ท่านจะตอบคําถามนี้ยังไงดีครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 28 มกราคม 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ตะกี้ผมดูเป็นต่อ แล้ว วอก บวชแล้วสึก แล้วบอกว่า ร่างกายนี่ไม่ใช่ของเรา มันเน่ามันเหม็อน แล้ว พี่ยม ก็บอกว่า ถ้าร่างนี้ไม่ใช่ของแก งั้นขอตื้บได้ไหม

    แล้วจะตอบไงดีครับ

    แล้วก็อีกข้อเหมือนกันถ้าคุณเป็นทนายความ มีโจรไปฆ่าคน แล้วบอกไปว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเค้าสักหน่อย มันเป็นขันธ์ห้า แบบนี้จะทําไงครับ

    อ่อ อย่าตอบไปว่า ถ้าร่างกายนี้มันเป็นขันธ์ห้า ขอฆ่าโจรตื้บโจรต่อได้ไหม อย่าตอบแบบนี้นะ
     
  2. เฟลม

    เฟลม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +15
    ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไม่ใช่เป็นไปเพื่อความยึดถือ มิใช่เป็นไปเพื่อเพิ่มพูนกิเลสแต่เป็นไปเพื่อความสละ คลายความยึดมั่นถือมั่น เพื่อความสิ้นกิเลส อาสวะ

    ไม่ตอบนิ่งเสียครับ

    ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูกครับ
    บาปอกุศลย่อมมีผลเป็น ทุกข์โทมนัส
    บุญกุศลย่อมมีผลเป็น สุขโสมนัสเช่นกัน
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แต่เราอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เรายังมีความรู้สึกกับร่างกายนี้อยู่

    ต้องมองด้วยความเข้าใจ ถ้าหากยึดติดมากเกินไป ก็จะก่อให้เกิดปัญหาได้

    หากยอมรับได้จริงว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แม้มีคนมาทำร้ายให้เกิดความเจ็บปวด

    ก็จะมองว่าที่เกิดขึ้นนั้นมาจากกรรม กรรมดลบันดานให้เกิดขึ้น โดยมีกรรมเป้นผู้ลิขิต

    แต่หากไม่ได้ยอมรับด้วยใจจริง ก็จะเกิดความกลัวในความเจ็บปวด นี่คือสิ่งที่ต้องเฝ้าดู

    การปฎิบัติเป็นไปเพื่อการแยก กาย๑ ใจ๑ จิต๑ อย่างชัดเจน เมื่อได้เห็นแล้วจึงจะเข้าใจ
     
  4. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ฮ่าๆๆๆ ถ้าผมเป็นคุณวอก ผมจะด่าคุณพี่ยมกลับครับ
    "บอกให้มรึงพิจารณาร่างกายตามสภาพความเป็นจริง ไม่ใช่หาเรื่องมาถีบกรู!!!"
    แน่นอน ผมจะพยายามตื๊บเขาให้ได้ก่อนครับ
    ก็นะ...ถ้าทั้งเหม็น ทั้งเน่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆ เรา และแถมเจ็บตัวเพิ่มอีกด้วย
    ผมไม่เอาหรอกครับ...หรือใครจะโง่เอาก็เชิญ เพราะแค่นี้ผมก็ทุกข์พอแล้วคร้าบ

    ก็ไม่แน่ ถ้าพี่ยมเจ็บตัวจากการที่ถูกผมกระทืบ
    เขาอาจจะคิดได้ก็ได้นะครับ...การมีร่างกายมันไม่ดีอย่างงี้เอง...


    ถ้าผมเป็นทนายฝ่ายโจรที่ต้องแก้ต่างให้เขา....
    เอ๊ะ วันนี้ผมสมมติตัวเองเป็นหลายคนนะนี่

    ผมจะบอกโจรว่า...ถ้าคุณจะพูดว่าคุณฆ่าแค่ขันธ์ 5 แล้วคุณไม่ผิด
    ผมก็ขอยืนยันได้เลยครับ คุณติดคุกตลอดชีวิตแน่
    ก็ศาลเขาพิจารณาจากตัวบทกฏหมาย ตามทางโลก คุณก็ต้องเล่นตามกติกาทางโลกสิครับ
    เขาไม่ได้ให้พิจารณาแยกร่างกายของคนตามอย่างพระพุทธศาสนา
    คุณไปละเมิดชีวิตคนอื่นตามกฏหมายอาญา ก็ต้องผิดตามกฏหมายสิครับคุณ


    แล้วมีกฏหมายข้อไหนบ้างครับที่บัญญัติเรื่องฆ่าขันธ์ 5 ในนั้น? ผมถามหน่อยเหอะ
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ................. ต้องเข้าใจก่อนว่า พระศาสนาสอนให้พ้นทุกข์....เพราะฉนั้นง่ายง่ายอะไรทำให้เกิดทุกข์ มันย่อมไม่ดีแน่....ไม่ว่าคนอื่นทำ หรือ เราทำเอง......ต้องโยนิโสมนสิการสัมมาทิฎฐิให้ดี(ทิฎฐิเหล่านี้ นั้น มีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ร่วมยุคกับพระพุทธองค์ ไปหาอ่านเอาเอง)............................:cool:
     
  6. guuuruuu

    guuuruuu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +158
    ความจริง มีสองขั้น

    1.สมมุติสัจจะ
    2.ปรมัตถสัจจะ

    ในกรณีนี้เป็นการนำความจริงขั้นปรมัต ไปใช้กับความจริงขั้นสมมุติ
    ซึ่งผลคือความผิดพลาด คลาดเคลื่อน

    อย่างไรความจริงขั้นปรมัตก็จริงอยู่ทุกเมื่อ แต่คนในโลกเขายังวางสมมุติไม่ได้
    ร่างกายไม่ใช่ของเรา ก็คงจริงอยู่ทุกเมื่อ แต่คนในโลกเขายังวางไม่ได้
    หากว่างได้เขาจะทำอย่างไรกับขันธ์นี้ก็ไม่เป็นไรหรอก
    ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรม
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ตะกี้ผมดูเป็นต่อ แล้ว วอก บวชแล้วสึก แล้วบอกว่า ร่างกายนี่ไม่ใช่ของเรา มันเน่ามันเหม็อน แล้ว พี่ยม ก็บอกว่า ถ้าร่างนี้ไม่ใช่ของแก งั้นขอตื้บได้ไหม

    แล้วจะตอบไงดีครับ

    ตอบว่าตื๊บผมได้นะครับ แต่ร่างกายผมมันอาจสวนกลับได้ เพราะร่างกายไม่ใช่ของผม มันเจ็บมันก็สวนกลับครับ ผมสั่งมันไม่ได้ครับในกรณีที่ผมเจ็บผมจะ
    ขาดสติแล้วหลังจากนั้น ผมก็จะไม่รู้ตัวว่าร่างกายผมทำอะไรไปบ้าง

    แล้วก็อีกข้อเหมือนกันถ้าคุณเป็นทนายความ มีโจรไปฆ่าคน แล้วบอกไปว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเค้าสักหน่อย มันเป็นขันธ์ห้า แบบนี้จะทําไงครับ

    อ่อ อย่าตอบไปว่า ถ้าร่างกายนี้มันเป็นขันธ์ห้า ขอฆ่าโจรตื้บโจรต่อได้ไหม อย่าตอบแบบนี้นะ

    ตอบว่า ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของคุณโจร ก็ขอร่างกายคุณโจรไปรับโทษตาม
    กฏหมายก่อนนะครับ หวังว่าคุณโจรจะไม่ขัดข้องนะคร๊าบบบบบ

     
  8. เลขโนนสูง

    เลขโนนสูง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2010
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +825
    ตอบ มันเป็นความจำ( สัญญา) ที่เป็นการเกิดขึ้นมาจากการจำ(สัญญา)คำถามแรก แล้วก็เอามาปรุงแต่งโดยความไม่รู้ครับ
     
  9. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ให้บอกเขาว่า
    คนแทงตลอดซึ่งสภาพอนัตตา จะไพบูรณ์ด้วยเมตตากรุณา ชนเหล่าใดประทุษร้ายในท่านเหล่านั้นจะประสบวิบัติ 10 ประการอย่างใดอย่างหนึ่งทันที คือ

    ...ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้ายทั้งหลาย... ย่อมถึงฐานะ ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันที เดียว คือ
    ถึงเวทนากล้า ๑
    ความเสื่อมทรัพย์ ๑
    ความสลายแห่งสรีระ ๑
    อาพาธหนัก ๑
    ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑ (เป็นบ้า)
    ความขัดข้องแต่พระราชา ๑ (ถูกพระราชาเบียดเบียน)
    การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง ๑ (ถูกใส่ร้าย)
    ความย่อยยับแห่งเครือญาติ ๑
    ความเสียหายแห่งโภคะทั้งหลาย ๑
    อีกอย่างหนึ่ง ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของเขา, ผู้นั้นมีปัญญาทราม เพราะ กายแตก ย่อมเข้าถึงนรก. (พุทธะ)

    คนที่ประทุษร้ายผู้กระทำความเพียร(ยังไม่บรรลุ)เพื่อให้แจ้งซึ่งทุกข์ก็ดี อนิจจังก็ดี อนัตตาก็ดี ก็จะประสบวิบัติสาหัสเช่นเดียวกัน รู้อย่างนี้จะตื้บอีกไหม???

    --------------------------------------------
    ถ้าผมเป็นทนายก็คงคิดว่าลูกความกรู ตายแน่!!!! โดนอัยการเอาตายงานนี้ 55555555

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มกราคม 2012
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    การสนทนาธรรม หรือ เสวนาธรรม นั้น เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งก่อนว่า มันเป็น
    เรื่องที่ พ้นตรรกศาตร์ และ พ้นภาษาศาตร์

    พ้นตรรกศาตร์ ความเป็นเหตุเป็นผล เชิง วาทะศาตร์ เราไม่ได้ พิสูจน์สัจจ ด้วย พจน์
    หรือ ปพจน์

    คำว่า พ้นภาษาศาตร์ หมายถึง พ้นการจรรโลงภาษาเพื่อการสื่อสารเชิงบันเทิง สนุก
    สนาน ตลกโปกฮา

    หนังเรื่องเป็นต่อ เป็น หนังชนิด ภาษาศาตร์เพื่อมุข เพื่อความหรรษา เพื่อความ
    ตลกโปกฮา พวกนี้ดูคล้ายๆจะเหมือน จรรโลงโลก ให้ดูดี ให้สวยหรู ให้อยู่ในศีล
    ธรรม ได้ชุกคิด แต่ ล้วนเป็นการ วางกลให้เราแล่นไปด้วยการถูกร้อยรัด อันเกิด
    จาก โลภะ โทษะ โมหะ เป็นเหตุ ไม่ใช่เรื่องการเจริญสติปัฏฐาน

    ดังนั้น นักแสดง นักร้อง ล้วนแต่ ต้องตกนรกชนิดหนึ่ง เป็นนรกของคนที่หรรษา
    เวลาไปอยู่ก็มีแต่ความหรรษา และพวกนี้ อายุยืนประมาณหนึ่ง และพวกนี้เวลา
    ระลึกชาติ หรือ ระลึกความทรงจำ หรือ จะมาเจริญสติ ย่อมเล็งเห็นข้ามพ้นนรก
    หรรษานั้นไปไม่ได้ เมื่อมองข้ามไม่ได้ จึงเกิดทิฏฐิประมาณหนึ่งว่า โลกมีที่
    สิ้นสุด หรือ ประกาศว่า พ้นจากความหรรษาแล้วก็นิพพาน

    พวกนักแสดง นักร้อง โปรดิวเซอร์ นักภาษาศาตร์ นิเทศน์ศาตร์ นักร้อง นักแต่ง
    เพลง ล้วนแต่ ประกาศนิพพานด้วยวิธีมิจฉาทิฏฐิทั้งสิ้น

    ดังนั้น ไม่แปลก ที่ ballbeamboy จะสังเกตเห็นความผิดปรกติ ในการแสดง
    คำสอนเกี่ยวกับศาสนาที่ปรากฏ

    หลายคนทีเดียว ย่อมอ้างว่า การแสดงแบบนี้ย่อมทำให้คนฉุกคิดได้ การที่นัก
    ร้องออกร้องเพลงเพื่อการกุศล หรือ กระแทกแดกดันสังคม ให้สังคมตื่นตัว ก็
    ล้วนแต่เป็นการ อ้างเล่ห์ ประการนิพพานแบบสัทธรรมปฏิรูปทั้งนั้น

    พวกที่ช่วยเผยแผ่ เนื้อหาสาระทางธรรมแบบดังกล่าว จึงเข้าข่ายเป็นพวก
    เตรียมลงนรกไปด้วย

    เราจึงต้องพิจารณาให้ดีๆ พยามสังเกตสิ่งผิดปรกติ แล้วลองหาวิธีแก้ที่ถูก

    * * * * *

    กลับมาที่เรื่อง หากเราเอาเรื่อง การแสดงออกไป แล้วให้เหลือแต่ส่วนธรรม
    ไม่มีใครเป็นเจ้าของธรรมนั้น อย่าให้เครดิตกับพาหะด้วยความไม่รู้ เอาธรรม
    ออกมากางแล้ว ก็จะพบได้ว่า

    ปัญหาเรื่อง การเสวนาธรรมนั้น พิจารณาไม่ยาก

    หากผู้ใดติดตรรกศาตร์ เขาย่อมสดับ ธรรมได้แค่ระดับ วจีสังขาร ตรรกศาสตร์เชิง
    พจน์ และ ปพจน์

    หากผู้ใดติดมนุษย์ศาตร์แบบปรัชญา(ตรรกะศาตร์อีกแขนวงหนึ่ง) เขาย่อมสดับธรรม
    ได้แค่รดับ กายสังขาร ( ออกแนว มนุษย์ธรรม เจตจำนงเสรี ประชาธิปไตย ฯ)

    เมื่อเราสังเกตุเห็นว่า ระดับการสนทนา มีเรื่อง วจีสังขาร และ กายสังขาร ก็จะพบว่า

    หากเราสนทนาธรรมกันที่ "มโนสังขาร" พูดกันเฉพาะ "จิต" ศึกษาอยู่ที่ "จิต"
    พิจารณาใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้นกับ "จิต" การสนทนาธรรมนั้น จะข้ามพ้นความ
    สงบสัยแบบโลก(ตรรกศาสตร์ชนิดต่างๆได้มาก)

    อย่างเช่นคำว่า "สติ" หากเราพูดที่ มโนทวาร เราจะรู้ว่า สติคือเรื่องการปฏิบัติ
    ชนิดที่เรียกว่า อินทรีย์สังวรณ์ ซึ่งการปฏิบัติก็แค่ "การตามรู้ลมหายใจ" ไม่หลง
    ลืมการตามรู้ลมหายใจ ตรงนี้คือมี "สติ" นิพพานจะปรากฏก็ต่อเมื่อ ปฏิบัติ
    สมควรแก่ธรรม

    แต่ถ้าเราเผลอไปคุยเรื่อง "สติ" เชิงตรรกศาตร์ เราก็จะรับรู้แค่ว่า "สติ" คือ
    การพูดภาษาคนได้(วจีสังขาร) พูดตลกได้ หยอดมุขได้ รับมุขได้ เช้าฟาดพัดฟักเย็น
    ฟาดฟักพัด แล้วก็ ปิติ ยินดี น้ำหูน้ำตาไหลกันไป แล้วคิดว่ามีความสุข สงบ
    สันติ คิดไปว่านิพพานปรากฏแล้ว

    แต่ถ้าเราเผลอไปคุยเรื่อง "สติ" เชิงปรัชญาการดำรงชีวิต หรือ กายสังขาร
    เราก็จะพูดแต่ข้อศีล ข้อบัญญัติ ข้อวัตร ข้อกฏหมาย หากสังคมใดอยู่ใน
    ข้บัญญัติทีสร้างขึ้น ก็จะ ปิติ ยินดี น้ำหูน้ำตาไหลกันไป แล้วคิดว่ามีความสุข
    สงบ สันติ คิดไปว่านิพพานปรากฏแล้ว

    * * * *

    สรุปก็คือ เวลาเจอคำสอน ที่ชักชวนให้เราสับสน พึงวิเคราะห์ก่อนว่า ผู้แสดง
    ธรรมนั้นอยู่ในข่ายแสดงธรรมชนิดใด หากชัดเจนว่า อยู่ในข่ายสัทธรรมปฏิรูป
    ให้เราพึงเฝ้นเอามาแต่เฉพาะ "ข้อธรรม" อย่าได้ให้เครดิตใดต่อพาหะ

    เมื่อเอามาแต่ข้อธรรม เราก็พิจารณาให้ดีๆว่า คุณ!! จะศึกษาธรรมะในระดับใด
    ระหว่าง

    วจีสังขาร ศึกษา เหตุผลด้วย ตรรกศาตร์

    กายสังขาร ศึกษา เหตุผลด้วย ปรัชญา(ตรรกศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง)

    มโนสังขาร ศึกษา เหตุผลในระดับการปฏิบัติ รับรู้กันที่จิต สู่จิต เพื่อจิตหนึ่ง
    (พ้นตรรกศาตร์ เหนือเหตุเหนือผล เหนือการคาดเดา เหนือการฟังตามกันมา
    เหนือกว่าใครเป็นคนกล่าว เหนือกว่าคนกล่าวเป็นครู ฯ )
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อนึง การสนทนาธรรมนั้น เนื่องจากเป็นเรื่อง มโน คือ เรื่องการปฏิบัติที่จิต

    การสนทนาธรรมที่ถูกต้องจึง พ้นเรื่องการคลุกคลี เป็นไปเพื่อการสลัดวาง สันโดษ

    หาก การสนทนาธรรมมีความลามกเจือปน ให้สังเกตุ การนัดเจอ การนัดเที่ยว
    การนัดรวมกลุ่ม การถามไถ่ชีวิตส่วนตัว การถามไถ่ถิ่นที่อยู่ การถามไถ่เรื่องฐานะ
    ของครอบครัว เป็นคนต่างจังหวัด คนกรุง หรือ คนต่างประเทศ

    โปรดระวังการ สนทนาธรรมที่เป็นไปเพื่อการคลุกคลี จับเข้าคุยกัน การเสวนา
    กันรวมกลุ่มกัน ไม่เป็นไปเพื่อการมุ่งสันโดษ ธรรมเหล่านั้นล้วนลามก มีการ
    เคลือบแฝง

    ภิกษุในธรรมวินัยของพระพุทธองค์ "สงบ แต่ ร่าเริง"

    ชื่อว่า "สงบ" เพราะ มีความสันโดษ ไม่คลุกคลี

    ชื่อว่า "ร่าเริง" เพราะ จิตที่เป็นอิสระต่อการร้อยรัด หว่านล้อม ตะล่อมจับ ทั้งปวง
     
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เลือกฟัง เลือกคุย เลือกคบ ครับ(ตรงนี้ ใช้ได้ทั้ง คน สัตว์ สิ่งของครับ)
    แล้วโยนิโสมนสิการ ด้วยตนเอง จริงๆ ก็มีพระวัจนะครับ
    เชิญพี่ทริกครับ
     
  13. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    อ้าว!! ขอยกพระวจนะ เรื่อง" สิ่งที่สงเคราะห์ให้สัมมาทิฎฐิให้ออกผล" พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฎฐิ อันองค์ธรรม ห้าประการอนุเคราะห์แล้ว ย่อมมีเจโตวิมุติเป็นผล เป็นอานิสงค์ และมีปัญญาวิมุติเป็นผล ห้าประการคือภิกษุทั้งหลาย ในกรณี นี้ 1)สัมมาทิฎฐิเป้นธรรมอันศิลอนุเคราะห์แล้ว2)สัมมาทิฎฐิเป็นธรรมอันสูตรอนุเคราะห์แล้ว3) สัมมาทิฎฐิเป็นธรรมอัน สากัจฉาอนุเคราะห์แล้ว 4)สัมมาทิฎฐิเป็นธรรมอันสมถะอนุเคราะห์แล้ว 5)สัมมาทิฎฐิเป็นธรรมอันวิปัสนาอนุเคราะห์แล้ว................ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฎฐิอันองค์ธรรมห้าประการเหล่านี้แล อนุเคราะห์แล้ว ย่อมมีเจโตวิมุติเป้นผล เป็นอานิสงค์ และมีปัญญาวิมุติเป้นผล เป็นอานิสงค์-----ปญจก.อํ.22/22/25:cool:
     
  14. นายสมเกียรติ2708157

    นายสมเกียรติ2708157 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +111
    ถามจริงๆแยกไม่ออกหรือระหว่างหนังตลก กับพุทธศาสนา

    น่าเศร้านะ
     
  15. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    อ้อผมพอจะเข้าใจแล้วครับขอบคุณครับ

    แยกออกครับ แต่ผมสะกิจใจ ที่วอกพูดอะครับ
     
  16. ศุภกร_ไชยนา

    ศุภกร_ไชยนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,122
    ง่ายๆนะคับ

    ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา

    คล้ายกับเรากำลังมาใช้กายนี้ อยู่ชาตินี้ ดังนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นมันก็ต้องเจ็บปวด
    เพราะกายกับจิตปตุชนทั่วไปยังเชื่อมโยงกันอยู่

    พิจารณาดูคนตายเขาปวดอยู่ไหม (มีร่างทรง หรือ ผีตัวไหนที่บอกว่า เจ็บตอนที่ถูกเผา )

    แต่หากว่าเป็นสภาวะที่จิตแยกออกจากกายได้แล้ว ไม่มีความรู้สึกอะไร ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่ของเรา


    ทำสมาธิให้มากเหมือนกินข้าวดื่มน้ำ ของบางอย่างจะรู้ทราบได้เอง

    เมื่อก่อนผมเคยสงสัยอะไรมากมาย ตอนฝึกอยู่ใหม่ๆ ตอนนี้ไม่แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2012
  17. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    953
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ถ้าประจักษ์แก่ใจจริง ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เขาจะทำอย่างไร ก็แล้วไปก็ไม่ใช่ของเรา
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมตามกฏวัฏฏะ ละเมิดเขา
     
  18. วัชรวงศ์

    วัชรวงศ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +7
    กระผมจะพยายามตอบตามความรู้ที่มีแต่โดยสัมมาทิฏฐินะครับ

    1.คำว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เป็นการพิจาณาอสุภะกรรมฐานหนึ่งในกรรมฐาน40 แลกายานุปัสสนากรรมฐานในสติปัฏฐาน4 ในหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์พระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมทั้งปวงเป็นไปเพื่อระงับแลดับกิเลส การพิจารณากายาณุปัสสนากรรมฐาน พิจารณากายไม่ใช่ของเราก็เพื่อระงับแลดับกิเลสเพื่อวางจากความโลภ โกรธ หลง มานะ ทิฐิ หากกายเป็นของเราจริงก็คงจะพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายไปได้แต่ด้วยกายมีความไม่เที่ยงเสื่อมไปเป็นธรรมดา เมื่อยึดติดถือมั่นก็จักเป็นทุกข์สุดท้ายก็เป็นอนัตตามนุษย์จึงต้องมีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวแลปฏิบัติโดยสัมมาทิฏฐิเพื่อป้องกันทุกข์ที่เกิดแล้วแลทุกข์ที่ยังไม่เกิด แลด้วยสรรพชีวิตมีกิเลสแลกองกุศล แลกองอกุศลกรรมทำให้เกิดขึ้นมากทำให้มีกรรมเป็นกำเหนิด มีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ สิ่งต่างการกระทำต่างๆที่ตนกระทำไว้ดีหรือชั่วจักได้รับผลแห่งการกระทำนั้นโดยมิต้องสงสัย กรรมจักให้ผลตามกาลอันสมควร ที่ให้พิจาณาสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อระงับแลดับกิเลสเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แลโดยการป้องกันอกุศลทางกายวาจาใจเพื่อป้องกันทุกข์แลผลแห่งอกุศลกรรมที่เกิดขึ้นแล้วแลทุกข์อกุศลกรรมที่ยังไม่เกิด แลเพื่อประกอบกุศลกรรมทางกายวาจาใจเพื่อความสุขติความสุขทางใจในขณะนั้นแลเพื่อความสุขกายสุขใจในปัจจุบันแลเบื้องหน้า
    2.การพิจารณากายไม่ใช่ของเรา เป็นสมการแต่เพื่อความระงับแลดับกิเลสเป็นที่สุด แลเพื่อความพ้นทุกข์ที่เกิดแล้วแลทุกข์ที่ยังไม่เกิดเป็นผลลัพท์

    ขอบคุณมากครับผมเมตตาธรรมค้ำจุนโลก ขอให้มีเมตาธรรมต่อกันสมัครสมานสามัคคีต่อกันนะครับ ขององค์สมเด็จพระรัตนตรัยคุ้มครองให้สุขกายสุขใจมั่งมีศรีสุขทุกรูปทุกนาม สาธุ
     
  19. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863
    ปรมัตธรรม กับอุปธรรมแตกต่างกันครับ

    เจริญใจครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...