ศีลบริสุทธิ์ ดูกันยังไงครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dooddd, 9 มกราคม 2012.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ไง paetrix :cool:
     
  2. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    ต้องรู้จักก่อนว่าศีลแปลว่าอะไร ?
    แปลว่า ปกติ
    แปลว่า ความไม่มีโทษ

    เมื่อรู้จักหน้าตาของศีลแล้ว ถึงจะรักษามันให้บริสุทธิ์ได้
    ปกติเราต้องมีศีล 5 ถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ เรียกว่าไม่ผิดปกติใช่มั้ย
    ครบ 32 ประการ ก็เรียกว่าบริสุทธิ์มาแต่เกิดแล้วโดยศีล 5

    แต่เพราะใจเรายังไม่บริสุทธิ์มาแต่เกิด จึงหลงกระทำความผิด ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
    ศีลจึงเศร้าหมอง (คงไม่มีใครเป็นพระอรหันต์มาแต่เกิดจริงมั้ย )เพราะอำนาจ
    แห่งกิเลสและตัณหา จึงพาเรามาเกิด...ดังนั้นการกระทำจึงเป็นเหตุใหญ่ เป็นตัวกำหนด
    ทิศทางหลักให้เกิด บุญ และ บาป หรือ เรียกย่อๆ ว่า "กรรม" ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
    เป็น สันตติ สืบต่อกันมา เรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันขณะนี้

    ดังนั้นความบริสุทธิ์ของศิลจึงยังไม่บริบูรณ์ เต็ม 100 % เนื่องจาก ระคนอยู่ด้วย บุญ และ บาป ดังกล่าว

    จึงต้องมารักษา มาสมาทานศีล เพื่อตั้งเจตนาในการ งดเว้น จาก กรรมชั่ว หรือ อกุศลกรรมที่เป็นบาป อันเป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ.

    แล้วทีนี้มาถึงคำถามว่า ศีลบริสุทธิ์ ดูกันยังไง ?(เฉพาะศีล 5)

    ตอบ โดยเหตุคือ
    ดูที่การได้อัตภาพเป็นมนุษย์ครบ 32 ประการ ๑ ดูที่ได้สมาทานศีลแล้ว ๑

    ตอบ โดยผลคือ
    ดูที่กายกรรม มีปกติหาโทษมิได้ ๑ ดูที่วจีกรรม มีปกติหาโทษมิได้ ๑ ดูที่มโนกรรม มีปกติหาโทษมิได้ ๑

    ตอบ โดยกริยา
    มีปกติเป็นผู้สำรวมในกรรมทั้ง 3 อยู่เนืองๆ ๑ เป็นผู้แกล้วกล้าไปในที่ประชุมชนทั้งหลาย ๑ เป็นผู้มีความสุข ๑ (สีเลนะ สุคติง ยันติ) เป็นผู้มีโภคสมบัติ ๑ (สีเลนะ โภค สัมปทา)
    เป็นผู้ถึงความหลุดพ้นมีในที่สุด ๑ (สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ) ตัสสมาน สีลังวิโสทะเย.

    แล้วเอวัง ก็มีด้วยประการ ฉะนี้.

    เจริญในรสธรรม
     
  3. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ปฎิบัติภวนา ครับ
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +4,062
    สาธุ..อนุโมทนาครับ:cool:
     
  5. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ศีลปกติ ไม่ใช่ศีลกู หรือกูกอดศีล แต่เป็นปัจจัยฝ่ายกุศลเกิดปรากฏในขณะนั้น

    พ่อค้าปลาย่อมตีหัวปลาหน้าตาเฉย

    ไม่มีความละอาย เกรงกลัวบาปปรากฏอยู่ในขณะนั้น

    ไม่มีสัมมาอาชีวะปรากฏอยู่ขณะนั้น

    ผู้ใจหยาบ ย่อมล่วงคำหยาบช้า เสียดแทง หน้าตาเฉย

    ไม่มีความละอาย เกรงกลัวบาปปรากฏอยู่ในขณะนั้น

    ไม่มีสัมมาวาจาปรากฏอยู่ในขณะนั้น

    พวกนี้เป็น ลักษณะของ อกุศลกรรมบท

    ควรมี สติ สัมปชัญญะ พิจารณาประโยชน์ และ โทษเนืองๆ นี้เป็นการพิจารณาในขั้นศีล
     
  6. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ศีลจะบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ อยู่ที่เจตนา
    พระพุทธเจ้าสอนว่า เจตนาเป็นตัวกรรม
    การรักษาศีลที่ถูกต้อง จึงต้องมุ่งรักษาใจเราไม่ให้มีเจตนาขาดเมตตากรุณาต่อผู้อื่น

    เมื่อใจไม่ขาดเมตตากรุณา
    วาจากับกายก็ย่อมไม่ขาดเมตตากรุณา

    ศีลจะพร่องไม่พร่องต้องเช็คสามข้อ
    เรามีเจตนาผิดศีลด้วยตัวเองหรือไม่
    เรามีเจตนายุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำผิดศีลหรือไม่
    เรามีเจตนายินดีที่ผู้อื่นผิดศีลหรือไม่

    ถ้าข้อใดข้อหนึ่งพร่องแสดงว่าศีลพร่อง ผู้ที่ศีลพร่องเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้
    แต่ถ้าจะก้าวไปสู่การเป็นพระโสดาบัน ต้องรักษาศีลจนใจไม่ฟุ้งซ่านหวั่นไหวในศีล
    คือมีปัญญายอมรับกฏธรรมดา
    ว่าเราทำได้ดีที่สุดคือรักษาเจตนาแห่งใจ ไม่ให้ขาดเมตตากรุณาต่อใคร
    มากกว่านี้ทำไม่ได้ เพราะจะฝืนกฏธรรมดา

    เช่นตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านรักษาใจท่านเองไม่ให้มีเจตนาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้
    แต่พระโสดาบันที่เป็นมนุษย์ยังต้องเดินดิน ไม่ใช่เทวดาที่ลอยเหนือดินได้
    จึงย่อมเป็นไปตามกฏธรรมดาที่ต้องมีมดตายเพราะถูกเท้าพระโสดาบันเหยียบ
    พระโสดาบันท่านมีปัญญาเข้าใจความจริงกฏธรรมดาเรื่องนี้
    ว่าในโลกที่เต็มไปด้วยกฏแห่งกรรมนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมมีการเกิดโทษต่อกันได้ ทำให้กันและกันบาดเจ็บล้มตายได้ แม้ไม่มีเจตนาก็ตาม

    ดังนั้น แม้จะมีคนกล่าวหาว่าศีลท่านพร่องก็ตาม
    แต่พระโสดาบันท่านไม่ลังเลสงสัยในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    เพราะท่านเชื่อพระพุทธเจ้าหมดหัวใจ ว่าศีลท่านย่อมบริสุทธิ์อยู่ เพราะเจตนาท่านบริสุทธิ์
    เมื่อท่านเจอเหตุการณ์นี้ ใจท่านจึงไม่หวั่นไหวฟุ้งซ่าน ไปลังเลสงสัยว่าศีลท่านพร่อง
    ท่านเข้าใจและอิ่มใจเสมอว่าศีลท่านไม่ได้พร่อง

    พระโสดาบันจึงรักษาศีลจนไม่หวั่นไหวในศีล จนใจเป็นอธิศีล ได้ดังนี้

    ต่างกับปุถุชนที่รักษาศีลด้วยรูปแบบ อารมณ์การรักษาศีลจึงหนักและหวั่นไหวทุกครั้ง ที่มองเท้าตนเองแล้วเห็นซากมดตาย
    เมื่อยังอารมณ์หนักอยูแบบนี้
    เมื่อยังฟุ้งซ่านหวั่นไหวในศีลอยู่แบบนี้
    ใจจึงไม่เป็นสุขในการรักษาศีล จึงยังไม่เกิดสีเลนะสุคติงยันติ ศีลที่ตนรักษายังไม่สามารถรักษาใจตนให้เกิดความสุขจริงได้ ไม่ได้ผลแห่งศีลตามที่พระพุทธเจ้าสอน ด้วยเข้าใจผิดติดรักษาศีลที่รูปแบบแต่ไม่ได้รักษาศีลที่เจตนาแห่งใจนั่นเอง เพราะปัญญาตนไม่พอที่จะเห็นกฏธรรมดาหรือสัจธรรมความจริงศีล ศีลจึงไม่อิ่มเอมในใจ ไม่เป็นอธิศีล จึงไม่สามารถก้าวสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านมีอารมณ์ใจเบาในการรักษาศีลแล้ว ได้รับผลของศีลคือสีเลนะสุคติงยันติแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2012
  7. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ขอแสดงทิฐิ ความคิดเห็น ความยึดมั่นของตนนะครับ

    ดูที่ปัจจุบัน รักษาเจตนาและเหตุในการกระทำที่ปัจจุบัน งดเว้นก็งดเว้นที่ปัจจุบัน

    รู้สึกตัว และรู้เจตนาในการกระทำของตนในปัจจุบันทั้งเหตุ และไม่ประมาทในผล...ได้
    จะไม่ต้องถามใครเลยว่าศีล ว่าเจตนา ตนบริสุทธิ์หรือไม่ ด้วยความรู้ตัว รู้เหตุในการกระทำ ด้วยความไม่ประมาทในผลของการกระทำ ที่จะเกิดจากการกระทำนั้นๆทั้งต่อตนและผู้อื่น ด้วยความระลึกได้

    เมื่อกลายเป็นความปรกติ ไม่หวั่นไหว ในเจตนาและในการกระทำ ก้าวขาเดินก็เป็นศีล คู้ก็เป็นศีล เหยียดเคลื่อนไหวก็เป็นศีล พูดก็เป็นศีล เพราะเป็น...ผู้รู้...เจตนาและการกระทำของตนอยู่ในปัจจุบัน และไม่ประมาทในผลทั้งต่อตนและผู้อื่น

    จิตใจจะละเอียดในเจตนา ในการกระทำ และไม่ประมาทในผลจากการกระทำ มากน้อยก็จะมี...ผู้รู้อยู่...ไม่ต้องหลงถาม หลงขอ และลังเลสงสัยในเหตุ ในเจตนา ในการกระทำของตน จะเป็น..ผู้รู้..ผู้เห็นโทษ เห็นประโยชน์ ในการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ...อยู่เนืองๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2012
  8. aombpat

    aombpat สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    พยายามจะรักษาศีล แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน เช่นขับรถออกจากบ้าน อยู่ๆ ก็มีรถตัดหน้า เบียดซ้ายแซงขวาซะงั้น ปากไม่พูดแต่ใจมันก็คิดโกรธเคือง นี่ก็ศีลขาดเสียแล้วยังไม่ทันถึงที่หมาย ตอนหลังเลยเอาความไม่ยินดียินร้ายหรือวางเฉยมาช่วย ทำให้จิตใจสงบลงบ้าง
     

แชร์หน้านี้

Loading...