราเองก็ได้ศึกษาธรรมมามาก รวมทั้งวิชาต่างๆที่เราได้เรียนจากหลวงตา จนแตกฉานพอสมควร เพราะว่าเราเป็นหลานแท้ๆของหลวงตาแช่ม วัดตาก้อง เราก็เลยรู้วิชาของหลวงตามากกว่าใคร หลวงตาแช่มท่านยังสอนวิปัสสนาและข้อธรรมที่สำคัญให้เรา รวมทั้งวิชาทำตุ๊กตาทอง กุมารทอง และตะกรุดคงกระพันมหาเมตตา พอเราบวชแล้วเราก็เลยมาสร้างให้หลวงพ่อเต๋ ที่ท่านแจกนั่นแหละ เมื่อตั้งใจบวชอยู่ในเพศบรรพชิต หลวงปู่ชวนท่านก็เลยอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสามง่ามกับหลวงพ่อเต๋ คงทองพระอาจารย์ ด้วยวิสัยเดิมของท่านเป็นพระที่ขยันเล่าเรียน ท่านได้เรียนพระปริยัติธรรม และขยันท่องบ่นมนต์คาถา มนต์พิธีจนแตกฉานได้อย่างรวดเร็วเหนือกว่าพระรุ่นเดียวกัน จนเป็นที่รักของหลวงพ่อเต๋ เป็นอย่างมาก พระสหธรรมิกรุ่นราวคราวเดียวกันก็เห็นหลวงปู่ท่านบอกว่า ชื่อแย้ม ต่อมาก็คือ หลวงปู่แย้ม แห่งวัดสามง่ามนั่นเอง หลวงปู่ชวนเมื่ออยู่ในเพศบรรพชิต ท่านเป็นพระที่พูดตรง วาจาชัดเจนเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่เป็นประจำ กิจวัตรอันต้องปฏิบัติในหน้าที่ของสงฆ์ ชอบเล่าเรียนสรรพวิชาต่างๆในไสยเวทและวิทยาคม ชอบแสวงหาครูอาจารย์ ความรู้ในข้อธรรมต่างๆ และไสยเวทหลายต่อหลายสำนัก ด้วยความที่ท่านเป็นพระที่มีความรู้ทางด้านกรรมฐานเดิมอยู่แล้ว รวมทั้งเวทมนต์คาถาต่างๆท่านก็ศึกษามาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้บวช จึงทำให้ท่านสามารถศึกษาวิชาความรู้จากครูอาจารย์ของท่านได้อย่างรวดเร็ว รู้แจ้งแทงตลอดในสรรพวิชานั้นๆอย่างลึกซึ้ง บางครั้งบางคราวท่านก็เอาสมุดข่อยเก่าโบราณมาศึกษาวิชาเพิ่มเติมอีกหลายแขนง ท่านได้กล่าวว่า ความรู้ต่างๆเรียนให้รู้ รู้ให้จริง เอาแต่วิชาดีๆ ปฏิบัติให้ได้ แล้วควรเก็บรักษาไว้ เพื่อสืบทอดสิ่งดีๆต่อไป อย่าเพียงแต่ว่ารู้งูๆปลาๆ ไม่ได้ผล เมื่อวันเวลาผ่านไป ท่านได้บวชเรียนจำพรรษาอยู่ที่วัดสามง่าม ปรณนิบัติรับใช้หลวงพ่อเต๋ คงทอง เป็นเวลาหลายปี ท่านเล่าว่า อันวิชาที่เราเรียนมานั้น หากว่าจะทำประโยชน์ให้พระพุทธศาสนา เราก็จะสร้างวัตถุมงคล เพื่อให้หลวงพ่อเต๋ท่านแจกเวลาชาวบ้านมาทำบุญที่วัด ก็เลยสร้างตุ๊กตาทอง กุมารทอง และตะกรุดถักเชือกสีขาวโดยให้พระลูกวัดที่จำพรรษาอยู่ที่วัดสามง่ามเป็นผู้ ถัก โดยหลวงปู่ชวนท่านเป็นผู้สอนด้วยตนเอง อนึ่งในการทำตุ๊กตาทอง กุมารทอง หลวงปู่ชวน ท่านได้จัดหามวลสารด้วยตัวท่านเอง มวลสารแต่ละอย่างนั้นท่านจะต้องเดินทางรอนแรมเข้าไปในป่าลึก เพื่อหาดิน ๗ โป่ง และเข้าไปพลีดินในป่าช้าผีดุอีก ๗ ป่าช้า รวมทั้งดิน ๗ ท่า จะต้องใช้ท่าน้ำที่คนเขาข้ามไป-มามากๆ จึงจะตรงตามตำราที่ว่าไว้ เพื่อเอามาผสมกันปั้นเป็นตุ๊กตาและกุมารทอง แล้วเสกด้วยคาถาเฉพาะในตำราเท่านั้น ต่อมาเมื่อชาวบ้านได้รับแจกตุ๊กตาและกุมารทองแล้วนำไปบูชา ก็เกิดประสบการณ์มากมาย บางคนก็ได้เงินทองซึ่งเป็นลาภที่ไม่คาดคิด บางคนก็ค้าขายดีจนมีฐานะที่มั่งคั่งร่ำรวย ส่วนตะกรุดนั้นเรื่องคงกระพันชาตรีไม่ต้องพูดถึงแน่นอนที่สุด นอกจากหลวงพ่อชวนจะสร้างตุ๊กตากุมารทอง ตะกรุด ท่านยังได้สร้างพระอีกหลายพิมพ์ให้พระอาจารย์ของท่านแจก วัตถุมงคลต่างๆนี้หลวงปู่ชวนท่านปลุกเสกเองทั้งหมด แต่ท่านไม่เคยบอกใคร ท่านเองบอกว่าท่านไม่อยากดัง ไม่อยากเหนื่อย หลวปู่ชวนได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสามง่ามเป็นเวลาหลายพรรษา และตลอดเวลาที่อยู่วัดสามง่าม ท่านได้เที่ยวเสาะแสวงหาวิชาความรู้จากคณาจารย์หลายรูป ท่านรู้สึกว่าคงจะถึงเวลาที่จะต้องออกธุดงค์เพื่อแสวงหาสัจจะธรรมและความสงบ ในการออกจารึกแสวงหาบุญในการธุดงค์ดูบ้าง จึงตัดสินใจกราบลาหลวงพ่อเต๋ ออกธุดงค์ต่อไป ท่านธุดงค์ไปหลายสถานที่หลายจังหวัด เที่ยวนำคำสอนของพระพุทธองค์สั่งสอนพุทธบริษัทที่ท่านได้ธุดงค์ผ่าน ให้อยู่ในหลักธรรมอันดีของพุทธศาสนา ครั้งหนึ่งท่านได้ธุดงค์ไปแถบจังหวัดราชบุรี ที่วัดถ้ำแห่งหนึ่งชื่อว่า ถ้ำเสือ ณ หมู่บ้านนี้มีพุทธบริษัทที่เลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากพอสมควร หลวงปู่ชวนท่านมีสหธรรมิกอยู่รูปหนึ่ง ชื่อพระอาจารย์คง หลวงพ่อท่านได้จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ เพราะว่าญาติโยมได้ขอร้องนิมนต์ท่านให้อยู่ช่วยพัฒนาวัดและสั่งสอนพุทธ ศาสนิกชนให้อยู่ในศีลธรรมอันดี หลวงปู่ท่านเองก็เห็นประโยชน์ก็เลยรับนิมนต์ที่จะช่วยพัฒนาวัดให้เจริญยิ่ง ขึ้น ตลอดระยะเวลาที่จำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำเสือนี้ท่านได้ทำการจัดสร้าง เสนาสนะต่างๆมากมายให้เจริญขึ้นโดยลำดับ จนเป็นที่พอใจของพุทธบริษัททั่วไป หลวงปู่ชวน ท่านเป็นที่รักใคร่และให้ความเคารพของพุทธบริษัททั้งหลายเป็นอันมาก นอกจากนั้นหลวงปู่ชวนท่านยังเล็งเห็นว่าการศึกษาของชนรุ่นหลังว่าจะไม่มี ความรู้ จึงได้สร้างโรงเรียนให้อีกหนึ่งอาคาร ก็เรียกว่าเป็นโรงเรียนที่เรียนได้เป็นร้อยคน ชื่อว่าโรงเรียนชวนคงอุปถัมภ์ หลังจากการสร้างเสนาสนะภายในสำนักสงฆ์และดำเนินการสร้างโรงเรียนเป็นที่พอใจ และสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว หลวงปู่ชวนท่านก็ได้ขอลาญาติโยมเพื่อจะไปธุดงค์ต่อไปในครั้งนั้นมีผู้เลื่อมใสศรัทธาใน องค์หลวงปู่ได้พยายามรั้งหลวงปู่ไม่ให้ออกธุดงค์ แต่ด้วยความตั้งใจของหลวงปู่ก็ไม่มีใครสามารถห้ามหลวงปู่ไว้ได้ หลวงปู่ชวน กตปุญโญ ออกเดินทางธุดงค์ต่อไปท่านมุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี ท่านเดินธุดงค์ผ่านป่าเขาลำเนาไพรค่ำที่ใดก็พักที่นั่น ถนนหนทางก็ไม่ค่อยจะมีเหมือนสมัยนี้ ในเวลาเช้าถึงเวลาออกบิณฑบาตบางวันก็ได้ฉันบางวันก็มิได้ฉัน หลวงปู่บอกว่า บางมื้อฉันแค่ยอดผักบุ้งและใบขี้เหล็กเท่านั้น เดินธุดงค์มาจนถึงจังหวัดกาญจนบุรีมุ่งหน้าไปที่ อ.ศรีสวัสดิ์ หลวงปู่เล่าว่าแถบนี้มีแต่ป่ามีแต่เขา เดินธุดงค์ไปนานๆจะเจอหมู่บ้านสักหลัง ใบไม้คืออาหารประจำ แต่ก็รู้สึกสงบร่มรื่นในจิตใจไม่รู้สึกอิ่มไม่รู้สึกหิวเบาสบายอย่างน่า อัศจรรย์ หลวงปู่ยังเล่าต่อว่าในป่าจังหวัดกาญจนบุรีนี้มีเสือ ช้าง และอสรพิษชุกชุมแต่ก็แปลกที่มันไม่ทำร้ายเรา ผู้เขียนได้ฟังหลวงปู่ชวนท่านเล่าก็คิดว่าถ้าหลวงปู่ท่านไม่แน่จริงก็คงไม่ รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ในช่วงเข้าพรรษาหลวงปู่ชวนท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งชื่อว่าวัดเขาน้อยถ้ำหัวช้าง ในการจำพรรษาอยู่นี้หลวงปู่ชวนท่านก็ได้แวะเวียนไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อลำใย วัดทุ่งลาดหญ้าเป็นประจำ จนชอบพอในอัธยาศัยซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังได้สนทนาธรรมกับหลวงพ่ออุตตมะอีกด้วย ในการที่ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาน้อยนี้หลวงปู่ชวนท่านได้ทำการจัดสร้าง พระพุทธรูปใหญ่ไว้ที่วัดนี้ด้วย และรวมถึงกุฏิสงฆ์เสนาสนะต่างๆมากมาย อันนำมาซึ่งคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง นัยหนึ่งในการสร้างถาวรวัตถุต่างๆนั้นหลวงปู่ชวนท่านมักจะทำการออกแบบเองและ ลงมือทำด้วยตนเองเสมอ หลวงปู่ชวน กตปุญโญเมื่อที่ธุดงค์อยู่แถบจังหวัดกาญจนบุรีก็ได้พบกับคณาจารย์หลายท่าน ที่ท่านได้แวะไปสนทนาธรรม เช่นหลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว หลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้าอยู่เป็นประจำ ท่านชอบพอกันมากได้สนทนาแลกเปลี่ยนวิชากันเป็นประจำในด้านวิปัสสนาธุระและ คันถะธุระ จะเห็นได้ว่าหลวงปู่ชวน ท่านเป็นพระอริยบุคคลที่สรรสร้างคุณประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนาและพุทธ บริษัทมากมายนานับประการ ด้วยศรัทธาอันแรงกล้าแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างยิ่งยวด มีความเชี่ยวชาญในวิปัสสนาธุระ และคันธะธุระ สมกับเป็นพระสุปฏิปันโน สาธุชนให้ความศรัทธาเลื่อมใสมากมาย หลังจากที่ท่านได้สร้างองค์พระใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ชวนท่านได้ธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ ท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า การเดินธุดงค์ที่ภาคเหนือ เวลาพุทธบริษัทใส่บาตรฉันไม่ค่อยได้ แต่ท่านก็ฉันตามจิตศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในการธุดงค์ท่านก็ธุดงค์เพียงลำพัง จิตเรารู้สึกสงบร่มเย็นเป็นสรณะอันสงบสุขและจิตที่ผ่องแผ้ว รู้สึกสบายเยือกเย็น เหมือนกับเราได้อยู่ใกล้ๆพระพุทธองค์ ในการบิณฑบาตรบางวันก็ได้ฉัน บางวันก็ไม่ได้ฉัน แต่ทุกวันจิตก็เป็นปกติ ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกอิ่ม ในคืนหนึ่งได้ปักกรดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พอจิตสงบลงก็นิมิตว่ามีเทวดาองค์หนึ่ง ได้เข้ามาในนิมิตขอร้องว่า หลวงปู่ขอให้หลวงปู่เดินทางมาอยู่ที่วัดเขาแก้ว ต.องค์รักษ์ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง ให้หลวงปู่มาช่วยแก้อาถรรพ์ภายในวัดนี้ด้วย เพราะมีแต่หลวงปู่เท่านั้นที่จะแก้อาถรรพ์และทำให้วัดนี้เจริญขึ้นได้ ตลอดจนจะทำให้พุทธศาสนิกชนอยู่ในศีลธรรมอันดีได้ หลวงปู่ท่านได้พิจารณาในนิมิต คิดอยู่ในใจว่า เราคงต้องไปตามคำขอร้องของเทวดาองค์นี้ ก็เลยตัดสินใจเดินทางมาที่วัดเขาแก้วตามที่เทวดาองค์นั้นได้ขอร้องในปีพุทธ ศักราช ๒๕๑๙ ในขณะนั้นที่วัดเขาแก้วมีกุฏิไม้เก่าๆอยู่ไม่กี่หลัง พระอุโบสถฐานเตี้ยติดดินฝนตกน้ำไหลจนท่วมเข้าไปในอุโบสถมีหลังคาสังกะสีคลุม แต่ก็ไม่สามารถกันแดดกันฝนได้ หลวงปู่ชวนได้เข้าไปจำพรรษาที่วัดเขาแก้วอยู่หนึ่งปีก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส ในปีพ.ศ.๒๕๒๐ ลำดับเจ้าอาวาสองค์ที่ ๑๐ ตั้งแต่สร้างวัดเขาแก้วมา หลวงปู่ชวน กตปุญโญนั้นได้เริ่มพัฒนาปฏิสังขรณ์เสนาสนะต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะว่าวัดนั้นอยู่ไกลจากหมู่บ้านผู้คนพุทธบริษัทก็มีน้อย อีกทั้งถนนหนทางก็ยากลำบากที่จะเข้ามายังวัด อีกอย่างหนึ่งคนสมัยนั้นไม่ค่อยจะเดินผ่านเพราะว่าผีดุมาก หลวงปู่ชวน กตปุญโญท่านได้ทำการจัดสร้างถนนหนทางเข้าวัดได้สะดวกขึ้น ถนนนั้นยาวนับทั้งสองด้านเป็น๒-๓กิโลเมตร ต่อมาได้มีสาธุชนเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาของหลวงพ่อ ได้ทยอยกันมาทำบุญที่วัดเขาแก้วมากขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีปัจจัยพอ ที่จะสร้างเสนาสนะอื่นให้เกิดขึ้น หลวงปู่ชวน กตปุญโญ ท่านได้ปฏิบัติทุกวิถีทางที่จะทำให้วัดเขาแก้วเจริญขึ้น ท่านทุ่มเททุกอย่างเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างเต็มความสามารถ หลวงปู่ท่านได้ทำการทำนุบำรุงเสนาสนะแบบค่อยเป็นค่อยไป ท่านได้สร้างท้าวเวสสุวัณและพระวิษณุกรรมไว้ที่ด้านหน้าพระอุโบสถเพื่อดับ อาถรรพ์ต่างๆ นับจากวันที่หลวงปู่ชวนท่านได้มาอยู่ที่วัดเขาแก้วตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ จนถึงปัจจุบัน ท่านได้ก่อสร้างเสนาสนะต่างๆไม่ว่าจะเป็นศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ พระอุโบสถ พระเมรุและวิหารหลวงปู่ขาวที่ย้ายมาจากวิหารหลังเก่า ปัจจุบันวัดเขาแก้วเจริญขึ้นตามลำดับ โดยส่วนใหญ่แล้วหลวงปู่ท่านจะใช้ปัจจัยส่วนตัวของท่านในการจัดสร้างเสนาสนะ ต่างๆ มีคนเคยถามท่านว่า หลวงปู่เอาปัจจัยที่ใดมาสร้างวัดครับ หลวงปู่ท่านตอบว่า ฉันก็เป็นหมอรักษาคนป่วยทางกายและใจ ลูกศิษย์ลูกหาของท่านต่างรู้ดีว่าหลวงปู่ท่านมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ มีตาทิพย์ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า พยากรณ์แม่นยำอย่างตาเห็น แม้หลวงปู่ท่านจะจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาแก้ว ท่านก็ยังคงปฏิบัติดังเช่นพระป่าเช่นเดิม ในเวลาเข้าพรรษา หลวงปู่ท่านจะไม่จำวัดในห้อง แต่จะปักกรดจำวัดอยู่ตลอดทั้งพรรษา ท่านยังคงปฏิบัติกรรมฐานวันละหลายชั่วโมง ทำวัตรสวดมนต์ไม่เคยละเว้นเลยสักวัน หลวงปู่ชวนท่านเป็นพระที่มีจริยวัตรที่งดงาม เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ท่านเป็นคนที่พูดจาขวานผ่าซาก ตรงไปตรงมา เสียงดังฟังชัด แต่คำพูดของท่านล้วนแต่เป็นความจริงและมีความศักดิ์สิทธิ์เสมอ หลวงปู่ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่ไม่ยึดติดกับลาภ ยศ สรรเสริญ ยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลาย ดังเช่นที่คณะสงฆ์มีมติแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าคณะตำบล แต่หลวงปู่ท่านก็ไม่รับ หลวงปู่ชวนท่านยังได้ชื่อว่า เป็นบรมครูวิชาไสเวทย์พุทธาคมรูปหนึ่งของเมืองไทย ณ เวลานี้ แต่ท่านก็ให้นิยามของไสเวทย์วิทยาคมไว้ว่า อันวิชาต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้มีทั้งวิชาที่ดีและไม่ดี หากเราใช้วิชาที่ไม่ดีตัวเราก็เป็นคนไม่ดีด้วย หากเราใช้วิชาที่ดีเราก็จะดี คำว่าวิชาไม่ใช่อวิชชาต้องเข้าใจให้ถูก คำว่าวิชาต้องดีและต้องถูกต้อง ที่ปลุกเสกกันทุกวันนี้มีจุดมุ่งหมายอะไร ปลุกเสกนี้คือการนำเอาพระรัตนตรัยเป็นใหญ่ ส่วนที่จะปลุกเสกอะไรนั้น ก็ให้ปลุกเสกตามตำรา อันที่จริง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ก็ดีที่สุดกว่าสิ่งใดแล้ว เราคือลูกตถาคต เราเป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา หากโกหกใครกินก็หมดความเป็นผู้ทรงศีล ทรงธรรมอันเป็นสิ่งล้ำค่า


    ในการสร้างวัตถุมงคลนั้น หลังจากที่หลวงปู่ชวน ท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลให้หลวงพ่อเต๋ คงทอง แห่งวัดสามง่ามแล้ว ท่านได้ออกธุดงค์วัตรตลอดระยะเวลาหลายปี ท่านก็มิได้สร้างวัตถุมงคลอะไรเลย จนกระทั่งมาจำพรรษาที่วัดเขาแก้ว ท่านจึงได้สร้างพระเนื้อเกสรขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ชื่อว่าพระชัยมงคล ปีพ.ศ.๒๕๒๒ พุทธลักษณะองค์พระสามเหลี่ยม ซุ้มแก้ว ปางมารวิชัย มีเส้นทองแดงม้วนเป็นตัวนะ ประจุอยู่ด้านหลังองค์พระ หลังจากปลุกเสกเสร็จแล้วท่านได้นำมาใส่บาตรไว้ในกุฏิโดยวางไว้เฉยๆมิได้ให้ บูชาแต่ประการใด วันเวลาผ่านไปหลายปี ในระยะหลังลูกศิษย์ที่วัดได้อารธนาขึ้นคอ แล้วเกิดปฏิหาริย์มากมายในด้านเมตตา คงกระพันชาตรี เป็นที่แสวงหากันมาก ลูกศิษย์เห็นว่าพระมีอยู่จำนวนพอสมควร เลยนำออกมาให้บูชาเพื่อนำปัจจัยมาทำนุบำรุงสิ่งต่างๆภายในวัด องค์ละ ๑๐๐ บาท ปัจจุบันน่าจะมีจำนวนพระไม่เกิน 50 องค์


    ในระยะหลังกรรมการ วัดตลอดจนศิษย์ทั้งหลาย ได้ขอให้หลวงปู่สร้างวัตถุมงคล เพื่อหารายได้สร้างเสนาสนะและพระอาราม ท่านจึงได้ออกเหรียญรูปไข่ในปี ๒๕๔๐ ต่อมาในปี ๒๕๔๓ ท่านได้สร้างเหรียญน้ำเต้าพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก จากนั้นอีก ๗ ปีต่อมาตรงกับพุทธศักราช ๒๕๕๐ คณะศิษย์ได้ขออนุญาตจัดสร้างตะกรุดเนื้อชินตะกั่ว โดยได้เข้านิมนต์ขอสร้างถึง ๓ เดือน ท่านจึงได้อนุญาตให้จัดสร้างชื่อว่า ตะกรุดชวนคงชาตรี เพื่อหารายได้เทปูนหน้าลานวัด ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนก็สามารถเทลานวัดเสร็จสมบูรณ์ จนเป็นที่กล่าวขานกันว่าหลวงปู่ท่านรู้วาระจิต รู้กาลเวลา ที่จะออกวัตถุมงคลในเวลาใดดีที่สุด หลังจากที่ท่านได้จัดสร้างตะกรุดในครั้งนั้น ก็มีนิตยสารต่างๆเข้ามาขออนุญาตินำประวัติหลวงปู่ออกเผยแผ่ แต่ท่านก็ปฏิเสธตลอดเรื่อยมา รวมทั้งผู้ที่ต้องการทำหนังสือและจัดสร้างวัตถุมงคลได้มาขออนุญาติท่าน โดยออกในนามของหลวงปู่ท่านและวัด แต่ท่านก็ไม่อนุญาติไม่ว่าจะขอร้องท่านกี่ครั้งก็ตาม ท่านบอกว่าจริงๆแล้วฉันไม่สนใจหรอก ไม่อยากจะดังด้วย ฉันทำมาจนเบื่อแล้ว ทำให้หลวงพ่อเต๋ ท่านแจกมากมาย ไม่รู้ว่าฉันมีดีอะไร คงจะเป็นเมื่อคราวที่โจรมันปล้น แล้วบังเอิญมันยิงไม่ออก เขาก็เลยว่าฉันมีดี มันเป็นอย่างนั้นต่างหาก หลวงปู่ท่านได้คุยกับผู้เขียนว่า อันที่จริงแล้วฉันก็รู้สึกว่าอยากจะไปต่อ เพื่อสร้างประโยชน์ให้พระพุทธศาสนาที่อื่นบ้าง แต่เราก็รู้สึกว่าอายุมาก สังขารมันไม่อำนวย บางครั้งดี บางครั้งร้ายคนแก่เป็นอย่างนี้แหละ แต่ฉันก็อยากสร้างโรงทาน และศาลาธรรมสังเวชให้ไว้เป็นประโยชน์ต่อไป เมื่อเรามีเงินก็สร้างเมื่อไม่มีก็เก็บให้พอเสียก่อน ฉันไม่ชอบทำทีละนิดหน่อย ชอบทำทีเดียวให้มันลุล่วงไปเลย ท่านกล่าวเมื่อตอนที่ผู้เขียนเข้าไปกราบนมัสการท่าน ต่อมาในปี ๒๕๕๑ ซึ่งหลวงปู่ได้จัดพิธีไหว้ครู ทุกปี ในวันแรกของการเข้าพรรษา บรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่จึงได้ขอร้องให้หลวงปู่ออกวัตถุมงคลแต่ก็คงไม่ อนุญาตเหมือนห
    ลายๆครั้งที่เคยขออนุญาตท่าน แต่พอไปขออนุญาตท่านก็อนุเคราะห์ให้ความเมตตาให้จัดสร้างได้ บรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่ดีใจมากที่หลวงปู่ท่านให้ความเมตตา แต่สิ่งที่หลวงปู่ให้จัดสร้างนั้น เป็นสิ่งที่ทำยากมาก ถ้าหากใครไม่ชำนาญก็คงจะทำไม่สำเร็จ อย่างแรกก็คือ วัวธนูทำด้วยครั่งพุทรา ที่กิ่งจะต้องชี้ไปทางทิศตะวันตก โดยตามตำรานั้นต้องเอาครั่งใส่ในกระทะที่ร้อน พอละลายก็โรยด้วยผงพุทธคุณ แล้วจึงนำมาปั้นเป็นตัววัวธนู อย่างที่สองคือ ตะกรุดรัตนะประโคนทัพ คือตะกรุดหนังกลองเพลแตกม้วนเป็นเกลียวเป็นเครื่องรางที่ใช้ในด้านคงกระพัน ชาตรี และเมตตาค้าขาย หนังกลองเพลแตกนั้นมีอายุกว่าร้อยปี อย่างที่สามคือ พระขุนแผนนั่งบัวซุ้มแก้ว กันภัย เมตตา ที่ต้องออกหาปฐวีธาตุอาถรรพ์จากหลายๆแห่งมาเป็นมวลสาร โดยฝังตะกรุดเงินสามดอกไว้ที่ใต้ฐาน อย่างที่สี่คือ ตะกรุดสาลิกาเกศามหาลาภพอกชันโรง เป็นตะกรุดเงินดอกเล็กที่พอกด้วยชันโรงผสมผงพุทธคุณรัตนะ วัตถุมงคลทั้งหมดนี้หลวงปู่ท่านอนุญาตให้จัดสร้าง ในวาระวันไหว้ครูไตรมาส๕๑ ด้วยหลวงปู่ชวนท่านเคยเรียนวิชากับหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง ท่านจึงได้ปลุกเสกวัตถุมงคลชุดนี้ในวันอาสาฬหบูชา ตามตำราของหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง ซึ่งในหนึ่งปีจะปลุกเสกวัวธนูให้เข้มขลังดุจมีชีวิตนั้นมีเพียง ๓ วันคือ วันอาสาฬหบูชา วันมาฆะบูชา และวันวิสาขบูชา วัตถุมงคลทั้งหมดนี้ได้ปลุกเสกในวันที่ ๑๗ กรกฏาคม ๒๕๕๑ เมื่อวัตถุมงคลได้ออกให้บูชาแล้ว ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายของท่านต่างพากันมาบูชามากมาย โดยเฉพาะศิษย์ทางจังหวัดราชบุรี นครปฐมและสุพรรณบุรี ต่างก็มุ่งหน้ามากราบนมัสการหลวงปู่กันอย่างล้นหลาม รวมทั้งลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯและในหลายๆจังหวัด วัตถุมงคลของหลวงปู่ชุดนี้ได้ออกให้บูชาเพียงไม่กี่เดือน ก็ได้เกิดเรื่องปฏิหาริย์ขึ้น โดยท่านที่มีประสบการณ์นี้เดินทางมาจากสุพรรณบุรี ได้เช่าตะกรุดหนังกลองแตกไปบูชา คืนหนึ่งได้วางตะกรุดไว้บนหิ้งพระใกล้เตียงนอน พอง่วงนอนก็ปิดไฟนอน ยังไม่ทันหลับก็มีแสงสว่างเกิดขึ้นบนหิ้งพระ เหมือนแสงหลอดนีออน เกิดตกใจเลยเปิดไฟดูปรากฏว่าแสงนั้นได้หายไป ทั้งๆที่บนหิ้งพระไม่ได้ติดหลอดไฟไว้แม้แต่ดวงเดียว จึงทำให้มั่นใจว่าเกิดจากแสงแห่งพุทธคุณของตะกรุดหนังกลองแตกอย่างแน่นอน หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับมายังวัดเขาแก้ว เพื่อกราบหลวงปู่ชวนอีกครั้ง และได้เช่าวัตถุมงคลชุดนี้ไปอีก ทั้งยังได้เล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นให้แม่ชี พะเยาว์ อินมั่น และพี่ตุ๋ย ปทุม บุญทวีฟัง ทุกครั้งที่ชายคนนี้ห้อยตะกรุดเขาเล่าว่า เหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่ตลอดเวลา จึงรู้สึกสบายใจแต่ก็นึกทุกทีว่าจะต้องทำบุญบ่อยๆใส่บาตร ไหว้พระสวดมนต์ แล้วจะสุขสบาย เขาบอกว่าแต่ก่อนไม่เคยคิดสนใจในเรื่องอย่างนี้เลย อีกรายเกิดขึ้นกับหญิงท่านหนึ่งซึ่งได้เช่าตะกรุดสาริกาเกศามหาลาภไปบูชา หญิงท่านนี้เป็นแม่ค้าในตลาดอ่างทอง ปกติแล้วขายแกงและกับข้าวต่างๆไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก หลังจากได้บูชาตะกรุดของหลวงปู่แล้วกับข้าวต่างๆก็ขายดี ขายหมดก่อนร้านค้าในย่านเดียวกัน ทุกๆวันแกจะนำตะกรุดมาอาราธนาแล้วขอบารมีหลวงปู่ชวน ให้ขายของดีทุกวัน วัตถุมงคลรุ่นนี้ล้วนมีประสบการณ์ทั้งสิ้น ตัวผู้เขียนเองเมื่อได้ฟังประสบการณ์ที่เกิดขึ้นก็รู้สึกตื่นเต้น แต่สำหรับศิษย์วัดของหลวงปู่ท่านแล้ว เขาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกคนรู้ดีว่าวัตถุมงคลของหลวงปู่มีอานุภาพเข้มขลังยิ่งนัก อนึ่งมีลูกศิษย์จากราชบุรี ได้โทรศัพท์มาคุยกับผมว่าหลวงปู่ชวนท่านเก่งมาก ผมรู้จักท่านมาหลายสิบแล้ว วัวธนูที่ท่านสร้างผมชอบ ความเข้มขลังผมการันตีได้ ใช้ได้ไม่แตกต่างจากหลวงพ่อน้อยเลย ผู้เขียนเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เขาบอกว่าเขาอยู่ที่ราชบุรี แล้วก่อนที่จะวางหูโทรศัพท์เขายังได้บอกว่า พระขุนแผนที่หลวงปู่ปลุกเสกถ้าคุณใช้เอง ระวังอย่าอาราธนาขอเมียนะ ยุ่งเชียว ถ้าค้าขายหรือโชคลาภเจ๋งที่สุด ที่ผู้เขียนได้กล่าวมานี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เชียร์ให้หลวงปู่ท่านดัง ผู้เขียนแอบเขียนให้ผู้อ่านได้รับฟังในความศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงปู่ไม่เคยพูด ถึงเลย ถ้าหลวงปู่ท่านได้อ่านผู้เขียนอาจจะโดนดุอย่างแน่นอน เพราะท่านไม่ชอบการโอ้อวด มันไม่ใช่กิจของพระ กิจของพระคือสืบทอดคำสอนของพระพุทธองค์ สืบทอดพระพุทธศาสนา สร้างพระ สร้างเครื่องรางของขลัง ก็ให้ระลึกถึงคุณพระ ให้เป็นเครื่องเตือนใจในการทำความดี ถ้าใครทำดี ศรัทธาในพระรัตนตรัยและคุณแห่งวัตถุมงคลนั้น ก็จะให้ผลดี มีความเจริญก้าวหน้า อีกนัยหนึ่งมีของดีแต่ทำตัวไม่ดี ด่าพ่อ ด่าแม่ ปล้นชิง วิ่งราว ของดีแค่ไหนก็ไม่คุ้มครอง เพราะของดีย่อมอยู่กับคนดีนั่นเอง เหมือนพระดีต้องมีศีลที่บริสุทธิ์ มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ไม่ใช่สักแต่ว่าห่มผ้าเหลืองแล้วเรียกพระ ขอเขากินแล้วยังเนรคุณ เดี๋ยวนี้มีมากจำพวกนี้เป็นมารศาสนา ผ้าเหลืองห่มตอ ตกนรกแน่แท้ หลวงปู่ท่านได้กล่าวกับผู้เขียนเมื่อคราวที่ไปนมัสการท่าน
    ใน เรื่องประสบการณ์อภินิหาริย์วัตถุมงคลของหลวงปู่ชวนนั้น ก็มีมากมายนับไม่ถ้วน ผู้เขียนได้ยินได้ฟังจากหลากหลายผู้คนทั้งไกลและใกล้ ทั้งจากลูกศิษย์ใกล้ชิดและชาวบ้านแถบนั้น แต่จะยกมาเล่าพอสังเขปดังต่อไปนี้


    ไม่ระคายผิว เรื่องจากท่านแม่ชี พะเยาว์ อินมั่น ท่านเล่าว่าเมื่อประมาณปี ๒๕๔๕ เมื่อประมาณทุ่มเศษมีกลุ่มคนประมาณสี่ห้าคนทำทีว่าจะมาขอดูดวงขึ้นไปหาหลวงปู่บนกุฏิสองคนและดูลาดเลาอยู่ข้างล่างสองสามคน ในขณะที่ชายสองคนให้หลวงปู่ตรวจดวงชะตาท่าทีปกติ หลวงปู่ได้รู้สึกแล้วมีท่าทีพิรุธและในขณะที่ตรวจดวงชะตาอยู่นั้น ชายอีกคนก็ได้ขึ้นมาที่กุฏิ และแล้วชายสองคนก็พยายามจะจับตัวหลวงปู่ไว้ แต่หลวงปู่ลุกขึ้นสู้ ขณะนั้นพระลูกวัดได้ยินเสียงดังผิดปกติก็วิ่งขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นเหตุการณ์ก็เข้ามาช่วยหลวงปู่ ชายหนึ่งในสามคนได้ชักมีดปลายแหลมจ้วงแทงหลวงปู่ แต่ต้องตกตลึง ด้วยมีดปลายแหลมที่แทงหลวงปู่ ไม่เข้าระคายผิวของท่านแม้แต่นิดเดียว คนทั้งสามเห็นท่าไม่ดีก็เลยเผ่นหนีไปคนละทางหายไปกับความมืด เหตุการณ์ครั้งนั้นหลวงปู่ท่านไม่เคยติดใจอะไร โดยกล่าวแต่เพียงว่า “เวรใครเวรมัน”
    ปืนมีลูกก็ยิงไม่ออก เรื่องจากคุณปทุม(พี่ตุ๋ย) พี่ตุ๋ยแกเป็นศิษย์หลวงปู่มาหลายปี แกได้กรุณาเล่าเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ของหลวงปู่ให้ฟังว่าเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๘ เวลาประมาณหกโมงเย็น มีชายเจ็ดคนหญิงหนึ่งคน เข้ามาทำทีว่ามาตรวจดวงชะตาและทำสังฆทาน ได้จัดเตรียมสังฆทานมาอย่างเรียบร้อย กลุ่มแรกหญิงหนึ่ง ชายสอง ทำทีเข้าไปเพื่อถวายสังฆทานเสร็จแล้วก็ออกมาเพื่อกรวดน้ำ ขณะนั้นก็มีชายสองคนปรากฏตัวต่อหน้าหลวงปู่ที่กำลังก้มเขียนตำราอยู่ ทั้งสองพยายามเข้ามากดไหล่หลวงปู่ลงทั้งสองข้าง หลวงปู่ก็เลยเอ่ยขึ้นว่า “ปล้นกลางวันก็ดีซิวะ” หลังจากนั้นหลวงปู่ก็จับคนทั้งสองเหวี่ยงจนตัวปลิว เมื่อทั้งสามเห็นเหตุการณ์ก็จะเข้ามาทำร้ายหลวงปู่อีกทำนบหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถจับตัวหลวงปู่ได้ พระลูกวัดรูปหนึ่งเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็วิ่งขึ้นมาช่วยหลวงปู่ ในขณะนั้นโจรคนหนึ่งได้ชักอาวุธปืนออโตเมติกไม่ทราบขนาดคาดว่าน่าจะเป็น 11 มม. เหนี่ยวไกปืนเล็งเข้าใส่หลวงปู่ แต่ทว่าปืนกลับด้านยิงไม่ออก แต่โจรก็พยายามยิงซ้ำหลายๆครั้งกระสุนก็ยังด้านเช่นเดิม กลุ่มโจรตกใจ ขวัญเสีย มองหน้ากันงักงั่น หนึ่งในนั้นได้ตะโกนขึ้นว่า “เผ่นดีกว่าโว้ย” หลังจากเหตุการณ์นั้นตอนเช้าก็ได้มีสื่อหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและสื่อทีวีจากไอ ทีวีได้ออกข่าวแพร่สะพัดให้ประชาชนได้รู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็สามารถจับกุมโจรได้ทั้งหมดในเวลาต่อมา จากเหตุการณ์ครั้งนั้นศิษย์ทั้งหลายต่างให้สมญานามหลวงปู่ว่า “หลวงพ่อชวน ปืนมีลูกก็ยิงไม่ออก”
    นักเลงสุรา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อคราวเทศกาลบวชนาคในหมู่บ้านแถบใกล้วัดเขาแก้ว หลวงปู่ชวนท่านได้รับนิมนต์ไปเทศน์สอนนาค พอเทศน์สอนนาคและสวดมนต์เสร็จ ในขณะนั้นหลวงปู่กำลังจะเดินทางกลับ พอก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายได้มีนักเลงเมาสุราคนหนึ่งตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “หลวงตาชวน แกแน่จริงหรือ” แล้วชักปืนพกหนึ่งกระบอกออกมายิงขึ้นฟ้าแต่ลูกปืนในรังเพลิงไม่สามารถทำงาน ได้ เสียงปืนที่เหนี่ยวไกดัง แช๊ะ..แช๊ะ...แช๊ะ นักเลงคนนั้นแทนที่จะหยุดกลับพยายามเหนี่ยวไกอีกครั้ง ครั้งที่สองก็ปรากฏเป็นเช่นเดิมยังมิหนำใจ นักเลงสุราพยายามเหนี่ยวไกปืนอีกเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้ปรากฏว่าปืนได้สะบัดขึ้นตีที่หน้าผากตัวเองอย่างจัง ทำให้หน้าผากแตกมีเลือดไหลอาบหน้า หลวงปู่เห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ยิ้มๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เวรแท้ๆ” แล้วก็ก้าวขึ้นรถกลับวัดเขาแก้ว รู้ล่วงหน้า มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรีได้มารับจ้างทาสีในอุโบสถอยู่เป็นเวลาหลายเดือน วันหนึ่งได้ขอให้หลวงปู่ตรวจดูดวงชะตา หลวงปู่ท่านก็กรุณาตรวจดูดวงชะตาให้แล้วทักว่า “เออตอนนี้ดวงชะตามึงไม่ค่อยดีนะ เลือดจะตกยางจะออกหรืออาจถึงตายได้ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูจะให้ของกูไปใช้” หลังจากนั้นท่านก็เดินไปหยิบเหรียญน้ำเต้าหนึ่งเหรียญให้เด็กหนุ่มคนนั้นไป หลังจากนั้นสองสามวันเด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้กราบลาหลวงปู่กลับบ้านที่ สุพรรณบุรี เพื่อไปเยี่ยมพ่อแม่และเที่ยวงานประจำปีที่วัดบ้านเกิด เมื่อได้พบพ่อแม่แล้วก็ได้ไปเที่ยวงานวัดประจำปีที่ได้ตั้งใจเอาไว้ และได้เกิดทะเลาะวิวาทกันเด็กหนุ่มถูกรุมทำร้ายทั้งโดนยิง โดนแทงฟัน แต่กระสุนและคมมีดไม่ระคายผิวของเด็กหนุ่มคนนั้นเลย เป็นที่อัศจรรย์ใจของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นอย่างมาก ต่อมาเขาก็กลับมาที่วัดเขาแก้วและได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พี่ตุ๋ยและ แม่ชีที่วัดฟัง พร้อมเข้ากราบนมัสการหลวงปู่ชวนและขอเหรียญน้ำเต้าอีกหนึ่งเหรียญ เพราะเหรียญที่แขวนคออยู่ได้กระเด็นหายไปพร้อมกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว นี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งในประสบการณ์ของวัตถุมงคลหลวงปู่ชวน กตปุญโญ
    นี่เป็นประสบการณ์เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ผู้เขียนได้รับการบอกเล่าจากพี่ตุ๋ยและแ
    ม่ช ี ยังเรื่องปฏิหาริย์อีกมากมายที่ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป เรื่องที่ได้รับการเล่าขานจากลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องคงกระพันชาตรี ยังมีเรื่องเมตตามหานิยมอีกมากมายที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เรื่องของเมตตามหานิยมก็มีหลายเรื่องโดยผู้เขียนจะเล่าผ่านตัวหนังสือให้ ท่านผู้อ่าน
    ได้รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากคำบอกเล่าของชาวบ้านที่ได้เล่าให้ฟังว่า ใครที่พกวัตถุมงคลของหลวงปู่ชวนไม่ตกอับและไม่ตายโหง เรื่องแคล้วคลาด ขึ้นรถลงเรือ ศัตรูภัยพาล เมตตาค้าขาย เป็นเรื่องของพุทธคุณสูงสุดที่ได้รับการเล่าขานจากร้านค้าปากซอยทางเข้าวัด เขาแก้ว โดยที่เมื่อก่อนขายของไม่ค่อยดีทั้งที่ขายอยู่หน้าปากซอยทางเข้าวัด ก็เลยเข้ามากราบนมัสการหลวงปู่ชวน หลวงปู่ท่านก็รดน้ำมนต์ให้แล้วก็นิมนต์หลวงปู่มาฉันที่บ้าน ประพรมน้ำมนต์ที่บ้าน และใช้วัตถุมงคลหลวงปู่ชวนเป็นประจำ หลังจากนั้นก็ขายของดีมาตลอด ปัจจุบันก็ขายดีทุกวัน หลวงปู่ท่านบอกให้หมั่นทำบุญและประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมก็จะเจริญยิ่งๆขึ้นไป ชาวบ้านทั้งหลายต่างขนานนามท่านว่า “เทพเจ้าแห่งโพธิ์ทอง” ตลอดระยะเวลา ที่ผ่านมาในเพศบรรพชิตของหลวงปู่ชวน ท่านได้ทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างมากมาย ดังที่กล่าวมาและที่ยังไม่ได้กล่าวถึงอีกมากมายนัก ที่ไม่ได้กล่าวถึงนั้นเพราะหลวงปู่ชวนท่านไม่ได้ให้ประวัติใครเพียงแต่เล่า ให้ฟังคร่าวๆเท่านั้น ถ้าจะเล่ากันจริงๆก็คงมีมาก คงจะใช้สมุดกันหลายเล่ม แต่สิ่งที่เราได้รู้ได้เห็นก็คือหลวงปู่ท่านเป็นพระอริยสงฆ์องค์หนึ่ง ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อีกทั้งท่านยังมีวิชาต่างๆมากมายล้วนแต่เป็นสรรพวิชาโบราณทั้งสิ้น ถ้าใครสนใจก็ลองไปขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน แต่ไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านจะรับหรือเปล่า เพราะเคยได้ยินว่า หลวงปู่ท่านจะดูคน ดูวาระจิต ดวงชะตาของคนที่จะมาเรียนเสียก่อน หากผ่านก็ร่ำเรียนได้ หลวงปู่เองท่านคงไม่ได้หวงวิชา แต่บุคคลที่จะปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ข้อบังคับเคล็ดลับของวิชาสมัยนี้มีน้อยนัก เพราะเวลาที่ท่านเรียนมานั้นก็ลำบากใช้เวลานานยิ่งนัก อีกทั้งวาระจิตที่ต้องควบคู่กับกรรมฐาน และอักขระศักดิ์สิทธิ์ให้มีความเข้มขลังได้จิตถึงขั้นเอกคตา โอกาสนี้ผู้เขียนใคร่ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านถ้ามีโอกาสก็ลองเดินทางมากราบ นมัสการหลวงปู่ชวน กตปุญโญ ด้วยตัวท่านเอง ณ เวลานี้ หลวงปู่ท่านมีโครงการที่จะสร้างเสนาสนะและสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและพุทธบริษัทอีกมากมาย สำหรับท่านที่ต้องการทำบุญก็ขอเรียนเชิญไว้ ณ โอกาสนี้ ได้บุญได้กุศลเพื่อจรรโลงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาสืบไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1093.JPG
      IMG_1093.JPG
      ขนาดไฟล์:
      976.9 KB
      เปิดดู:
      80
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2011
  4. TSKing

    TSKing Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +39
    ไปกราบนมัสการหลวงปู่บุดดามาครับ เลยนำรูปสรีระท่านมาลงครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1089.JPG
      IMG_1089.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      67
  5. TSKing

    TSKing Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +39
    หลวงปู่สาย เขมธมฺโม วัดป่าพรหมวิหาร อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู

    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่สาย เขมธมฺโม


    วัดป่าพรหมวิหาร
    ต.โนนเมือง อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู



    ๏ อัตโนประวัติ

    ในยุคปัจจุบัน หากเอ่ยนามพระสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีบารมีธรรมและเมตตาธรรมสูงของเมืองไทย ย่อมปรากฏนามพระอริยสงฆ์อยู่หลายรูปด้วยกัน อาทิเช่น หลวงปู่ท่อน ญาณธโร วัดศรีอภัยวัน อ.เมือง จ.เลย, หลวงพ่อสีทน กมโล วัดสิรินธรวราราม (วัดภูพร้าว) อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี, พระอาจารย์เสวก คุณสังวโร วัดป่าดอนยาง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ เป็นต้น

    รวมทั้ง พระอาจารย์ด้านวิปัสสนาธุระที่เลื่องชื่อแห่งเมืองหนองบัวลำภู “หลวงปู่สาย เขมธมฺโม” เจ้าอาวาสวัดป่าพรหมวิหาร บ้านภูศรีทอง ต.โนนเมือง อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู พระสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบในสายกัมมัฏฐานหลวงปู่มั่น ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระสงฆ์ที่ได้คุณธรรมชั้นสูง บำเพ็ญเพียรตั้งมั่นอยู่ในสมณธรรมอย่างเคร่งครัด มีวัตรปฏิบัติเรียบง่ายปฏิปทางดงาม เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ได้พบเห็นเป็นร่มโพธิ์ทองของบรรดาพุทธศาสนิกชน ย่อมเป็นที่รู้กันอย่างดียิ่งในหมู่สาธุชนชาวพุทธ

    หลวงปู่สาย เขมธมฺโม มีนามเดิมว่า สาย แสงมฤค เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2465 ตรงกับวันเสาร์ แรม 5 ค่ำ เดือน 9 ปีจอ ณ บ้านกุดน้ำใส ต.กุดน้ำใส อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ คุณพ่อทอก และคุณแม่เคน แสงมฤค

    ท่านได้เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนวัดบ้านนาชม ต.แสนสุข อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ก่อนลาออกมาช่วยครอบครัวประกอบสัมมาอาชีพ


    ๏ การอุปสมบทครั้งแรก

    ในช่วงวัยหนุ่ม ได้ย้ายถิ่นฐานจากบ้านเดิมที่จังหวัดร้อยเอ็ดไปอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี และได้สมรสกับนางปาน ผายม มีบุตรด้วยกัน 2 คน โดยท่านได้หาเลี้ยงครอบครัวด้วยการประกอบอาชีพทำนาและเลี้ยงปลาขาย เมื่ออายุได้ 48 ปี จึงได้หันเหเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ อันเนื่องมาจากท่านได้ป่วยเป็นโรคปวดศีรษะโดยไม่ทราบสาเหตุ

    ตอนแรก ท่านคิดว่าคงจะเป็นเพราะภูตผีเจ้าที่เจ้าทางมาทำให้ป่วย ตามความเชื่อของคนแถบนั้น จึงได้ทำเครื่องเซ่นไปไหว้ผีเจ้าที่เจ้าทาง แต่ปรากฏว่าอาการป่วยไม่ดีขึ้น จึงฉุกคิดว่าไม่ใช่การกระทำของภูตผีดังที่เข้าใจ ท่านคิดหาสาเหตุอื่นที่ทำให้ป่วย ดำริขึ้นมาได้ว่าครั้งหนึ่งเคยป่วยมาก่อน ครั้งนั้นได้เคยบนเอาไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะบวชแก้บน ต่อมาอาการป่วยหายไปเอง แต่ท่านยังไม่ได้บวช ทำให้ท่านคิดว่าอาจจะเป็นเพราะได้บนบานเอาไว้ แต่ไม่ยอมบวชแก้บน จึงทำให้ต้องกลับมาป่วยอีก เมื่อคิดได้ดังนี้ ท่านจึงตัดสินใจบวชแก้บน โดยเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดโยธานิมิต ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมีหลวงปู่อ่อนตา เขมงฺกโร เจ้าคณะอำเภอหนองวัวซอ (ในขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์

    ภายหลังเข้ารับการอุปสมบทแล้ว อาการป่วยของท่านก็ได้หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นการบวชเพื่อแก้บนก็ตาม ท่านก็หมั่นปฏิบัติภาวนาอยู่ไม่ขาด การบวชในครั้งนี้ ท่านครองเพศบรรพชิตอยู่ได้นานถึง 6 พรรษา ก่อนลาสิกขาออกมา สาเหตุเนื่องเพราะมีคนบอกว่าการบวชแก้บนจะต้องสึก ถ้าไม่สึกจะต้องมีอันเป็นไป เพื่อความสบายใจ ท่านจึงขอลาสิกขามาใช้ชีวิตเพศฆราวาส กลับไปอยู่กับครอบครัวเหมือนเดิม


    ๏ การอุปสมบทครั้งที่ 2

    หันกลับมาใช้ชีวิตในเพศฆราวาสได้ไม่นาน ต่อมานายสาย แสงมฤค เกิดความเบื่อหน่ายชีวิตทางโลก ตัดสินใจขอบวชอีกเป็นครั้งที่ 2 และนำเรื่องนี้ไปปรึกษาครอบครัวก่อน ซึ่งภรรยาและบุตรต่างยินดีไม่ขัดข้องในความประสงค์ของท่าน ท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ.2521 ณ พัทธสีมาวัดบุญญานุสรณ์ (วัดป่าหนองวัวซอ) ต.หนองวัวซอ อ.หนองวัวซอ จ.หนองบัวลำภู โดยมี พระครูประสิทธิ์คณานุการ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสุวรรโณปมคุณ เป็นพระกรรมวาจารย์ และ พระครูโสภณคณานุรักษ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “เขมธมฺโม” แปลว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม”
    ๏ ลำดับการจำพรรษา

    แม้ในการบวชครั้งที่ 2 ท่านจะมีอายุมากถึง 57 ปีแล้วก็ตาม แต่หลังจากบวช ท่านได้เข้าป่าเพื่อบำเพ็ญเพียรเพียงอย่างเดียว ในปีแรก ได้ไปพำนักจำพรรษาอยู่กับหลวงตาขนบ ณ วัดดอนอีใข อ.เมือง จ.อุดรธานี

    พรรษาที่ 2 ย้ายไปจำพรรษาที่วัดป่าศรีอุดม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี โดยมี หลวงปู่แสง ญาณวโร เป็นประธานสงฆ์ คอยให้คำแนะนำ ทำให้การปฏิบัติภาวนามีความรุดหน้า จิตสงบ ในพรรษานี้ ท่านได้มีโอกาสไปกราบเรียนธรรมปฏิบัติกับ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร ณ วัดป่าแก้วชุมพล ต.บ้านชุม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

    พระอาจารย์สิงห์ทอง ได้ให้อุบายธรรมเพื่อให้หลวงปู่ได้นำไปพิจารณาและแนะแนวทางในการปฏิบัติ กรรมฐาน เมื่อท่านได้รับความกระจ่างหมดปัญหาที่ติดขัด ก็ออกท่องปลีกวิเวกและธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศ และประเทศใกล้เคียง เพื่อค้นหาความจริงต่อไป

    ในบางครั้ง หลวงปู่สาย มีโอกาสได้เข้าไปพักอาศัยกับครูบาอาจารย์ เพื่อรับฟังโอวาทธรรม อาทิ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่คำดี ปภาโส, หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ ฯลฯ

    ในตอนที่หลวงปู่สายเข้าไปกราบหลวงปู่อ่อน ญาณสิรินั้น หลวงปู่อ่อนได้ทักขึ้นว่า “ผ่านเสียงได้แล้วนี่” สาเหตุที่หลวงปู่อ่อนทักเช่นนี้ คงเป็นเพราะหลวงปู่สายเดินจงกรมสู้กับเสียงที่เกิดจากเครื่องขยายที่ใช้ใน งานมหรสพ หลวงปู่สาย ปรารภว่า “เสียงก็อยู่ส่วนเสียง ไม่เข้ามากระทบจิตเลย ต่างคนต่างอยู่”

    นอกจากนี้ ท่านยังเป็นศิษย์องค์สำคัญของ “หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน” แห่งวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระสงฆ์ที่ได้คุณธรรมชั้นสูง หลวงปู่ท่านเป็นผู้ที่มีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่เคยตำหนิ หรือกล่าวร้ายผู้อื่นเลย


    ๏ สร้างวัดป่าพรหมวิหาร

    ในช่วงที่หลวงปู่สายปลีกวิเวกอยู่ที่ภูน้อย (ภูพนัง) เกิดฝนตกอย่างหนัก ชาวบ้านได้นำสังกะสีเก่าๆ มาทำที่พักชั่วคราวให้ท่านพอกันแดดฝนได้เท่านั้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวัดป่าพรหมวิหารขึ้นในปี พ.ศ.2524 และท่านก็ได้อยู่จำพรรษาที่แห่งวัดนี้จนถึงปัจจุบัน

    หลวงปู่สายตกลงใจปฏิบัติภาวนาอยู่ที่ภูน้อย (ภูพนัง) แห่งนี้ ในระยะแรกได้รับความยากลำบากอยู่เป็นอันมาก โดยเฉพาะในเรื่องน้ำ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับท่าน ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นเครื่องสนับสนุนในการปฏิบัติความเพียรเป็นอย่างดี

    แม้ท่านจะนั่งวิปัสสนากรรมฐานเพียงลำพังด้วยตัวเอง โดยไม่ได้อยู่กับครูบาอาจารย์ แต่ท่านมักจะมีธรรมมาเตือนอยู่เสมอ ไม่ว่าเกี่ยวกับธรรมหรือวินัย ประหนึ่งว่ามีครูบาอาจารย์คอยตักเตือนอยู่เสมอ ทำให้ท่านปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ซึ่งบางเรื่องไม่มีตำรา
    ๏ พระธรรมเทศนา

    • ผู้หนีชาติ ขาดภพ จบเกิด ประเสริฐแท้ ไม่เหมือน ผู้ลอยแพอยู่ในวัฏฏะ เวียนไป วนมา ไม่มีเวลาจบสิ้น

    • คำเขาด่า เขาว่าเสียดสีใดๆ มันไหลเข้าหูใด ให้ไหลออกหูนั้น ท่านจะไม่ทุกข์ใจ เมื่อไม่เก็บมันไว้ ถ่านไม่มีไฟ ความร้อนมันก็หาย

    • แก้ความไม่ดีใดๆ ให้แก้ที่ใจ อย่าไปแก้ข้างนอก เพราะความไม่ดีไม่ชอบมันอยู่ที่ใจ ต้องแก้ไขตรงนี้ จุดนี้สำคัญที่มันฝังอยู่

    • นักภาวนาอย่าปล่อยสติ ควบคุมมันไว้ให้อยู่กับปัจจุบัน อย่าปล่อยมันไปอดีต อนาคต อย่าพูดให้เสียคำ อย่าทำให้เสียชื่อ ตีนมือให้รักษา มารยาทจรรยาให้งามอยู่ตลอด

    • จิตร้อนให้ถอนด้วยธรรม ใจดำให้ซักฟอกด้วยศีล จะอยู่กินเป็นสุขใจ เมื่อถอนได้ ฟอกได้ อาหารเต็มตา ข้าวปลาเต็มถ้วยเต็มจาน ผู้รับประทานให้รู้จักประมาณ คือ การพอดี อย่าให้โลกตำหนินินทา เหมือนพราหมณ์ผัวนางอมิตตตากินจนท้องแตก

    • ผลไม้ก็มีผลดี ผลเน่า คนเราก็มีคนบุญ คนบาป มีทุกภาษาทุกชาติคนบาป คนบุญ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เขาเป็นธาตุ ๔ ไม่วันหน้าก็วันนี้ เขาจะแตกจะดับกลับไปตามเรื่อง เถียงไม่ขึ้น เขาจะเลือกคืนวันไหนก็ได้ ไม่ใช่ของเราเลย

    • เลิกยึดกายเสียบ้าง ปล่อยวางเสียที เขาเป็นธาตุ ๔ ไม่ใช่ตัวเรา เขาไม่เที่ยง เรื่องของเขา ให้เราปล่อยมือ อย่าถือให้หนัก เมื่อรู้จักความจริงว่ามันไม่เที่ยงตามเรื่องของสังขาร ไม่ยึดมันนั้นถูกทางแท้

    • นักชก ระวังหมัด นักปฏิบัติ ระวังกิเลส นักชกก็หมดยกสุดท้าย ความตายก็สุดท้ายของชีวิต คบคนชั่วทำไม นักปราชญ์มีถมไปทำไมจึงไม่คบ

    • กรรมดีกรรมชั่วมาจากตัวผู้เราทำ มาจากคำที่เราพูด อาหารใจคือธรรมพระศาสดา อาหารตาคือรูปที่ได้ดู อาหารหูคือเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้ง

    • ความอยากเป็นทุกข์ อยากน้อยทุกข์น้อย อยากมากทุกข์มาก ไม่อยากไม่ทุกข์ ผู้มีสุขคือผู้หมดความอยาก

    • จิตมืดบอดด้วยกิเลสตัณหา เพราะขาดแสงปัญญา มันจึงมืดบอด จึงนอนกอดทุกข์ ไม่ลุกไปไหน

    • ช้างเผือกมีกำลังแรงทำลายบ้าน ช้างสารมีกำลังแรงเต็มตัว ไม่เท่าแรงความชั่วของเราผลักดันให้เราหันตกไปในที่ต่ำ

    • แก้ตัณหากิเลสต้องแก้ที่ใจ แก้ที่อื่นไม่หาย แก้ที่ใจก็สิ้นเรื่อง มันตั้งบ้านตั้งเมืองมานานอยู่ที่นั้น ตัดกิเลสตัณหาให้ขาด ผู้ใดตัดไม่ขาด ผู้นั้นจะเป็นทาสของมัน หาวันจบไม่พบ

    • ตัวอยู่กับเรา เงามาจากตัว ความดีความชั่วมาจากตัวของเรา เหมือนกับเงามาจากตัวเราไม่มีผิด

    • ปากเขาอยากไปนิพพาน แต่เขาทำงานอยู่ในนรก อะไหล่รถไม่ดี เขายังเปลี่ยนได้ ใจเราคิดไม่ดี เปลี่ยนความคิดใหม่เสียที ความคิดที่ดีๆ กว่านี้มีถมไป

    • ก่อนไม้จะเป็นถ่าน เขาใช้ไฟเผา ก่อนความดีจะเกิดแก่เรา ต้องใช้ธรรมเผากิเลส โลภ โกรธ หลง หายหนี ความงามความดีก็ก้าวเข้ามา

    • บุญมาจาก กาย วาจา ใจ บาปใดๆ ก็มาจากที่นี่ ที่อื่นไม่มีทางมา กาย วาจา ใจ เป็นที่ไหลมาของเขา สุขอยู่ที่กายกับใจ ทุกข์ก็อยู่ที่กายกับใจ บ้านสองหลังนี้เป็นที่อยู่ของสุขและทุกข์

    • นายังไม่ถาง อย่าพึ่งทำทางเอาเกวียนมาขนข้าว ยังไม่รู้แจ้งธรรมของพระพุทธเจ้า อย่าว่าตัวสำเร็จธรรม

    • ดูชีดูพระ ให้ดูข้อวัตรปฏิบัติ ดูคฤหัสถ์ให้ดูการทำมาหากิน ผิดธรรมผิดศีลหรือไม่ ให้ดูที่นี่ ดูคนอย่าดูแต่ร่างกาย ดูหญิงดูชายให้ดูความประพฤติ

    • อย่าเชื่อคำโจร อย่าเชื่อคนพาล อย่าเชื่อการทำชั่ว ว่าตัวจะดี สามอย่างนี้จำไว้ เท่าวันสิ้นลมหายใจ ใครเชื่อใครทำจะนำพิษคิดให้ดี

    • คนชั่วอย่าร่วมงาน คนพาลอย่าเอาเป็นมิตร คนสุจริตมีถมไปคบทำไมคนชั่ว มันจะเสียตัวผู้คบ

    • อย่าพูด อย่าทำ สิ่งที่ไม่ควรทำ คำที่ไม่ควรพูด ละอายมนุษย์ผู้มีหู มีตา ผู้เขามีศีลธรรมพระศาสดา เขาจะหัวเราะ

    • ใจไม่คิด ปากไม่พูด ตัวไม่ทำ ความชั่วทรามไม่มีทางมา ใจคิด ปากพูด มือทำ ทำไม่ดีไม่งาม ความชั่วทรามไหลมาหาเราเลย

    • ภพน้อยเราก็คงจะไป ภพใหญ่เราก็คงจะมา เพราะอวิชชาบังใจเราไว้ จึงไม่มองเห็นชาติภพของคนจนเท่าวันนี้ ไม่รู้กี่ล้านภพ ไม่จบสักที

    • อย่าดีใจจนเกินไป อย่าเสียใจจนเกินไป อย่าร้อนใจจนเกินไป ให้อยู่ในความพอดีนี้สวยงามมาก ถูกหลักศีลธรรม

    • ว่าวลอยฟ้าอยู่ได้เพราะลม ศาสนาพระโคดมอยู่ได้เพราะเราไม่ปล่อยให้ศีลธรรมสูญหาย สัตว์เขาไม่ดื่มสุรา ผู้ชอบนักหนาคือมนุษย์ ไม่หยุดสักวัน ดื่มกันอยู่เช่นนั้น วันศีล วันพระ ไม่ละอีกด้วย จนๆ รวยๆ ดื่มได้ไม่เลือกคน

    • ผู้ทำความเพียรถึงสว่างคือผู้เดินทางไปพระนิพพาน ไม่มีการพัก พระกรรมฐานต้องอยู่กับความเพียร เหมือนดวงดาวดวงเดือนที่ลอยตัวอยู่บนฟ้า ความเพียรกล้าจึงจะเห็นธรรม

    • ผู้ทำความดีเต็มตัว ไม่เหมือนผู้ทำความชั่วเต็มใจ ผู้ทำความดีเต็มตัว ใครเห็นก็บูชา ผู้ทำความชั่วเต็มใจ ใครเล่าเขาจะบูชา เขาเกลียดน้ำหน้า ไม่ฆ่าก็ขังคุก

    • ดีเต็มตัวไม่เหมือนชั่วเต็มตน ดีเต็มตัวเขาว่าคนดี ไม่มีความชั่ว ชั่วเต็มตนเขาว่าคนทำชั่วไม่มีความดี ดีไปสุคติ ชั่วไปทุคติ เมื่อละโลกนี้ที่ไปของเขาและทั้งพวกเรา ผู้ทำดีชั่ว

    • โจรปล้นไม่เหมือนความเกียจคร้านปล้น โจรปล้นเรายังหาทรัพย์ได้ ความเกียจคร้านปล้น เท่าวันตายเราก็ไม่มีทรัพย์
    ๏ ปฏิปทาตามแบบอย่างครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะที่หลวงปู่นำมาเทศน์โปรดคณะศรัทธาญาติโยมนั้น เกิดจากธรรมที่ผุดขึ้นมาจากการฝึกฝนอบรมปฏิบัติทั้งสิ้น มิใช่ไปหาอ่านจากตำรามาเล่าสู่กันฟัง มีลักษณะเป็นคำกลอน มีทั้งสำนวนไทยอีสานและสำนวนไทยกลาง มีความคล้องจองและมองเห็นธรรมะอย่างแจ่มชัดแบบง่ายๆ ให้สาธุชนได้รู้จิตของตนเอง เพื่อจะได้บังคับกายและวาจาให้ทำดี มีความสงบสุขร่มเย็น ดังคำกลอนที่ว่า “หมากัดหมาไม่เหมือนหมากัดคน หมากัดคนไม่เหมือนคนกัดคน คนกัดคนหมาไม่สนใจด้วย หมาก็ไม่ช่วยเพราะไม่ใช่เรื่องของหมา”

    นอกจากนี้ ท่านยังมีธรรมะสุภาษิตที่เทศนาบรรยายออกมาอย่างคล่องปาก แม้ท่านจะไม่เคยเรียนการแต่งกลอนมาจากที่ใด แต่ท่านสามารถเทศน์สอนคนได้คล่องมาก เท่าที่คณะศิษยานุศิษย์รวบรวมเอาไว้สามารถพิมพ์เป็นหนังสือได้เป็นเล่ม

    สิ่งหนึ่งที่ท่านยึดมั่นและยกขึ้นมาสอนลูกศิษย์ให้ระลึกถึงคำสอนของพระศาสดา คือประโยคที่ว่า “ใครจะเป็นผู้วิเศษเหนือพระพุทธเจ้า จะมีใครเล่าอยู่เหนือโลกทั้งสาม เหนือพระศาสดาจารย์ไปอีก ไม่มีในโลกนี้หรือโลกไหนไม่มีแล้ว เหนือแก้วพุทธะหาไม่มีเลย”

    นอกจากนี้หลวงปู่สายเคยให้คติธรรมนำไปขบคิดในการดำเนินชีวิตว่า “ของจริง ไม่เหมือนของปลอมฉันใด ทองจริงก็ย่อมไม่เหมือนทองปลอมฉันนั้น”

    หลวงปู่ท่านเป็นผู้มีเมตตาธรรมสูงมาก แม้แต่การกราบเรียนถามปัญหาธรรมทางโทรศัพท์ผ่านพระอุปัฏฐาก หลวงปู่ก็เมตตาตอบให้

    นับตั้งแต่หลวงปู่สายมาอยู่พำนักจำพรรษาที่ภูน้อย (ภูพนัง) แห่งนี้ จวบจนกระทั่งสร้างขึ้นเป็น “วัดป่าพรหมวิหาร” ในทุกวันนี้ หลวงปู่ยังไม่เคยได้ย้ายไปจำพรรษาที่ใดอีกเลย ปัจจุบัน หลวงปู่สาย สิริอายุได้ 85 พรรษา 29 (เมื่อปี พ.ศ.2550) แม้วัยจะล่วงเข้าสู่ไม้ใกล้ฝั่ง แต่ท่านก็ยังสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้เป็นปกติ

    ทั้งนี้ ปฏิปทาของหลวงปู่สายยังปฏิบัติตามแบบอย่างที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต นำพาดำเนินไป สำหรับธุดงควัตรที่หลวงปู่ยึดถืออย่างเคร่งครัด คือ บิณฑบาตเป็นวัตร, บริโภคอาสนะเดียวเป็นวัตร และฉันภาชนะเดียวเป็นวัตร ส่วนธุดงควัตรข้ออื่นๆ นั้น ล้วนปฏิบัติตามกาลอันสมควร ถือได้ว่าหลวงปู่เป็นพระดีที่ควรค่าแก่การกราบไหว้ได้สนิทใจโดยแท้


    ๏ การสร้างวัตถุมงคล

    สำหรับเรื่องวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังนั้น หลวงปู่สายได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า ความดีอยู่ที่กาย วาจา โดยมีจิตเป็นผู้กำหนดควบคุม เพราะต้นเหตุอยู่ที่การกระทำ กายทำดี วาจาทำดี เพราะจิตสั่งให้ทำดี วัตถุมงคลหรืออะไรต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ดี คนที่เคารพก็บูชาสิ่งที่ดี ฉะนั้น การบูชาก็ต้องขึ้นอยู่กับกายและวาจา ที่มีจิตที่ดีกำกับอยู่ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว หลวงปู่สายจึงมิได้มีความประสงค์ในการจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นแต่อย่างใด แต่ด้วยความเมตตาของท่าน เมื่อมีลูกศิษย์ลูกหามาขออนุญาตหลวงปู่จัดสร้าง ท่านก็มิได้ขัดข้องแต่ประการใด

    วัตถุมงคลที่โดดเด่น มีอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น คือ เหรียญหลวงปู่สาย รุ่นหยดน้ำ พ.ศ.2536, เหรียญโล่หลวงปู่สาย พ.ศ.2548 และเหรียญรูปไข่หลวงปู่สาย รุ่นสร้างเจดีย์ พ.ศ.2549 ท่านจึงเป็นทั้งพระเกจิและพระวิปัสสนาจารย์ที่เป็นสายธารธรรมแห่งหนอง บัวลำภูโดยแท้


    ๏ สร้างบูรพาจารย์เจดีย์ (เขมธัมมเจดีย์)

    วัดป่าพรหมวิหารได้ก่อสร้าง บูรพาจารย์เจดีย์ (เขมธัมมเจดีย์) ขึ้นบริเวณหน้าวัด (ตรงข้ามกับสถานีตำรวจภูธรโนนเมือง ถนนเส้นศรีบุญเรือง-โนนสัง) เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งรูปเหมือนของหลวงปู่สาย เขมธมฺโม และพระบูรพาจารย์ โดยมีพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ยกยอดเจดีย์ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2550

    ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2549 ซึ่งหลวงปู่สายมีอายุครบ 84 ปีนั้น คณะศิษยานุศิษย์ได้พร้อมใจกันจัดงานบุญมหากุศล และเททองหล่อรูปเหมือนขนาดเท่าองค์จริงขององค์หลวงปู่ แบบนั่ง 1 องค์ และแบบยืน 1 องค์ เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ บูรพาจารย์เจดีย์ (เขมธัมมเจดีย์) วัดป่าพรหมวิหาร

    นอกจากนี้แล้ว ทางวัดป่าพรหมวิหารยังมีโครงการอื่นๆ อีก กล่าวคือ ในปี พ.ศ.2548 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงรับ “โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำวัดป่าพรหมวิหาร” ความจุ 112,000 ตารางเมตร ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และได้รับจัดสรรงบประมาณดำเนินการขุดลอกอ่างเก็บน้ำเมื่อปี พ.ศ.2551 จำนวน 2,478,000 บาท โดยกรมชลประทานดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2551

    ท่านเมตตามากๆครับ ตอนนี้ท่านกำลังหาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับ โรงพยาบาลโนนสังอยู่ ใครอยากร่วมทำบุญโอนไปให้ท่านเลยก็ได้นะครับ หรือจะแวะไปหาท่านก็ได้ ส่วนผมก็จะเรี่ยไรกันในหมู่ญาติธรรมแล้วจะนำปัจจัยไปถวายท่านอีกรอบตอนต้นเดือนหน้าครับ
    รูปแรกลงรูปตอนหลวงปู่เมตตาอธิษฐานจิตครับ รูปที่สองเป็นรูปปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ครับถ่ายร่วม 10-20 ปีก่อนนี้รายละเอียดให้ถามพระที่วัดท่านนะครับ ผมจำได้แค่ว่าเค้าถ่ายรูปพระกับญาติโยมที่กำลังสร้างกุฏิให้หลวงปู่อยู่ ส่วนหลวงปู่ไปเร่งภาวนาอยู่ที่อื่น แต่พอล้างรูปออกมาพบว่ามีเงาที่ชัดเจนว่าเป็นหลวงปู่อยู่ในรูปภาพนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0697.jpg
      IMG_0697.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      45
    • IMG_0700.jpg
      IMG_0700.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      68
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2011
  6. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    มวลสาร

    ฟอสซิลหอยอายุ 7000 ปี โดยประมาณการ

    กลายเป็นของกายสิทธิ์ไปแล้ว ได้มาเป็นมวลสารเกือบ 10 กิโลกรัม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC02917.JPG
      DSC02917.JPG
      ขนาดไฟล์:
      212.1 KB
      เปิดดู:
      55
  7. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    พรุ่งนี้ผมจะไปจัดการงานเรื่องพุทธาภิเษก เกี่ยวกับการเตรียมสถานที่นะครับ
    นี่คือ จุดหมายปลายทางของการเดินทางสองปีกว่า กับวัตถุมงคลเพียง 2 ชุด

    ความล้ำค่า ผมบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรไม่ไหว

    จับตาดูว่าหมดช่วงโปรโมชันเป็นอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2011
  8. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    วัตถุมงคลชุดนี้รอนานมั๊ยครับ ? สำรวจหน่อยว่า คนที่จองยังเข้ามาดูกระทู้นี้อยู่มั๊ย หรือลืมไปนานแล้ว
    ใครเข้ามาดูส่งเสียงท่านหน่อยนะครับ..........................
     
  9. supachaipnu

    supachaipnu ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,476
    ค่าพลัง:
    +7,307
    It is not long but longest ever.
    Good news is the longer,the better.
    Many thanks for great work and dedication to make this a historic event.
    Sathu!
     
  10. w.สุรพล

    w.สุรพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,216
    ค่าพลัง:
    +4,544
    ตามอ่านตลอดครับ....................................................
     
  11. pei

    pei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    778
    ค่าพลัง:
    +2,853
    ติดตามอ่านอยู่ทุกวันครับ
     
  12. ก ฯลฯ ฮ

    ก ฯลฯ ฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    856
    ค่าพลัง:
    +1,172
    สองปีแห่งการรอ ใกล้สำเร็จแล้ว
    ยินดีกับท่านที่ได้เป็นเจ้าของ ล็อคเกตประวัติศาสตร์ด้วยครับ
    ส่วนคุณหมอก็สุดยอดจริงๆ ผมแค่ตามอ่านก็เหนื่อยแล้ว
     
  13. KRITA

    KRITA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    2,061
    ค่าพลัง:
    +7,264
    ติดตามตลอดครับน้อง ยังเสียดายที่จองไว้องค์เดียว ท่านใดแบ่งได้สักองค์
    บอกด้วยนะครับ.....
     
  14. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    สัปดาห์หน้า ที่ผมเคยแจกไปเรื่องน้ำมันหลวงปู่สรวงอีกกระทู้นึง เดี๋ยวจะมีมาแจกกระทู้นี้ด้วยนะครับ ดูก่อนว่าหลวงปู่ข้าวแห้งท่านจะเสกให้ด้วยมั๊ย วันอาทิตย์นี้รู้กัน.......
    ช่วงนี้ผมไม่ได้เข้ามา เท่าไหร่ เพราะกำลังเขียนวิจารณ์บทวิจัยอยู่ เลยยุ่งมากๆ แต่อาจจะได้สีผึ้งรุ่นแรกหลวงปู่พิศดู มาเป็นมวลสารอีกเยอะพอสมควร อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2011
  15. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการแจกนะครับ


    แต่มีเจ้าของแล้ว พอดีคุณ Fedor โทรมาคุยกับผมว่า อยากจะบริจาคพระเครื่องที่สะสมมาประมูลเพื่อช่วยเหลือเรื่องจัดพิธีพุทธาภิเษก แต่ตอนแรกผมไม่ได้รับพระไว้ คุณ Fedor ก็คิดตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าผมจะไม่รับ แต่ในที่สุดคุยไปคุยมา ผมก็รับครับ และจะเขาร่วมประมูลด้วย ผมเลยอยากตอบแทนน้ำใจด้วยวัตถุมงคลเล็กๆน้อยๆสักชิ้นครับ เห็นว่าอยากได้ด้านโชคลาภ

    พระองค์นี้เจ้าของเก่าได้รับจากมือขององค์หลวงปู่พิศดู ผมได้นำไปให้หลวงปู่เปรี่ยม ท่านจารหลังองค์พระให้ และขอเมตตาท่านอัดเดี่ยว ด้านเมตตาเป็นพิเศษ
    ประวัติของพระชุดนี้

    ..........................................................................................

    ประวัติ ขอบคุณกระทู้ของคุณทุเรียนทอด

    พระผงปัจเจกโพธิ์ (โปรดสัตว์) รุ่นสมปราถนา

    [​IMG] [​IMG]

    พระ ชุดนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2552 โดยคณะศิษย์ท่านครูบากฤษดา โดยได้มีผู้ร่วมบริจาคมวลสารเพื่อใช้สร้างอย่างมากมายคับคั่งมากๆ ทั้งนี้สำเร็จได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกัน เจตนาการสร้างก็สำเร็จเต็มร้อยครับ ตอนที่นำพระไปถวายองค์หลวงปู่พิศดู ท่านได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วย และยังสั่งให้ยกไปวางไว้ที่บนหัวเตียงนอนของท่าน โดยก็บอกว่า "นี่ของดี พระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์"
    โดย รูปแบบ พิมพ์ทรงสี่เหลี่ยม องค์พระจำลองมาจากรูปหล่อองค์พระปัจเจกโพธิเก่าแก่ ของวัดสันพระเจ้าแดง จ.ลำพูน ประทับนั่งอยู่ในซุ้มประตูทรงคล้ายเสมามีข้อความพิเศษว่า "สติ" ส่วนอักขระตัวเมืองด้านล่างสุดบริเวณฐาน อ่านว่า พระปัจเจกโพธิพระชุดนี้สร้างออกมาหลายวรรณะ(สี)ด้วยกัน แต่สีเขียวเป็นสีเฉพาะขององค์หลวงปู่เอง สร้างทั้งหมด ประมาณ 3,000 องค์
    สาเหตุ หลักที่สร้างเป็นพระปัจเจกโพธินั้น ความหมายอีกนัยหนึ่งก็คือ ภูมิธรรมขององค์หลวงปู่พิศดูนั้น ท่านปราถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามาแต่เดิม คล้ายกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล จวบจนบารมีธรรมของท่านเต็มที่ และเห็นว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ นำมาซึ่งความทุกข์ทั้งปวง จึงเกิดความเบื่อหน่ายในชาติภพ จึงได้ถอนความปราถนาพระปัจเจกฯสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้
    พระ ผงปัจเจกโพธิรุ่นนี้ยิ่งได้พระอรหันต์พิเศษผู้มีความปราถนาซึ่งพระปัจเจก ภูมิเดิมเป็นผู้อธิษฐานจิตด้วยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายสรรพคุณให้มากนัก พระรุ่นนี้ครูบาอาจารย์บอกว่า..ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยังไม่เสกแล้ว เพราะเจตนาดี มวลสารก็ดี ท่านจึงตั้งชื่อรุ่นให้ว่า " รุ่น สมปราถนา " เรียก ได้ว่าเหมือนดั่งได้มหาบารมีธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยะปัจเจกภูมิ อัดพลังครอบลงไปแบบเต็มๆ นับว่าตรงสายอย่างที่สุด...

    สำหรับ พระผงปัจเจกโพธิ์นี้จัดว่าเป็นสิ่งมงคลวัตถุที่ดีมาก เป็นของสูง ตั้งแต่ท่านแจกออกไป ก็ได้สร้างประสบการณ์ เรื่องโชคลาภซึ่งมีมากมายในหมู่ลูกศิษย์โดยเฉพาะทางแถบ จ.ระยอง-กรุงเทพฯ แต่บางคนได้มาแรกๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากเอาใส่ไว้ในลิ้นชักเฉยๆ แต่ต่อมาต้องเอามาเลี่ยมอย่างดี ไว้ห้อยประจำคอเลยครับ เพราะไปเจอดีเข้านั่นเอง
    พระชุดนี้ข้างนอก ยังเล่นหากันในราคาไม่สูงนัก และยังพอหามาบูชาได้ไม่ยากเกิน ใครพบก็รีบคว้าเอาไว้ก่อนที่จะกลายเป็นตำนานไปอีกรุ่นนะครับ

    การ บูชาพระผงปัจเจกโพธิ์นั้น สามารถบูชาควบคู่กับคาถาพระปัจเจกโพธิของหลวงปู่ปาน หรือคาถาเงินล้านของหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เลย โดยควรจะบูชา 3,5,7,9 จบ ตามแต่ถนัด แต่ควรจะให้สม่ำเสมอไม่ลดลง ถ้าจะให้ได้ผลดียิ่งๆขึ้นควรบูชาพระทุกเช้า ค่ำ และทำบุญตักบาตรเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มพูนโภคทรัพย์สมบัติ โชคลาภ อำนาจวาสนา อยู่เย็นเป็นสุขยิ่งๆขึ้นไป ด้วยมหาบารมีธรรมของพระปัจเจกโพธิ ที่เลิศทั้งในทางลาภ และทางฤทธิ์เป็นอเนกอนันต์..

    คาถาพระปัจเจกโพธิ (ของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค)
    (ตั้งนะโม 3 จบ)

    พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ
    วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย
    พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สะวาโหม


    คาถาเงินล้าน (ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    (ตั้งนะโม3 จบ)

    สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
    พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ


    (ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด )


    ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง



    ประสบการณ์พระผงปัจเจกโพธิ์

    เมื่อคราวที่ผู้สร้างพระผงปัจเจกโพธิได้นำพระมาถวายองค์หลวงปู่ ท่านจึงสั่งให้โยมอุปัฏฐากเอาไปวางไว้บนหัวเตียงของท่าน และยังบอกอีกว่า " นี่ของดี พระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ " พระชุดนี้อยู่กับองค์หลวงปู่เพียงวันเดียวท่านก็เริ่มแจกให้กับผู้ที่มาทำ บุญกับท่าน แต่มีสามีภรรยาอยู่คู่หนึ่งเป็นคน จ.ระยอง ได้มาทำบุญกับองค์หลวงปู่ ท่านก็เลยแจกพระผงชุดนี้ให้ไป 2 องค์ ด้วยความที่อาจเห็นรูปแบบเนื้อหาธรรมดาก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ประกอบกับไม่รู้ว่าเป็นพระอะไร พอกลับบ้านไปก็เอาไปใส่ไว้ในลิ้นชักอย่างไม่คิดอะไร พอผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน พอดีที่ศาลเจ้าพ่อแปะกงได้มีพิธีประทับทรง ทั้งสองสามีภรรยาคู่นั้นจึงไปร่วมงานพิธีดังกล่าว เทพเจ้าแปะกงองค์นี้เป็นที่นับถือของชาวระยองมาก ตั้งอยู่ที่บ้านเพ ซึ่งการประทับทรงแต่ละครั้งนั้นได้มีผู้พิสูจน์มาแล้วว่าเป็นของจริง เวลาจะมีเหตุร้ายหรือว่าเรื่องสำคัญอะไร เทพเจ้าแปะกงก็จะลงประทับเสมอ แล้วก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่นับถือเข้าไถ่ถามความเดือดร้อนในบางเรื่องได้ ท่านจึงเป็นที่พึ่งทางเลือกของชาวระยอง แม้แต่ผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดก็ยังมักแวะมากราบและบนบานต่อเทพเจ้าองค์นี้ อยู่เสมอ ซึ่งส่วนมากก็จะได้ผลจึงเชื่อกันอย่างหนักแน่นว่า เทพเจ้าที่ศาลนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก
    พอเทพเจ้าแปะกงลงประทับร่าง ท่านก็ได้พูดและสั่งสอนในเรื่องต่างๆจนท่านหันมาหาสามีภรรยาคู่นี้แล้วก็พูดทักขึ้นมาว่า.... " ลื้อ สองคนรู้ไหมว่า มีคนพยายามจะปีนบ้านลื้อหลายครั้งเวลาที่พวกลื้อออกไปข้างนอก มันมาเฝ้าดูเกือบเดือนแล้ว อั๊วเนี่ยก็แอบดูเห็นมันมาเกือบทุกวันเลย บางครั้งมันยังฉี่ใส่กำแพงบ้านด้วย แต่พอเวลาจะปีนมันก็ปีนไม่ได้ เพราะว่ามันเห็นว่ามีแสงสว่างออกจากบ้านลื้อทุกครั้ง มันคิดว่าที่บ้านมีคนอยู่ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าที่บ้านลื้อนั่นน่ะมีของดีนะ พระผงองค์สี่เหลี่ยม สีเขียวๆ(พระผงปัจเจกโพธิ)ที่ พวกลื้อเพิ่งได้มาเมื่อเดือนก่อนนั่นแหละ แต่พวกลื้อกลับไม่สนใจเอาไปวางไว้ไม่เห็นคุณค่า รู้ไหมว่านั่นศักดิ์สิทธิ์มากเลยนะ อาจารย์ของลื้อน่ะท่านสุดยอดแล้ว ท่านสูงมาก เห็นท่านนอนอยู่บนเตียงเฉยๆน่ะ แต่จริงๆท่านไม่ได้นอนหลับนะ ท่านตามดูลูกศิษย์ของท่านตลอด ตัวท่านผอมๆบางทีท่านก็เสียงดังแต่ใจท่านไม่มีอะไรแล้ว มีแต่เมตตาล้วนๆ อั๊วเองยังไปกราบท่านที่วัดทุกวันเลยลื้อรู้ไหม???? พระที่ท่านให้มานั่นแหละเอามาบูชาดีๆนะ "

    ก็ น่าคิดนะครับ ทั้งๆที่ร่างประทับนั้นก็เป็นคนใต้ และไม่เคยมากราบและรู้เรื่องราวขององค์หลวงปู่มาก่อนเลย แต่ทำไมถึงทายทักได้แม่ยำขนาดนี้ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าสองสามีภรรยาคู่นั้นได้พระสี่เหลี่ยมองค์เขียวๆมาด้วย 2 องค์ ทั้งๆที่ไม่เคยบอกใครเรื่องพระที่ได้มานี้เลย หนำซ้ำผู้ที่เป็นร่างประทับนั้นยังทำเลียนแบบท่านอนขององค์หลวงปู่ให้ดูได้ อีกด้วย จึงต้องนำพระผงปัจเจกโพธินั้นมาเลี่ยมใส่เลยครับ และก็ยิ่งมีความศรัทธาในองค์หลวงปู่มากยิ่งขึ้นไปด้วย เวลาที่ศาลเจ้ามีประทับทรง ทั้งสองคนก็จะไปหาและจะถามไถ่ต่อเทพเจ้าแปะกง ถึงองค์หลวงปู่ทุกครั้ง ด้วยความที่เป็นห่วงธาตุขันธ์ขององค์ท่าน และคำตอบที่ได้มาก็ล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่น่าพิศวงและชวนให้ศรัทธาในองค์ หลวงปู่ทุกครั้ง เช่นท่านบอกว่า..
    " ไม่ต้องห่วงท่านหรอก หลวง ปู่ท่านเหนือทุกอย่างหมดแล้ว อย่างท่านจะไปเมื่อไหร่ก็ไปได้ ไม่ว่าใคร หรือเทพเจ้าองค์ใดก็ไม่มีทางทำอะไรท่านได้เลย ทุกอย่างหลวงปู่ท่านกำหนดเองหมด"

    " หลวงปู่ท่านสุดยอดมากรู้ไหม ให้พวกลื้อไปทำบุญกับท่านบ่อยๆนะ ท่านสูงมากๆ "

    " ท่านเป็นพระใหญ่นะ..ใหญ่มาก พวกลื้อนี่โชคดีมากที่ได้พบท่าน ท่านตามดูพวกลื้อและลูกศิษย์ของท่านตลอด วันๆท่านไม่เคยว่างเลย "

    " เทพ-พรหม ชั้นสูงๆชอบมากราบท่านกัน และรักษาท่านตลอด "

    " พวกลื้อนี่ไม่รู้เรื่องจริงๆ ทำไมตอนท่านอยู่ถึงไม่ขอเปลี่ยน(แลก)จีวรของท่านมา จีวรที่ท่านใส่นั่นแหละสุดยอดที่สุดเลยนะ "

    " ถ้าหลวงปู่ท่านจะไปจริงๆ ท่านจะไปสูงมาก สูงจนมองไม่เห็นที่อยู่ท่านเลย เขาเรียกว่านิพพาน "
    ................ฯลฯ...

    นั่น ก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ได้นำมาเล่า เพื่อพอเป็นแนวทางให้ได้ศึกษากันครับ เรื่องทั้งหมดที่เล่ามาและทุกเรื่องๆที่เกี่ยวกับองค์หลวงปู่ที่ได้นำมา แสดงบนกระดานนี้ ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้นครับ ไม่ได้แต่ง เติม หรือว่าเขียนขึ้นมาเอง แต่จะอย่างไรก็ขอให้ทุกท่านโปรดใช้วิจจาณญาณอีกสักครั้ง
    ทุกอย่างที่ทำเป็นการเผยแพร่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ เพื่อน้อมถวายเป็นอาจาริยะบูชาครับ สาธุ


    ส่งที่อยู่มาให้ผมด้วยนะครับ ลูกศิษย์ว่าเด่นด้านโชคลาภมาก(ผมไม่เคยใช้เหมือนกัน) ถ้าว่างๆจะให้หลวงปู่คำบุชักยันต์เกี่ยวกับโชคลาภในอากาศให้อีกที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC02924.JPG
      DSC02924.JPG
      ขนาดไฟล์:
      140.6 KB
      เปิดดู:
      58
    • DSC02925.JPG
      DSC02925.JPG
      ขนาดไฟล์:
      131.1 KB
      เปิดดู:
      54
  16. COFFEEMAX

    COFFEEMAX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,320
    ค่าพลัง:
    +9,085
    เข้ามาติดตามอ่านตลอดครับ ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้ร่วมบุญจองล็อกเก็ตพระแก้วมรกตชุดนี้
     
  17. chatchai_/\_

    chatchai_/\_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +1,104
    ผมก็ติดตามอ่านตลอดนะและส่งกำลังใจให้อยู่เหมือนเดิมครับ แต่เสียดายที่จองชุดฉากทองที่มีจำนวนน้อยไม่ทันแต่ยินดีกับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญกันครับ _/\_
     
  18. supatach

    supatach เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,638
    ค่าพลัง:
    +6,666
    ติดตาม อ่านกระทู้ อยู่เสมอครับ คุณหมอ
     
  19. somchai_aut

    somchai_aut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +137
    ผมก็ติดตามอ่านกระทู้อยู่ตลอดเวลาครับ
     
  20. นิโรธสมาบัติ

    นิโรธสมาบัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +2,562
    ติดตามอ่านตลอดทุกวันครับผม

    เป็ฯกำลังใจให้นะครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...