ความรัก ความเมตตา นำพาชึ่ง สุขขัง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เทพธรรมบาล, 15 พฤศจิกายน 2011.

  1. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,218
    ค่าพลัง:
    +293
    ต่างคนก้ต่างทุกข์ จะแย้งทำไมเอ่ย ตั้งปณิธานกันไว้นะ
     
  2. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,218
    ค่าพลัง:
    +293
    โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง คือ คาถาหัวใจของพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (พระแม่กวนอิม) คำ 6 พยางค์นี้ เป็นคาถาที่พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (พระแม่กวนอิม) ใช้โปรดสรรพสัตว์ในภูมิทั้ง 6 คือ เทวดา, อสูร, มนุษย์, ผีโหย, เดรฉาน และ นรก ฉะนั้นการที่เราสวดท่อง โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง เปรียบเสมือนเราคือพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง สวดพระคาถานี้เพื่อโปรดให้สรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ ให้เขาเหล่านั้นประสพแต่ความสุขยั่งยืนนาน ในคัมภีร์การัณฑวยูหสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรฝ่ายมหายาน ได้กล่าวไว้ว่า พระศากยมุนีได้กล่าวไว้ว่า
    ผู้ใดที่หมั่นสวดท่องคาถา 6 พยางค์นี้ ด้วยความศรัทธา ผู้นั้นจะได้ไปจุติ ณ รูขุมขนขั้นใดขั้นหนึ่งของพระมหาโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร และไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จนกระทั่งผู้นั้นได้สำเร็จซึ่งพระนิพพาน ผู้ที่สวดท่องด้วยศรัทธา พระพุทธเจ้าจำนวนเท่าเม็ดทรายในมหานทีคงคาถึง 99 มหานทีคงคา รวมถึงเหล่าพระโพธิสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วน เหล่าเทพบุตรทั้ง 3,200 หมู่ และท้าวจาตุมหาราชทั้งสี่ จะมาปกปักษ์คุ้มครองผู้นั้น

    บุตรหลานถึง 7 รุ่นของบุคคลนั้นจะปลอดภัยไม่ตกต่ำ รวมถึงจะฉุดผู้ที่ตกอยู่ในทุกขคติภูมิ (ผู้ที่เกิดในภูมิที่ต้องตกทุกข์ยาก) จะได้เกิดในภูมิของพระโพธิสัตว์ และจะไม่มีวันหวนกลับสู่ภูมิต่ำอีกต่อไป ผู้ใดที่สวดท่องอยู่เป็นนิจ ผู้นั้นจะมีความแข็งแกร่งเปรียบเสมือนวัชระ (กิมกัง) ผู้นั้นจะเปรียบได้เสมือนเป็นพระมหาเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของเหล่าพระพุทธเจ้า ผู้นั้นจะเปรียบได้เสมือนแสงพระธรรมของพระพุทธเจ้าที่เจิดจ้าไม่อาจมีสิ่งใดมาบดบังได้ เป็นแสงพระธรรมอันบริสุทธิ์ดุจพระปัญญาของพระพุทธเจ้า จะเปี่ยมด้วยมหากรุณา และจะได้ปฏิบัติบรรลุซึ่งบารมีทั้ง 6 ของพระโพธิสัตว์ และจักได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด ผู้ใดก็ตามเพียงแค่ได้สัมผัสผ้าอาภรณ์ของผู้ที่เผยแผ่พระคาถานี้ หรือเพียงแค่ได้เห็นท่านผู้มีบารมีผู้นั้น เขาผู้นั้นจะได้เกิดและบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์เป็นชาติสุดท้าย ไม่ต้องตกอยู่ในวงเวียนแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป

    พระวิษัมภินโพธิสัตว์ได้ทูลขอให้พระศากยมุนีพุทธเจ้าโปรดบอกพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ 6 พยางค์นี้ หรือจักต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ปวงสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งพระวิษัมภินโพธิสัตว์ขอยอมมอบ 4 มหาสมุทรซึ่งเปี่ยมด้วยรัตนมณีอันมีค่าทั้ง 7 ชนิด หรือ หากหาสิ่งใดบันทึกไม่ได้ ขอยอมอุทิศกระดูกเป็นปากกา เลือดเป็นน้ำหมึก ผิวหนังเป็นกระดาษ และยอมนับถือผู้ที่บอกพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ให้เป็นบิดา มารดา พระบรมอาจารย์ หากผู้นั้นได้บอกพระคาถา 6 พยางค์นี้แก่ตน พระพุทธองค์จึงตรัสแก่พระวิษัมภินโพธิสัตว์ว่า เมื่อกาลที่พระองค์เองยังดำรงพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์อยู่นั้น

    ท่านต้องเดินทางเสาะแสวงหาพระตถาคตเจ้าหลายพระองค์เพียงเพื่อหาว่า พระตถาคตพระองค์ใดสามารถบอกพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ 6 พยางค์นี้ให้แก่ท่าน จนกระทั่งได้พบพระตถาคตพระองค์หนึ่ง พระนามว่า “ปัทโมตตมะ” พระตถาคตปัทโมตตมะได้กล่าวว่า ผลบุญกุศลที่ได้สวดท่องพระคาถาศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่สามารถจะประมาณนับได้ โดยยกตัวอย่างว่า เราสามารถนับจำนวนฝุ่นละอองในอากาศได้ แต่ผลบุญกุศลที่สวดท่องพระคาถาศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่สามารถประมาณได้

    เราสามารถนับจำนวนเม็ดทรายทั่วทั้งสี่มหาสมุทรได้ แต่ไม่สามารถประมาณถึงผลบุญกุศลแห่งการสวดท่องพระคาถาศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ หรือแม้กระทั่งพระตถาคตเจ้าจำนวนหลาย ๆ โกฏิเสด็จมารวมกัน พระตถาคตเจ้าเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถประเมินผลแห่งบุญกุศลแห่งการได้สวดท่องพระคาถาศักดิ์สิทธิ์นี้ องค์พระตถาคตปัทโมตตมะเองก็ยังเคยเดินทางเสาะแสวงหา ผ่านความทุกข์ยากต่าง ๆ ด้วยความเพียร เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งพระคาถาศักดิ์สิทธิ์นี้ จนกระทั่งได้พบพระอมิตภพุทธเจ้า และได้ถวายตน ยึดพระอมิตภพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งสุดท้าย

    จนกระทั่งพระอมิตภพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรบอกพระคาถาศักดิ์สิทธิ์แก่พระตถาคตปัทโมตตมะ ข้อความที่กล่าวมาเบื้องต้นเป็นเพียงแค่ตอนหนึ่งในพระคัมภีร์การัณฑวยูหสูตร จะเห็นได้ว่าพระตถาคตเจ้าในอดีต รวมถึงพระตถาคตเจ้าองค์ปัจจุบันนั่นก็คือ พระศากยุมนีพุทธเจ้า ต้องเพียรเสาะแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งพระคาถาหัวใจของพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เราท่านทั้งหลายที่ได้เกิดมาในภพชาตินี้ ได้เห็น ได้ยิน ได้สวดท่องพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 6 พยางค์นี้ ถือว่าเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสเช่นนี้

    มีคำกล่าวไว้ว่า บุคคลใดที่ได้เห็น ได้ยิน ได้สวดท่องพระคาถา 6 พยางค์ในภพชาตินี้ ถือว่าบุคคลผู้นั้นได้เคยได้เห็น ได้ยิน ได้สวดท่องพระคาถานี้ในอดีตชาติ ฉะนั้นเราท่านทั้งหลายไม่ควรละทิ้งโอกาสในการสะสมบุญบารมีในภพชาตินี้ ซึ่งจะเป็นเสบียงบุญแก่เรา ให้เราได้ไปจุติในภพภูมิที่สูงขึ้นในชาติภพต่อ ๆ ไป

    มีเรื่องเล่าอยู่ว่า มีผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่งคำนึงว่ามารดาของตนไม่เคยได้เรียนหนังสือจึงอ่านหนังสือไม่ออก ไม่เคยได้รับรู้ถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่เคยได้สวดท่องมนต์ใดใดเลย ด้วยความกตัญญูต่อมารดา กลัวว่ามารดาของตนจากโลกนี้ไปคงต้องตกอยู่ในทุกขคติภูมิเป็นแน่ จึงออกกุศโลบายให้มารดาของเขาได้มีโอกาสสวดพระคาถา โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง โดยบอกแก่มารดาว่า หากเมื่อใดแม่ได้ยินเสียงกริ๊ง ก็ให้อุทานคำว่า โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง

    ฉะนั้นทุกครั้งที่เขาทำให้เกิดเสียงกริ๊ง เช่น สั่นกระดิ่ง โยนเหรียญลงพื้น หรือแม้กระทั่งได้ยินเสียงกระดิ่งที่คล้องคอจามรี มารดาของเขาก็จะอุทานว่า โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง ทันที เมื่อมารดาตายจากโลกนี้ไป ด้วยการที่ไม่ได้สร้างบุญกุศลจึงตกสู่นรก ขณะที่ยมทูตกำลังคนน้ำมันในกระทะ ช้อนเหล็กก็กระทบกับกระทะเกิดเสียงดังกริ๊ง ทันใดนั้นด้วยความเคยชิน มารดาก็เลยอุทานว่า โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง และในทันทีก็ได้ไปจุติ ณ แดนสุขาวดี เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญอยู่ ณ โลกธาตุนั้น จนได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
     
  3. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    ท่าน..เฮียก่วน..ท่านเก่งจังเลยนะ.
     
  4. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,218
    ค่าพลัง:
    +293
    เก่งยังไง อั๊วไม่ได้รู้อะไรมากหรอก อั๊วเขาคำสอนมหายาน หลักแห่ง พระโพธิ์สัตว์ ม่เผยแพร่เฉยๆ

    ทำไมอั๊วไมไว้ห้องพุทธภูมิหล่ะ เพราะว่าห้องนี้ คนตื่นตัวกว่า ฮ้าวกว่า นั้นเอง
     
  5. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    ดีแร่ะ ..อยู่ห้องนี้นานๆนะ ห้ามหนีไปล่ะ (อยู่เป็นกำลังใจให้ผมหน่อย ช่วงนี้มารเยอะ)
     
  6. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,439
    ค่าพลัง:
    +1,770
    กระทู้มีสาระมากครับ
     
  7. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234

    ไม่รู้จ้ะ รู้แต่ว่ามันเพิ่มจาก60ก่าๆเป็นเกือบ200ตอนดราม่ากะคุณสันโดษอ่ะ มันให้กันยังไงนะไอคะแนนเนี่ย บอกหน่อยเดี๋ยวจะกดให้พี่ยักษ์เยอะๆเลยดีป่ะ^-^
     
  8. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234

    โอ๊ะๆๆ พวกนอกคอกปลายแถว....
    (||)(||)(||)(||)(||)
     
  9. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,218
    ค่าพลัง:
    +293
    <iframe width="480" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/tRfYbDfwAKk" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    บทสวดมนต์พระคาถาพระมหากรุณาธารณีสูตร / ไต่ปุยจิ่ว
    โชย ชิ่ว โชย งั่ง บ่อ ไหง ไต่ ปุย ซิม ทอ ลอ นี จิ่ว (๓ จบ )
    ปึง ซือ ออ นี ทอ ยู ไล้ (๓ จบ)
    • นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เหย่ เย • นำ มอ ออ ลี เย • ผ่อ ลู กิต ตี ซอ ปอ ลา เย • ผู่ ที สัต ตอ พอ เย • หม่อ ฮอ สัต ตอ พอ เย • หม่อ ฮอ เกีย ลู นี เกีย เย • งัน • สัต พัน ลา ฮัว อี • ซู ตัน นอ ตัน เซ • นำ มอ สิด กิต ลี ตอ อี หม่ง ออ ลี เย • ผ่อ ลู กิต ตี สิด ฮู ลา เลง ถ่อ พอ • นำ มอ นอ ลา กิน ซี • ซี ลี หม่อ ฮอ พัน ตอ ซา เม • สะ พอ ออ ทอ เตา ซี พง • ออ ซี เย็น • สะ พอ สะ ตอ นอ มอ พอ สะ ตอ นอ มอ พอ เค • มอ ฮัว เตอ เตา • ตัน จิต ทอ • งัน • ออ พอ ลู ซี • ลู เกีย ตี • เกีย ลอ ตี • อี ซี ลี • หม่อ ฮอ ผู่ ที สัต ตอ • สัต พอ สัต พอ • มอ ลา มอ ลา • มอ ซี มอ ซี ลี ทอ ยิน • กี ลู กี ลู กิด มง • ตู ลู ตู ลู ฟา เซ เย ตี • หม่อ ฮอ ฮัว เซ เย ตี • ทอ ลา ทอ ลา • ตี ลี นี • สิด ฮู ลา เย • เจ ลา เจ ลา • มอ มอ ฮัว มอ ลา • หมก ตี ลี • อี ซี อี ซี • สิด นอ สิด นอ • ออ ลา ซัน ฮู ลา เซ ลี • ฮัว ซอ ฮัว ซัน • ฮู ลา เซ เย • ฮู ลู ฮู ลู มอ ลา • ฮู ลู ฮู ลู ซี ลี • ซอ ลา ซอ ลา • สิด ลี สิด ลี • ซู ลู ซู ลู • ผู่ ถี่ เย ผู่ ถี่ เย • ผู่ ถ่อ เย ผู่ ถ่อ เย • มี ตี ลี เย • นอ ลา กิน ซี • ตี ลี สิด นี นอ • ผ่อ เย มอ นอ • ซอ ผ่อ ฮอ • สิด ถ่อ เย • ซอ ผ่อ ฮอ • หม่อ ฮอ สิด ถ่อ เย •ซอ ผ่อ ฮอ • สิด ทอ ยี อี • สิด พัน ลา เย • ซอ ผ่อ ฮอ • นอ ลา กิน ซี • ซอ ผ่อ ฮอ • มอ ลา นอ ลา • ซอ ผ่อ ฮอ • สิด ลา เซง ออ หมก เค เย • ซอ ผ่อ ฮอ • เจ กิด ลา ออ สิด ถ่อ เย • ซอ ผ่อ ฮอ • ปอ ทอ มอ กิต สิต ถ่อ เย • ซอ ผ่อ ฮอ • นอ ลา กิน ซี พัน เค ลา เย • ซอ ผ่อ ฮอ • มอ พอ ลี เซง กิต ลา เย • ซอ ผ่อ ฮอ • นำ มอ ห่อ ลา ตัน นอ ตอ ลา เย เย • นำ มอ ออ ลี เย • ผ่อ ลู กิต ตี • ชอ พัน ลา เย • ซอ ผ่อ ฮอ • งัน สิต ติน ตู • มัน ตอ ลา • ปัด ถ่อ เย • ซอ ผ่อ ฮอ

    ผลานิสงส์ของการสวดมหากรุณาธารณีสูตร
    ๑. มีความสุขความเจริญ ๖. ปราศจากอุปสรรคนานาประการ
    ๒. ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ๗. เป็นการเสริมสร้างบารมี
    ๓. มีอายุยืนยาว ๘. เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม
    ๔. อุดมด้วยสมบัติพัสถาน ๙. แคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆ
    ๕. ตัดวิบากกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบัน ๑๐.เมื่อสิ้นอายุขัยจะได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ แดนสุขาวดี



    "จะนั่งญาน ภาวนา รักษาจิต
    ให้ความคิด บริสุทธิ์ หลุดโลกหมอง
    ความประพฤติ ทั่วไป จงไตร่ตรอง
    ให้สอดคล้อง ศีลธรรม ประจำใจ"
     
  10. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,218
    ค่าพลัง:
    +293
    โพธิจิต
    คำสอนของท่านอสังคะว่าด้วยมหากรุณา
    เพื่อตั้งจิตที่อธิษฐานแน่วแน่ไปสู่การหลุดพ้นเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ หรือที่เรียกว่าโพธิจิต ท่านควรพัฒนาจิตอันเป็นอุเบกขาต่อสัตว์โลกทั้งมวล จากนั้นจึงพิจารณาคำสอนว่าด้วยสาเหตุและผลเจ็ดประการที่พระโพธิสัตว์ไมเตรยะได้ให้ไว้แก่ท่านอสังคะ ในเบื้องแรกขอให้ท่านคิดอยู่เบื้องหน้าของท่าน ว่ามีสัตว์โลกผู้หนึ่งที่ไม่เคยช่วยเหลือท่าน และก็ไม่เคยทำร้ายท่าน คิดว่า “จากมุมมองของสัตว์ผู้นี้ เขาต้องการได้ความสุข และไม่ต้องการความทุกข์ เหมือนกับคนอื่นทุกๆคน ข้าพเจ้าจะทำตนเองให้ปลอดจากความผูกพันและความรังเกียจ ข้าพเจ้าจะไม่รู้สึกใกล้ชิดกับคนบางคนกับช่วยเหลือเขา ในขณะที่รู้สึกห่างเหินจากคนอื่นๆกับทำร้ายเขา ข้าฯจะพัฒนาจิตอุเบกขาต่อสัตว์ทั้งมวล ขอให้พระอาจารย์และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วย“
    เมื่อท่านรู้สึกเป็นอุเบกขาต่อผู้ที่เป็นกลางๆกับท่านแล้ว ก็ขอให้นึกถึงผู้ที่น่ารักใคร่ น่ายินดี ซึี่งท่านรู้สึกผูกพันด้วย พยายามตั้งจิตอันเป็นอุเบกขากับคนผู้นี้ คิดว่า “ความรู้สึกลำเอียงที่ข้าพเจ้ามีเกิดมาจากความผูกพัน เนื่องจากข้าพเจ้าได้เคยอยากได้สิ่งสวยงามน่าดังดูดใจมาตลอด ข้าพเจ้าจึงต้องเกิดใหม่มาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนี้ไม่จบสิ้น” ด้วยวิธีนี้ขอให้ท่านยับยั้งความปรารถนาและทำจิตให้เป็นสมาธิ
    เมื่อท่านรู้สึกเป็นอุเบกขาต่อผู้ที่ท่านผูกพันด้วยแล้ว ก็ขอให้นึกถึงผู้ที่ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่ายินดี พยายามตั้งจิตอันเป็นอุเบกขาต่อคนผู้นี้ คิดว่า “เนื่องจากเคยมีข้อพิพาทหรือความขัดแย้งระหว่างเราทั้งสอง ข้าพเจ้าจึงมีจิตรังเกียจคนผู้นี้ จึงไม่มีอุเบกขา หากไม่มีอุเบกขาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่สามารถตั้งอธิษฐานไปสู่การหลุดพ้นได้เลย!” ด้วยวิธีนี้ขอให้ท่านยับยั้งความรังเกียจนั้นและทำจิตให้เป็นสมาธิ
    เมื่อท่านรู้สึกว่าจิตเป็นอุเบกขาต่อผู้ที่ท่านรังเกียจแล้ว ก็ขอให้คิดถึงคนทั้งคู่นี้ ได้แก่ผู้ที่ท่านรู้สึกผูกพันด้วย กับผู้ที่ท่านรังเกียจ แล้วคิดว่า “คนทั้งสองนี้ก็เหมือนๆกันตรงที่จากมุมมองของตนเอง ต่างก็ต้องการความสุข และไม่ต้องการความทุกข์ จากมุมมองของข้าพเจ้า ผู้ที่ข้าพเจ้ารู้สึกผูกพันด้วยได้เคยเกิดมาเป็นศัตรูของข้าพเจ้าเป็นจำนวนชาติอันประมาณมิได้ และผู้ที่ข้าพเจ้ารู้สึกรังเกียจ ไม่ชอบก็เคยเกิดมาเป็นมารดาที่ได้เอาใจใส่ดูแลข้าพเจ้าด้วยความรักเป็นจำนวนนับชาติไม่ถ้วน ข้าพเจ้าควรชอบคนไหน? ข้าพเจ้าควรเกลียดคนไหน? ข้าพเจ้าจะรู้สึกเป็นอุเบกขาและหลุดพ้นจากความผูกพันและความรังเกียจ ขอให้พระอาจารย์และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายโปรดช่วยเหลือข้าพเจ้าให้เป็นเช่นนี้ด้วยเถิด!”
    เมื่อท่านรู้สึกเป็นอุเบกขาเช่นนี้แล้ว ก็แผ่ขยายความรู้สึกนี้ให้แก่สัตว์โลกทั้งมวล “สัตว์โลกทั้งหลายเสมอเหมือนกัน ต่างก็อยากได้ความสุขและไม่ต้องการความทุกข์ สัตว์โลกทั้งหลายเป็นญาติของข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจะเรียนรู้การตั้งจิตเป็นอุเบกขา และหลุดพ้นจากความรู้สึกผูกพันและรังเกียจที่มีต่อสัตว้ืโลกไม่ว่าใกล้หรือไกล จากการช่วยเหลือบางคนและทำร้ายบางคน ขอให้พระอาจารย์และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายโปรดช่วยเหลือข้าพเจ้าให้ประสบความสำเร็จด้วยเถิด!”
    เมื่อท่านได้พัฒนาจิตอันเป็นอุเบกขาแล้ว ก็ขอให้ท่านปฏิบัติขั้นแรกของคำสอนเจ็ดประการเพื่อบรรลุถึงพระโพธิจิต ขอให้ท่านตั้งนิมิตนึกภาพพระอาจารย์กับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาอยู่ต่อหน้าท่าน ทำสมาธิพิจารณาดังนี้ “เหตุใดสัตว์โลกทั้งหลายจึงเป็นญาติของข้าพเจ้า? เนื่องจากสังสารวัฏไม่มีการเกิด การเกิดมาในชาติต่างๆของข้าพเจ้าจึงมีจำนวนไม่อาจประมาณได้ ในการดำเนินชีวิตจำนวนนับชาติไม่ถ้วนเช่นนี้ จึงไม่มีชีวิตรูปแบบใดเลยที่ข้าพเจ้าไม่เคยถือกำเนิดมาเป็น และก็ไม่มีประเทศหรือดินแดนใดที่ข้าพเจ้าไม่เคยเกิดมาในนั้น ในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลายไม่มีใครเลยที่ไม่เคยเป็นมารดาของข้าพเจ้ามาเป็นเวลานับครั้งไม่ถ้วน และต่างก็ได้เคยเป็นมารดาของข้าพเจ้ามานับชาติไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน และก็จะมาเป็นมารดาของข้าพเจ้าอีกเป็นจำนวนนับชาติไม่ถ้วนอีกในอนาคต“
    เมื่อท่านตระหนักถึงความจริงข้อนี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ขอให้ท่านทำสมาธิพิจารณาความรักความกรุณาที่สัตว์โลกทั้งหลายมีให้แก่ท่านเมื่อสัตว์เหล่านั้นเป็นมารดาของท่าน ขอให้ท่านตั้งนิมิตนึกภาพพระอาจารย์กับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาอยู่ต่อหน้าท่าน แล้วก็ทำสมาธินึกภาพมารดาของท่านในชาตินี้ให้แจ่มชัดที่สุด ทั้งในเวลาที่ท่านยังสาวอยู่กับในเวลาที่ท่านมีอายุมากแล้ว “ไม่เพียงแต่ท่านจะเป็นมารดาของเราในชาตินี้เท่านั้น แต่ท่านยังได้ดูแลฟูมฟักเลี้ยงดูเรามาในชาติต่างๆอันประมาณมิได้ ในชาตินี้ท่านได้ปกปักรักษาเรามาอย่างดีในมดลูกของท่าน และเมื่อข้าพเจ้าเกิดมาก็อุ้มเราวางบนฟูกกับหมอนอันอ่อนนุ่ม กับอุ้มข้าพเจ้าไว้แนบอกอันอบอุ่น กับให้ข้าพเจ้าดูดนมอันมีรสหวานโอชะ ท่านต้อนรับข้าพเจ้าด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยความรัก และมองข้าพเจ้าด้วยสายตาอันเปี่ยมไปด้วยความสุข ท่านเช็ดน้ำมูกออกจากจมูก กับเช็ดอุจจาระของข้าพเจ้า เมื่อยามที่ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคอันใดแม้แต่น้อย ท่านก็เป็นทุกข์เสียยิ่งกว่าจะสูญเสียชีวิตของท่านเอง ท่านดูแลข้าพเจ้าอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ไม่คำนึงถึงร่างกายของท่านเองว่าจะเจ็บปวดทรมานเพียงใด ท่านให้อาหารกับที่พักแก่ข้าพเจ้าอย่างดีที่สุดเท่าที่ท่านจะหามาได้ ท่านได้มอบความสุขกับประโยชน์อันประมาณมิได้แก่ข้าพเจ้า กับทั้งปกป้องข้าพเจ้าจากภัยอันตรายทุกสิ่งทุกอย่าง” ขอให้ท่านพิจารณาความกรุณาอันใหญ่ยิ่งของมารดา จากนั้นก็พิจารณาความกรุณาของบิดา และคนอื่นๆที่ใกล้ชิดกับท่าน ซึ่งต่างก็เคยเป็นมารดาของท่านมานังครั้งไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน
    เมื่อท่านตระหนักถึงความจริงข้อนี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็ขอให้ท่านทำสมาธิพิจารณาสรรพสัตว์ที่ท่านรู้สึกเป็นกลางๆ “แม้จะดูเหมือนว่าสัตว์โลกเหล่านี้มิได้มีความผูกพันอันใดเป็นพิเศษกับข้าพเจ้า แต่สัตว์เหล่านี้ก็เคยเป็นมารดาของข้าพเจ้ามานับชาติไม่ถ้วน ในชาติเหล่านั้นสัตว์โลกนั้นก็ได้ดูแลฟูกฟักข้าพเจ้าเป็นอย่างดียิ่งด้วยความรักความกรณา” เมื่อท่านตระหนักถึงความจริงข้อนี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็ขอให้ท่านทำสมาธิพิจารณาสรรพสัตว์ที่เป็นศัตรูกับท่าน นึกถึงสัตว์เหล่านี้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดว่ามาอยู่ต่อหน้าท่าน พิจารณาดังนี้ “ข้าพเจ้าจะรู้สึกได้อย่างไรว่าสัตว์เหล่านี้เป็นศัตรูของข้าพเจ้า? เนื่องจากชาติต่างๆในสังสารวัฏมีจำนวนมากจนไม่อาจประมาณได้ สัตว์เหล่านี้ก็ย่อมเคยเกิดมาเป็นมารดาของข้าพเจ้ามานับชาติไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน เมื่อสัตว์เหล่านี้เป็นมารดา ท่านก็ได้ดูแลฟูกฟักข้าพเจ้าเป็นอย่างดียิ่งด้วยความสุขและประโยชน์อันประมาณมิได้ และก็ได้ปกป้องข้าพเจ้าจากความทุกข์และภัยอันตรายทั้งปวง หากไม่มีท่านเหล่านี้ข้าพเจ้าก็ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้แม้เพียงชั่วขณะ และเช่นเดียวกันหากไม่มีข้าพเจ้าท่านเหล่านี้ก็ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้แม้เพียงชั่วขณะ เรามีความผูกพันต่อกันอย่างมากมาเป็นเวลานับชาติไม่ถ้วน การที่ท่านเหล่านี้มาเป็นศัตรูของข้าพเจ้าในเวลานี้ ก็เป็นแต่ด้วยเหตุของกรรมที่ได้เป็นมาจากอดีต ในเวลาหนึ่งในอนาคตท่านเหล่านี้ก็จะกลายมาเป็นมารดาของข้าพเจ้าผู้ดูแลฟูกฟักข้าพเจ้าอีก” เมื่อท่านตระหนักถึงความจริงข้อนี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็ขอให้ท่านทำสมาธิพิจารณาความกรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ
    หลังจากนั้นก็ทำสมาธิพิจารณาการตอบแทนความกรุณาของสัตว์ทั้งหลายผู้ต่างก็เป็นมารดาของท่าน ขอให้ท่านตั้งนิมิตนึกภาพพระอาจารย์กับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาอยู่ต่อหน้าท่าน แล้วพิจารณาว่า​ “จากเวลาอันประมาณไม่ได้ในอดีต มารดาเหล่านี้ได้ปกป้องข้าพเจ้ามาด้วยความกรุณา แต่ด้วยเหตุที่จิตของท่านถูกรบกวนจากปิศาจอันได้แก่กิเลสทั้งหลาย ท่านจึงไม่ได้รับรสของความเป็นอิสระและก็ยังเฝ้าวนเวียนอยู่ราวกับได้เสียสติไป ท่านไม่มีดวงตาสำหรับมองเห็นหนทางสู่สถานะอันสูงของมนุษย์และเทวดา หรือหนทางสู่พระนิพพานอันเป็นสุดยอดของความดี ท่านไม่มีพระอาจารย์คอยดูแล ผู้เป็นดั่งผู้นำทางให้แก่คนตาบอด ท่านถูกทุบถองอยู่ตลอดเวลาด้วยผลของอกุศลกรรม ท่านจึงลื่นไถลลงไปในหุบเหวอันน่าสะพรึงกลัวของการเกิดใหม่และสังสารวัฏ โดยเฉพาะในแดนอบาย การละเลยไม่เอาใจใส่มารดาเหล่านี้เป็นสิ่งน่าละอายอย่างยิ่ง เพื่อตอบแทนบุญคุณที่มารดาเหล่านี้ได้เคยเลี้ยงดูข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะปลดปล่อยพวกท่านออกจากความทุกข์ของสังสารวัฏ กับทั้งให้ท่านเหล่านี้ได้ตั้งมั่นอยู่ในบรมสุขอันเกิดจากการหลุดพ้น ขอให้พระอาจารย์และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วย“
    จากนั้นขอให้ท่านทำสมาธิพิจารณาความรัก นึกภาพผู้ที่ท่านมีความรู้สึกรักผูกพันด้วยอย่างมาก เช่นมารดาของท่านเอง “ท่านจะมีความสุขอันไม่แปดเปื้อนด้วยมลทินได้อย่างไร ในเมื่อท่านมิได้มีแม้กระทั่งความสุขแปดเปื้อนในสังสารวัฏ? สิ่งที่ท่านจะคุยได้ว่าเป็นความสุขก็ไหลออกไป มีความทุกข์เข้ามาแทนที่ ท่านอยากได้ ไฝ่ฝัน พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะได้ความสุขมา แม้จะเป็นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งก็ตาม แต่ท่านก็ยังสร้างเหตุแห่งทุกข์ในอนาคตกับการเกิดใหม่ในสังสารวัฏต่อออกไปในอบายภูมิ ในชีวิตนี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านแสนจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท่านก็ยังสร้างเหตุแห่งทุกข์ต่อไปอีก ท่านมิได้มีความสุขที่แท้จริงเลย จะน่าอัศจรรย์เพียงใดหากท่านมีความสุขและเหตุทั้งหลายแห่งความสุข! ขอให้ท่านมีเหตุเหล่านั้น! ขอให้พระอาจารย์และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วย“
    เมื่อท่านมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งนี้แล้ว ก็ทำสมาธิต่อไป ในเบื้องแรกพิจารณาถึงผู้คนอื่นๆที่อยู่ใกล้ชิดกับท่าน เช่นบิดา ต่อจากนั้นก็พิจารณาผู้ที่เป็นกลางๆ แล้วก็ศัตรู และในท้ายที่สุดก็พิจารณาสัตว์โลกทั้วมวล
    จากนั้นก็ทำสมาธิเกี่ยวกับมหากรุณากับความรับผิดชอบต่อสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีประมาณ ดังนี้:
    “บิดาและมารดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งจำนวนของท่านมีมากมายจนเต็มท้องฟ้า ต่างก็ถูกพันธนาการอยู่ด้วยวิบากกรรมและกิเลสต่างๆ แม่น้ำทั้งสี่อันได้แก่โลภะ โทสะ โมหะ และอวิชชา ได้พัดพาพวกท่านไปในกระแสของสังสารวัฏ จนทำให้พวกท่านต้องทนทุกข์อยู่กับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย พวกท่านถูกผูกมัดอยู่ด้วยเชือกอันได้แก่วิบากกรรมประเภทต่างๆอย่างแน่นหนา ยากที่จะหลุดไปได้ นับตั้งแต่กาลเวลาอันไม่มีจุดตั้งต้นพวกท่านได้เดินเข้าไปสู่กรงเหล็กของการยึดมั่นว่ามี ‘ตัวกู’ และ ‘ของกู’ ในหัวใจ กรงเหล็กนี้เปิดออกได้ยากอย่างยิ่ง เนื่องจากพวกท่านถูกม่านหมอกอันได้แก่อวิชชามาปิดบัง จึงทำให้การตัดสินความดีความชั่วผิดพลาดไป และพวกท่านจึงมองไม่เห็นแม้แต่หนทางสู่การมีความสุข อย่าว่าแต่หนทางไปสู่การหลุดพ้นและการตรัสรู้เลย“
    “สรรพสัตว์เหล่านี้ทนทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จบสิ้นอยู่ด้วยความทุกขเวทนา ความทุกข์อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลง และความทุกข์ทั่วไปของสรรพสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมา ข้าพเจ้าได้เห็นสัตว์ทั้งหลาย มารดาทั้งหลาย ต้องทนทรมานอยู่ในทะเลของการเวียนว่ายตายเกิด หากข้าพเจ้าไม่ช่วยท่านเหล่านี้ ใครเล่าจะช่วยได้? หากข้าพเจ้าจะละเลยไม่สนใจท่านเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็จะเป็นคนไร้ยางอายและอยู่ในที่ๆต่ำที่สุด ความปรารถนาของข้าพเจ้าที่จะเรียนมหายานจะเป็นเพียงแค่คำพูดกับลมปาก และข้าพเจ้าจะไม่สามารถไปปรากฏตัวต่อเบื้องหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้ากับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าจะสั่งสมความสามารถที่จะดึงมารดาผู้ทนทุกข์ของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ให้พ้นจากทะเลของสังสารวัฏ และนำพาพวกท่านให้ตั้งมั่นอยู่บนเส้นทางอันนำไปสู่พระพุทธภาวะ“
    ขอให้ท่านคิดพิจารณาประเด็นนี้ และสร้างจิตอันเข้มแข็งและใสสะอาดที่มุ่งมั่นในการรับผิดชอบต่อสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีประมาณ
    ท้ายที่สุด ขอให้ท่านทำสมาธิพิจารณาโพธิจิต อันเป็นจิตตั้งมั่นที่จะไปสู่การตรัสรู้ ถามตัวท่านเองว่าท่านจะนำพาสัตว์ทั้งหลายไปสู่พระพุทธภาวะได้หรือไม่ แล้วคิดคำนึงว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ากำลังไปทางไหน แล้วจะนำพาสัตว์แม้แต่ตนหนึ่งไปสู่พระพุทธภาวะ เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? แม้แต่ผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ยังสามารถทำได้เพียงช่วยให้สรรพสัตว์บรรลุเป้าหมายเล็กๆของตนเองเท่านั้น และไม่สามารถนำพาสัตว์เหล่านี้ให้ไปสู่การเป็นพระพุทธเจ้าได้ มีแต่เพียงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดเท่านั้นที่จะนำพาสรรพสัตว์ไปสู่การตรัสรู้ได้หมดสิ้น ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจะบรรลุถึงพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งหลาย ขอให้พระอาจารย์และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วย!”
    (จาก สารพันดารา เล่ม 2)

    Soraj's Weblog
     
  11. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,218
    ค่าพลัง:
    +293
    มหากุศล 8 ประการ นำสรรพสัตว์ไปเกิดในสวรรค์ 6 ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่ง
    มหากุศล แปลว่า บุญหลายอย่าง เช่น ให้ทาน ฟังธรรม เรียนธรรม เจริญกรรมฐาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างศาลาการเปรียญ สร้างพระพุทธรูป สร้างโต๊ะหมู่บูชา สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สร้างกุฎี ขุดบ่อน้ำ ตักบาตร บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน ของหอม เครื่องอาภรณ์ และบูชาด้วยปัจจัย 4 คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ยาแก้โรค เป็นต้น จนไม่สามารถจะนับได้ เรียกว่า มหากุศล ทั้งนั้น

    มหากุศล มี 8 ประการ คือ

    1. เวลาทำบุญมีความดีใจ ปรารถนาให้ได้มรรค ผล นิพพาน คิดทำบุญเอง ไม่มีใครมาชักชวนให้ทำ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ ได้ผลดีมาก คือ ผลบุญนี้สามารถจะนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ นำไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์จะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่ำรวย ไม่อดไม่อยาก ไม่ทุกข์ไม่ยาก และมีปัญญามาก หากออกเจริญสมถกรรมฐาน ก็จะได้บรรลุฌาน มีปฐมฌานเป็นต้น หากออกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น

    2. เวลาทำบุญมีความดีใจ ปรารถนาให้ได้มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้คิดทำบุญเอง มีผู้มีชักชวนจึงทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ได้ผลเป็นที่ 2 สามารถจะนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ นำไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์จะร่ำรวยมั่งมีศรีสุข และจะมีปัญญาดี แต่เป็นที่ 2 เพราะยังมีคนเก่งกว่าฉลาดกว่า หากออกเจริญสมถกรรมฐานก็จะได้บรรลุฌานในชาตินั้น หากออกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น

    3. เวลาทำบุญมีใจเฉยๆ ปรารถนาให้ได้มรรค ผล นิพพาน คิดทำบุญเอง ไม่มีใครมาชักชวนให้ทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ได้ผลเป็นที่ 3 สามารถจะนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ นำไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์จะร่ำรวย มั่งคั่งสมบูรณ์ มั่งมีศรีสุข และจะมีสติปัญญาดีเป็นที่ 3 เพราะยังมีคนดีกว่า เก่งกว่า เฉียบแหลมกว่า หากออกเจริญสมถกรรมฐาน จะได้ฌาน หากออกเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะได้มรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น

    4. เวลาทำบุญ มีใจเฉยๆ ปรารถนาให้ได้มรรค ผล นิพพาน มีผู้ชักชวนจึงทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ได้ผลเป็นที่ 4 สามารถนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์จะร่ำรวย มั่งคั่งสมบูรณ์ และมีสติปัญญาดี เป็นที่ 4 ถ้าออกเจริญสมถกรรมฐานจะได้ฌาน ถ้าออกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จะได้มรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น
    |
    5. ในเวลาทำบุญ มีความดีใจ ไม่ปรารถนามรรค ผล นิพพาน คิดทำบุญเอง ไม่มีใครมาชักชวนให้ทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ ขาดปัญญา ได้ผลเป็นที่ 5 สามารถจะนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์จะร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่ขาดปัญญา คือ ไม่มีปัญญาที่จะได้ฌาน ได้มรรค ผล นิพพาน หมายความว่า ถ้าออกเจริญสมถกรรมฐานก็จะไม่ได้ฌาน ถ้าออกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะไม่ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น แต่จะเป็นปัจจัยให้ได้ฌาน ให้ได้มรรค ผล นิพพานในชาติต่อไปได้

    6. เวลาทำบุญ มีความดีใจ ไม่ปรารถนามรรค ผล นิพพาน มีผู้ชักชวนจึงทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ ขาดปัญญา ได้ผลเป็นที่ 6 สามารถจะไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์ก็จะร่ำรวย มั่งคั่งสมบูรณ์ มั่งมีศรีสุข แต่ขาดปัญญา คือ ไม่มีปัญญาที่จะให้ได้ฌาน ได้มรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น แต่จะเป็นปัจจัยให้ได้มรรค ผล นิพพานหรือได้ฌานในชาติต่อๆไป

    7. เวลาทำบุญ มีใจเฉยๆ ไม่ปรารถนามรรค ผล นิพพาน ทำบุญเอง ไม่มีใครมาชักชวนให้ทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ได้ผลเป็นที่ 7 ขาดปัญญา แต่สามารถนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่ไม่มีปัญญาพอที่จะได้บรรลุฌาน ได้บรรลุมรรค ผล นิพพานในชาตินั้น แต่จะเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุฌาน มรรค ผล นิพพานในชาติต่อๆไป

    8. เวลาทำบุญ มีใจเฉยๆ ไม่ปรารถนานิพพาน มีผู้ชักชวนจึงทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ได้ผลเป็นที่ 8 สามารถนำไปเกิดในสวรรค์เป็นเทวดาก็ได้ เป็นมนุษย์ก็ได้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมั่งมีศรีสุข ร่ำรวย ไม่อดไม่อยาก ไม่ทุกข์ไม่ยาก แต่ขาดปัญญาที่จะนำพาให้ได้ฌาน ให้ได้มรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น แต่เป็นปัจจัยในภพต่อๆไปได้

    จาก หนังสือ ทาง 7 สาย โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.9
    __________________
    ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว
     
  12. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ข้าฯจะพัฒนาจิตอุเบกขาต่อสัตว์ทั้งมวล
    ขอให้พระอาจารย์และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วย

    (ข้าพเจ้าจะยั้บยั้งความรังเกลียดนั้นและทำจิตให้เป็นสมาธิ สาธุ)
    ขอบคุณ..เฮียก่วน..มากครับ
     
  13. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    สัพพีติโย วิวัชชันตุๆๆๆๆๆๆๆ
     
  14. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,218
    ค่าพลัง:
    +293
    สาธุ พระโพธิสัตว์คุ้มครอง
     
  15. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,218
    ค่าพลัง:
    +293
    [​IMG]

    พระโพธิสัตว์ตี้จั้งหวัง หรือ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ แปลว่าพระโพธิสัตว์ผู้เป็นครรภ์แห่งแผ่นดินหรือเป็นนัยยะว่าพระองค์ ทรงสถิต อยู่ใต้พื้นพิภพ
    เพราะพระองค์มีมหาปณิธานว่า “ตราบใดที่ยังมีสัตว์หลงเหลือในนรกภูมิ แม้เพียงหนึ่ง พระองค์จะมิทรงเข้าสู่พุทธภูมิ” ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าสัตว์ในนรกนั้น มีจำนวนมากมายกว่าประชากรบนสวรรค์ และโลกมนุษย์มาก เนื่องจาก คนทำชั่วมีมากกว่าคนทำดี ด้วยพระองค์ทรงประกาศ มหาปณิธานที่ยิ่งใหญ่ และยากยิ่งที่จะสำเร็จได้ สาธุชน จึงสดุดีพระองค์ว่า “พระมหาปณิธานโพธิสัตว์ ” และพระวจนะหนึ่ง ของพระองค์ ที่เป็นที่ซาบซึ้ง ประทับใจ สรรพสัตว์ทั้งปวง ว่า ” หากเรามิเข้าสู้นรกภูมิแล้วไซร้ ผู้ใดเล่าจะเป็นผู้เข้านรกภูมิ”

    [​IMG]

    ตามประวัติกล่าวว่า ท่านเดิมมีพระนามว่า กิมเคียวกัก ประสูติวันที่ 30 เดือน 7 ตามปฏิทินจีน พ.ศ. 1239 เป็นมกุฎราชกุมาร แห่งราชอาณาจักร ชินลอก๊ก (ปัจจุบันคือกรุงโซลประเทศเกาหลีใต้) เจ้าชายเคียวกักทรงผนวชเมื่ออายุ 24 ชันษา ในปีพ.ศ.1196 พระองค์ท่านชอบความสงบและการนั่งฌานสมาธิ จึงตัดสินใจไปแสวงหาความสงบปลีกวิเวกตามป่าเขา โดยนั่งเรือ ตามลำพัง กับสุนัขแสนรู้สีขาว (ชื่อว่า ซ่านทิง) แล่นเลียบไปตามชายฝั่งจนถึงปากแม่น้ำแยงซีเกียงในประเทศจีน เนื่องจากเรือเกยตื้น จึงสละเรือแล้วเดินเท้า กระทั่งถึงเขตอำเภอชิงหยางเสี้ยน มณฑลฮุยเสิ่น ซึ่งเป็นที่ตั้ง ของภูเขาจิ่วหัวซัน อันมี ทัศนียภาพ แปลกประหลาดด้วยมีพื้นที่ราบอยู่กลางหุบเขา เจ้าชายกิมเคียวกัก จึงเลือกปากถ้ำแห่งหนึ่ง ใกล้ที่ราบ เป็นที่พำนัก ที่เชิงเขามีคหบดีคนหนึ่งชื่อหมิ่นกง เป็นเจ้าของที่ดินบริเวณเขาจิ่วหัวซัน หมิ่นกงเป็นคน ใจบุญสุนทาน ต้องการจะถวายที่ดินเพื่อสร้างธรรมสถาน จึงขึ้นเขาไปหาเจ้าชายกิมเคียวกัก แล้วแจ้งความประสงค์ จะถวายที่ดิน ให้สร้างธรรมสถานโปรดสัตว์ตามแต่ที่เจ้าชายกิมเคียวกักต้องการ ทันใดนั้นเจ้าชายกิมเคียวกัก ก็ได้โยนผ้า พระกาสาวพัสตร์ ขึ้นไป ในอากาศ ก็ปรากฏว่ามีร่มเงา ของผ้ากาสาวพัสตร์ทั้งผืน แผ่ปกคลุมไปทั่วภูเขา จิ่วหัวซัน หมิ่นกงจึงได้ถวายที่ดินภูเขาทั้งลูกให้แก่เจ้าชายด้วยความยินดี

    [​IMG]

    หมิ่นกง มีบุตรชายคนหนึ่งซึ่งมีความศรัทธาในท่านอาจารย์ กิมเคียวกัก เป็นอย่างมากจึงได้ขอบวชนาม พระเต้าหมิง ต่อมา หมิ่นกงเล็งเห็นว่า เป็นการสะดวก ในการฟังธรรม จึงปวารณาเป็นศิษย์ของลูกชาย วันหนึ่งเจ้าชายกิมเคียวกัก ได้เรียกพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปมาชุมนุมเพื่ออำลา แต่บรรดาพระภิกษุสงฆ์ต่างไม่เข้าใจว่า ท่านจะไปไหน เจ้าชายกิมเคียวกักได้แต่นั่งขัดสมาธิอย่างสงบ และ ละสังขารในที่สุด ตอนนั้นท่านมีอายุได้ 99 พรรษา แล้วนั่งสงบไปอีก 20 ปี จนถึงปี พ.ศ. 1300 ร่างของท่านก็ยังคงอยู่ในท่าสมาธิ เกิดเป็นอัศจรรย์ บรรดาสาธุชนจึงได้รวบรวมปัจจัยสร้างเจดีย์ขึ้น เจ้าชายกิมเคียวกักนี้ ได้รับการยกย่องว่า เป็น พระกษิติครรภโพธิสัตว์ (เต่จงอ๋อง) มาโปรดสัตว์แล้ว
    มีคติความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนักที่ว่า “พระกวนอิมโปรดเฉพาะคนเป็น พระตี่จั้งโปรดเฉพาะคนตาย” ทำให้ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ (พระตี่จั้ง) ไม่เป็นที่นิยมกราบไหว้ในครัวเรือน เพราะผู้ไม่รู้เข้าใจว่า จะเป็นการชักนำ ดวงวิญญาณ ให้ตามพระองค์เข้ามาในบ้านด้วย โดยที่แท้แล้วเมื่อครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงแสดง อานิสงค์แห่งการบูชา พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ไว้ถึง 28 ประการคือ
    1. เทพนาคาปกปักษ์รักษาและระลึกถึง อยู่เป็นนิจ
    2. กุศลผลบุญเจริญรุ่งเรืองไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นทุกทิวากาล
    3. เป็นการสร้างสมอริยมรรคเป็นสมุกฐาน ทั้งยังถือเป็นเหตุปัจจัยแห่งกุศลกรรม
    4. ไม่ท้อถอยในการบังเกิดโพธิจิต
    5. สมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคตลอดกาล
    6. แคล้วคลาดปราศจากโรคาพยาธิ
    7. รอดพ้นจากอุทกภัย อัคคีภัย
    8. นิราศจากโจรภัยมาเบียดเบียน
    9. เป็นที่เคารพยกย่องของนรชนไปทั่ว
    10. เทพารักษ์คุ้มครองอุ้มชูช่วยเหลืออยู่เสมอ
    11. สตรีปรารถนากลับเพศเป็นบุรุษ
    12. เกิดในตระกูลวงศาแห่งกษัตริย์และอำมาตย์
    13. มีรูปอินทรีย์กายอินทรีย์สมบูรณ์
    14. ได้อุบัติในแดนสวรรค์
    15. ภพหน้าจะได้กำเนิดเป็นพระมหาราชาธิราช
    16. สามารถหยั่งรู้ระลึกเหตุการณ์ในอดีตชาติ
    17. คิดประสงค์สิ่งใดย่อมได้ดั่งปรารถนา
    18. ญาติและบริวารเสวยแต่ความสุข ปราศจากทุกข์
    19. สิ่งอัปมงคลทั้งหลายสูญหายมลายสิ้น
    20. ไม่ต้องบังเกิดในทุคติภูมิ
    21. หากสัญจรไป ณ แห่งใดย่อมได้รับความสะดวก
    22. ในยามราตรีย่อมมีสุบินในทางศุภมงคล
    23. บรรพบุรุษและญาติวงศ์ที่ล่วงลับไปแล้วจะได้หลุดพ้นจากทุกขภูมิ
    24. กำเนิดในภพหน้าจะเป็นผู้มีวาสนาสูง
    25. ได้รับการยกย่องจากพระอริยเจ้าทั้งหลาย
    26. มีสติปัญญารอบรู้เป็นเลิศ
    27. มีจิตเปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรมเป็นสมุฏฐาน
    28. จะได้สำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด
    คุณธรรมพิเศษ
    มีเมตตาสูงส่ง เป็นโพธิสัตว์ที่มีปณิธานที่จะโปรดสัตว์นรกให้พ้นจากกรรมทุกข์เข็ญ

    [​IMG]

    เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
    พระกษิติครรภโพธิสัตว์ แปลตรงตัวหมายความถึง ที่เก็บหรือครรภ์แห่งผืนแผ่นดิน พระองค์ท่านมีปณิธานคล้ายคลึงกับ พระแม่กวนอิม แต่ผิดไปจากพระแม่กวนอิม ก็คือ พระองค์ท่านต้องการที่จะโปรดสัตว์ที่มีอยู่ในนรกให้หมด ฉะนั้น ในพิธีศพ จึงนิยมบูชาท่าน จึงกลายเป็นความเชื่อที่ว่างานศพจะต้องบูชาท่าน ส่วนพิธีมงคล นิยมบูชา พระแม่กวนอิม กระทั้งเกิดคำว่า “พระกวนอิมโปรดคนเป็น เต่จงอ๋องโปรดคนตาย” ซึ่งความจริง ท่านก็โปรดคนเป็น เช่นเดียวกัน กับพระแม่กวนอิม
    ปาง
    โดยมากรูปเคารพของท่านมักจะสวมหมวกสีขาวซึ่งเรียกว่า “มาลา 5 พระพุทธองค์” ซึ่งหมวกนี้เป็นของ พระชาวธิเบต ประกอบพิธีทางมนตรยานนิกายในการโปรดสัตว์นรก โดยที่ท่านมีปณิธานโปรดสัตว์นรกมาก จิตรกรจึงมัก นิยมวาดภาพท่าน เป็นพระที่กำลังสวมหมวก และประกอบพิธีโปรดสัตว์นรกไป


    บทสวดมนตราของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์มีดังนี้
    <iframe width="480" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/aSq25vFPqNQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="480" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/0KwI8YUTQbA" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
    นำ โม ตี้ จั่ง อ๊วง ผู่สัก

    http://variety.phuketindex.com
     
  16. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,218
    ค่าพลัง:
    +293
    ถ้าไม่ชอบอ่านเท่าไหร เข้าไปชมการตูนได้
    การ์ตูนอนิเมชั่น เรื่องพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์


    <iframe width="480" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/zfZ9tFhHrvE" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​

    ตอนต่อๆไป ก็เลือกดูเอาใน youtube ได้เลย
     
  17. ชูนุ่น

    ชูนุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +699
    [​IMG] บอกกันดีๆก้อได้..เฮีย อย่าทำท่าอย่างนั้นสิ..5555 เอ๊ย 7777
     
  18. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,218
    ค่าพลัง:
    +293
    อั้วเป็นชาวแก๊ง...อั๊วก็ต้องข่มแก๊งอื่น มันจะเสียรังวัด
     

แชร์หน้านี้

Loading...