หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,384
    [​IMG]
    สวยงามครับ...:cool:

    แนะนำให้ถ่ายนอกบ้าน...ภาพจะออกมาสดแบบนี้ครับ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  2. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    ขอบคุณพี่ชายมากครับสำหรับเทคนิค(k)
     
  3. โพธิญาน

    โพธิญาน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +4
    พระธาตุหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    พระธาตุของหลวงตาชุดนี้ ผู้เขียนได้ติดตามถ่ายภาพหลังจากหลวงตาละขันธ์(มรณภาพ)แล้ว โดยไม่คาดคิดว่าพระธาตุของท่านจะมีลักษณะหลากหลายโดยเกิดได้จากส่วนต่าง ๆ ของธาตุขันธ์(ร่างกาย)ได้หลายประเภท เห็นว่าน่าสนใจมาก จึงได้นำมาลงให้ชม
    [​IMG]
    พระธาตุจากอัฐิธาตุ(กระดูก)ของหลวงตามหาบัว ถ้าดูด้วยตาจะไม่เห็นความเป็นประกายจนกระทั่งถ้าได้รับแสงจากแดดหรือไฟฉาย ก็จะเห็นความเป็นประกายระยิบระยับ จากภาพได้ถ่ายโดยใช้กล้องกับเลนส์มาโคร(เลนส์ขยาย) เพื่อให้ได้เห็นประกายแสงชัดเจนขึ้น ซึ่งจากที่พบเห็น อัฐิทุกชิ้นจะมีประกายแต่บางชิ้นมีมากน้อยแตกต่างกันไป​
    [​IMG]
    พระธาตุจากอัฐิเถ้าอังคารหลวงตามหาบัว พระธาตุชุดนี้ผู้เขียนดูด้วยตาเปล่าจะไม่เห็นความสวยงามชัดเจนนักเช่นกัน เนื่องจากพระธาตุมีขนาดเล็ก เห็นความเป็นมันเงากับแสงประกายสีทอง แต่เมื่อถ่ายโดยใช้กล้องกับเลนส์ขยายจะพบว่ามีหลายรูปพรรณสันฐานที่สวยงามชัดเจนขึ้น โดยด้านล่างมีพระธาตุที่มีรูปพรรณส้ณฐานที่แปลกคือมีสีคล้ายทองคำ​
    [​IMG]
    เมื่อผู้เขียนใช้เลนส์ขยายพระธาตุดังกล่าวก็พบว่ามีรูปร่างคล้ายพระธาตุทั่วไปแต่ผิวพรรณวรรณะมีลักษณะคล้ายทองคำ ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจเพราะไม่เคยพบเห็นจากที่ใด จึงได้ไปค้นคว้าพระธาตุของครูบาอาจารย์ต่าง ๆ แต่ก็ไม่พบภาพพระธาตุเป็นเหมือนทองคำลักษณะเช่นเดียวกับหลวงตานี้ ต่อมาผู้เขียนได้ร่วมจัดทำปฏิทินพระธาตุซึ่งต้องคัดกัณฑ์เทศน์ของหลวงตามาลง และได้พบในกัณฑ์เทศน์ที่กล่าวถึงพระธาตุสีทองจากเทศน์ของหลวงตา ท่านได้กล่าวไว้ในเทศน์เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๘ เรื่อง "เข้าสมาธิภาวนาระงับขันธ์"
    "พระที่เพชรน้ำหนึ่งสำเร็จมาจากภาคเหนือน้อยเมื่อไร หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่มั่น ออกจากภาคเหนือทั้งนั้นนะ
    เพราะป่าเขาลำเนาไพรเป็นที่สะดวกสบายส่งเสริมได้เป็นอย่างดี
    นอกนั้นจะเป็นองค์ไหนบ้าง ที่ทราบชัด ๆ ก็คือหลวงปู่ตื้อ นี่เพชรน้ำหนึ่งทั้งนั้นที่ว่าเหล่านี้
    หลวงปู่ตื้อนี้อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ โอ๋ย เหลืองอร่ามคล้ายกับทองคำนะ เราไปดูเอง
    นั่นละพระท่านผู้หาอรรถหาธรรม ท่านจะไปหาที่เหมาะสม สถานที่เหมาะสมในการบำเพ็ญธรรมก็คือในป่าในเขาที่สงบงบเงียบ นั่นเป็นที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญธรรม หลวงปู่ฝั้นนี้นุ่มนวล เหมือนช้างเดินลงทุ่งนา ท่านอาจารย์ฝั้นกิริยาอาการของท่านนุ่มนวล สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ไปอีกแบบหนึ่งที่ไม่มีใครเหมือน"
    หลวงตาท่านพูดถึงพระธาตุของครูบาอาจารย์องค์ต่าง ๆ แล้วเน้นลงมาถึงสถานที่ปฏิบัติธรรมอันเป็นที่เกิดพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งตรงกับในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่ภิกษุในการปฏิบัติภาวนาให้พิจารณา ขน ผม เล็บฟัน หนัง และให้พระอุปัชฌาย์บอกสอนแก่ภิกษุใหม่ดังนี้ "นั้นป่าเขา นั้นโคนไม้ นั้นเรือนว่าง อันเป็นที่สงบสงัด จงบำเพ็ญอยู่เช่นนั้นจนตลอดชีวิตเทอญ"
    [​IMG]
    อัฐิหลวงตามหาบัวแปรเป็นพระธาตุ ที่ผ่านมาพระธาตุที่ผู้เขียนได้นมัสการก็จะมีการแปรลักษณะเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้วโดยไม่เหลือร่องรอยของชิ้นส่วนเดิมของร่างกาย(เช่นกระดูก) แต่พระธาตุองค์นี้เป็นลักษณะที่ผู้เขียนต้องการพบเห็นมากที่สุด เนื่องจากส่วนหนึ่งยังเป็นอัฐิ(กระดูก) อีกส่วนใสเป็นพระธาตุสีเขียวมรกตมีสัณฐานกลมสวยงามมาก
    ซึ่งจากที่พิจารณาดูอัฐิชิ้นนี้ไม่ใหญ่นัก หากมองด้วยตาเปล่าในที่แสงสว่างไม่มากก็จะมองไม่เห็นความโปร่งแสงของสีมรกตชัดเจน ลักษณะทั่วไปก็เหมือนอัฐิธรรมดา แต่เมื่อมองผ่านแสงไฟฉายหรือผ่านไฟแฟลชจะเห็นตรงส่วนที่โค้งกลมมีลักษณะใสเหมือนลูกแก้วสีมรกตสวยงามมาก ซึ่งทำให้ผู้เขียนหายสงสัยในเรื่องพระธาตุโดยสิ้นเชิงว่าเกิดมาจากอัฐิ(กระดูก)ได้จริง ๆ ​
    [​IMG]
    ทันตธาตุ(ฟัน)หลวงตามหาบัว เป็นฟันซึ่ที่หลุดออกระหว่างท่านพักรักษาตัวอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดและได้มอบให้พระเก็บไว้ ซึ่งมีลักษณะเป็นมันเงาเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังภาพ​
    [​IMG]
    พระบุพโพ-โลหิตของหลวงตา(น้ำเหลือง-เลือด) พระธาตุนี้มาจากก้อนสำลีที่ทำแผลหลวงตา ซึ่งมีคราบน้ำเหลืองและเลือดติดอยู่ ซึ่งทางหมอที่ทำแผลถวายหลวงตาปกติก็จะทิ้งลงถุงดำ แต่มีผู้ขอนำไปเก็บไว้ ต่อมาได้แห้งและเกิดเป็นประกายสีเหลืองสวยงาม จึงได้แกะออกจากสำลีพบมีสัณฐานกลมสีเหลืองซึ่งคาดว่ามาจากน้ำเหลืองขององค์ท่าน ส่วนผลึกสีแดงชมพูคาดว่ามาจากน้ำเลือดที่แต่เดิมติดอยู่กับสำลี​
    [​IMG]
    พระบุพโพ-โลหิตของหลวงตา ชุดเดิม แต่ถ่ายโดยใช้ไฟแฟลช จะเห็นความโปร่งแสงของพระธาตุ​
    [​IMG]
    พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง) เป็นภาพพระธาตุที่ผู้เขียนได้มาจากหนังสือพิมพ์ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากภาพมิได้บ่งอบอกลักษณะของพระธาตุแต่อย่างใด แต่ในเนื้อข่าวได้ลงไว้ว่าเป็นพระธาตุซึ่งทำให้ผู้เขียนสงสัยและไม่แน่ใจ​
    [​IMG]
    ต่อมา ผู้เขียนได้ไปตามสืบหาผู้เก็บรักษา และได้พบจึงขออนุญาตถ่ายรูป (กว่าจะตามพบและได้ถ่ายก็ในต้นเดือนสิงหาคม 2554 ​
    [​IMG]
    พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง) นี้ เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะไม่เห็นความแปลกพิเศษแต่อย่างใด แต่เมื่อใช้แสงไฟฉายแรงสูงส่อง ก็จะเห็นประกายเล็ก ๆ ระยิบระยับมากมาย ดูสวยงามมาก​
    [​IMG]
    พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง)ของหลวงตามหาบัว ต่อมาผู้เขียนลองใช้เลนส์พิเศษถ่ายขยายดูเนื้อพระธาตุนี้ ก็พบว่าเป็นลักษณะคล้ายไข่ปลาขนาดเล็กมาก มีทั้งสีเหลืองอ่อน เหลืองเข้ม และสีขาว มากมาย ซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้​
    [​IMG]
    ภาพขยาย
    [​IMG]
    พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง) จากผะอบเดียวกัน แต่มีสีเหลืองเข้ม
    [​IMG]
    พระธาตุจากข้าวก้นบาตรหลวงตามหาบัว สังเกตุดูด้วยตาเห็นว่าไม่เน่าเปื่อย เมื่อถ่ายภาพโดยใช้เลนส์ขยายจะมีลักษณะเป็นประกายเล็ก ๆ ระยิบระยับดังภาพ​
    [​IMG]
    พระธาตุข้าวก้นบาตรหลวงตามหาบัว
    [​IMG]
    เกศาหลวงตามหาบัว(ผม) มีบางส่วนที่มีลักษณะคล้ายผลึกเล็ก ๆ ใส ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของพระธาตุ เห็นได้ด้วยตาเปล่า
    [​IMG]
    ภาพขยายพระธาตุจากเกศาหลวงตามหาบัว มีลักษณะใส รวมทั้งเส้นเกศาด้วย
    [​IMG]
    พระธาตุจากเกศาหลวงตามหาบัว มีลักษณะสวยงามมาก
    ยังมีภาพพระธาตุหลวงตาอีก แต่จะขออนุญาตนำมาลงในวันหน้า​
     
  4. manopk

    manopk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +61
    สวัสดียามเย็นครับพี่ๆ
    หนีแม่บ้านไปธุดงค์กับพ่อแม่ครูอาจารย์ซะหลายวันกลับมาแม่บ้านงอนใหญ่เลย ปีใหม่นี้คงจะพาแม่บ้านไปปฏิบัติธรรมด้วย
    ปีที่แล้วพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านนำปฏิบัติธรรมข้ามปี (ท่านบอกว่าเคาต์เดือน)ปีนี้ก็น่าจะได้ปฏิบัติธรรมข้ามปีเหมือนกันผมจะพาแม่บ้านผมไปด้วยหวังว่าจะได้ปฏิบัติธรรมร่วมกับพี่ๆนะครับ(พาคุณแม่บ้านของพี่ๆไปด้วยนะครับ)
    ขอให้เจริญในธรรม
    มานพ
     
  5. manopk

    manopk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +61
    สวัสดีครับ
    ถ้ามีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆกับพ่อแม่ครูอาจารย์จะดีมากเลยครับ ธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านให้กับเรานั้นไม่ใช่เฉพาะตอนที่ท่านนั่งแสดงธรรมเพียงอย่างเดียวท่านให้ตลอดเวลาในทุกคำพูดในทุกการแสดงออกมาทางกายล้วน
    มีเหตุมีผลและมีธรรม ผมจะยกตัวอย่างให้ได้อ่านกันสักเรื่องหนึ่ง

    เมื่อตอนที่คณะเดินทางไปเขาเขียวได้ไปดูเสือโดยนั่งรถที่ทางสวนสัตว์จัดไว้ให้ผ่านไประยะหนึ่งรถจอดให้เข้าไปดูเสือพัก 15 นาที คณะก็เดินดูเสือไปเรื่อยๆจนก่อนจะไปดูเสือขาวพ่อแม่ครูอาจารย์ถามผมว่า

    พ่อแม่ครูอาจารย์ ..."โยมเก๋เห็นเสือใหม่"
    ผม... "เห็นครับ" (น้อมไปในธรรมที่ท่านแสดงมาเมื่อเช้า)
    (ท่านใช้คำถามทั่วๆไปซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าทุกคนในคณะที่เดินทางไปนั้นได้เห็นเสือและได้ถ่ายภาพกันไว้แล้ว)
    เมื่อเดินไปถึงที่พักเสือขาว
    พ่อแม่ครูอาจารย์ ..."เสือมันไม่ตามใจเราเลย""เราอยากให้มันทำอะไรมันก็ไม่ยอมทำตาม"
    (ผมได้น้อมไปในธรรมที่ท่านแสดงมาเมื่อเช้ายิ่งชัดเจนเลย)
    พอตกเย็นมาพ่อแม่ครูอาจารย์ได้บอกกับผมว่า..."รู้แล้วใช่ไหม" (ผมอาจจะเอามาผูกเรื่องและคิดเอาเองครับ)

    ธรรมที่ยกตัวอย่างมานั้นเปรียบเที่ยบกันธรรมที่ท่านแสดงเมื่อตอนเช้า
    เสือก็เปรียบเหมือนขันธ์5นั่นเองซึ่งก็ทำตามหน้าที่ของขันธ์ตามปกติของมันไม่ได้ตามใจเรา
    นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้นหากได้ใกล้ชิดพ่อแม่ครูอาจารย์มากกว่านี้จะสังเกตุได้ว่าท่านแสดงธรรมสั่งสอนเราไม่ได้เฉพาะตอนที่ท่านนั่งแสดงธรรมเท่านั้น
    (ทำให้มีความรู้สึกอิจฉาเล็กๆให้กับผู้ที่อยู่ใกล้ได้ฟังธรรมจากท่าน)

    เล้าสู่กันฟังเป็นนิทานธรรมก็แล้วกันครับ
    ขอให้เจริญในธรรม
    มานพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2011
  6. manopk

    manopk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +61
    สวัสดีครับ 555 ยังมีอีกเรื่อง
    ตอนเย็นที่บ้านท่านดร.นนต์คุณโกศลได้เรียนถามธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นคำถามเดียวกันกับที่ผมได้เรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์แล้วที่บ้านสวนสันติธรรมและพ่อแม่ครูอาจารย์ก็เมตตาแสดงธรรมให้ฟังเหมือนกันเลย
    ทำให้เข้าใจได้ว่าการจะละกามารมณ์ทั้งหลายเป็นเรื่องยากจริงๆ
    เมื่อนำมาพิจารณาแล้วทำให้เกิดคำถามที่ว่าถึงเป็นเรื่องยากอย่างไรก็ต้องมีวิธี
    ตอนเช้าตอนเข้าไปกราบท่านพร้อมกับพี่สันติและท่านดร.นนต์ในห้องพระก็ตั้งใจว่าจะเรียนถามท่าน
    แต่พอย้อนนึกไปถึงธรรมะสากลที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เมตตาแสดงเมื่อคืนก่อนนั้นทำให้ได้คำตอบทันที่หายสงสัยเลยธรรมะที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เมตตาแสดงออกมานั้นเป็นธรรมะสากลโดยแท้เลยไม่ได้ใช้แก้ปัญหาของพี่สาวคนนั้นเพียงอย่างเดียวแต่สามารถแก้ได้ทุกปัญหาในโลกเลยก็ว่าได้
    "เมื่อพิจารณาให้เห็นโทษอยู่เสมอๆ...เราก็จะสามารถละออกได้เองโดยอัตโนมัติ"
    นำมาพิจารณาแล้วทำให้หายสงสัยแต่เราจะสามารถทำใด้หรือไม่คงขึ้นอยู่กับกำลังใจที่เข้มแข็งและความพากเพียรเปรียบเสมือนดั่งปฐวีธาตุ
    "จิตใจเข้มแข็งหนักแน่นดังหินและสว่างไสว"
    ขอให้เจริญในธรรมครับ
    มานพ
     
  7. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,384
    โมทนาสาธุครับมานพ...
     
  8. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +975
    ธรรมนิมิต

    เรียนทุกท่าน
    ตอนแรกผมคิดจะไม่เผยแพร่ "ธรรมนิมิต" ออกสู่สาธารณชนบนเว็บบอร์ดนี้ แต่พอมาอ่านเจอข้อความของคุณมานพ (เก๋) ดังข้างต้น ทำให้ผมต้องเปลี่ยนใจนำเอาเรื่องเล่านิมิตที่เกิดขึ้นเมื่อวาน และเคยส่งไปให้นักรบธรรมบางท่านอ่านเป็นการภายใน ซึ่งผมเล็งเห็นว่า แม้มันจะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงในนิมิตนั้นก็ตาม แต่สิ่งที่น่าจะเกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนนั้นก็คือ การนำเอานิมิตนั้นมาเป็นอุบายธรรมให้เราพิจารณาต่อไป เรื่องเล่าต่อไปนี้ แม้ข้อความทั้งหมดอาจไม่ถูกต้องทุกอย่างตามในนิมิต(จำไม่ได้ทั้งหมด) แต่เนื้อหาหลักยังถูกต้องและพอเป็นแนวเรื่องได้ จึงขอให้ทุกท่านลองพิจารณาเอาเองนะครับ

    เมื่อคืนตอนตีสามถึงตีสามสิบนาที เป็นวันพระใหญ่แรม 14 ค่ำ เดือน 11 (26 ตค. 2554) ผมได้นิมิตเห็นคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรน่าจะครบทั้งห้าพระองค์ ผมจำได้แม่นยำสี่พระองค์คือ พระโสณเถระ พระอุตรเถระ ขรัวขี้เถ้า พระอิเกสโร ส่วนอีกองค์จำหน้าไม่ได้ เพราะท่านหันหลังให้ ท่านได้มาแสดงปริศนา(สอน)ธรรมให้กับผม องค์แรกเรียกให้ผมไปเอาคำหมากเมื่อเข้าไปใกล้ท่านกลับหายตัวไป เหลือเห็นเนินดินเป็นขี้เถ้า พร้อมกับเหลือคำหมากกองโตคล้ายขี้ช้าง มีทั้งเก่าและใหม่ ต่อมาผมเรียกหาท่านกลับเห็นพระอีกองค์เดินหันหลังให้ ผมจึงเดินตามไปอย่างรวดเร็วจนไปถึงกุฏิหลังเล็กๆในป่าแล้วท่านก็หายไป ผมเดินอ้อมกุฏิไปทางด้านข้างกลับพบพระรับใช้รูปหนึ่งท่านพาไปด้านหน้ากุฏิ แล้วมีพระรูปหนึ่งผมจำได้ว่าเป็นพระโสณเถระเจ้า ท่านถามผมประโยคหนึ่งและผมก็ตอบท่านไปแต่จำไม่ได้ (ประมาณว่าอยากรู้อะไร) แต่ที่จำได้คือ ท่านได้โยนพระรูปหนึ่งลงจากกุฏิมาที่ผม ผมจึงรับไว้ ปรากฏหน้าคล้ายกับพระอุตระเถระเจ้า หน้าตานิ่งเฉยร่างกายเหมือนกำลังจะเน่า พระโสณเถระถามว่า จะพิจารณาอย่างไร ผมตอบไปว่า พิจารณาอสุภะข้าน้อย(ขอรับ) ท่านตอบว่า "จงพิจารณาอวิชชานะ" ผมตอบท่านว่า "พิจารณาอวิชชาข้าน้อย(ขอรับ)" ต่อมาผมเห็นสตรีท่านหนึ่งนั่งอยู่ข้างเรือเก่าข้างกุฏิพยายามให้ผมดูข้างในเรือ ผมเห็นคำภีร์เก่าๆวางอยู่บนเรือ เสมือนให้ผมรู้ว่า เรือนั้นเปรียบเสมือนพาหนะบรรทุกพระธรรม(พระไตรปิฎก) เมื่อเรานั่งเรือ(ศึกษาพระธรรม)ไปถึงฝั่งแล้ว ไม่มีใครแบกเรือไปด้วย พระธรรมก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเข้าใจแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแบกพระธรรมนั้นไปด้วย เพราะพระธรรมเป็นของโลก เราก็คืนไว้กับโลกนั่นเอง ซึ่งพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ท่านบอกว่า ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว ดวงจิตดับแล้ว ท่านไม่เอาอะไรไปอีกแล้ว ท่านทิ้งไว้แต่คุณธรรมให้แก่โลก และเมื่อถึงวาระหนึ่งคุณธรรมนั้นก็เงียบหายไป(อนิจจัง) ไม่มีผู้ใดจดจำได้อีก เฉกเช่นพระอรหันต์หรือแม้แต่กระทั่งพระพุทธเจ้าในยุคต้นที่นับแสนๆพระองค์ที่พวกเราไม่ทราบพระนามของท่านนั่นเอง (อนึ่ง ขณะที่ผมกำลังพิจารณาเรือและคำภีร์เก่าอยู่นั้น ภายในจิตของผมก็รำพึงรำพันออกมาพร้อมๆกันกับสตรีนางนั้นว่า ยังมีพระแบบนี้อยู่อีกหรือ รำพึงรำพันออกมาด้วยความเคารพนอบน้อมและด้วยความปีตินั่นเอง)


    ผมขอขยายความจากอุบายธรรมข้อนี้คือ เมื่อผมโน้มไปถึงคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ขณะอยู่ในช่วงธรรมสัญจรที่จันทบุรี ท่านชี้ให้เห็นว่า ธรรมทั้งหลายมีมาก พระพุทธเจ้านำมาเพียงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ย่อลงมาอีกเหลือมรรคมีองค์แปด ย่อลงมาอีกเหลือ ทาน ศีล สมาธิ ย่อลงมาอีกเหลือกายกับจิต สุดท้ายแม้แต่จิตก็ไม่เหลือ จึงเข้าสู่สภาวะสุญญตานั่นเอง ผู้ที่ปฏิบัติจนละเอียดเข้าสู่การละวางจิตได้จึงมีแต่พระอรหันต์ขึ้นไปเท่านั้น นั่นจึงแสดงว่า พระผู้พ้นแล้วไม่มีใครเอาพระธรรมไปด้วยนั่นเอง

    หลังจากนั้น ผมได้เดินวนไปอีกที่หนึ่งได้พบกับพระหนุ่มรูปหนึ่ง ท่านพาผมเดินไปหาพระรูปหนึ่งหน้าเหมือนกับพระอิเกสโรเถระเจ้า แล้วพระหนุ่มองค์ที่พาผมไปพูดขึ้นว่า เออยังหนุ่มและเอาจริงเช่นเดียวกับกระผม(ตัวท่าน)เมื่อตอนเป็นหนุ่มเมื่อสองร้อยกว่าปี พระที่เหมือนพระอิเกสโรหันมามองแล้วก็พูดว่า เออยังหนุ่มและเอาจริงเดี๋ยวจะสงเคราะห์ แล้วท่านบอกให้ผมไปยังบริเวณใต้น้ำตก หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกตัวขึ้นมาเนื่องจากจิตและกายเกิดปีติซาบซ่านสั่นไปทั้งตัว ผมจึงต้องลุกขึ้นมาเดินจงกรมและนั่งสมาธิตอนตีสามสิบนาทีทันที จนถึงตีห้า ผมจึงพยายามนำมาเป็นอุบายในการพิจารณาธรรมตามที่ท่านเมตตาลงมาสอน

    อย่างไรก็ตาม ก่อนจะนิมิตเห็นคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ผมได้นิมิตเห็นผู้หญิงเปลือยในหลายลักษณะ และรู้ในจิตว่ากำลังถูกทดสอบ ขณะเดียวกัน ก็เกิดภาพให้เห็นแม่ พี่สาวสองคน และน้องสาวของผมอีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นการนิมิตที่ต่อเนื่องมาถึงคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรแบบรวดเดียว การนิมิตเห็นภาพแม่พี่และน้องสาว จึงเป็นนัยสอนให้ผมพิจารณาหากเกิดกามราคะ ก็ขอให้พิจารณาว่า ผู้หญิงก็เป็นเพศแม่และเป็นเช่นเดียวกันกับพี่สาวและน้องสาวของเรานั่นแหละ มันเป็นอุบายธรรมให้เราคลายกำหนัดได้อีกวิธีหนึ่งนอกจากสุภะและอสุภะ ซึ่งในช่วงเวลานี้ ผมกำลังต่อสู้อยู่กับกามราคะแบบจะหักดิบเสียให้ได้ ทั้งที่ความจริงผมไม่เคยได้ยุ่งเรื่องนี้มานานนับปีๆแล้ว แต่มันมักจะโผล่ขึ้นมาทดสอบอยู่เรื่อยๆ ข้อนี้จึงน่าจะเป็นแนวทางให้กับทุกท่านได้

    อนึ่ง ความจริง ผมไม่ค่อยฝันหรือนิมิตใดๆเลย นานๆถึงจะมีนิมิตสักครั้ง และสิ่งต่างๆมักจะเกิดขึ้นในวันพระหรือวันโกนแรม 14 ค่ำ ซึ่งมันตรงกับวันเกิดของผมที่เกิดวันโกนแรม 14 ค่ำ และเมื่อนิมิตก็จะรู้ว่าคือนิมิต เพราะเรื่องราวจะตรงกับนิมิตแทบทุกครั้ง(ที่ผ่านมา) เรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมเพียงแต่อยากให้ทุกท่านเป็นพยานในสิ่งที่ผมได้นิมิต เผื่อวันข้างหน้าอาจเกิดประโยชน์ต่อนักภาวนา ผมจึงตัดสินใจนำมาเล่าสู่กันฟัง แม้สิ่งที่นิมิตจะจริงหรือไม่จริงก็ช่าง แต่สิ่งที่ผมได้จากนิมิตคือ อุบายธรรมที่ผมจะได้นำมาพิจารณาให้เห็นอวิชชาตามที่พระเบื้องบนได้เมตตาสอนมา

    หนทางของผมยังอีกยาวไกล สิ่งใดจะสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้ ก็จงพิจารณาเอาเองนะครับ
    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    27 ตุลาคม 2554
     
  9. ซึ้งบน

    ซึ้งบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +377
    พ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าฯ ชื่อ พ.สุรเตโช ข้าฯขอตั้งจิตอธิษฐาน ไม่ว่าจะเกิดหรือดับอีกกี่ภพกี่ชาติ จะขอกราบเป็นศิษย์ของท่านและจักเดินตามรอยบาทของท่าน ทุกภพทุกชาติ ตราบจนกระทั่งถึงซึ่งความหลุดพ้นทั้งหลายทั้งปวงจากกิเลส เหตุแห่งทุกข์
    ธรรมที่ท่านเมตตาสั่งสอน ให้แก่ลูกศิษย์ของท่านทุกคนคือการใช้ปัญญาเป็นหลัก เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะดับทุกข์ได้ ส่วนสมาธิเป็นเรื่องรองลงมา สมาธินั้นเปรียบเสมือนชานบ้าน เป็นเพียงที่พักกายพักใจเท่านั้นแต่ดับทุกข์ไม่ได้
    ท่านพูดเสมอว่า นักมวยที่ซ้อมกระสอบทรายจนชำนาญ มันเป็นการชกฝ่ายเดียวยังไม่เจอของจริง เหมือนการนั่งหลับตาทำสมาธิ พอจิตสงบก็ลืมทุกข์แต่ไม่ใช่การดับทุกข์ พอออกจากสมาธิก็เกิดทุกข์ได้อีก ทุกข์แท้ๆจะดับได้ด้วยปัญญาเห็นจริงเท่านั้น
    การแสดงธรรมของท่าน จะสั่งสอนศิษย์แต่ละคนตามวาระจิต ซึ่งมีความแตกต่างกันไปท่านไม่เคยเบื่อหน่ายในการสั่งสอนลูกศิษย์ของท่าน แม้ว่าจักต้องแสดงธรรมสักกี่ครั้งก็ตามท่านก็มีความเมตตาอยู่เสมอ อย่างตัวของผมท่านเมตตาสั่งสอนในการละจากอารมฌ์ต่างๆที่ได้เข้ามากระทบ ในชีวิตประจำวันว่าให้พิจารณาดูว่า เมื่อมีความโกรธ ความกังวล ความหงุดหงิด ฯลฯ เข้ามากระทบในใจของตัวเอง ก็ให้พิจารณาว่าอารมฌ์เหล่านั้นมันไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับ มันเป็นอนัตตา คือเราควบคุมไม่ได้ เราสั่งมันไม่ได้ ความโกรธ ความโลภ ความหลง มันเปรียบเสมือนเปลวไฟถ้าเราไปจับมัน เราก็ร้อน ถ้าเรารับรู้ว่ามันร้อน เราจะไปจับมันทำไม เราก็วางมันเสียอย่าไปยึดมั่นถือมั่น มันจักเกิดขึ้นอีกเป็นล้านครั้ง เราก็รู้เท่าทันแล้วละวางมันเสีย ใจเราก็จะสบาย ให้เราหัดพิจารณาธรรมอย่างนี้บ่อยๆก็จะมีความชำนาญขึ้น เป็นการละกิเลสออกจากตัวเราทีละน้อยๆ ขัดเกลาจิตใจเราให้เบา ให้สบาย ให้มีความสงบ
    ดังนั้น ทุกข์หรือความดับทุกข์ที่แท้จริงนั้น มันต้องทำที่ใจภายในของตนนี่แหละ เพราะมันเกิดขึ้นจากใจตนเองเท่านั้น
     
  10. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,384
    โมทนาสาธุครับ...คุณสันติ (ซึ้งบน)
    อวิชชา...หลุมพลางของผู้กำลังศึกษาแลปฏิบัติจริงๆ
     
  11. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    สาธุกับการตั้งจิตอธิษฐานครับ พวกเราก็คิดอย่างที่ทุกคนครับ(k)
     
  12. Jokky

    Jokky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +154
    โมทนาสาธุๆครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +975
    ถ้อยแถลงจาก ดร.นนต์ (ฉบับที่ 1)

    โปรดระวัง

    วิชชาจิตรู้ พระเบื้องบนนั้นเที่ยง
    แต่ตัวเรา(ผู้ถามจิต) นั้นไม่เที่ยง

    จงอย่านำไปเป็นมาตรฐานหรือรับรองในทุกกรณี หรืออย่านำไปถามในสิ่งที่เกินวิสสัยของเรา (เพราะเรายังเป็นแค่นักปฏิบัติที่ยังอยู่ในขั้นธรรมดาหรือยังเป็นสามัญบุคคลอยู่) และขอให้รู้ว่า วิชชาจิตรู้นี้ มิสามารถเข้าไปล่วงเกินหรือรู้เห็นวิสสัยของพระอริยเจ้าหรือผู้ที่อยู่เหนือโลกได้เป็นอันขาด เพราะวิชชาจิตรู้ เป็นแต่เพียงเราถามในจิต โดยอาศัยผู้อื่นเป็นผู้ตอบ (จริงหรือไม่ก็ไม่รู้) บางครั้งจิตเราอาจอุปทานตอบเองก็ได้ ดังนั้นมันจึงไม่เที่ยง จิตอุปทานจะตอบว่า เราเองหรือผู้อื่นนั้น ได้เข้าสู่ภูมิธรรมในระดับอริยบุคคลแล้ว ในระดับนั้น ระดับนี้ ทั้งที่ความจริงนั้น การที่บุคคลจะเข้าสู่อริยบุคคลตั้งแต่ระดับโสดาบันจนถึงอรหันต์นั้น เป็นเรื่องยากมากๆๆๆ เมื่อเข้าถึงแล้วโลกธาตุจะสั่นไหว ผู้ที่อยู่ในระดับอริยบุคคลแล้ว แม้จะอยู่ตรงไหน ก็รับรู้ร่วมกันได้ว่า มีอริยบุคคลเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น วิชชาจิตรู้จึงไม่สามารถนำมาถามภูมิธรรมของอริยบุคคลได้ ขอพึงโปรดระมัดระวัง เพราะจิตมารจะเข้ามาแทรก ทำให้เราหลงได้ (วิปัสสนูกิเลส)

    ส่วนพระอริยเจ้าที่รู้แจ้งด้วยญาณทัศนะของท่านเองนั้น จึงแจ่มแจ้งและแน่นอนกว่าวิชชาจิตรู้นี้ จึงขอให้ผู้ที่มีจิตรู้นี้ พึงระวังในความผิดพลาดจากจิตของเราเอง ซึ่งอาจจะทำให้เราก้าวเข้าไปล่วงเกินพระอริยเจ้าได้โดยไม่รู้ตัว และอาจทำให้เราก้าวไปสู่อบายภูมิได้จากอาการหลงในจิตรู้นั้น

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    27 ตุลาคม 2554
     
  14. Jokky

    Jokky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +154
    โมทนาสาธุๆครับ ธรรมข้อนี้ตรงใจมากๆครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +975
    ถ้อยแถลงจาก ดร.นนต์ (ฉบับที่ 2)

    เหตุแห่งถ้อยแถลงที่ออกมาจากหัวจิตหัวใจของผมในครั้งนี้ เป็นการยอมรับสารภาพในความหลง "อวิชชา" โดยเฉพาะเกิดจากอาการ "จิตรู้" ที่เราเออออเองหรือเกิดจากอาการผสมโรงกับพยานรับรู้ร่วมกันของท่านอื่นๆ ซึ่งความจริงมันอาจมีทั้งจริงหรือไม่จริงก็ได้ หรืออาจเกิดจากอุปทานก็ได้


    อวิชชา ตัวนี้กระมัง ที่ทำให้พ่อแม่ครูอาจารย์ต้องเหน็ดเหนื่อยเดินทางมาโปรดพวกเราถึงที่ โอ้หนอ...ตัวอวิชชานี้ มันช่างเหลือร้ายจริงหนอ มันเนียนจริงหนอ มันนุ่มนวลจริงหนอ มันเกาะกุมจิตใจของเราได้รวดเร็วจริงหนอ จิตของมารมันเสแสร้งเป็นจิตพุทธะมันเป็นอย่างนี้หนอ อาการวิปัสสนูกิเลสมันเป็นอย่างนี้หนอ

    โอ้หนอ...อวิชชาตัวนี้ นอกจากมันจะพาเราลงนรกแล้ว มันยังจะพาผู้เดินตามและหมู่พวกของเราเดินหลงทางไปด้วยหนอ มันช่างเหลือร้ายจริงๆ


    บุญของเราและเหล่านักรบธรรมยังมี จึงทำให้ได้รับความเมตตาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ได้มาโปรดให้พวกเราหลุดพ้นจากอาการหลงต่างๆได้ทันเวลา แม้จะยังไม่เกลี้ยงเกลาก็ตาม คงต้องใช้เวลาพอสมควร นี่คือผลจากการแสวงธรรมในวาระธรรมสัญจรครั้งที่ 1 ธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้สั่งสอนตลอดเวลาและตลอดเส้นทางในครั้งนี้ แม้ท่านไม่ได้บอกตรงๆ แต่อาการรับรู้และอาการสำนึกของผมหรือท่านอื่นๆได้บังเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ผมจะมิได้เอ่ยปากขึ้นมาก็ตาม แต่พ่อแม่ครูอาจารย์หรือคุณแม่ชมก็คงรับรู้ พ่อแม่ครูอาจารย์พยายามเน้นตัว "อวิชชา" ท่านเน้นว่า ผู้หลงผิดนั้นแก้ง่าย แต่ผู้ที่หลงถูกนั้นแก้ยาก โอ้หนอ ตัวเรากำลังหลงถูก หลงถูก หลงถูก ตายแล้ว...เรากำลังหลงถูก... ความสำนึกนี้จึงได้บังเกิดขึ้น และด้วยเหตุจากการสำนึกผิดนี้กระมัง ที่ทำให้คณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรได้เสด็จมาโปรดผมในนิมิตเกี่ยวกับการพิจารณา "อวิชชา" เมื่อวันพระแรม 14 ค่ำที่ผ่านมา


    พ่อแม่ครูอาจารย์สอนว่า การพูดหรือการแสดงออกมาจากหัวจิตหัวใจ คือการพูดความจริงทั้งที่ถูกและผิด ทั้งที่เป็นความจริงและไม่จริง ออกมาทั้งกาย วาจา และใจ จึงจะได้พบกับความจริง ถ้อยแถลงของผมในครั้งนี้ จึงออกมาจากหัวจิตหัวใจ ไม่ละอายต่อผู้ใดทั้งสิ้น ขอเหล่านักรบธรรมโปรดพิจารณาและน้อมรับการขออภัยจากผมด้วยนะครับ


    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    27 ตุลาคม 2554
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2011
  16. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +975
    ถ้อยแถลงจาก ดร.นนต์ (ฉบับที่ 3)

    กิเลสซ้อนกิเลส คือ อวิชชา
    อัตตาซ้อนอัตตา คือ อวิชชา
    รู้ซ้อนรู้ คือ อวิชชา

    วิชชา คืออะไร
    อวิชชา คืออะไร
    ใครเป็นผู้รู้อวิชชา
    สิ่งใดจะพาให้พ้นอวิชชา

    วิปัสสนาและปัญญาญาณเท่านั้น ที่จะพาให้หลุดพ้นจากอวิชชาได้ โดยอาศัยกำลังจากสมถะสมาธิเป็นกองหนุน ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งจากทางโลกทิพย์และโลกปัจจุบันเป็นผู้สั่งสอน และต้องเป็นผู้ที่รู้จริง เป็นของจริงเท่านั้น จึงจะทำให้เราหลุดพ้นจากอวิชชาได้ บัดนี้ ความจริง ของจริง ผมและเหล่านักรบธรรมได้ค้นพบแล้ว คือ พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโชเจ้า ผู้มาโปรดโลกในช่วงกึ่งกลางพระพุทธศาสนานี้ สิ่งใดที่ผมพอจะตอบแทนบุญคุณของท่านได้ก็คือ ความพยายามที่จะถ่ายทอดธรรมที่ท่านได้แสดงออกมาในวาระต่างๆให้ถูกต้องมากที่สุด พร้อมกับการปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของท่านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    โชคยังดี ที่ผมยังไม่ได้ล่วงเกินผู้ใดเลย นอกจากล่วงเกินภายในจิตของตัวเอง และไม่มีอาการเสียใจ ดีใจ หรือน้อยใจในสิ่งที่ผ่านมา เพราะเข้าใจในสภาวะของการปฏิบัติธรรม หากเราไม่หลงแล้วจะไปเข้าใจไปรู้อาการหลงนั้นได้อย่างไร จะไปแนะนำคนอื่นได้อย่างไร จะละวางได้อย่างไร มันเป็นอาการของการสำนึกในธรรมที่สมควรต้องแสดงออกมาจากใจ ขอเหล่านักรบธรรมอย่าได้กังวลในอากัปกริยาของผมนะครับ

    ดังนั้น ถ้อยแถลงฉบับนี้ จึงเรียนให้ทุกท่านทราบว่า สิ่งใด คำพูดใด ข้อเขียนใด การกระทำใดๆ ของผมในอดีต หากเป็นประโยชน์ผมก็ขออนุโมทนา แต่หากสิ่งใดไม่เกิดประโยชน์หรือทำให้ท่านลุ่มหลงตาม ก็จงตัดมันออกไปเสีย สิ่งที่จะบังเกิดขึ้นในกาลข้างหน้า ผมจะพยายามกระทำให้เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธองค์และพ่อแม่ครูอาจารย์ให้มากที่สุด ผมจะแยกระหว่างความเห็น ประสบการณ์ และความจริงจากคำสอนให้ชัดเจน จะได้ไม่สับสน แต่มิได้หมายความว่า จะทำให้ทุกคนเกร็งจนไม่กล้าเขียนข้อความใดๆออกมานะครับ ขอให้เป็นไปตามปรกติ ในความคิด ความเห็นของเราก็แสดงได้เต็มที่เหมือนเดิม แต่หากเป็นคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์เราค่อยระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมนะครับ

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    27 ตุลาคม 2554
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2011
  17. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    คงเป็นสิ่งที่ให้เราเรียนรู้ครับ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ครับ ยังให้ความเคารพเหมือนเดิมทุกประการครับ(k)
     
  18. kanamukrop69

    kanamukrop69 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +41
    ขออนุญาติ สอบถาม
    สำนักปฏิบัติธรรมภูดานไห อยู่ที่ไหนครับ
     
  19. ซึ้งบน

    ซึ้งบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +377
    เพียงแค่ 1 นาทีก็เป็นอดีตไปแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านสอนเราให้อยู่ กับชั่วขณะจิตหนึ่งคือปัจจุบันครับ ยังไงท่านดร.นนต์ก็เป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มนักรบธรรม ที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือเหมือนเดิมครับ พวกเราทุกคนต้องการให้ท่าน ดร.นนต์เป็นผู้นำ เป็นกำลังหลักในการที่จะช่วยพ่อแม่ครูอาจารย์ สร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดภูดานไห ครับผม

    ขอน้อมนำคำสั่งสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ เพื่อจักเป็นกำลังใจให้กับลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกๆท่านครับ (รวมทั้งผมด้วย)

    จิตที่ยึดติดกับอดีตเป็นทุกข์ เพราะแก้ไขไม่ได้
    จิตที่ยึดติดกับอนาคตเป็นทุกข์ เพราะยังมาไม่ถึง
    จิตที่รู้อยู่กับปัจจุบัน ที่เกิดขึ้นแล้ว
    ไม่ยึดติดเท่านั้น ที่จะไม่ทุกข์
     
  20. Indhus

    Indhus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +113
    ตั้งอยู่ในเขต อบต.กุดหว้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ทางเข้าวัดตั้งอยู่บนเส้นทางกุฉินารายณ์-มุกดาหาร ทางหลวงหมายเลข 2042

    พิกัดบน Google Earth

    16องศา13ลิปดา10.20ฟิลิปดาเหนือ
    104องศา09ลิปดา36.00ฟิลิปดาตะวันออก
    ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...