พระพุทธศาสนาสอนเรื่องจิตกับอารมณ์เท่านั้น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 7 มีนาคม 2011.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ทุกข์ให้กำหนดรู้ สมุทัยต้องละ

    นิโรธทำให้แจ้ง มรรคต้องเจริญ

    มันแล้วแต่กิจ เป็นตามปัจจัย

    เห็นทุกข์ย่อมกำหนดรู้ทุกข์ จะไปทำกิจละก็ไม่ได้

    เห็นเหตุทุกข์ต้องกำหนดละ จะไปกำหนดรู้ก็ไม่ได้

    :cool:
     
  2. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ท่านจขกท.เคยได้ยินคำว่ากบอยู่ในกะลาบ้างไหม?
    ได้มีท่านที่ได้พูดเปรียบเปรยไว้ได้เหมาะเจาะดี
    น่าจะเหมาะสมกับ จขกท ดีนะครับ
    ลองเอาไปประยุกต์แล้วตัดแปลงใช้กับตัวเองก็น่าจะเหมาะดีครับ
    ขอบคุณครับ
     
  3. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    เท่าที่รู้ คำว่าขันธ์ ๕ นั้น พระพุทธองค์ยกธรรมนี้นั้นเป็นการพูดควบคุมได้ทั้งหมด
    ไม่ว่าจะมีชีวิตและไม่มีชีวิต ล้วนแล้วตกอยู่ภายใต้ในกฏของไตรลักษณ์ ทั้งสิ้น
    ที่มิได้ตกอยูภายใต้กฎของไตรลักษณ์นั้น หรือพ้นไปจากขันธ์ ๕ มีด้วยกันอยู๋ ๒ อย่าง
    คือ นิพพาน กับ บัญญัติ เท่านั้น เพราะธรรม ๒ อย่างนี้เป็นอสังขตธรรม ไม่มีปัจจัยใดปรุงแต่ง
    ฉะนั้นจิตก็มิได้พ้นไปจากขันธ์ ๕ คือจิตก็ได้แก่วิญญานขันธ์ เป็นขันธ์ๆหนึ่งจำนวนขันธ์ ๕ ครับ

    ลองคิดให้ดีตั้งหลักพิจารณาใหม่แล้วอาจจะได้พบกับแสงสว่างกับเขาบ้างก็ได้
    (จะได้ไม่เหมือนกบในกะลาไงล่ะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มกราคม 2012
  4. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    พระพุทธศาสนาสอนเรื่องจิตกับอารมณ์เท่านั้น ?

    เอาอะไรมาพูดว้าเนี่ย ธรรมภูต อายผู้รู้เขาบ้างซิ จิต เจตสสิก รูป นิพพาน ใครเป็นผู้สอน
    ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ สัจจะ ๔ อินทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท ใครเป็นผู้สอน
    ตั้งชื่อกระทู้ไว้ก็ผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว แถมยังมีคำจำกัดความว่าเท่านั้นอีกด้วย
    บุคคลใดปรารถนาธรรมนี้ ก็ตามเขาไป ตามเขาไป <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2012
  5. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    ถามคุณธรรมภูต

    ถามคุณธรรมภูต ผู้บรรลุอมตะธรรมแล้ว หลังจากเสียชีวิตแล้ว
    จิตของเขา จะดำรงอยู่ต่อไปอีกหรือไม่ หรือดับลง หรือเป็นอย่างอื่นๆ หรืออย่างไร

    ขอขอบคุณล่วงหน้าในคำตอบ
    กระผมจะได้รับรู้ความคิดเห็นของท่านต่อไป และจะได้เทียบเคียงกับความรู้ที่กระผมเรียนมา
    ขอบคุณอีกครั้งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2012
  6. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    แล้วจะหวังผลที่จะได้รับคำตอบซักกี่%
     
  7. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    มันเหมือนอะไรไม่รู้ครับแต่คล้ายๆกับถ้าไม่มีจะไม่มีที่ยึด ผมก็นึกสงสัยอีกนั่นแหละว่า ขัดเกลากันอยู่ได้จิตนี่ ขัดไปขัดมาก็ละลงปลงเสีย นั่นหมายความว่า มีไว้เพื่อรู้ไม่ใช่มีไว้เพื่อเก็บหรือนำพาไปที่ไหนๆ แต่หากทำได้เพียงนำพาไปด้วยมันก็จะต้องถือครองรักษากันอยู่เรื่อยๆ มันก็เลยต้องปฏิบัติกันไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด
    สาธุคั๊บ
     
  8. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    ตอบ คุณkenny2

    เท่าที่ผมศึกษามา คือ เดิมนั้นจิตโง่ ไม่รู้ว่าอะไรผิด ไม่รู้ว่าอะไรถูก ไม่รู้ว่าตนเองมาจากไหน ไม่รู้ว่าตนเองจะเป็นไปอย่างไร
    จึงถูกความทุกข์บีบคั้น บีบคั้นหนักเข้า หนักเข้า จิตจึงเริ่มหาทางออก

    ยิ่งทุกข์ยิ่งค้นหาทางออก ยิ่งทุกข์ยิ่งค้นหาทางออก จนกระทั่งมาวันหนึ่งจิตมาพบความรู้เรื่องพุทธะ จิตจึงเริ่มเรียนรู้ จิตเดิมที่ยึดทั้งดีทั้งชั่ว จิตจึงเลือกยึดดีเพื่อกำจัดชั่ว
    แล้วยึดดีต่อไป พอรู้ว่าดีก็ไม่เที่ยง ก็ทิ้งดีอีกครั้ง จิตก็เป็นอิสระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2012
  9. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    คำถามของคุณมังคละนี้ เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก เป็นคำถามที่ละเอียดลึกซึ้ง
    ถ้าอธิบายไปแล้วผู้ที่ไม่เคยได้ศึกษามาแต่ต้นนั้น คงฟังไม่รู้เรื่อง เช่นเคย
    เมื่อเขาฟังไม่รู้เรื่องก็ต้องเกิดความขัดแย้งกันอีก แล้วอย่างนี้เราจะโทษเขาหรือโทษเราดี
    ถ้าโทษเขา เราก็คงต้องบอกว่ามึงโง่ที่ไม่ได้เรียนจึงฟังไม่รู้เรื่อง
    ถ้าโทษเรา เขาก็ต้องบอกว่ามึงนั่นแหละโง่ที่อธิบายให้กูรู้เรื่องไม่ได้
    แล้วใครมันโง่กันล่ะเนี้ย
    คิดว่าคงไม่รับคำตอบแน่ๆ เพราะเขาไม่ได้ศึกษาไม่ได้เรียน
    เพราะพวกเกลียดตำราจะรู้ได้ยังไง เพียงเห็นหัวข้อที่ตั้งขึ้นก็ผิดแล้ว
    ว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องจิตกับอารมณ์เท่านั้น
    แล้วอย่างนี้จะไปหวังพึ่งพาหาความรู้จากเขาได้ยังไง จิงม๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2012
  10. crossis

    crossis Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    215
    ค่าพลัง:
    +84
    คิด กับ รู้ ต่างกันนะ

    ความคิด คือ การวิเคราะห์ในสิ่งที่เกิดไปแล้ว ด้วยการหาเหตุผลมารับแต่ไม่ได้พิจารณา
    จากเหตุที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
    ด้วยเพราะอาศัย สัญญา คือความจำได้หมายรู้ มาเป็น เหตุผล
    แต่มิใช่ เหตุ อันเกิดขึ้นไปแล้ว

    เช่นนี้แล้ว ความคิด ที่ท่านทั้งหลายได้แสดงออกมา ไม่ได้เป็นความรู้
    เป็นเพียงการปรุงแต่งเพื่อ สนองต่อมานะทิฐิเท่านั้น
    รู้แจ้งเห็นจริง ธรรมที่ปรากฎ เถิด
     
  11. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ขอสนทนาด้วยครับ เห็นด้วยครับ คิด กับ รู้ นั้นต่างกัน
    แต่ถ้าจะให้กระจ่างอีกนิดหนึ่ง ตามหลักวิชาการ
    คิด นั้นเป็นสังขารคือเจตสิกที่ปรุงแต่ง
    จิตเป็นผู้รู้ คือรู้ที่เจตสิกปรุงแต่ง
    ตามธรรมชาติจิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน
    ที่นี้ถ้าคิดไปในอดีตก็มีสัญญาเจตสิกเป็นตัวเป็นประธาน
    เจตสิกทั้งหลายที่เกิดร่วมก็ปรุงแต่งน้อมนำไปตามสัญญาผู้เป็นประธาน
    จึงจำได้หมายรู้ เช่นว่า นี้สีเขียว นี้คน นี้เสียงสัตว์ เป็นต้น

    ทีนี้การแสดงก็ออกมาทางกายบ้าง วาจาบ้าง ก็เป็นหน้าที่ของจิตตชรูป
    คือ ถ้าทางกาย เช่น อาการเดิน ยกเท้า ก้าวเดิน นี้จิตทำให้รูปทั้งหลายปรากฏขึ้น
    ถ้าเป็นทางวาจาก็เป็นจิตตรูปเช่นกันที่ทำให้เปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูด ที่เรียกว่า สัททบัญญัติ เป็นต้น
    ถ้าหากรู้ด้วยความเห็นแจ้งต้องรู้ปัญญารู้ ตัวปัญญาต้องเป็นประธานในการรู้
    เจตสิกทั้งหลายเหล่านั้นที่เกิดร่วมก็ต้องน้อมนำไปตามประธานคือปัญญา

    มิใช่มาอวดรู้นะครับแต่เพื่อมาเสริมให้ความกระจ่างชัดเจนในอีกแง่มุมหนึ่งเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2012
  12. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    ธรรมะมีไว้เพื่อขักเกลาจิตใจของคนและสัตว์ทั้งหลาย
    ธรรมะไม่ควรมีไว้ข่มใคร แต่ควรมีไว้แสดงความรู้ที่ถูกต้อง
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามมิให้ภิกษุมีวาจาเป็นหอกไว้ทิ่มแทงผู้อื่น

    ความสามารถในการแสดงธรรม นี้แบ่งแยกบุคคลผู้ยิ่งใหญ่สองประเภทให้แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าจะมีความรู้ธรรมะอย่างเดียวกันคือ
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรมที่งดงามในเบื้องต้น แสดงธรรมที่งดงามในท่ามกลาง แสดงธรรมที่งดงามในปั้นปลาย
    พระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่่งมีความรู้อย่างเดียวกันแต่ไม่สามารถแสดงธรรมให้ชัดเแจ้งได้

    ภาษาที่แสดง อาจจะสื่อความหมาย ของธรรมได้ไม่หมด จากใจของผู้ที่ต้องการถ่ายทอด ซึ่งเราก็ไม่สามารถรู้ถึงภูมิธรรมของท่านเหล่านั้นได้
    ที่นี้มันก็อยู่ที่เราว่าจะมีภูมิธรรมที่จะเข้าใจรับเอาหรือไม่รับเอาธรรมที่แสดงอยู่เหล่านั้น
    ถ้าสงสัยจึงควรไต่ถามผู้แสดงธรรมด้วยอาการที่สุภาพ
    และไม่ควรดูถูกเหยียดหยามผู้แสดงเมื่อมีความเห็นต่างจากเรา เพราะธรรมที่เราเข้าใจอยู่อาจจะไม่ใช่ธรรมที่ถูก

    และควรจะระลึกถึงพระดำรัสของพระศาสดาอยู่เสมอที่ว่า ภิกษุไม่ควรมีวาจาเป็นหอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2012
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    ก็ลองกลับไปพิจารณาเองนะว่า ใครคือกบในกลา
    ที่ทำตัวเก่งเกินพระพุทธเจ้า
    ก็เหมะสมดีกลับพวกกบที่ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นกบ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    อย่าเที่ยวพูดพร่ำลอยสิ ใครๆก็พูดได้ทั้งนั้นล่ะ
    นำพระพุทธพจน์ มาวางสิว่า จิตคือวิญญาณขันธ์
    จิตเข้ามาอาศัยขันธ์๕ที่เป็นภพของตนนะ ใช่
    แต่จิตไม่ใช่ขันธ์๕ และขันธ์๕ไม่ใช่จิต
    มีพระพุทธพจน์รับรองไว้ในหลายแห่งด้วยกัน
    และจิตก็ไม่ใช่ตัวทุกข์เสียด้วยสิ

    เราเรียกอารมณ์เหล่านั้นว่าอุปาทานขันธ์ ล้วนเป็นทุกข์ ดังมีพระบาลีกล่าวไว้ดังนี้ “ปจฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกขา แปลว่า การยึดมั่นถือมั่นอุปาทานขันธ์ ๕ ล้วนเป็นทุกข์”

    "อุปาทานขันธ์ห้าเป็นไฉน? อุปาทานขันธ์คือรูป อุปาทานขันธ์คือเวทนา อุปาทานขันธ์คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปทานาขันธ์คือวิญญาณ" (พระสูตร)

    ใครที่เป็นผู้เข้าไปยึดถืออาการของจิตเหล่านั้น จนเกิดอุปาทานขันธ์ขึ้นมา?
    ไม่รู้ว่าแปลกๆไปหรือ เมื่อจิตเป็นวิญญาณขันธ์
    ก็ต้องบอกว่า วิญญาณขันธ์เข้าไปยึดถือเอาวิญญาณขันธ์จนเกิดอุปาทานขึ้นมา...

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    อยากเป็นผู้รู้จริงจนตัวสั่นเลยนะ "อายผู้รู้เขาบ้างซิ"

    ไหนว่ามาสิ ธรรมทั้งหลายแบ่งได้เป็น จิ เจ รุ นิใช่หรือไม่?

    จิตไม่ต้องอธิบายมากรู้อยู่แล้ว

    ที่นี่มา เจตสิก ทั้งหลายล้วนอารมณ์ของจิตใช่หรือไม่?

    รูปคือ อะไร? อรรถกถาจารย์ว่าไว้ รูปคืออารมณ์

    นิพพานยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่ สภาวะธรรมที่สิ้นไป

    แห่งราคะ(อารมณ์) โทสะ(อารมณ์) โมหะ(อารมณ์)

    ไหนมีอะไรบ้า่งที่เกินกว่าจิตกับอารมณ์

    ที่ยกมาทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นแหล่งก่อให้เกิดอารมณ์ของจิตทั้งสิ้นใช่หือไม่?

    ตอบชัดๆนะ ว่า ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะอะไร? เฮ้อ!!!คนอะไรเก่งเกินพระพุทธเจ้า...

    คนอะไรขนาดพระปัจเจกพระพุทธเจ้ายังไม่ละเว้นเลย กำจริงๆ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน....

     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เดี๋ยวๆๆๆ อย่าเพิ่งข้ามขั้นตอนไปไกลกว่านี้
    เอาแค่เข้าใจเรื่องจิตให้ถูกต้องตามพระพุทธพจน์ก็ยากอยู่แล้ว

    มีพระพุทธพจน์รับรองชัดเจนว่า
    "จิตไม่ดับตายหายสูญไปไหน ต้องวนเวียนเข้าไปในภพน้อยใหญ่(วัฏฏะ)
    อันยาวนานนับไม่ถ้วนนั้น เพราะไม่รู้จักอริยสัจ๔ตามความเป็จริง"

    การเวียนว่ายเข้าไปในภพภูมิต่างๆนั้น คงไม่ใช่เอาร่างกายที่เป็นสิ่งปฏฺกลู ตายเน่าเข้าโลงได้
    ไปเวียนว่ายเข้าไปในภพน้อยใหญ่แน่นอน จึงมีแต่จิตของตนเท่านั้นที่เป็นผู้เข้าไปรับวิบากกรรมที่ทำนั้น

    เมื่อจิตเกิดดับ เสียแล้ว เรื่องของกรรมที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ก็เสียหายหมดใช่หรือไม่?
    มีพระพุทธพจน์ชัดเจนว่า "ใคร(จิต)ทำกรรมใดไว้ ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น เหมือนรอยที่เกิดขึ้นเกวียน ที่ตามรอยเท้าโคนั้นไป"
    มีที่ไหนสอนกันว่า จิตดวงที่ทำกรรมดับไป ดวงที่เกิดใหม่มารับแทน แบบนี้ยุติธรรมหรือ?

    ลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาไปด้วยจะดียิ่งขึ้น ทำให้กระจ่างได้มากขึ้น
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน


     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ไปเอานิยามคำว่า "เจตสิก"มาว่ากันก่อนดีกว่ามั้ย?
    จึงค่อโชว์ความเก่งที่ตนเองอยากเก่งจนตัวสั่น
    ขณะเดียวกันตอบด้วยว่า สติ ปัญญาล้วนเกิดขึ้นที่ไหน? ถ้าไม่ใช่ที่จิต ชัดๆนะ
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    อย่าว่าแต่ดูถูกเหยียดหยามคนที่ไม่เป็นพวกของตนเลย
    คนที่ไม่ได้เรียนตำรา(ปิฎก)อภิธรรมมาล้วนโดนดูถูกเหยียดหยามทั้งสิ้น
    แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าเอง ก็ยังไม่เว้นที่จะโดนคนกลุ่มนี้ดูถูกเหยียดหยามเลย

    http://palungjit.org/threads/คันถะธุระ-และวิปัสสนาธุระ.322005/page-7

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จิต คือธาตุรู้ รู้ถูกคือรู้อริยสัจ๔ตามความเป็นจริง รู้แล้วปล่อยไม่ยึดถือมาเป็นของๆตน
    จิตรู้ผิด คือ ไม่รู้จักอริยสัจ๔ตามความเป็น รู้อะไรเป็นยึดถือเป็นของๆตนเพียงถ่ายเดียว ที่จะไม่ยึดเป็นไม่มี

    มีรู้ที่ไหน มีจิตที่นั่น ก้อนหิน ดินทราย ต้นไม้ใบหญ้าเพราะไม่มีจิตครองจึงรู้อะไรไม่ได้

    เมื่อรู้ไม่ได้ ก็แสดงอารมณ์หรืออาการของจิตที่เนื่อด้วยอารมณ์ออกมาให้เห็นไม่ได้เช่นกัน
    ฉะนั้นคนเราที่มีชีวิตินทรีย์ ที่มีจิตครองจึงมีนามขันธ์๔ที่เป็นอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์

    คนตาย ดับจิตไม่ใช่จิตดับ ดับจิตไปจากร่าง
    ก็ไม่มีอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์(นามขันธ์๔)เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    ศึกษาด้วยความรอบคอบจะได้ไม่ตกไปเป็นทาสความเชื่อของใครง่ายๆ
    กาลามสูตรว่าไว้ อย่าเพิ่งเชื่อ ให้ฟังด้วยดี แล้วสมาทานให้เต็มที เห็นผลแล้วค่อยเชื่อก็ยังไม่สาย
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน


     
  20. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    พี่ธรรมภูตดูดีกว่าเมื่อก่อนมากเลยครับ อ่านแล้วเข้าใจมากกว่าเมื่อก่อนมาก วันนี้มองไม่เห็นสิ่งที่เคยเห็นวันนั้นเลย อนุโมทนาสาธุคั๊บ ขอให้พิ่ธรรมภูตเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ ผม keng kenny ครับ อาการเจ็บป่วยต่างๆ ของพี่คงหายดีขึ้นแล้วนะครับ (เคยเห็นพี่นานแล้วครับเห็นที่กุฏิหลวงปู่บุญฤทธิ์)
    สาธุอนุโมทนาในธรรมที่กล่าวครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...