ทฤษฎีสัมพัทธภาพ

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=ePJ2bDCOuLM]ทฤษฎีสัมพัทธภาพ - YouTube[/ame]
ลองฟังดูกันนะครับอาจเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ผมว่านี่เป็นทฤษฎีที่อธิบายทางศาสนาพุทธได้อย่างเป็นไปในแนวทางเดียวกันเลยนะครับ ถ้าไอสไตน์ยังมีชิวิตอยู่และได้ศึกษาศาสนาพุทธเราคงได้รู้ความลับของจักวาลมากขึ้นมากกว่านี้แน่ๆเลยครับ

 

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=G5loPQuopWM"]??????? - YouTube[/ame]
แย้งกันโดยสิ้นเชิงกับ ควอนตั้ม
แล้วจักรวาลแห่งนี้อะไรจริง อะไรลวง
หรือที่จริงแล้ว มันไม่เคยมีอะไรเลย.....หรือจิตเราลวงมันขึ้นมาเอง?

 

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=V5zmh-eO3v8&feature=related]สัมพัทธภาพ - YouTube[/ame]

 

เหมือนจะเป็นบทความของหนังสือ

ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ใช่รึเปล่านิ = =

ผมเคยอ่านเมื่อหลายปีก่อน ขอให้ช่วยบอกหน่อยว่าใช่รึเปล่า :'(

 

เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน โดยมันแยกแยะจาก....ใจของแต่ละคน

 

น่าจะใช่ ไม่น่าจะใช่สัมพัทธภาพ เพียวๆ

 

ในลิงค์ที่ผมลงไม่ใช่ทฤษฎีสัมพัทภาพทั้งหมดนะครับในช่วงหลังๆผู้บรรยายได้ใส่แนวคิดว่าที่ทฤษฎีสัมพัทภาพมีความสอดคล้องกับพุทธศาสนาลงไปด้วยนะครับ

 

เป็นภาพรวมครับว่าวิทยาศาสตร์มีอะไรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

 

ยุคที่พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
จะเป็นที่ยอมรับและไปด้วยกัน
มากขึ้นๆ

 

มีข้อความที่ไอน์สไตน์เคยพูดว่า

“ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุ บัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา”

“The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend a personal God and avoid dogmas and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things, natural and spiritual, as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that would cope with modern scientific needs, it would be Buddhism.”

(May 19th, 1939, Albert Einstein’s speech on “Science and Religion” in Princeton, New Jersey, U.S.A.)”

 

ข้อความของไอสไตน์เนี่ยเป็นที่สงสัยมากว่าไอสไตน์เคยกล่าวไว้ตอนไหน เพราะไม่สามารถหามาอ้างอิงได้เลย ถึงแม้ว่าจะอ้างว่าเอามาจาก May 19th, 1939, Albert Einstein’s speech on “Science and Religion” in Princeton, New Jersey, U.S.A. แต่พอลองไปค้นดูก็กลับไม่พบประโยคนั้นเลย

ผมไปค้นจากที่นี่ครับ Albert Einstein, Science and Religion (1939) เข้าไปหน้าเวปนั้นแล้วกด ctrl+F หาคำว่า buddhism ก็ไม่เจอ

ในกระทู้นี้ก็มีค้นหาข้อความที่พูดในวันที่ 19 May 1939 จนเจอต้นฉบับภาษาเยอรมันกันเลยทีเดียว http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/07/X8091053/X8091053.html

 

ดีใจนะครับที่ชาวพุทธสนใจในเรื่องนี้ ถึงขนาดตามหาต้นฉบับกันเลยที่เดียว ^_^

 

จะไม่มีผู้ใดตั้งทษฤฎีทางวิทย์ฯ เพื่ออธิบายหลักการทางพุทธศาสนาได้อย่างหมดจด

ก็เนื่องจากว่า ความจริงสูงสุดตามหลักการของพุทธ เป็นการตระหนักจากจิตใจที่ปราศจากเถ้าธุลีมาบดบัง และความจริงสูงสุด ไม่ได้แสดงตัวตนในระดับ 4 มิติ ที่เราคุ้นเคย
ทุกอย่างที่ปรากฏต่อประสาทการรับรู้ปกติของเรา ล้วนอยู่ในสภาวะ 4 มิติ ทั้งสิ้น แม้แต่ความรู้ด้านวิทย์ฯ ก็เช่นกัน ความรู้สูงสุดของวิทย์ฯ อย่างมากก็อาจไขความลับของแสงได้ มากกว่านั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย

อาจเป้นไปได้ที่จิตที่ฝึกดีแล้วของมนุษย์ มีศักยภาพที่จะเรียนรู้ได้หลากหลายมิติขึ้น มิติยิ่งสูงขึ้นไป ความรู้และความจริง ก็แปรเปลี่ยนไป

ไอน์สไตน์อาจเป็นนักฟิสิกส์ ที่เข้าใกล้เปลือกของพุทธได้มากที่สุดในบรรดานักวิทย์ฯสมัยใหม่ แต่ยังห่างไกลจากแก่นมากนัก
แท้ที่จริง ชาวพุทธที่ฝึกฝนจิตใจได้อย่างดีแล้ว ก็อาจถือว่า เป็นนักวิทย์ฯขั้นสูงโดยไม่รู้ตัว จะแตกต่างก็ตรงที่ ไม่อาจแทนค่าความจริง ออกมาเป็นสมการหรือสัญลักษณ์ได้
วิทย์ฯขั้นสูง คือความรู้ที่ก้าวข้ามไปจากมิติที่ 4
กฏแห่งกรรม ก็เป็นหนึ่งในองค์ความรู้ของพุทธศาสนา ที่อาจครอบคลุมทุกมิติที่จักรวาลพึงมี ถ้าจะตั้งสมการขึ้นมาอธิบาย คงต้องใช้ตัวแปรเป็นอนันต์

 

บางคนเค้าก็อยากรู้ว่าเป็นแค่การอ้างเอาชื่อไอสไตน์มาใช้เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นหรือเปล่า เลยต้องมาหาว่าไอสไตน์พูดไว้ตอนไหน

 

ผมว่าศาสนาพุทธ กับ วิทยาศาสตร์ มีีอะไรหลายๆเรื่องที่อธิบายกันได้แต่บางเรื่องนั้นไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์ในตอนนี้จะพิสูตรได้นะครับ

 

เท่าที่อ่านข้อความที่เขียนโดนคนทางวิทย์ในหลายๆ กระทู้ในหลายๆ เวป เค้าจะมองว่าศาสนาเป็นเหมือนปรัชญาในการดำเนินชีวิตเท่านั้นครับ ว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควร ไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งที่จะอธิบายสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติได้ครับ

ดังนั้นแล้วก็เลยมีคนมองว่าถึงจะไม่ได้นับถือศาสนาก็สามารถเป็นคนที่ไม่เบียดเบียนใครได้ ก็เลยไม่ได้นับถือศาสนากันก็มีครับ

 

ผมว่าคุณมั่วว่ะ หลักการของชเรอดิงเจอร์ตั้งอยู่ในความน่าจะเป็น
อย่างเช่น การทดลองททางจินจนาการที่ชื่อว่า แมวของชเรอดิงเจอร์นั้นไง

ไอน์สไตน์ เป็นคนที่ค้านความคิดนั้นถึงกับพูดว่า พระเจ้าไม่ได้เล่นลูกเต่า อ่ะไรสักอย่างนี่ล่ะ

 

ในจักรวาลแห่งนี้เราทุกคนเป็นพุทธโดยกำเนิด แต่เราไปเอาเปลือกของพุทธมาแปะตัวเราอีกที อาจจะมีคนอื่นแปะให้ หรือเราอาจจะแปะมันเองโดยไม่รู้ตัว
แต่สำหรับบางคนไม่เชื่อว่าเปลือกนั้นมีเหตุผล เลยไม่แยแสและหันไปมองสิ่งอื่น
ส่วนบางคนที่ไม่เชื่อในเปลือกที่แปะเราอยู่และหาวิธีการแกะเปลือกมันออกจนไม่เหลือเปลือกที่ลวงใจเรา ไม่นานก็ได้เข้าใจ่วามันเป็นอย่างนี้นี่เอง...

 

ไอน์สไตน์ บอกว่าพระเจ้าไม่ทรงทอดลูกเต๋าหรอก ซึ่งคือสัมพัทธภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลย่อมมีความสอดคล้องกัน
แต่ควันตั้ม กำลังบอกว่า จักรวาลไม่ได้สอดคล้องกัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นมั่วๆ
ดวงจันทร์จะไม่ได้อยู่ตรงนั้นบนท้องฟ้า จนกว่าเราจะไปสังเกตุมัน

 

จักรวาลอยู่ในจิต ขยายด้วยกำลังสติไขความลับแห่งจักรวาล