Subliminal Messages การซ่อนข้อความหรือความหมายในที่ต่างๆ???

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 21 พฤศจิกายน 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    คิดเล่นๆนะคุณอ๊อบส์
    ต้องให้คนที่กำหนดทุกอย่างใน Time Zone ได้เนี่ย ให้ไปอยู่คนเดียวซะเข็ด 555
    เพราะเอาเปรียบคนอื่นๆอยู่ได้ มีเวลาเป็นล้านๆปี แล้วต้องอยู่คนเดียวจะได้รู้สึกซะมั่ง
    ไม่เห็นใจคนอื่น ไม่เห็นใจคนทำงาน ไม่รู้จักแบ่งปัน จะสูบเข้าตัวเองลูกเดียวเลย คนอื่นๆแห้งตายหยังเขียด
    เล่นดูดทรัพยากรของคนอื่นมาเป็นของตัวเองแบบโลภมาก
    จนคนอื่นๆเขาอยู่ได้แต่แบบไม่มีความสุข แถมยังไม่มีทางเลือกให้อีก
    แบบนี้ต้องไม่ง้อ ตายเป็นตาย อยู่ไปก็ตายอยู่ดี แถมลูกหลานยังต้องมารับมรดกชีวิตบัดซบต่อจากเราอีก
    ถ้าคนใน Time Zone เกิดคิดได้ขึ้นมาพร้อมๆกัน หรือรู้ความลับของคนกำหนดได้
    คงมีการปฏิวัติปฏิรูปคนกำหนดกันแบบไม่เหลือซาก หุหุ
    จะว่าไปก็คล้ายกับ เราก็อยู่ใน Material Zone ใครมีทรัพยากรมากกว่าคนอื่น
    ก็ได้เป็นเจ้าโลกเล็กๆในเขตของตนเหมือนกันนะ แบบว่าจะสร้างอะไรก็ได้
    จะซื้อคน จะซื้อบ้าน ซื้อรถ หาเพื่อน สร้างอาณาจักรส่วนตัวก็ยังได้ ถ้าใช้ทรัพยากรเป็น

    ปล.ตอนนี้ของแพงมาก โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง แถมไม่ง้อเราเติมด้วยนะ ไม่ซื้อก็อย่าซื้อ โวยไปก็เท่านั้น
    อยากมีทางเลือกใช้พลังงานสะอาดราคาถูก ก็ไม่มีให้ใช้อีก เศร้า

    ปล.2 ขอบคุณ ที่อุตส่าห์ไปหาเม้นท์นั้น มาให้อ่าน แต่มีข้อแย้งในใจนะ ว่า บิลเกตส์ เนี่ยไม่มีผลงานเขียน
    โปรแกรมที่เป็นของตัวเอง ไม่ได้เป็นโปรแกรมเมอร์แถวหน้า แต่เป็นนักการตลาดชั้นเยี่ยม อย่างโปรแกรมดอส
    ที่ทำเงินให้บิลเกตส์ครั้งแรก เขาก็ซื้อมาจากคนอื่น แล้วเอามาขายให้ไอบีเอ็ม จนรวยอื้อซ่า แต่คนคิดดอส
    ไม่ได้เครดิตอะไร ไม่ได้ชื่อเสียง ได้ค่าขายซอร์สโปรแกรมเท่านั้นเองมั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2011
  2. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    คุณ k.kwan ที่ฟิลิปิน เิกิดเหตุการณอะไรขึ้นหรอ เป็นอะไรมากหรือเปล่า พอดีไม่ค่อยได้ดูข่าว
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2554 00:23 น.
    http://videolink.nationchannel.com/data/6/2011/12/17/7fdf5hii5hd65icbi5jck.mp4

    by Nation Channel | 17.12.2011 เวลา 22:10 น.
    <!-- end div id credit_date -->พายุโซนร้อนวาชิ ที่พัดปกคลุมจังหวัดมินดาเนา ทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์ตั้งแต่วันศุกร์ ทำให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่ม มีผู้เสียชีวิตราว 180 รายและมีประชาชนสูญหายอีกราว 400 คน
    <!--<table> <caption>เวลาออกอากาศ</caption> <tr class="row_strip"> <td>วันจันทร์</td> <td>06.00 - 06.30</td> </tr> <tr> <td>วันอังคาร</td> <td>06.30 - 07.00</td> </tr> <tr class="row_strip"> <td>วันพุธ</td> <td>07.00 - 07.30</td> </tr> </table>--><IFRAME style="WIDTH: 450px; HEIGHT: 21px" id=f12bfd12e649396 class=fb_ltr title="Like this content on Facebook." src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?api_key=175982865751117&channel_url=https%3A%2F%2Fs-static.ak.fbcdn.net%2Fconnect%2Fxd_proxy.php%3Fversion%3D3%23cb%3Df35792469579ec8%26origin%3Dhttp%253A%252F%252Fwww.nationchannel.com%252Ff1e63d936300be9%26relation%3Dparent.parent%26transport%3Dpostmessage&extended_social_context=false&font=verdana&href=http%3A%2F%2Fwww.nationchannel.com%2Fmain%2Fnews%2Fforeign%2F20111217%2F27817285%2F%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%2597%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259F%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2180%2F&layout=button_count&locale=en_US&node_type=link&sdk=joey&send=false&show_faces=false&width=450" frameBorder=0 allowTransparency name=fe42cb327c1015 scrolling=no></IFRAME>
    <!-- add social network script here -->
    <!-- end div id social_network_tool -->น้ำท่วมฟิลิปปินส์ตาย 180 Nation Channel 24-hour news station
    <!-- end div id time -->
     
  4. น้องตานี

    น้องตานี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +0
    พี่ ขาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    เหงามากไหมคะ คุณน้อง
    รองบริกรรมคำว่า พี่ขาาาาาาาาาา ก็ได้นะ เผื่อจะหายเหงาได้ หุหุ
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    [​IMG]

    หญิงสาวชาวฟิลิปปินส์ประคองร่างไร้วิญญาณของลูกน้อย ซึ่งเสียชีวิตจากการจมน้ำ หลังไต้ฝุ่นวาชิถล่มหมู่บ้าน

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000160921
     
  7. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,439
    ค่าพลัง:
    +1,770
    ขอแสดงความอาลัย
     
  8. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,439
    ค่าพลัง:
    +1,770
    <object width="480" height="360"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/JDmRtMLCmcg?version=3&amp;hl=th_TH"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/JDmRtMLCmcg?version=3&amp;hl=th_TH" type="application/x-shockwave-flash" width="480" height="360" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    เพราะเราเป็นมนุษย์เราถึงรู้จักสะเทือนอารมณ์และเข้าใจบางเรื่องที่ผ่านทางภาพและเสียง
    เรารู้จักคิด รู้จักแสดงความเสียใจต่อผู้อื่น เรารู้จักสะเทือนใจต่อชะตากรรมของคนอื่น
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    พบแม่เฒ่า ล่ามโซ่ลูกสติฟั่นเฟือนนาน 13 ปี
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: 'Times New Roman'; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>19 ธันวาคม 2554 17:27 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    นายเซิ่ง (นามสมมติ) วัย 44 ปี ซึ่งถูกล่ามขังไว้ในบ้านตั้งแต่อายุ 30 ปี หลังจากเขาเสียสติ (ภาพเอเยนซี)

    เอเยนซี - พบแม่เฒ่าจับลูกล่ามไว้กับกำแพงบ้านนาน 13 ปี หลังลูกเสียสติอาละวาด มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง จนภรรยาเขาต้องหนีจากเขาไป กลับมาบ้านอย่างคนอนาถา

    สื่อจีนรายงานวันที่ 8 พ.ย. ว่านางหลิว จิ้วหยิ่ง วัย 82 ปี กล่าวถึง นายเซิ่ง (นามสมมติ) ลูกชายวัย 44 ปี ที่นางล่ามไว้กับเสากำแพงบ้านนาน 13 ปีนี้ ว่า ลูกชายของเธอเคยทำงานเป็นพนักงานระดับผู้จัดการในเมืองกวางโจว มณฑลกว่างตง จนกระทั่ง เมื่อปี พ.ศ. 2537 ก็พบว่าลูกชายมีอาการปวดหัวรุนแรง และมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง จนภรรยาเขาต้องหนีจากเขาไป และเขาได้กลับมาบ้านอย่างคนอนาถา

    "ฉันมารู้ว่าเขาเสียสติไป และมักตะโกนด่าคนเดินผ่านไปมาทุกคน เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด 4 ปี ที่เขากลับมาบ้าน จนที่สุดแล้ว ฉันเลยต้องล่ามเขาไว้ มันไม่มีทางเลือกกลัวเขาไปทำร้ายคนอื่น หรือโดนคนอื่นทำร้าย" แม่เฒ่ากล่าวถึงลูกชายซึ่งควรจะเติบโตอย่างมีอนาคต แต่ต้องกลับมาบ้านอย่างคนวิกลจริตไม่รับรู้เรื่องราวความเป็นจริงใดๆ เมื่อวัยเพียง 30 ปีเศษ

    รายงานข่าวกล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาโรคจิต กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบถึงครอบครัว และมารดาผู้แก่เฒ่า ซึ่งไม่สามารถรักษาเยียวยาลูกให้กลับมาเป็นลูกคนเดิมที่เคยเป็นได้อีก จนไม่มีทางเลือกนอกจากล่ามตรวนลูกของตนไว้ภายในบ้านเพื่อไม่ให้ออกไปอาละวาดผู้คน และอาจถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิต

    ความทุกข์ตรมของมารดาในแต่ละวันที่ต้องเผชิญ ยังตามมาด้วยความห่วงวิตกกังวลว่า ภายหลังจากที่ แม่เฒ่าซึ่งบัดนี้ ก็แก่ชรามากแล้ว จะอยู่ดูแลลูกเสียสตินี้ไปได้อีกนานเพียงใด และหลังจากที่นางเสียชีวิตชะตากรรมของลูกนี้จะเป็นอย่างไร เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาชีวิตที่นางต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันและแบกรับไว้เพียงลำพัง


    China - Manager Online -
     
  11. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ขอบคุณคุณขวัญ สำหรับข้อมูลใหม่ค่ะ

    ถึงได้บอกไง ให้เด็กๆ ดูเป็นแรงบันดาลใจ แต่อย่าใช้เป็นต้นฉบับ
    เหมือนพี่เสก โลโซ บ้านเราก็ด้วย (มีแถม) อิอิ
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ครองคู่ 90 ปี รักไม่มีวันจาง
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: 'Times New Roman'; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>20 ธันวาคม 2554 08:35 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    คุณยายจิน จี้เฟิน กับคุณตาหยัง เจิ้งจง สองสามีภรรยากำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมกับข้าวกับปลามื้อเย็นเช่นเคย (ภาพซินหวา)
    ไชน่าเดลี - คุณยายจิน จี้เฟิน วัย 106 ปี กับสามีหยัง เจิ้งจง อายุ 109 ปี กำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมกับข้าวกับปลามื้อเย็นเช่นเคย

    วันนี้ (ธ.ค.54) สองตายายผู้สูงอายุที่สุด อันเป็นที่รู้จักในบรรดาวงการผู้สูงอายุแห่งประเทศจีน ก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปในหมู่บ้านเมืองกุ้ยโจว และที่นี่เป็นที่ที่ทั้งสองใช้ชีวิตมาตั้งแต่ก่อนแต่งงานกว่า 100 ปีแล้ว

    ตาหยังเคยยึดอาชีพช่างไม้เลี้ยงชีวิต ส่วนยายจินเป็นแม่บ้าน พวกเขาแต่งงานกันมาเกือบ 90 ปี จนลูกหลานนั้นแตกสาขาลงไปถึง 5 ชั่วคนแล้ว

    “ยายจินนั้นดีกับตาเสมอมา ทำกับข้าวให้ตากินทุกวัน ทำมาทั้งชีวิตแล้ว” ตาหยังกล่าว

    [​IMG]
    ยายกำลังเตรียมหุงข้าว กับหม้อต้มใบเก่าที่ใช้ร่วมกันมานานปี (ภาพซินหวา)
    [​IMG]
    สองตายายผู้มีชื่อโจษขานไปทั่วว่าอายุมากที่สุดและครองคู่นานเกือบ 90 ปี (ภาพซินหวา)
    [​IMG]
    ตาหยังอุ้มเหลน (ลูกของลูกของลูก) ที่บ้าน 6ธ.ค. (ภาพซินหวา)

    [​IMG]
    รอยยิ้มพิมพ์ใจเปี่ยมสุขของคุณยายจิน จี้เฟิน (ภาพซินหวา)

    China - Manager Online -
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ล้วงลึกเบื้องหลังของ "ด.ช.ธนัช" อัจฉริยะเด็กไทยที่ฝรั่งยังทึ่ง!
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body style="FONT-SIZE: x-small; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(102,102,102); FONT-FAMILY: Tahoma; TEXT-DECORATION: none" vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date style="FONT-SIZE: 11px; COLOR: rgb(204,102,0); FONT-FAMILY: Tahoma; TEXT-DECORATION: none" vAlign=center align=left>16 ธันวาคม 2554 16:35 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    พร้อมหน้าครอบครัว "เปลวเทียนยิ่งทวี"

    เมื่อพูดถึง "ด.ช.ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี" เชื่อว่ามีทั้งคนรู้จัก และไม่รู้จัก แต่ถ้าหากใครได้เคยติดตามข่าวเมื่อหลาย ๆ ปีก่อน เขาคือเด็กชายที่มีความสามารถรอบด้าน โดยเฉพาะการ [ame="http://www.youtube.com/watch?v=t3bW9P5Z6sI"]เดี่ยวไวโอลิน[/ame] ที่เคยสร้างสถิติที่มีผู้ชมสูงถึง 18 ล้านครั้งในยูทูปมาแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยวัยเพียง 4 ขวบ (ปัจจุบันอายุ 9 ขวบ) เขาสามารถจัดนิทรรศการแสดงภาพศิลปะเดี่ยว Solo Art Exhibition ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนในปี 2549

    ที่สำคัญ ทุกชิ้นงานของเขามีความเป็นสากลจนสามารถสร้างสถิติการประมูลที่น่าทึ่ง และประสบความสำเร็จตั้งแต่ชิ้นแรกของการนำผลงานออกทำการประมูล และด้วยแรงประมูลแข่งขันกันของผู้ซื้อ ทำให้ราคาสูงขึ้นไปถึง 5 เท่าของราคาตั้งครั้งแรก หรือมีราคาขายสูงมากกว่า 20 เท่าของราคาที่เคยขายในประเทศไทยจนชาวต่างชาติพากันทึ่งกับความสำเร็จในครั้งนั้น

    และที่อึ้งทึ่งไปกว่านั้น ผลงานทางศิลปะของเขาได้มีนักสะสมทั่วโลกซื้อไปสะสมมากกว่า 1 พันภาพจนได้รับฉายา "ปิกัสโซ่น้อย" ทำให้สื่อต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจ สัมภาษณ์เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และ รายการโทรทัศน์หลายครั้งหลายหน

    นอกเหนือจากความสามารถข้างต้นแล้ว ธนัชยังมีความสามารถด้านดนตรี กีฬา ภาษาอังกฤษ และยังสนใจเรื่องดาราศาสตร์ กอล์ฟ และมวยไทยอีกด้วย

    แต่ทั้งหมดที่หลายคนเรียกมันว่า "พรสวรรค์" เหล่านี้จะเจิดจรัสไม่ได้เลย ถ้าไม่มีคุณพ่อธนู และคุณแม่วัชราภรณ์คอยส่งเสริม และสนับสนุนอย่างเต็มที่

    คุณแม่วัชราภรณ์ เริ่มต้นเล่าให้ ทีมงาน Life & Family ฟังถึงจุดเริ่มต้นของพรสวรรค์ในตัวลูกชายคนนี้ว่า "หูทางดนตรี" เป็นพรสวรรค์แรกของลูกที่เธอสังเกตได้ตั้งแต่ยังเล็ก

    "สิ่งแรกที่แม่เจอคือหูทางดนตรี คือวันหนึ่งแม่เปิดเพลงเด็ก ๆ ร้องว่า C-o-c-o-n-u-t Coconut เป็นภาษาอังกฤษให้ลูก ฟังขณะที่แม่ก็ขับรถไปเรื่อย ๆ ธนัชตอนนั้นเพิ่งจะอายุได้หนึ่งขวบกับสิบเดือน นั่งอยู่ใน Child Seat ที่เบาะหลัง เขาบอกแม่ว่า หม่ามี้ เพลงนี้เหมือนกับเพลง Alouette เลย (Alouette เป็นเพลงสำหรับเด็กเป็นภาษาฝรั่งเศส) ถ้าแม่ไม่ได้ใส่ใจ คิดเพียงว่าเป็น เพียงประโยค ๆ หนึ่งที่ลูกเล็ก ๆ เอ่ยออกมา เราอาจไม่ได้เห็นธนัชเล่นดนตรี แต่วันนั้น แม่ฉุกใจคิดว่า เอ๊ะ ถ้าเด็กแค่ขวบสิบเดือน บอกผู้ใหญ่อย่างเราได้ว่า เพลงสองเพลง ร้องกันคนละภาษาเลย แต่ใช้ทำนองเดียวกัน เขาต้องมีหูทางดนตรีที่ดีแน่เลย แต่ก่อนอื่น แม่ต้องพิสูจน์ก่อนว่าลูกพูดถูกหรือเปล่า แม่ก็รีบหาที่จอดรถ แล้วตั้งใจฟังเพลง ปรากฏว่าถูกของลูก เมื่อกลับถึงบ้านก็ตื่นเต้นบอก คุณพ่อ ต่อจากนั้นเราก็ยังทดสอบเพลงอื่น ๆ อีกหลายเพลง ลูกตอบได้หมดเลย เราเลยค่อนข้างมั่นใจว่าดนตรีนี่ใช่"

    พอเริ่มค้นพบเรื่องดนตรี และมั่นใจว่าลูกมีศักยภาพทางด้านนี้ ทั้งตัวเธอและสามีก็พยายามส่งเสริมลูกอย่างเต็มที่

    "เราเปิดเพลงให้เขาฟัง และพาเขาออกไปเห็นการแสดงจริง ไปพบนักดนตรีขณะเล่น เราพาธนัชไปดูโอเปร่าตั้งแต่สองขวบ ลองนึกภาพเด็กสองขวบ นั่งอยู่ในโรงละครไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง โอกาสที่พ่อแม่ลูกจะดูการแสดงโดยที่ลูกไม่ยุกยิกรบกวนคนอื่นนั้นค่อนข้างยาก แต่ธนัชอยู่ได้ นั่งดูอย่างตั้งอกตั้งใจ ตั้งแต่สองทุ่มซึ่งปกติจะเป็นเวลานอนของเขา จนโอเปร่าจบตอนห้าทุ่ม พอเราเห็นเขาดูได้ เราก็พาเขาออกบ่อยขึ้น ไปชมวงออร์เคสตรา จนเขาเป็นคนบอกว่าเขาอยากเล่นไวโอลินเมื่อตอนอายุได้สามขวบครึ่ง ก็เริ่มเรียนแล้วพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ มาจนถึงทุกวันนี้"

    หลังจากนั้น เธอ และสามีก็ค่อย ๆ สังเกต และสนับสนุนความสามารถด้านอื่น ๆ ของลูกตามมาทั้งศิลปะ กีฬา ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์

    "สิ่งที่เราพบ มันไม่ได้มาพร้อม ๆ กัน แต่ค่อย ๆ มา ตามความเหมาะสมของวัย ความพร้อมของร่างกาย พัฒนาการทางสมอง เราพบศักยภาพทางภาษาก่อนตั้งแต่ธนัชอายุไม่ถึงขวบ เขาก็พูดได้ 2 ภาษาด้วยหลาย ๆ พยางค์ ตามด้วยดนตรีกับศิลปะ พอโตขึ้น เรายังได้พบความสามารถทางการพูดในที่สาธารณะ (public speaking) และวิชาการอื่น ๆ อีกโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์"

    "ดังนั้น ไม่ต้องมีญาณพิเศษสำหรับการเลี้ยงลูก แต่พ่อแม่ต้องใส่ใจในสิ่งที่บางครั้งอาจดูเล็กน้อยไม่สำคัญ เพราะเวลาที่ลูกฉายแววบางอย่างออกมา อาจมาเพียงแวบเดียว แล้วก็ผ่านไป ถ้าเราไม่ทันสังเกต เราอาจไม่พบ และเมื่อเราพบอะไรบางอย่าง อาจจะใช่และไม่ใช่ พ่อแม่ต้องเอามาคิดต่อว่าจะทดสอบอย่างไรว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ แล้วเมื่อพบแล้ว จะพัฒนาอย่างไร เหล่านี้ เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ทั้งพ่อและแม่ต้องประสานแรงกายแรงใจช่วยกันในทุก ๆ ก้าวที่ลูกเติบโตขึ้น" คุณพ่อธนูกล่าวพร้อมกับมีความเชื่อว่า "เด็กทุกคนมีพรสวรรค์อยู่ในตัว"

    "นั่นคือสิ่งที่เราเชื่อเสมอ พ่อแม่ทุกคน ถ้าเชื่ออย่างนี้ เมื่อพบพรสวรรค์ของลูกแล้วหาวิธีพัฒนา ถ้าพัฒนาเองไม่ได้ ต้องหาผู้เชี่ยวชาญ และต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง พรสวรรค์นั้นก็จะส่งประกายเจิดจรัสออกมาครับ ถ้าพ่อแม่ให้เวลากับลูก เฝ้าทะนุ ถนอมเลี้ยงดูและสังเกตลูก พ่อแม่ก็จะเห็นว่าลูกจะทยอยส่งสัญญาณให้พ่อแม่รู้ว่า เขาชอบ และมีความสุขเมื่อได้ทำอะไร" คุณพ่อธนูขยายความถึงความเชื่อข้างต้น

    เผยเทคนิคเลี้ยงลูกให้เก่ง และมีความสุข

    คุณพ่อธนูกล่าวต่อไปว่า การเลี้ยงลูกให้เก่ง และดีนั้น บทหนักอยู่ที่พ่อแม่ที่ต้องเรียนรู้ไปกับเขาในสิ่งที่เขาอยากทำ หากลวิธี มีระเบียบวินัย และสร้างแรงจูงใจให้เขาฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ให้เขารู้สึกสนุกสนาน และรู้ว่าพ่อแม่อยู่เคียงข้างเขา คอยเป็นกำลังใจให้เขาเสมอ

    "ธนัชเป็นเด็กคนเดียวของบ้าน ดังนั้นเราไม่ได้เทียบว่าลูกเราพิเศษกว่าเด็กอื่น เราเพียงแต่พบว่าลูกมีสิ่งใดมากับตัว สิ่งใดที่เขาชอบ แล้วเราก็พัฒนาเขาตั้งแต่เล็กซึ่งเป็นช่วงที่พัฒนาการทางร่างกาย ใยสมอง อารมณ์ ความกระตือรือร้นที่อยากจะเรียนรู้ของเขามีเต็มเปี่ยม ประกอบกับเวลาในขณะนั้นของลูกก็ยังมีอยู่อย่างเหลือเฟือ เมื่อใส่สิ่งที่ถูกต้องกับความชอบของลูกด้วยวิธีการอันเหมาะสม และต่อเนื่อง ผลลัพธ์ก็ออกมาดีเอง" คุณพ่อธนูเผย

    ด้วยการเป็นเด็กที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในหลาย ๆ เรื่อง ความคาดหวังของพ่อแม่ย่อมต้องมีมากขึ้นตามไปด้วย แต่สำหรับครอบครัวนี้ พวกเขามีความหวังเหมือนพ่อแม่ทั่ว ๆ ไปที่อยากเห็นลูกประสบความสำเร็จ เป็นเด็กดี ดูแลตัวเองได้ และสามารถดูแลและเป็นที่พึ่งให้พ่อแม่ยามสูงวัยได้ในอนาคต

    "เราก็คงเหมือนกับพ่อแม่ทั่ว ๆ ไป ที่อยากเห็นลูกประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาทำ เป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น และมีความสุขในชีวิต เราพยายามที่จะให้เขาเติบโตเล่าเรียนในประเทศไทยนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะได้มีโอกาสซึมซับทัศนคติ ค่านิยม และความเป็นไทยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ" คุณพ่อธนูเผย

    แม้วันนี้ด.ช.ธนัชจะกลายเป็นเด็กมีชื่อเสียง มีความสามารถ และเก่งในหลาย ๆ ด้าน แต่คุณลักษณะนิสัยดี ๆ ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมคือสิ่งที่บ้านนี้ให้ความสำคัญมาก

    "เรายังต้องดูแลไม่ให้เขาลืมตัว หรือหยิ่งยโส ธนัชยังคงได้รับการปลูกฝังให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพเรียบร้อย มีสัมมาคารวะ ถึงแม้เขาสามารถเรียนรู้ในระดับที่สูงกว่าอายุ แต่เรายังคงให้ความสำคัญกับวัยเด็กของเขา เขายังต้องได้เล่นสนุก ตามวัย ตามจินตนาการของเขาอย่างที่เด็กในวัยนี้พึงมี เพราะเราตระหนักดีว่าเขาเป็นเด็กได้เพียงครั้งเดียว ส่วนเวลาที่จะเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่นั้นยังมีอีกยาวไกล เราจึงพยายามรักษาช่วงเวลาที่ดีที่สุดนี้ของเขาให้นานที่สุด เขายังเล่นกับคุณพ่อคุณแม่แบบเด็ก ๆ ยังกระโดดกอดคอ ขี่หลัง จักจี้ และเล่นอะไร ๆ แบบเบสิค แต่ก็ให้ความสุขสำราญกันทั้งครอบครัว" คุณแม่วัชราภรณ์เล่า

    วันสบายๆ สไตล์น้องธนัช

    สำหรับตัวตนของธนัช คุณพ่อธนูเป็นตัวแทนบอกเล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่า ธนัชเป็นเด็กแจ่มใส เบิกบาน สุภาพ อ่อนโยน ขี้เล่น มีอารมณ์ขัน ช่างพูด ช่างคุย ชอบพบปะสังสรรค์กับผู้คน กล้าแสดงออกในที่สาธารณะ และรักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ

    ทุก ๆ เช้า ธนัชจะตื่นตีห้าครึ่งด้วยเสียงหัวเราะกับคุณพ่อ เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็จะลงมาเริ่มวันใหม่ด้วยแปะก๊วยนมสดอุ่น ๆ ที่คุณพ่อเตรียมไว้ให้ แล้วจึงออกไปหน้าบ้านเพื่อออกกำลังกาย เริ่มตั้งแต่การวอร์มด้วยการยืดเส้นยืดสาย (Stretching) จากศีรษะถึงปลายเท้า ต่อด้วยการรำมวยจีน (ไทชิ) กระโดดเชือก วิดพื้น ถ้ายังพอมีเวลาก็ไปซ้อมพัตต์กอล์ฟ และเปียโน แล้วส่งไม้ต่อไปให้คุณแม่ที่จะต่อด้วยการซ้อมไวโอลิน ซึ่งช่วงนี้ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง พอเสร็จก็ได้เวลาอาหารเช้า พักอาบน้ำแต่งตัว

    หลังจากนั้นก็เป็นเวลาของวิชาการต่าง ๆ ที่ต้องใช้สมอง และสมาธิ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และวิชาอื่น ๆ สับเปลี่ยนกันไป พอเที่ยงก็พักรับประทานอาหารกลางวัน เล่นตามอัธยาศัย แล้วต่อด้วยวิชาการที่เป็นกิจกรรม เช่น ศิลปะ การเรียนแบบ Interactive บนคอมพิวเตอร์ พิมพ์ดีดไทย-อังกฤษ ช่วงบ่ายก็จะมีการออกกำลังกับคุณพ่อ เช่น แบดมินตัน หรือซ้อมชกเป้าแบบมวยไทยตามแต่ที่เขาอยากจะเล่น ก่อนอาหารเย็นก็จะซ้อมไวโอลินอีกรอบ เสร็จจากทานอาหารเย็น พักผ่อนดูรายการสารคดีทางโทรทัศน์ เล่นตามอัธยาศัย ทุ่มครึ่งถึงสองทุ่ม เตรียมอาบน้ำเพื่อเข้านอน

    แต่ก่อนเข้านอน ธนัชจะมาทบทวนคำศัพท์ด้วยการเขียนไทยและอังกฤษ วัน 10 คำ และเขียนเรียงความ (Essay) ความยาว 15 บรรทัด จบวันด้วยเสียงหัวเราะกับคุณพ่อ ด้วยการเล่นแบบเด็กผู้ชาย มวยปล้ำที่สนุกสนานสร้างเสียงหัวเราะไปไกลถึงคุณแม่ที่กำลังทำความสะอาดห้องครัว แล้วจึงเข้านอนหลับไปด้วยรอยยิ้ม

    นอกจากเวลาเรียนรู้ในบ้านแล้ว คุณพ่อเล่าต่อไปว่า บางวันก็จะพากันออกไปเรียนรู้นอกสถานที่ ทั้งสวนสาธารณะในตอนเช้าเพื่อวิ่งเล่น ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เข้าห้องสมุดท่านพุทธทาส ไปเรียนพิเศษกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น เรียนกับอาจารย์สอนไวโอลิน ส่วนกิจกรรมต่าง ๆ ก็อาจต้องปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม

    ปัจจุบันธนัชอายุ 9 ขวบ ออกมาจากระบบโรงเรียนตอนประถมศึกษาปีที่ 3 แล้วมาเรียนในระบบโฮมสคูล (Home School) อยู่ที่บ้าน โดยจดทะเบียนกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ภายใต้สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งคาดว่า ในปีหน้า ธนัชจะสามารถรับการประเมินเพื่อจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เนื่องจากธนัชเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำ ให้ความรู้ทางวิชาการหลายวิชาของเขาพัฒนาไปจนถึงระดับมัธยมแล้ว

    ด้วยความที่ธนัชทำอะไรได้ในระดับดีเยี่ยมในหลาย ๆ ด้าน ทำให้ยังยากที่จะตอบว่าเขาจะเป็นอะไรในอนาคต ในฐานะพ่อแม่ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในขณะนี้คือ สนับสนุน ส่งเสริม เปิดโอกาส ให้เขาได้เรียน ได้ลอง ได้สัมผัส มีประสบการณ์ในสิ่งที่เขาสนใจและอยากเรียนรู้

    "พ่อแม่เป็นผู้นำทาง และชี้ให้เห็นถึงหนทางก้าวหน้าในแต่ละอาชีพ แต่การตัดสินใจสุดท้ายคงอยู่ที่ตัวเขา ซึ่งเราคำนึงถึงความสมดุลในทุก ๆ ด้านเป็นปัจจัยสำคัญ การพัฒนาลูก เราไม่ได้มุ่งแต่วิชาการหรือความสามารถ แต่เรายังคำนึงถึงคุณธรรมในจิตใจที่ต้องระลึกเสมอว่าการเป็นคนดี สำคัญกว่าการเป็นคนเก่ง และต้องมีความกตัญญูควบคู่ไปด้วย" นี่คือสิ่งที่คุณพ่อธนู และคุณแม่วัชราภรณ์ มองว่า ชีวิตคือของลูกไม่ใช่พ่อแม่เป็นผู้ชี้ขาด

    ท้ายนี้ การจะพัฒนาลูกให้มีคุณภาพนั้น คุณแม่วัชราภรณ์ฝากแง่คิดไว้น่าสนใจว่า การร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ระดมสมองและความคิดของทั้งพ่อและแม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อลูกตระหนักว่าสิ่งที่เขาทำนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง พ่อแม่เห็นความสำคัญ และให้การยอมรับ เขาก็จะทำสิ่งอื่น ๆ ตามออกมาให้เห็นเรื่อย ๆ

    ส่วนคุณพ่อธนูกล่าวสั้น ๆ แต่ลึกซึ้งว่า ชีวิตนี้ทุ่มเทเพื่อลูกเพียงคนเดียว

    "ผมเกษียณอายุตัวเองตั้งแต่อายุสี่สิบต้น ๆ ผ่านงานมามากมายหลายสาขา ส่วนแม่เขาก็เกษียณตั้งแต่อายุสามสิบต้น ๆ เราทั้งคู่เคยทำงานในตำแหน่งผู้บริหารในบริษัทใหญ่ ตอนนี้ผมเลยหกสิบไปแล้ว ส่วนแม่เขาก็ห้าสิบ เราทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับลูกรักคนเดียวของเรา หนูน้อยธนัช เปลวเทียนยิ่งทวีครับ"

    ทั้งหมดนี้ คือเบื้องหลัง และที่มาของความสามารถพิเศษด้านต่างๆ ของธนัชที่มีคุณพ่อคุณแม่คอยบริหารจัดการเวลาให้ลงตัวควบคู่ไปกับการเสริมสร้างชีวิตที่สนุกสนานตามวัย และคงไม่เกินไปนักถ้าจะบอกว่า "ความรัก" นั่นเองคือตัวจุดประกายอัจฉริยะในตัวเด็กผู้ชายที่ชื่อ "ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี" คนนี้


    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body style="FONT-SIZE: x-small; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(102,102,102); FONT-FAMILY: Tahoma; TEXT-DECORATION: none" vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>"ธนัช" นักเดี่ยวไวโอลินที่เคยสร้างสถิติที่มีผู้ชมสูงถึง 18 ล้านครั้งในยูทูปมาแล้ว</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>นิทรรศการแสดงภาพศิลปะเดี่ยว Solo Art Exhibition ครั้งที่ 2 ของด.ช.ธนัช เมื่อปี 2554</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ตัวอย่างภาพผลงานสีน้ำของธนัชในวัย 8 ขวบ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>หนอนหนังสือตัวยงคงต้องยกให้ธนัชเลย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>"มวยไทย" ศิลปะการต่อสู้ของไทยที่ธนัชชื่นชอบ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ยืดเส้นยืดสายด้วย "การรำมวยจีน (ไทชิ)"

    Life & Family - Manager Online -
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ฟังทัศนะ "ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ"...ถึงเวลาที่ครอบครัวคนเมืองต้องคิดใหม่!

    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body style="FONT-SIZE: x-small; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(102,102,102); FONT-FAMILY: Tahoma; TEXT-DECORATION: none" vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date style="FONT-SIZE: 11px; COLOR: rgb(204,102,0); FONT-FAMILY: Tahoma; TEXT-DECORATION: none" vAlign=center align=left>19 ธันวาคม 2554 16:48 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ
    "หากมนุษย์ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม คิดแต่ตั้งค่า KPI ให้ตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่ภัยธรรมชาติจะบางเบาลง ซึ่งถ้าพูดกันในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเลยนะ อนาคตกรุงเทพฯ อาจจะไม่เหลือ ซึ่งผมก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้น แต่ถ้ากรณีกลาง ๆ อาจจะท่วมบางส่วน หรือท่วมซ้ำ ซึ่งมันตอบยาก แต่ผมเชื่อว่ามันมาแน่ และปีหน้าคงหนักกว่านี้หลายเท่า"

    ผู้เอ่ยประโยคข้างต้น เป็นบุคคลสำคัญที่เกาะติดเรื่องภัยพิบัติมาโดยตลอด และเป็นถึงอดีตนักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซาที่หลาย ๆ ท่านรู้จักกันดีในชื่อ "ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ" นักวางยุทธศาสตร์ และนักบริหารองค์กรแนวพุทธที่ทำให้หลาย ๆ บริษัทชื่อดังประสบความสำเร็จมาแล้วหลายแห่ง ปัจจุบันเป็นคุณพ่อลูกสองที่ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพราะเชื่อว่าเป็นวิถีทางรอดท่ามกลางสังคมโลกที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เห็นได้จากภัยธรรมชาติที่เริ่มส่งสัญญาณความไม่ปกติของโลกถี่ขึ้นเรื่อย ๆ

    "ลูกผมตอนนี้ ผมเตรียมพร้อมพวกเขาในด้านร่างกาย อย่างวิกฤตน้ำท่วมที่ผ่านมา ผมไม่ให้เขาจมอยู่กับทีวี หรืออินเทอร์เน็ท แต่จะพาเขาไปออกกำลังกาย ช่วยผมเลี้ยงสัตว์ ทำสวนในไร่ ที่สำคัญผมเตรียมพร้อมในด้านจิตใจด้วย พาเขาไปทำจิตอาสา ส่วนเรื่องความรู้ไม่ต้องไปสอนเขามาก โรงเรียนกวดวิชาเขาสอนมันกว่าเราเยอะ หน้าที่ของพ่อแม่คือ หาโอกาสพาลูกไปเห็นของจริงนอกบ้านบ้าง เช่น การอยู่ การกิน การใช้ชีวิตกับธรรมชาติ และสอนว่าอันนี้กุศล หรืออกุศล แล้วเชื่อเถอะครับว่า เด็กจะมีภูมิคุ้มกัน และอยู่กับภัยธรรมชาติในโลกอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไรได้อย่างเข้มแข็ง" ดร.วรภัทร์เผยถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมทั้งตัวพ่อแม่และตัวลูก แต่ทุกวันนี้ครอบครัวไทย โดยเฉพาะครอบครัวคนเมืองยังไม่ค่อยตื่นตัวเท่าที่ควร

    "ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ต้องเข้ากรุงเทพฯ ถ้าพาตัวเอง และลูก ๆ ออกไปอยู่ต่างจังหวัดบ้าง ผมมองว่ามีอะไรที่น่าเรียนรู้อีกเยอะมาก อีกอย่าง ผมมีความเชื่อว่า ระบบทุนนิยมสักวันมันต้องสลาย และพังลงไป เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งอำนวยความสะดวกในระบบทุนนิยมก็หายไปด้วย แต่ลูกของพวกคุณถูกฝึกมาให้พึ่งพาเทคโนโลยี พึ่งพาผู้อื่น พึ่งพาห้างสรรพสินค้า ถามหน่อยว่า ถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมาจริง ๆ จะอยู่กันรอดได้อย่างไร" ดร.วรภัทร์ให้ทัศนะหลังจบงานเสวนาคิดใหม่ 2555 อยู่อย่างไร เมื่อภัยพิบัติมาเยือน! ที่มูลนิธิบ้านอารีย์เมื่อเร็ว ๆ นี้

    ดังนั้น ดร.วรภัทร์ เสนอแนวทางว่า ครอบครัวไทยต้องหันกลับมาทำตามสิ่งที่ในหลวงท่านสอน กลับมาสู่พื้นฐาน และใช้ชีวิตโดยยึดหลักความพอเพียง

    "ผมอยากให้พ่อแม่ค่อย ๆ พาตัวเอง และลูก ๆ กลับไปเรียนรู้พืชผักพื้นเมือง และสมุนไพรไทยบ้าง เผื่อวันข้างหน้าเกิดปัญหายาต่างชาติไม่สามารถส่งเข้ามาได้ คุณจะได้รู้จักทำยาจากสมุนไพร หรือไม่ก็หัดไปปลูกเผือกปลูกมันกินกันเอง เพราะข้าวอาจปลูกขึ้นได้ยากแล้วในสภาพอากาศตอนนี้ ที่สำคัญ หัดซื้อของให้น้อยลงบ้าง เลิกฟุ่มเฟือยกันได้แล้ว เพราะในโลกอนาคตเราอาจไม่มีน้ำมันเหลือ ไม่มีไฟฟ้าเหลือ แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไร ถ้าไม่หัดพึ่งตัวเองให้เป็น"


    [​IMG]

    "ถึงเวลาที่คนกรุงเทพฯ ต้องคิดใหม่ได้แล้วครับ ต่างคนต่างอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว อีกอย่างเลิกด่ากันสักที ผมว่าพอเถอะ พอได้แล้ว เรามาเตรียมตัวที่จะอยู่กับภัยธรรมชาติกันดีกว่า สอนลูกสอนหลานให้เตรียมพร้อม และหาที่สำรองในการทำกินไว้บ้าง โดยเฉพาะที่ทางในต่างจังหวัด เพื่อฝึกซ้อม และใช้ชีวิตอยู่กินกับธรรมชาติให้ชำนาญ เวลาเกิดปัญหาจะได้มีที่ทางทำกิน ไม่ใช่พึ่งแต่ร้านสะดวกซื้อ หรือศูนย์การค้าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้" ดร.วรภัทร์ให้หลักคิด

    นอกเหนือจากนั้นแล้ว ดร.วรภัทร์ ยังเป็นห่วงไปถึงระบบการศึกษาไทยที่เน้นสอนแต่เรื่องห่างไกลตัว ทำให้เด็กไม่ค่อยมีทักษะการใช้ชีวิต และการเอาตัวรอดเมื่อต้องอยู่ในสภาวะวิกฤต

    "อย่างใบไม้ ไม่ใช่มีแค่ใบเลี้ยงเดี่ยว ใบเลี้ยงคู่ แต่มันมีแค่ 2 อย่างเท่านั้นเองคือ กินได้กับกินไม่ได้ แต่เราไม่สอนเด็ก ถ้าเกิดเด็กหลงป่า ติดเกาะพวกเขาจะรู้ไหมว่าพืชผักชนิดใดกินได้ หรือกินไม่ได้ เลิกสอนแบบรู้ลึกโง่กว้างกันได้แล้ว ส่วนลูกคนมีเงินเขาก็ไปเรียนโรงเรียนดี ๆ แต่คนจนทำไมต้องไปเรียนวิชาของเศรษฐี ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเราจะสอนคนจนอย่างไรให้เขาเอาตัวรอดได้ วิชาซาเล้งวิทยาน่าจะมี วิชาติดต่อราชการ หรือวิชาลับลวงพรางเพื่อจะได้รู้เท่าทันคนก็น่าจะมีนะ"

    "ดังนั้น ผมอยากให้อาจารย์ที่ออกข้อสอบทำตัวเหมือนชาวบ้านกันหน่อยได้ไหม เลิกอะไรที่มันวัตถุนิยมมากขึ้น สอนเด็กให้อยู่กับความรู้รอบตัวให้มากขึ้น พ่อแม่ควรเข้ามาช่วยร่วมด้วยช่วยกันเพื่อเตรียมพร้อมเด็กรุ่นใหม่ในการรับมือกับภัยพิบัติอย่างมีสติ เพราะเราไม่อาจคาดการณ์อนาคตได้แน่ชัด บางทีพรุ่งนี้ มะรืนนี้ อาจเกิดน้ำท่วมขึ้นอีกระลอกใหม่ก็ได้ หรือแม้แต่แผ่นดินไหวที่ไม่เคยทำพิษรุนแรงในไทยมาก่อนก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน" ดร.วรภัทร์สะกิดใจผู้ใหญ่ในสังคม

    ท้ายนี้ ดร.วรภัทร์ได้แนะนำสถานที่เรียนรู้การพึ่งพาตัวเองที่น่าสนใจคือ "ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณบ้านท่าด่าน ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นครนายก เป็นศูนย์แสดงแนวคิด และทฤษฏีการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสอนให้คนได้รู้จักที่จะใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ สร้างอาชีพสร้างความมั่นคงที่เกิดจากฐานการเรียนรู้การพึ่งตนเองอย่างเป็นขั้นตอน ทุกกิจกรรมเน้นให้ก่อเกิดการเรียนรู้ที่สามารถปรับใช้ได้โดยง่าย แม้แต่ในห้องปัสสาวะชายที่ยังมีระบบการคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีการใช้น้ำประหยัดที่สุด และทำอย่างไรไม่ให้มีกลิ่นเหม็น เป็นต้น

    เมื่อโลกทุกวันนี้ไม่ได้สงบเฉกเช่นเดิม ภัยธรรมชาติมักจะมาได้เสมอโดยไม่บอกกล่าว และไม่มีการเตือนภัย ฉะนั้นอยู่ที่ตัวพ่อแม่ และผู้ใหญ่ในสังคมว่าจะเตรียมตัวเอง และเตรียมลูกหลานเพื่อรับมือ และอยู่อย่างไรเมื่อภัยธรรมชาติมาเยือน เป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


    Life & Family - Manager Online -
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    แทนคุณ จิตต์อิสระ อย่าทำสิ่งที่ผิดจากมโนธรรม

    โดย : อนันต์ ลือประดิษฐ์, ชุติมา ซุ้นเจริญ
    [​IMG]

    จากบันเทิงสู่การเมือง แม้เพียงช่วงสั้นๆ แต่ประสบการณ์เข้ม ทำให้เขาสะท้อนภาพชีวิตส่วนตัว เงื่อนไขการทำงาน และวัฒนธรรมการเมืองได้อย่างน่าสนใจ


    เป็นคนรุ่นใหม่ อดีตนักแสดงพิธีกร วิทยากรและอาจารย์พิเศษ ซึ่งสนใจในพลานุภาพของการเมืองที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ในที่สุด จึงตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก สังกัด "พรรคประชาธิปัตย์" ในพื้นที่เขตดอนเมือง
    แม้จะสอบตก แต่ก็สร้างความฮือฮาให้แก่บรรดากองเชียร์ ด้วยคะแนนโหวตที่สูงเป็นอันดับสอง ไม่ห่างไกลจากคะแนนของแชมป์ การุณ โหสกุล เท่าใดนัก
    อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ กลับมาเป็นข่าวอีกครั้งในระยะนี้ เมื่อ "คม ดอนเมือง" หรือ "ชุติเดช สุวรรณเกิด" คนสนิทที่ทำงานในพื้นที่มาด้วยกัน ถูกสังหารเสียชีวิต ซึ่งมูลเหตุจูงใจของฆาตกรยังไม่ชัดเจน ต้องรอความคืบหน้าจากเจ้าพนักงาน
    ทว่า ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ แต่ผู้ชายคนนี้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วว่า เขาจะไม่ยอมถอย เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคอันยากลำบากนี้ต่อไป จนถึงที่สุด
    ชีวิตพลิกผันมาสู่การเมืองได้อย่างไร
    จริงๆ งานการเมืองเกี่ยวข้องกับงานจิตอาสาที่ทำอยู่ก่อนหน้านี้ พอเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็กระโจนเข้าไปทำอยู่หลายปี อย่างน้อยก็ 6-7 ปีที่ทำงานด้านอาสา จุดเปลี่ยนที่ทำให้เข้าสู่การเมือง คือครูหยุย วัลลภ ตังคณานุรักษ์ ซึ่งตอนนั้นท่านเป็นประธานกรรมาธิการด้านเด็ก-เยาวชน ท่านชวนไปเป็นอนุกรรมาธิการ ก็จะช่วยกันคิดแนวทาง นโยบาย หรือแม้กระทั่งตรวจสอบดูแลกฎหมายบางเรื่อง ทำให้สนใจงานการเมืองมากขึ้น
    จนมีโอกาสทำงานเป็นที่ปรึกษาผู้ว่า (กทม.) ในเรื่องเด็ก เยาวชน และเคยเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สัมผัสกับงานการเมืองในมุมนี้ และถึงคราวตัดสินใจลงสมัคร สส. หลังคราวเกิดเหตุการณ์ชุมนุมและความไม่สงบ
    ตอนผมไปช่วยงานด้านเยาวชน เคยมีโอกาสทำหน้าที่เป็นพิธีกรสัมภาษณ์ คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) จำได้ว่าที่ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็ได้พูดคุยกับท่านในหลายประเด็น เรื่องวิธีคิด การทำงานการเมืองในฐานะคนรุ่นใหม่ รู้สึกมีใจผูกพัน อุดมการณ์หรือความคิดเชิงอุดมคติที่มีต่อบ้านเมือง ความรู้ความสามารถ และโอกาส จังหวะนั้น มันจึงเป็นเหมือนการบรรจบเส้นทางของความคิด มันเกิดขึ้นแล้วค่อยๆ เจริญเติบโตผ่านตัวแบบของคุณอภิสิทธิ์เป็นจุดเริ่มต้น
    ผมไม่เคยคิดทำงานการเมือง อาจจะเคยคิดข้ามช็อตแบบขำๆ ว่าจะเป็นรัฐมนตรี (หัวเราะ) จนมีโอกาสมาทำรายการทีวีทางเอ็นบีที เกี่ยวกับการเจาะลึกครม. ได้สัมภาษณ์ อ.ปณิธาน (วัฒนายากร) ทุกอาทิตย์ ยิ่งสัมผัสงานการเมืองอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นเชิงนโยบาย มติครม.เอย โครงการเอย ... จึงคิดว่า หากผู้บริหารประเทศคิดในแง่บวก คิดในแง่ดีต่อประเทศชาติ มันจะมีผลประโยชน์มหาศาลที่ตกถึงประชาชนจริงๆ
    หลังจากนั้น เกิดเหตุการณ์ปี 53 ขึ้นมา ผมได้รับการชวนให้เป็นหนึ่งในพิธีกรรายการ ซึ่งต้องยอมรับว่าในสถานการณ์นั้น มีความสุ่มเสี่ยงมากทีเดียว แต่ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่า สิ่งที่ผมพยายามสื่อสาร มิได้มุ่งร้ายโจมตีคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เมื่อเป็นการทำงานให้รัฐบาล จึงดูเป็นฝ่ายตรงข้ามผู้ชุมนุมไปโดยปริยาย
    จนกระทั่งวันที่ 10 เมษายน ที่ทำให้ทัศนคติของผมที่มีต่อการเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผมถือว่ามันมีความรุนแรง และมีการใช้การชุมนุม ที่ผมมีความเชื่อว่าเป็นสิทธิพื้นฐานที่เราทำได้ แต่ถูกบิดเบือนไปใช้ในทางที่รุนแรง และเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ผมเสียใจ และทำใจไม่ได้ในการที่มีความรุนแรงแฝงอยู่ รวมถึงข้อมูลข่าวสารที่ขยายไปในทางที่เป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย ต่อประชาชน ผมว่าอันนี้น่ากลัว...
    ผมเคยไปช่วยเพื่อนและช่วยนักการเมืองหลายท่านหาเสียง ผมว่ามันสนุก แต่ก็ทุกข์มากกว่า ต้องตากแดดร้อนๆ และที่สำคัญคือปัจจัยเรื่องเงิน ผมไม่มีเงินมากพอ ถามเพื่อนว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ เพื่อนก็บอกหลายล้านนะ อย่างน้อยๆ ก็ 6-7 ล้าน ผมว่างั้นไม่เอาดีกว่า ถ้าเราต้องเอาเงินที่เราสะสมทั้งชีวิตมาใช้แบบนี้ ถามว่าถ้าใช้ตามกฎหมายล่ะ เขาก็บอกคงไม่ได้มั้ง คงยาก เขาบอกว่าลองดูสิ อย่างผมมีชื่อเสียง น่าจะช่วยได้ในเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่าย ผมก็คุยกับคุณกรณ์ (จาติกวณิช) บอกท่านว่าผมสนใจ นั่นคือครั้งแรกที่ผมเสนอตัว
    ตอนแรก คุณกรณ์ก็งงหน่อย งานที่ทำก็ดีอยู่แล้วนี่ (หัวเราะ) หาเรื่องรึเปล่า จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการอบรม มันจะมีกลุ่ม FTL (Future Thail Leader) มี internship เป็นกลุ่มคนที่สนใจการเมือง มีการอบรม คิดนโยบาย เป็นการทดสอบกึ๋น ซึ่งมีคนเยอะมาก จากพันคนสกรีนเหลือร้อย เป็นกระบวนการที่ประชาธิปัตย์จะปรับลุค ให้เป็น fast and light คือเร็วและเบา จากที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงมันสอดคล้องกับผม ที่ได้เรียนรู้ในเชิงระบบ มากกว่าตัวบุคคล แม้ผมเริ่มต้นจากความประทับใจในไอดอล แต่ผมก็สนใจดูระบบ ดูโครงสร้างพรรคด้วย
    ผมเองไม่ได้เสนอว่าจะลงเขตไหน แต่ในที่สุดผู้ใหญ่หารือกัน สรุปผมได้ลงเขตดอนเมือง เราก็หาข้อมูล รู้ว่าคุณเก่ง การุณ (โหสกุล) อยู่ในพื้นที่ ไปสืบประวัติดู โอเค ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันสำหรับเขตนี้
    ช่วงก้าวออกวงการบันเทิง คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่านักแสดงต้องเล่นตามบทที่เขียนมา น่าสนใจว่าแล้วการมาสู่แวดวงการเมือง คุณจะได้เขียนบทตัวเองจริงๆ หรือไม่
    ผมว่าน่าสนใจนะ เท่าที่ผมสัมผัสจากโครงสร้างของประชาธิปัตย์ ผมพบว่าพรรคนี้ให้อิสรภาพในเชิงความคิดที่หลากหลาย คนตั้งแต่สูงสุดจนถึงล่างสุดสามารถคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ ผมคิดว่านี่เป็นอิสรภาพ แต่จะทำให้อิสรภาพ เป็นเสรีภาพได้ คือมีสิทธิบางอย่างรองรับ มีหน้าที่บางอย่างรองรับด้วย ผมมองเสรีภาพในแง่ความศิวิไล มาพร้อมกับความรับผิดชอบ ซึ่งได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเรา
    พอผมลงไปสัมผัสพื้นที่ ผมเขียนโครงการของผมขึ้นมาเลย "3 สูง" "จิตใจสูง" ส่งเสริมเรื่องคุณธรรมดี "พื้นที่สูง" "รายได้สูง" ผมว่ามันสนุกดี ... แต่พอให้สัมภาษณ์สื่อ เขาเอาคุณการุณมาฟัง จากนั้นคุณการุณก็ให้สัมภาษณ์โต้กลับว่า ผมดูถูกคนดอนเมือง หาว่าคนดอนเมืองจิตใจไม่สูง ผมเลยทำโครงการจิตใจสูงมา
    โอ้โห ! นั่นเป็นเรื่องอคติการเมืองเลยนะ คือผมแยกการเมืองออกเป็น 3 เวอร์ชั่น เวอร์ชั่นที่หนึ่ง การเมืองในความหมายที่บริสุทธิ์ การบริหารบ้านเมือง ธรรมาภิบาล ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลกัน การเมืองในเวอร์ชั่นที่สอง เรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนการเมืองที่สาม คือแบบนี้ เรื่องของการชิงไหวชิงพริบ เล่ห์เหลี่ยม ผลประโยชน์ อำนาจมืดที่แฝงเร้น สำหรับคนไทยแล้ว การเมืองในความหมายที่สามค่อนข้างเยอะ
    เมื่อปะทะกันครั้งนั้น ผมอึ้งเลยครับ เขามีสิทธิจะมองอย่างนั้นนะ แต่มันไม่สะท้อนจิตใจ เจตนารมย์เดิมที่ผมตั้งโครงการนี้ จิตใจสูงของผม เป็นภาษาธรรมะ หมายถึงมนุษย์ที่พัฒนาแล้ว มีจิตใจสูง เนื่องจากผมคุ้นเคยกับงานธรรมะ ผมภูมิใจมากที่คิด "3 สูง" ได้ มันน่าจะเจ๋งมาก แต่เจอโต้กลับมาแบบนี้ ผมอึ้งไปเลยนะ แต่ไม่ท้อใจ แรกๆ ไม่สบายใจ ตอนหลังมานั่งทำใจ และเข้าใจ สงสัยเราไม่รอบคอบ เพราะมีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ดีกว่ามีมิตรที่อ่อนแอ
    การเข้าสู่สนามการเมือง เหมือนคนขี่เสือหรือไม่ จากที่เคยอยู่ในมุมสงบสันติ แต่วันนี้ต้องมาอยู่ในมุมของความวุ่นวาย โกลาหล อลหม่าน
    โอ เรื่องนี้จริงเลยครับ ความวุ่นวายในการเมืองมีมากมายเลย ส่วนจะขี่เสือมั้ย ผมว่าก็ต้องลองขี่กันบ้าง เพราะปกติ คนเราไม่ค่อยมีโอกาสได้ขี่เสือ แต่ถ้าเราขึ้นไปขี่ได้ มันไม่กัดเราหรอก ตราบใดที่เรายังหาทางลงได้ ซึ่งการลงก็มีการลงในเชิงอุดมคติ และเชิงผลประโยชน์ ถ้าเปรียบเป็นเสือ อุดมคติก็ต้องทำให้มันเชื่อง มันรักเรา มันไว้วางใจเรา และหาจังหวะที่จะลง ส่วนเชิงผลประโยชน์ ก็คือต้องหาของให้มันกินก่อน ล่อมัน แล้วมันจะได้ไม่กินเรา
    ในสนามการเมือง ผมเริ่มเห็นความจริงมากขึ้น ความจริงมีตั้งแต่สิ่งที่ดีที่สุด จนถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุด แล้วมันก็ทำให้เรารอบคอบขึ้น สำหรับสนามการแข่งขันในดอนเมือง ผมว่ามันทำให้เราได้เรียนรู้เยอะมากเลย ทุกกลยุทธ์ อย่างผมอ่านสามก๊ก ผมว่าชีวิตจริงคงไม่ได้ใช้มั้ง แต่พอมาการเมือง สามก๊กสามสิบเล่มก็ยังไม่พอที่ใช้กับการเมือง เพราะว่าการวิเคราะห์คน คนที่ทำงานกับเรา เราจะใช้อย่างไร ถ้ามีปัญหา เราจะใช้อย่างไร ทำอย่างไร ไม่ให้บัวช้ำน้ำขุ่น อย่างมีคนบอกว่า คนนี้เป็นไส้ศึก เราควรจะทำอย่างไร ควรหูหนักหรือหูเบา หรือทีมงานทะเลาะกัน จะทำอย่างไร ซึ่งสปอตไลท์ส่องมาที่ผม เขาให้ผมมาดูแลสาขาที่นี่ ถ้าเอะอะโทร.หาผู้ใหญ่ ให้ผู้ใหญ่มาเคลียร์ คุณก็ไม่โตเสียที แต่ถ้าล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกัน ต่อไป คุณจะไม่รู้สึกเจ็บ แล้วคุณก็จะวิ่งได้เร็วขึ้น อย่างน้อยคุณรู้ว่าจะล้มตรงนี้ จะล้มท่าไหน และมันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้ง ทั้งวิธีคิดและประสบการณ์ชีวิต บอกได้คำเดียวว่ามัน
    มีคำพูดว่า คนดีๆ ที่มาเล่นการเมือง ส่วนใหญ่จะต้องแปดเปื้อน คิดว่าจะเปลืองตัวมั้ย

    มันก็เป็นไปได้ อย่างที่บอก อุดมคติ ความคิดสวยหรู บางคนเขียนมาว่า "คุณค่าความเป็นมนุษย์จะลดลงครึ่งหนึ่ง ถ้าเกี่ยวข้องกับการเมือง" (หัวเราะ) เพราะมันจะแบบว่า พูดอย่าง คิดอย่าง ทำอย่าง ซึ่งผมก็พยายามประคองสติ สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็สะท้อนสิ่งที่เขาพูดมา มันก็จริง เพราะขณะที่เราพยายามทำอะไรคลีนๆ ไม่ปะทะ มันก็ทำไม่ได้ เพราะมีคนจ้อง มันต้องเป็นศัตรูกันโดยไม่รุ้ตัว แต่ผมคิดว่าถ้าเราไม่สร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดความแข็งแรงทางจิตวิญญาณได้ มันก็ไม่สามารถจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ดีขึ้นได้
    อย่างที่เขาบอกว่า "คนดีระบบดีนั้นดีแน่ คนดีระบบแย่ต้องแก้ไข คนแย่ระบบดี ไม่นานก็ไป คนแย่ระบบแย่ ก็วุ่นวายเอย" ... เพราะฉะนั้น คนกับระบบสัมพันธ์กัน อุดมคติ เราอยากช่วยอยากจะรับใช้ เวลาไปลงพื้นที่ สมมติเขามีของเป็นน้ำยาล้างจานวางขาย ตอนนั้นยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาฯ เป็นตอนไปเยี่ยมชุมชน "นี่ท่านผู้สมัครฯ ช่วยซื้อหน่อย" ถามขวดเท่าไหร่ "10 บาทเอง" ไอ้ผมก็เบี้ยน้อยหอยน้อย ผมซื้อ 2 ขวด เขาก็มองผมแบบตกใจเลย ผมอึ้งไปพัก ลูกน้องก็กระซิบว่าต้องช่วยเขาเหมา ก่อนนี้มีคนมา เขาเหมาหมดเลยนะ ตรงนั้น เขาวางอยู่ 50 ขวด (หัวเราะ) ลูกน้องผมเลยบอกว่าเหมาเลยครับ เหมาเลย ผมก็เลยควัก 500 บาทจ่ายเขา ก็อึ้งไปพักหนึ่ง
    ก็กลับมาทบทวนว่า เกิดอะไรขึ้น ระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึกจนกลายเป็นปกติ อย่างที่บอก คนทำงานการเมืองต้องมีตังค์ คนไม่มีตังค์ทำไม่ได้ บางทีคนที่ทำงานการเมืองที่มีตังค์ ถึงไหนถึงกัน จ่ายเท่าไหร่ก็ได้ บางทีเงินนั้นอาจไม่ได้มาโดยวิธีสุจริตนัก ภาษีสังคมสูง ไหนจะต้องมีพวงหรีดไปทุกวัด นักการเมืองบ้านเรายังวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ทั้งงานแต่ง งานบวช งานศพ เมื่อผมมาทำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ พบว่าปีๆ หนึ่งเราเสียงบประมาณให้แก่นักการเมืองเยอะมาก แล้วเขาบริหารเงิน อย่าง สส.คนหนึ่ง 4 ปี ตั้งหลายพันล้าน
    เราจะออกไปไกลจากวงจรนี้ได้อย่างไร เพื่อให้นักการเมืองทำงานที่มีคุณค่ามากกว่านั้น
    นี่แหละ เป้าหมายของผมมี 2 ระยะ เป้าหมายระหว่างทาง กับเป้าหมายปลายทาง เมื่อผมไปถึงจุดที่ผมมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลง ผมก็จะเปลี่ยนแปลง ถ้าผมไปถึงวันนั้น ไม่ตายไปเสียก่อน กับเป้าหมายระหว่างทาง ผมจะพยายามประคองชีวิตตัวเอง ไม่ให้ไกลจากสิ่งที่ผมเรียกว่ามโนธรรม วันที่ผมไปกราบลาหลวงปู่พุทธอิสระ ในวันที่ผมจะไปลงสมัคร ถามท่าน ท่านบอกว่า อย่าทำสิ่งที่ผิดจากมโนธรรม ซึ่งคำนี้เป็นสติสำคัญมาก
    อย่างเวลามีใครมาติดต่อ ซื้อเสียงหน่อยมั้ย มีเอเจนท์มาหา ชุมชนนี้ทั้งหมดเขาเคลียร์ได้ อย่างผมก็มีความทะเยอทะยานของคนหนุ่ม ชัยชนะเราก็หวังเป็นธรรมดา มันก็เกิด conflict ขึ้นมา แล้วก็จะมี angel กับ devil มาเกาะที่บ่า angel บอกว่า ไม่ได้หรอก ส่วน devil ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ใครๆ ก็ทำกัน ทำแล้วอาจจะชนะ ชนะแล้วค่อยไปเปลี่ยนแปลงก็ได้ นั่นทำให้เราขัดแย้งกัน ถึงจะมีมโนธรรม แต่อีกด้านหนึ่งก็บอกว่าชัยชนะมีโอกาสเป็นไปได้
    คำถามคือ หากเราทำ แล้วเราจะแตกต่างอย่างไรจากคนอื่นๆ ถ้าเราได้ชัยชนะตรงนั้นมา เราจะมีมลทินในใจ เวลาจะพูดอะไร มันก็พูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ ตรงนี้ทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่าการเมืองลึกซึ้งขึ้น หมายถึงความเคารพกฎหมาย เคารพกฎระเบียบ รู้ถึงดีชั่วถูกผิด โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาตรวจสอบมาตัดสิน คุณผิดนะ คุณถึงจะผิดจริงๆ แต่เมื่อคุณทำสิ่งที่ผิดจากมโนธรรมคุณแล้ว ต่อให้ใครชมว่าคุณถูก คุณก็ยังผิดอยู่ดี นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่าวุฒิภาวะทางประชาธิปไตย
    แต่การแยกแยะนั้น บอกได้คำเดียวว่ายาก ผมต้องใช้ประสบการณ์ทำงานกว่าสิบปีจากวงการอื่นมากลั่นกรอง มาใช้ตัดสิน กับวงการการเมืองเพียงไม่กี่วินาที มันแหลมคมมาก หากผมตัดสินใจจ่ายเงินไปในเวลานั้น ผมอาจจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งเลย ผมอาจจะต้องหากิน หาเงินหาทองมาทดแทนส่วนที่ผมไม่มี
    จากผลตอบรับ คะแนนสามหมื่นกว่า คุณรู้สึกอย่างไร
    สามหมื่นหกร้อยกว่าคะแนน ถือว่าดีมากเลยนะครับ ผมเดินจริงๆ อยู่ 40 กว่าวัน คือมิติการเมือง มันเป็นประสบการณ์ที่สั่งสม เป็นโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่หลักๆ เลย เป็นเรื่องอุดมการณ์ กับผลประโยชน์ อุดมการณ์คือประชาชนต้องการประชาธิปไตย มีสิทธิมีเสียง ส่วนเรื่องผลประโยชน์ คือเรื่องนโยบาย ตั้งแต่นโยบายประเทศของแต่ละพรรค เรื่องการปลูกฝังค่านิยม ความสัมพันธ์ของนักการเมืองกับประชาชนในแง่ต่างตอบแทนอุปถัมภ์กัน
    ในความคิดของผม ตรงนี้ต้องแยกให้ชัดว่านักการเมืองคือคนที่อาสามาทำงานเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ผมไม่อยากเห็นนักการเมืองต้องรวย ถ้านักการเมืองไม่ต้องใช้เงินผ่านระบบอุปถัมภ์ นักการเมืองก็ไม่ต้องคอร์รัปชั่น ถ้าเขาไม่ต้องใช้จ่ายในค่าภาษีสังคมต่างๆ และประชาชนไม่ควรจะคาดหวังจากนักการเมืองว่า ต้องมีพวงหรีดงานศพมาให้ ต้องไปงานบวชงานแต่งทุกครั้ง นักการเมืองควรมีผลงานในเชิงนโยบายมากกว่า ว่าเขาผลักดันกฎหมายที่เป็นธรรมต่อประเทศมั้ย

    ระหว่างเวลาสาธารณะกับเวลาส่วนตัว คุณจัดสมดุลกันอย่างไร

    คนเรามีเวลา 4 ส่วน ส่วนแรกคือส่วนตัว ส่วนที่สองคือครอบครัว ส่วนที่สาม คือหน้าที่การงาน และส่วนที่สี่คือ สังคม ผมโชคดีที่ในเรื่องของส่วนตัว ผมอยู่ในโลกของความคิดสูง จนผมไม่คิดว่าต้องการมันอีก หมายความว่าเวลาผมขับรถ ผมก็สามารถคิดอะไรของผมได้ เป็นโลกส่วนตัวของผม แล้วหลังจากนั้น ผมก็จะปิดสวิตช์แล้วไปทำงาน แล้วกลับมาบ้าน ช่วงเวลาเดินทางก็ยังมีโอกาสได้คิดอะไรส่วนตัว พออยู่กับครอบครัว ก็ใช้เวลากับครอบครัว คือในที่สุด มันเป็นช็อตบางช็อต อาจจะมีแล็ปกันบ้าง แต่ไม่มีเวลาแบบว่า เอาล่ะ ตอนนี้ฉันจะใช้ชีวิตกับครอบครัวนะ ถ้ามีใครโทร.มาฉันจะไม่รับ ฉันจะปิดสวิตช์เด็ดขาด ไม่มีเลย อย่างช่วงน้ำท่วม บางทีโทร.มาตี 3 ตี 4 อยากให้มาช่วยอพยพคน เราก็ประสานงานทันที เพราะมันเป็นการบริหารความศรัทธา หากเขาเชื่อเรา เราก็ควรประคองศรัทธาให้ได้ ซึ่งการจะทำงานใหญ่ได้ ใจมันต้องใหญ่ด้วย
    มีเอาท์พุทออกไปตลอด แล้วใช้วิธีการใดอินพุทตัวเอง
    อันนี้สำคัญมาก ตอนแรกก็อ่านหนังสือ แต่พอมันล้าๆ มากก็ไม่ไหว หลังๆ ติดทวิตเตอร์ ติดโซเชียลมีเดีย แต่ตอนนี้เริ่มคลายลงแล้ว ทีวีก็ไม่ค่อยได้ดู ตอนนี้ที่ใช้มากที่สุด คือการนั่งสมาธิ เป็นสแน็บช็อตแบบเล็กๆ 2-3 นาทีทุกครั้งที่เหนื่อยมากๆ แล้วมันน่าสนใจตรงที่ ทุกครั้งที่เราไม่เอาท์พุต สิ่งที่เราสะสมอยู่ข้างใน ที่เรียกว่า "จิตเดิมแท้" มันผุดขึ้นมา เหมือนความสงบที่เราดื่มด่ำ ปีติในใจ แล้วมันเต็มพลัง มันคล้ายๆ การลบเอาความทุกข์ออกไป ความสุข ก็อยู่ตรงนั้น แค่พลิกจิต
    ตรงนี้ทำให้อินพุทที่เราเข้าใจกัน คือข้อมูลข่าวสาร แต่ผมกลับพบคำใหม่ จาก knowledge ก็เป็น knowing การรู้ บางทีมันไม่ใช่ความรู้ ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ แต่เป็นสิ่งที่เรากลับไปสู่พื้นฐานในใจเรา จนถึง know คือรู้นิ่งๆ ว่าจิตขณะที่กำลังอ่อนล้ามาก
    พลังของการเจริญสติที่ต่อเนื่องกัน แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ มันจะเป็นสมาธิที่เติมเต็มกุศลเซลล์ เซลล์เราจะเป็นกุศลมากขึ้น จะเป็นการชาร์จแบต
    หลังเลือกตั้ง คุณยังลงพื้นที่ต่อเนื่อง ?
    ต่อเนื่องครับ มันเป็นความผูกพัน ความไว้วางใจ อย่างน้อยก็ 3 หมื่นกว่าคน อาจจะไม่ถึงครึ่ง (ของคนที่ลงคะแนนเสียงครั้งที่ผ่านมา) ผมไม่คิดว่ามันจะมากขนาดนั้น เขาโทร.มาขอความช่วยเหลือ เราไม่มีอะไร ไม่มีบทบาทไม่มีตำแหน่ง ไม่มีเงินเดือน แต่ถ้าปฏิเสธเขา แล้วความรู้สึกล่ะ ? คือเขาบอกว่าไม่อยากไปขอความช่วยเหลือจากทางโน้น อยากจะขอจากเรา ... เราก็พยายามพิสูจน์ว่า ถึงเราไม่มีเงิน แต่เรามีแรงและมีใจ ก็ลองทำดู ก็ได้ผล อย่างน้ำท่วม เราก็ช่วยกันขอบริจาค ขอเครื่องสูบน้ำ เจรจาขอเปิดถนน ... ผมเชื่อว่าเขาคงเห็นในศักยภาพว่าเราใช้สติและปัญญามากกว่าเงินตราเป็นตัวตัดสิน
    แต่การจะเปลี่ยนโครงสร้างใหญ่ทั้งหมด ที่เงินเป็นสัญลักษณ์ที่มีอานุภาพในเรื่องของการเข้าถึง ในลักษณะของการต่างตอบแทน - ก็ต้องใช้เวลา
    เหนื่อยหรือท้อไหม ยิ่งในช่วงที่ต้องสูญเสียเพื่อนร่วมงานเช่นนี้
    โอ ! เหนื่อยครับ อันนี้เป็นเรื่องที่ผมเศร้าสลดที่สุด ถือว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ เป็นอันดับสองรองจากการสูญเสียคุณพ่อ เหมือนเราผูกพันกัน และเค้าก็มีลักษณะเหมือนพ่อผมบางอย่าง ใจนักเลง พูดจาโผงผาง สนิทกันมาก กอดคอทำงานด้วยกัน เป็นคนที่เหมือนจะให้ความคิดลึกซึ้งอะไรแก่ผมไม่ได้ เพราะแกพูดอะไรโผงผาง แต่บางครั้ง ความคิดของผมกลับดูต่ำต้อยมากเมื่อคุยกับเขา คือเขารู้เรื่องเยอะ แต่เขาพูดแบบให้ผมคิดเอง ทีแรกเราเคยคิดว่าเรามีการศึกษาสูง แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย ประสบการณ์และความตั้งใจในการทำงานรับใช้ผู้คนต่างหาก ที่ทำให้คนเป็นคนจริงๆ

    เคยหมดศรัทธาในความเป็นมนุษย์ไหม
    เคยมีบ้าง แต่ที่สุดแล้วก็ได้ศาสนานี่แหละ ช่วยประคองว่าเราไม่ควรดูถูก มองคนในแง่ลบแง่ร้าย ผมถือว่า กว่าจะเกิดเป็นคน มันสุดยอดแล้ว มันเกิดได้ยากมาก แม้คนจะมีเยอะแยะและหลากหลาย แต่คนก็ต้องสั่งสมบารมี ถึงจะมีโอกาสมียศมีตำแหน่ง ถือว่าเป็นกรรมดีที่หนุนหลัง เป็นบุญกุศลที่ส่งเสริมมา ถ้าเราอยากจะแข่งขัน เราต้องไม่ทิ้งประเด็นเหล่านี้ คือต้องดีงามจากภายในจริงๆ ด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ดีภายนอก สร้างภาพ แล้วภายในเราทุกข์ คือทำความชั่ว มันจะทุกข์อยู่ภายใน แล้วไม่มีใครรู้ดีเท่าใจเรา ต่อให้เรามีหน้าตายิ้มแย้ม มันก็จะเป็นไฟที่เผาอยู่ข้างในตลอด
    มีความกลัวเกิดขึ้นหรือไม่ หลังจากเหตุการณ์รุนแรงนี้
    บางความรู้สึกก็หวั่นๆ แต่ไม่ถึงกับกลัว คือกลัวมันจะรู้สึกหดหู่ จะไม่อยากทำอะไร แต่หวั่นๆ อืมม์ มันมาขนาดนี้เลยเหรอ แต่มีความกล้ามากกว่าความหวาดหวั่นนั้น คือมองออกไป เห็นคนที่เขาหวังในตัวเรา แววตาเขา เขากลัว เขาไม่มีที่พึ่ง สามีของเขาจากไป ลูกเมียเขาบอก พี่ช่วยนะๆ วันที่แฟนเขาเสียชีวิต เขาจับมือเราแล้วร้องไห้ เรารู้สึกเหมือนวันที่เราเป็นลูก แล้วเราสูญเสียพ่อไป วันที่เราต้องการใครสักคน มีความหวัง แล้วมือนั้นจับเราแน่นมาก เหมือนเขาฝากทั้งชีวิตไว้กับเรา ถ้าเราแค่สบัดมือปล่อยไป มันเหมือนเราอาจจะตัดภาระทุกสิ่งทุกอย่างได้ง่าย แต่มันจะมีภาระที่ใหญ่กว่านั้น คือความรู้สึกผิดที่จะคอยหลอกหลอนเราไปตลอด ว่าอย่าเห็นแก่ตัว อย่าทิ้งคนอื่น ที่เขารักเรา เขาช่วยเรา ทุกวันนี้ ภาพของพี่คม (ชุติเดช สุวรรณเกิด) ที่เขาช่วยเรา ทำงานกับเรายังติดตามผมตลอดเวลา และยังบอกผมว่า สู้นะ เขาจะบอกผมตลอดว่า คุณสู้นะ ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้หายไปไหน เขาได้เปลี่ยนมาเป็นพลังให้กับผม ว่าผมต้องสู้
    แล้วครอบครัวของคุณ ?
    ภรรยาผมร้องไห้ วันหนึ่งเขาโทร.มาบอกว่า เขากลัวจะสูญเสียผมไป เขาหายใจไม่ออก เขาอึดอัด เขาตกใจกลัว แม่ผมไม่สบายใจ พี่สาวผมยิ่งพารานอยด์มาก โทรศัพท์ส่งเมสเสจมาทุกชั่วโมง ตอนที่รู้ข่าวแรกๆ บอกให้ถอย ให้หาคนคุ้มกันเถอะ โทรไปหาคนร่วมงานผม ให้ผมถอย ชีวิตเรามีค่านะ ทำอะไรเพื่อบ้านเมือง ยังทำได้อีกเยอะ ซึ่งแปลกตรงที่ว่าผมรู้ทุกอย่างนะ แต่ผมเลือกที่จะสู้ต่อไป ผมบอกไม่ถูกนะ คือเขาไม่อยู่ในจุดที่ผมอยู่ ความหวังของคนที่ไม่มีความหวัง แล้วเขาหวังกับเรา เป็นความหวังที่แม้จะน้อยนิด แต่ก็ยิ่งใหญ่มากเกินกว่าเราจะทำลายความหวังนั้นได้ เราก็ต้องมุ่งไปสู่ทิศทางที่ดีกว่า ว่าเราต้องเชื่อมั่นในความหวัง ว่าเราจะสามารถคลี่คลายปัญหานี้ได้ .... ผมได้ข่าวว่า ผมจะเป็นคนต่อไปนะ แต่ผมก็เฉยๆ คนเราเกิดมาต้องตาย ขอเพียงเราบริสุทธิ์ใจ มโนธรรม สำนึกในใจ จะบอกเราเองว่า เราอยู่ได้-อยู่ไม่ได้ ควรอยู่หรือไม่ควรอยู่.

    http://www.bangkokbiznews.com/home/...ุณ-จิตต์อิสระ-อย่าทำสิ่งที่ผิดจากมโนธรรม.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2011
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    นักผจญภัย (พิบัติ) พงศกร พัฒผล

    โดย : ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี
    [​IMG]
    ตลอดระยะเวลาที่ "น้ำ" ยังปรากฏชัดอยู่ในแผนที่ประเทศไทย

    ก้อง - พงศกร พัฒผล ถือเป็นอีกหนึ่งอาสาสมัครคนหนึ่งที่ลงพื้นที่ร่วมกับเครือข่ายอาสาต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยค่อนข้างถี่พอสมควร

    อีกทางหนึ่ง เขาคือเจ้าของเว็บไซต์ Thailand Survival ที่นอกจากจะขายอุปกรณ์ยังชีพในป่า หรืออุปกรณ์เฉพาะทางสำหรับภาวะภัยพิบัติแล้ว ยังมีพื้นที่สำหรับแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกับภัยพิบัติ ซึ่งก็มีสมาชิกแวะเวียนเข้ามาพูดคุยกันอย่างสม่ำเสมออีกด้วย

    "วันนี้คนไทยพึ่งพาตัวเองน้อยลงครับ" เขาออกความเห็น

    ชุดความรู้ และการพึ่งพาตนเองเพื่อเตรียมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิด หรือไม่เกิด จึงเป็นสิ่งที่เขารณรงค์ผ่านกระดานสนทนาบ่อยครั้ง

    พอๆ กับการมองภัยพิบัติครั้งนี้ผ่านสายตานักผจญภัยคนหนึ่ง

    ...มีอะไรบ้าง
    หันมาทำ Thailand Survival ได้อย่างไร

    ก่อนหน้านี้ผมเรียนหนังสือ ปริญญาตรี แต่เรียนช้ากว่าคนอื่น ก็เลยมีเวลาว่างไปเที่ยว ผมชอบการท่องเที่ยว เดินป่า ทำกิจกรรมผจญภัย ผมเดินป่ามาเกือบ 10 ปี ดอยหลวงเชียงดาว ทุ่งใหญ่นเรศวร ผืนป่าตะวันตก ขี่จักรยานเสือภูเขา ดำน้ำสกูบ้า ก็ชอบ อะไรที่เป็นผจญภัยชอบหมด ยกเว้นปีนหน้าผา เพราะเราตัวใหญ่ (หัวเราะ) แต่อย่างอื่นทำหมด อย่าง ดำน้ำ เรียนจนถึงขั้นเป็นไดฟ์มาสเตอร์ของบริษัทหนึ่ง

    หลังจากเกิดสึนามิก็เลยหยุดไป เพราะที่บ้านเป็นห่วง ก็กลับมาเรียนหนังสือ ช่วงนี้ก็เลยมีเวลาไปออกค่ายอาสา เช่น ไปสร้างโรงเรียนกับกลุ่มออฟโรด ไปทำสตาฟฟ์เดินป่านิดหน่อย เพราะเราเป็นคนที่ชอบผจญภัยตลอดเวลา

    Thailand Survival เริ่มจากหลังเหตุการณ์สึนามิ เราคิดว่าภัยธรรมชาติมันเปลี่ยนไป บังเอิญว่าเราเป็นคนที่สนใจอุปกรณ์เดินป่า การเอาตัวรอด หรืออุปกรณ์ด้านภัยพิบัติ ซึ่งจริงๆ สองเรื่องนี้ไม่ค่อยต่างกันนะครับ สามารถประยุกต์ใช้ด้วยกันได้ พอดีเข้าไปเล่นบอร์ดเดินป่าบอร์ดหนึ่ง แล้วมีคนตั้งกระทู้ว่า เราจะเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติได้อย่างไร ก็เลยลองเข้าไปดูรายละเอียดในต่างประเทศ อย่างญี่ปุ่น หรืออเมริกา ซึ่งเขาจะมีความชัดเจนกว่าบ้านเราที่ไม่มีอะไรเลย การศึกษาตรงนั้นทำให้เป็นจุดเริ่มต้นในการทำเว็บไซต์

    ทำไปทำมา เนื้อหาของเรามันไม่ใช่เรื่องของการขายของ แต่เป็นเหมือนห้องสมุด และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ เหมือนรณรงค์ให้คนเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติ อันที่จริงเนื้อหาหลักของการเอาตัวรอด ก็คือการพึ่งพาตนเอง อย่างภัยพิบัติในครั้งนี้ คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าใจเรื่องแผนชัดเจนว่า รัฐจะทำยังไง มีกฎหมายรองรับอะไร แล้วคนไทยค่อนข้างที่จะประมาท เราพึ่งพาตัวเองน้อยลง ก็รณรงค์ให้คนรู้จักเตรียมป้องกันตัวเอง ทำให้รู้ตัวเองมากขึ้น

    อะไรที่ทำให้คุณมองว่า คนไทยวันนี้พึ่งพาตนเองน้อยลง

    หลายๆ อย่างจากที่เราประสบมา เช่น การทำงานต่างๆ บางครั้งขาดการป้องกัน เอาง่ายๆ บางทีมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติ อย่างเรื่องการตรงต่อเวลา วินัยการใช้ชีวิตต่างๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกว่า คนไทยยังประมาท ที่เห็นชัดๆ ช่วงน้ำท่วมนี่แหละ คนที่ไม่ยอมอพยพก็มีเยอะ แต่ก็อยู่ได้ด้วยของบริจาค เท่านั้น บางทีก็ออกมาโวยวายกับสื่อว่าไม่มีใครมาช่วย เราจะเป็นลักษณะนี้เสียเยอะ ตัดไฟไม่ได้ ยังหุงข้าวไม่เป็น ทั้งๆ ที่ก็เสี่ยงต่อการถูกไฟดูด

    สำหรับกลุ่มคนที่ศึกษาเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเขาเชื่อว่าจะมีภัยพิบัติเกิดมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้เชื่อตามหลักไสยศาสตร์ คำบอกเล่า หรือความเชื่อ แต่เชื่อในแนววิทยาศาสตร์ว่า เราเห็นความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้ตลอดเวลา จะทำยังไงที่ภัยมาแล้ว เราไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมดก็จริง แต่เราจะทำความเดือดร้อนให้กับตัวเองน้อยที่สุดได้ยังไง นั่นก็คือหลักการเบื้องต้น

    ภัยพิบัติสำหรับคุณคืออะไร

    สถานการณ์ที่คาดไม่ถึง และบอกไม่ได้ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ (ยิ้ม) เพราะการพึ่งพาตนเองของเราในแง่ภัยพิบัติ อาจจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินไหว จลาจล หรือก่อการร้าย ทุกอย่างเป็นภัยพิบัติหมด แต่ทีนี้จะทำอย่างไรให้เราอยู่ได้ พึ่งพาตนเองได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้เลยว่า มันจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ จะรุนแรงขนาดไหน แต่ถ้าเราเตรียมพร้อมไว้ หากไม่เกิด ก็ไม่เสียหายอะไร

    มีคำแนะนำไหมว่า ควรเตรียมตัวอย่างไร

    ผมว่ามันเป็นเรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านะ แล้วก็การตัดสินใจ เพราะเราต้องคิดบนพื้นฐานที่ว่า เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร รุนแรงแค่ไหน เพียงแต่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ว่า เมืองไทยเรามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ่อย เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม หรือแผ่นดินไหว ที่เคยเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้เราก็ควรต้องศึกษาเอาไว้แล้ว

    สำหรับการเตรียมตัวก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคนครับ อย่างผมเป็นคนที่ชอบผจญภัย ทำกิจกรรมผาดโผนมาเยอะ ตรงนี้มันทำให้ เมื่อเวลาเกิดสถานการณ์ที่มันวิกฤติมากๆ คนที่มีประสบการณ์ก็จะจัดการตัวเองได้ดีกว่า คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาเลย

    อย่างที่นครสวรรค์ มันถือเป็นความโกลาหลมากๆ ตอนนั้น เป็นวันแรกๆ ที่น้ำกำลังท่วมแถบนครสวรรค์ เราก็เข้าไปเพื่อจะเก็บภาพออกมาระดมความช่วยเหลือ แต่วันนั้นเป็นวันที่ทุกคนหนีตาย น้ำกำลังมาพอดี น้ำขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดเทศบาลนครสวรรค์ เราเห็นการอพยพ ใครขนอะไรได้ขน แล้วเรือรับจ้างเต็มไปหมดเลย

    จังหวะนั้นมันเป็นการตั้งสติ คือต้องมีความใจเย็นระดับหนึ่งนะ ผมมองว่าช่วงนั้นเราคือคนนอกที่ต้องการจะเข้าไป แต่เราต้องให้เกียรติคนพื้นที่น่ะ เพราะเราเห็นความจำเป็นของการใช้เรือ แล้วเราก็ต้องตัดสินใจว่าสถานการณ์อย่างนี้จะวางบทบาทตัวเองอย่างไร วันนั้นเราทำเรื่องขอใช้เรือเทศบาลที่จะขนถุงยังชีพลงพื้นที่ไปแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัย แต่ช่างไฟเขาต้องการตัดไฟ เรามองว่าตรงนี้สำคัญกว่า ก็ให้เรือเขาไปใช้ตัดไฟก่อนเลย

    ต้องเรียงลำดับความสำคัญให้ได้ว่า อะไรมาก่อน-หลัง การช่วยชีวิต ความปลอดภัย ประสบการณ์ที่เราผจญภัยมาตลอด มันสอนอยู่แล้วว่า ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก

    หรือที่ลพบุรี วัดถ้ำช้างเผือก การเดินทางก็ต้องลำเลียงเฮลิคอปเตอร์เข้าไป แต่ด้วยความที่เราขาดประสบการณ์ ตรงนี้ ถ้ารู้ว่าเฮลิคอปเตอร์ลำเล็ก แล้วในพื้นที่มีโรงครัวฉุกเฉินอยู่ เราก็คงจะเอาแต่อาหารสดเข้าไป ไม่ขนถุงยังชีพขึ้นไปแน่นอน แต่ด้วยความไม่รู้ ถุงยังชีพขึ้นได้แค่ 10 ถุง ของสดอีก 4-5 ถุง บวกคนอีกก็เต็มแล้ว

    ทั้งหมด มันสอนเราว่า ตัวผู้ประสบภัยนอกจากจะต้องเรียนรู้การพึ่งตนเองเป็นอันดับแรกแล้ว คนที่ให้ความช่วยเหลือก็ต้องรู้จักลำดับความสำคัญด้วย อีกทั้งยังต้องให้เกียรติกับคนในพื้นที่ เพราะยังไงเราก็เป็นคนนอก ถึงจะมีพาหนะ มีอุปกรณ์ มีความพร้อม แต่เราไม่รู้พื้นที่ คนพื้นที่สำคัญที่สุด เราเจอปัญหาหลายๆ ครั้งที่อาสาสมัครด้วยความที่อยากช่วยมาก ของบริจาคต้องไปถึง อยากเอาไปให้ด้วยตัวเอง แต่คุณไม่มองถึงความปลอดภัย นั่งเรือเข้าไป ล่มปุ๊บ อ้าว ใครรับผิดชอบคุณล่ะ กู้ภัยก็ต้องมานั่งช่วยคุณ กลายเป็นเพิ่มภาระไปเสียอีก

    จริงๆ แล้ว ชาวบ้านที่ประสบภัยอยู่ได้ไหม

    คนต่างจังหวัดจริงๆ อยู่ได้ด้วยวิถีชีวิตของเขาอยู่แล้ว อย่างตอนดินถล่มที่ภาคเหนือเมื่อปีก่อน จากที่ได้ฟังทีมที่ได้เข้าไปช่วยเหลือผมก็มานั่งคิด... คือ เป็นอาสาสมัครเดินเข้าไปในพื้นที่ เป็นป่าไป-กลับ 4 วัน เพื่อไปช่วย แต่จริงๆ ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ขนาดนั้น อย่างน้อยเขาก็ต้องมีวิถีชีวิตที่อยู่ร่วมกับป่าได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว บางทีมันก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า การไปครั้งนั้นตกลงคุณไปเที่ยว หรือคุณไปช่วย คือ บางทีเรามองปัญหาไม่ออก บางพื้นที่ไม่ต้องเอาของกินก็ได้ แค่เอาอุปกรณ์ไปให้ก็พอ หรือบางครั้ง ไม่ต้องแยกถุงยังชีพเป็นถุงๆ วัตถุดิบบางพื้นที่ให้รวมๆ ไปก็ทำด้วยกันได้
    ถ้าอย่างนั้น ประสบการณ์จากการเดินป่า หรือทำกิจกรรมผาดโผนเอามาใช้ในสถานการณ์อย่างนี้ได้อย่างไร

    เดินป่าทำให้เราได้รู้จักการผจญภัย ได้รู้จักรูปแบบการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ไม่ต้องพึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะ คุณต้องเรียนรู้ว่า มีดเล่มหนึ่งใช้ทำอะไรได้บ้าง บางครั้งการลงพื้นที่ มีดแค่เล่มเดียวก็สามารถแทนอุปกรณ์ต่างๆ ได้หลายอย่างเหมือนกัน หากเรารู้จักประยุกต์ใช้ เพราะบางทีการขนอะไรไปเยอะๆ มันก็กลายเป็นภาระเรามากกว่า

    หรืออย่างผ้าขาวม้าผืนเดียวก็สามารถใช้ทำอะไรได้เยอะแยะ เช่น กรองตะกอนน้ำ กันฝน ผูกเปลนอน สิ่งเหล่านี้ บางครั้งเราต้องเผชิญสถานการณ์เฉพาะหน้าเองถึงจะรู้ ที่สำคัญการเดินป่าทำให้เราตั้งสติ รู้จักตัดสินใจ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ การคิดเป็นระบบมากขึ้น

    แต่ละครั้งที่ทำงานอาสา หรือเดินป่า คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง

    มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมากนะ (หัวเราะ) ทุกคนมาทำด้วยใจ มองเห็นเรื่องน้ำใจ นี่ถือเป็นอัตลักษณ์ของคนไทยเลยนะครับ งานอาสาไม่ได้เกิดจากเราคนเดียว แต่ทุกคนมาช่วยกัน มันก็สำเร็จได้มากกว่า สิ่งต่างๆ นานา อย่างเราให้สิ่งของกับชาวบ้าน ความสุขทางใจมันเป็นผลพลอยได้ แต่การทำงานจิตอาสาเราช่วยกัน แล้วเห็นน้ำใจ มองเห็นพลังความร่วมมือมากกว่า

    http://www.bangkokbiznews.com/home/...17/424578/นักผจญภัย-(พิบัติ)-พงศกร-พัฒผล.html
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ยกย่อง'ไทย'ชาติใจบุญที่สุดในโลก!!

    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: 'Times New Roman'; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>21 ธันวาคม 2554 04:02 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ภาพความร่วมมือร่วมใจของไทยระหว่างวิกฤตอุทกภัยกอบกู้ภาพลักษณ์ของคนไทย จนติดอันดับชาติใจบุญที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
    บีบีซี/ASTVผู้จัดการ - เผยสหรัฐฯเป็นชาติที่บริจาคเงินและอุทิศตนเพื่อการกุศลในปี 2011 มากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าภูมิใจอย่างยิ่งเมื่อหากนับเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรแล้ว ชาติที่ใจบุญที่สุดในโลกก็คือ "ประเทศไทย"

    มูลนิธิช่วยเหลือการกุศลแชริตี เอด ฟาวน์เดชั่น(ซีเอเอฟ) แห่งสหราชอาณาจักร เปิดเผยผลการสำรวจและจัดอันดับหัวข้อประเทศใจบุญที่สุดในโลกแห่งปีหรือ เวิลด์ กีฟวิ่ง อินเด็กซ์ 2011 ที่จัดอันดับตามเงื่อนไขของการบริจาคเงินและการอุทิศตนเพื่อการกุศลของชาตินั้นๆ

    พบว่าชาติผู้บริจาคเงินและอุทิศตนแก่การกุศลมากที่สุดในโลกในปี 2011 ได้แก่สหรัฐฯ หลังขยับขึ้นมาจากอันดับ 5 ของปีที่แล้ว ส่วนอันดับสองคือไอร์แลนด์ ตามด้วยออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหราชอาณาจักร ที่รั้งอันดับ 3,4และ5 ตามลำดับ

    สำหรับประเทศไทยติดอยู่ในอันดับ 9 ชาติผู้ใจบุญที่สุดในโลกและเป็นอันดับ 2 ของเอเชียตามหลังศรีลังกา ขยับขึ้นจากอันดับที่ 25 ของปีก่อน จากภาพลักษณ์ของคนไทยที่กลับมาช่วยเหลือกันและกัน โดยเฉพาะเหตุอุทกภัยที่ผ่านมา รวมทั้งเหตุภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ไทยต้องเผชิญกับความแตกแยกอย่างหนักในสังคมก็ตาม

    ผลสำรวจพบว่าในปีนี้มีจำนวนประชาชนที่บริจาคเงินแก่การกุศลมากกว่าปีที่ผ่านมา ทว่ายอดรวมของเงินที่บริจาคกลับลดลง ซึ่งในเรื่องนี้ทางซีเอเอฟมองว่าสาเหตุสำคัญน่าจะเป็นมาจากภาวะ "วิกฤตเศรษฐกิจโลก"

    มูลนิธิแห่งนี้บอกว่าไม่จำเป็นเลยที่ประเทศร่ำรวยจะเป็นชาติที่บริจาคเงินแก่การกุศลมากที่สุด โดยเฉพาะจากผลสำรวจที่ออกมาพบว่ามีเพียง 5 ชาติจากบรรดาประเทศร่ำรวยติด 20 อันดับแรกของโลกเท่านั้น ที่มีรายชื่ออยู่ในท็อป 20 ของผู้บริจาครายใหญ่

    ขณะเดียวกันหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว ก็พบว่าชาติที่เอื้อเฟื้อที่สุดในโลกคือประเทศไทย โดยชาวไทยกว่าร้อยละ 85 ร่วมบริจาคและอุทิศตนเพื่อการกุศลเป็นประจำ ตามมาด้วยสหราชอาณาจักรที่มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 75 ของจำนวนประชากร


    Around the World - Manager Online - ¡
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    เตือนเด็กเข้าเว็บขนม เสพโฆษณาโดยไม่รู้ตัว

    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: 'Times New Roman'; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); widows: 2; orphans: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>20 ธันวาคม 2554 12:02 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    หากมองในแง่ดี นี่อาจเป็นเทรนด์ใหม่ของการโฆษณาที่บริษัทผู้ผลิตขนมเด็ก และอาหารขยะหลายยี่ห้อกำลังเลือกใช้ นั่นก็คือการไปจัดกิจกรรม - โปรโมชันต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตแทนการใช้สื่อโทรทัศน์เหมือนในอดีต แต่หากมองในแง่ร้าย มันก็คือการหลบเลี่ยงข้อกำหนดต่าง ๆ ที่หน่วยงานภาครัฐกำหนดไว้เพื่อควบคุมบริษัทขนมเหล่านั้นในการทำโฆษณากับกลุ่มเป้าหมายผ่านทางทีวี ซึ่งผู้ตกเป็นเหยื่อหนีไม่พ้น เด็ก ๆ ลูกหลานของเรานั่นเอง

    ในยุคหนึ่ง เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับเด็ก ขนมกรุบกรอบ และอาหารฟาสต์ฟู้ดจำนวนมากล้วนต้องการโฆษณาสินค้าของตนผ่านทาง "สื่อโทรทัศน์" เพราะสื่อดังกล่าวสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะสังเกตได้ว่าธุรกิจเหล่านี้ก็เริ่มอึดอัด และทำการตลาดผ่านสื่อโทรทัศน์ได้ยากขึ้น เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐในหลายประเทศได้เริ่มวางกฎระเบียบควบคุมเนื้อหาการโฆษณาอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ ปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตขนม และอาหารฟาสต์ฟู้ดหลายราย "หนี" ไปทำโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้น โดยรูปแบบของการโฆษณานั้นมีทั้งกลุ่มที่เปิดเว็บไซต์ของตัวเอง จากนั้นก็เปิดให้เด็ก ๆ มาดาวน์โหลดเกม ร่วมสนุกชิงรางวัล หรือบางกลุ่มก็อาศัยเว็บเครือข่ายสังคมเช่น เฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ ในการจัดกิจกรรมเพื่อกลุ่มเป้าหมาย

    ข้อดีของการใช้บริการ "สื่ออินเทอร์เน็ต" ในการทำการตลาด ก็คือ ความหย่อนยานเรื่องกฎระเบียบในการควบคุมการโฆษณา เราจึงมักพบเห็นตัวการ์ตูน ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ของขนม หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดหลายชิ้น ตลอดจนข้อความที่ไม่สามารถแพร่ภาพได้ทางทีวี ปรากฏอยู่บนอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก และทาง British Heart Foundation (BHF) ซึ่งมีการทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก็เผยว่า ทางบริษัทผู้ผลิตขนม อาหารฟาสต์ฟู้ดเหล่านั้น ใช้เทคนิคการโฆษณาที่เด็กไม่สามารถแยกแยะได้ว่า มันคือการโฆษณาด้วย

    โดยรายงานชิ้นนี้ยังได้ยกตัวอย่างการทำการตลาดออนไลน์ที่เว็บไซต์บางแห่งทำกับเด็ก เช่น เว็บไซต์บางแห่งให้เด็กป้อนอายุของตนเอง เพื่อที่ทางบริษัทจะได้ติดต่อกับเด็กโดยตรงโดยใช้อีเมล หรือบางแห่ง ใช้เว็บไซต์ของตนโฆษณาสินค้าที่ไม่สามารถเผยแพร่ทางทีวีได้

    "ด้วยการใช้เทคนิคดังกล่าว (เกม แจกรางวัล ฯลฯ) จะทำให้เด็กจดจำสโลแกน โลโก้ ของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนข้อความโฆษณาที่ฝ่ายการตลาดต้องการส่งไปถึงเด็ก ๆ ได้ นั่นก็คือ การเชิญชวนให้เด็ก ๆ มาบริโภคขนม หรืออาหาร (ที่ไม่มีประโยชน์) ของบริษัทกันมาก ๆ นั่นเอง" ส่วนหนึ่งในรายงานชิ้นนี้ระบุ

    ทั้งนี้ รายงานจาก BHF เผยด้วยว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของเว็บไซต์ที่ทางองค์กรศึกษานั้น เป็นบริษัทที่ผลิตอาหาร และขนมที่มีน้ำตาล เกลือ ไขมันสูง นอกจากนี้ยังพบว่า บริษัทเหล่านี้มีหน้าเพจในเฟสบุ๊ก รวมถึงทวิตเตอร์ด้วยเช่นกัน

    รายงานยังกล่าวอีกด้วยว่า สำหรับบริษัทที่มาเปิดหน้าเพจสำหรับตัวโปรดักส์ของตนเองนั้น ทางเฟสบุ๊กก็ไม่ได้มีการควบคุมแต่อย่างใด ส่งผลให้กลุ่มผู้ใช้ที่เป็นเด็กสามารถเข้าถึง และคลิก "Like" แบรนด์นั้น ๆ ได้

    นอกจากนี้ ทางทีมที่ทำการศึกษายังทดลองลงทะเบียนในผลิตภัณฑ์ขนมชนิดหนึ่ง พวกเขาพบว่า ตนเองได้รับอีเมลโฆษณาขนมนั้นทุกสัปดาห์ตลอดสามเดือน รวมถึงการเชิญชวนให้ส่งอีการ์ดที่มีแบรนด์ขนมนั้น ๆ ไปยังเพื่อน ๆ อีกด้วย

    เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพ การตลาดออนไลน์จึงเปรียบได้กับฝูงหมาป่าที่ห่มหนังแกะ ปลอมตัวมาหลอกให้เด็ก ๆ สนุกสนาน จากนั้นก็ใช้เกม หรือกิจกรรมสนุก ๆ ดึงดูดให้พวกเด็กสนใจในตัวสินค้าในที่สุด นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่ส่งถึงผู้ปกครอง ว่านอกจากการดูแลการใช้งานอินเทอร์เน็ตและการเข้าถึงเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายแล้ว การหลงเข้าไปในเว็บไซต์ขนม หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีเกม กิจกรรมสำหรับเด็ก ๆ ก็อาจไม่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ เสมอไปก็เป็นได้

    เรียบเรียงจากเดลิเมล

    Life & Family - Manager Online -
     
  19. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    คนกับระบบสัมพันธ์กัน อุดมคติ เราอยากช่วยอยากจะรับใช้ เวลาไปลงพื้นที่ สมมติเขามีของเป็นน้ำยาล้างจานวางขาย ตอนนั้นยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาฯ เป็นตอนไปเยี่ยมชุมชน "นี่ท่านผู้สมัครฯ ช่วยซื้อหน่อย" ถามขวดเท่าไหร่ "10 บาทเอง" ไอ้ผมก็เบี้ยน้อยหอยน้อย ผมซื้อ 2 ขวด เขาก็มองผมแบบตกใจเลย ผมอึ้งไปพัก ลูกน้องก็กระซิบว่าต้องช่วยเขาเหมา ก่อนนี้มีคนมา เขาเหมาหมดเลยนะ ตรงนั้น เขาวางอยู่ 50 ขวด (หัวเราะ) ลูกน้องผมเลยบอกว่าเหมาเลยครับ เหมาเลย ผมก็เลยควัก 500 บาทจ่ายเขา ก็อึ้งไปพักหนึ่ง
    ก็กลับมาทบทวนว่า เกิดอะไรขึ้น ระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึกจนกลายเป็นปกติ อย่างที่บอก คนทำงานการเมืองต้องมีตังค์ คนไม่มีตังค์ทำไม่ได้ บางทีคนที่ทำงานการเมืองที่มีตังค์ ถึงไหนถึงกัน จ่ายเท่าไหร่ก็ได้ บางทีเงินนั้นอาจไม่ได้มาโดยวิธีสุจริตนัก ภาษีสังคมสูง ไหนจะต้องมีพวงหรีดไปทุกวัด นักการเมืองบ้าน เรายังวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ทั้งงานแต่ง งานบวช งานศพ เมื่อผมมาทำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ พบว่าปีๆ หนึ่งเราเสียงบประมาณให้แก่นักการเมืองเยอะมาก แล้วเขาบริหารเงิน อย่าง สส.คนหนึ่ง 4 ปี ตั้งหลายพันล้าน

    ข้อนี้เห็นด้วยเลย ประชาชนไม่ควรหวังสิ่งเหล่านี้จากนักการเมือง ต้องแก้ที่ประชาชนเองด้วย เขาลงทุนเขาก็ต้องถอนทุน+กำไร ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ

    ถ้าเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนในเรื่องพวกนี้ได้ เราอาจได้ ส.ส ที่มีคุณภาพมากขึ้น

     
  20. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ทัศนคติใหม่ๆ คงต้องใช้ความพยายามกับคนรุ่นใหม่ๆ แล้วล่ะคุณขวัญ
    คนรุ่นเก่าๆ มันไม้แก่ดัดยากกันไปซะแล้ว มันฝังรากลึกมานานจริงๆ
    เมื่อก่อนดิฉันเองก็ยังติดการให้สินน้ำใจคนที่เป็นเจ้าหน้าที่เลย ด้วยความเชื่อผิดๆ ที่ว่า เขาจะได้ช่วยเราเต็มที่ เขาเสียเวลา เห็นใจเขา แต่ที่จริงแล้วทุกคนควรตระหนักว่าเป็นหน้าที่

    เป็นหน้าที่ที่ถ้าเขาทำดีเราก็ชื่นชม ทำไม่ดีก็ต้องร้องเรียน ว่ากันไปตามกฎระเบียบ
    แต่เราดันไปเสริมแรงจูงใจกันในทางผิดๆ พอเขาจะทำหน้าที่เข้าจริงๆ ไม่มีเงินงานก็ไม่เดินเอาซะดื้อๆ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...